INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

อยากเห็นรัฐบาลมองการณ์ไกลกว่านี้

สบาย สบาย สไตล์เกษม

เกษม อัชฌาสัย

อยากเห็นรัฐบาลมองการณ์ไกลกว่านี้

งานนี้ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สุ่มเสี่ยงต่อความเสียหาย ที่อาจจะเกิดขึ้น จากการกลับมาแพร่ระบาด อย่างใหญ่หลวงอีกครั้ง ของโรค”โควิด 19”ในอนาคตครับ

คือเสี่ยงที่สุด นับตั้งแต่เริ่มเข้ามาบริหารประเทศ ในระบอบ ที่มีการเลือกตั้ง(ด้วยกระบวนการประชาธิปไตยจริงหรือไม่ ก็ช่างมัน ก่อนเถิด) เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒

ผมหมายถึงการออกแถลง เมื่อค่ำวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ สรุปความย่อๆดังนี้

  • เปิดรับการเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวอย่างน้อยจาก ๑๐ ชาติที่ความเสี่ยงต่ำ จากการระบาดของโรค”โควิด 19”ได้ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไป อาทิ จากสหราชอาณาจักร เยอรมนี สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ฯลฯ
  • นักท่องเที่ยวที่เข้ามาได้ ต้องมาทางอากาศ(เครื่องบิน)เท่านั้น (เพื่อความสะดวกในการตรวจตรา)
  • ต้องฉีดวัคซีนป้องกัน”โควิด 19”ครบถ้วนแล้ว (แน่นอนจะต้องมีเอกสารรับรอง) แต่กระนั้น ก็ต้องผ่านการตรวจ RT-PCR ก่อนออกเดินทางและเมื่อมาถึง
  • ปลดล็อกขายสุราในร้านอาหารได้ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๔
  • พิจารณา เปิดสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและสถานบันเทิง ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองใหม่

แทบจะไม่ต้องอธิบายเลยว่า มาตรการผ่อนคลาย ที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจดำเนินการนี้คราวนี้ มีความจำเป็น ต้องกระทำ ไม่ทำไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจของชาติตกต่ำ ถึงเกือบจะที่สุดแล้ว

จึงต้องเริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยสิ่งที่ไทยเรามีและพอจะกระทำได้อยู่ คือกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งจะเห็นผลเร็วได้ที่สุด ในตัวของมันเอง และยังสามารถโยงใยไปกระตุ้น อุตสาหกรรมอื่นๆติดตามมาได้ในคราวเดียวกันด้วย

จะพบว่าการใช้วิธีการอย่างนี้ กระทำด้วยความเสี่ยงมากแค่ไหน ในยามที่ตัวเลขการแพร่ระบาดยังไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไร แม้การติดเชื้อและยอดการเสียชีวิตรายวันจะมีแนวโน้มดีขึ้น จากผลการ”ล็อกดาวน์”ที่เข้มงวดกวดขันเข้มขึ้น ครั้งหลังสุด

แต่ก็เป็นไปได้ว่า การแพร่ระบาดขนาดใหญ่ อาจเกิดขึ้นมาซ้ำอีก แต่ไม่ใช่จากที่ไหน คือไม่ใช่จากนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทางต่างชาติ(ที่พยายามคุมเอาไว้ให้อยู่) แต่การแพร่ระบาด จะมาจากคนในประเทศด้วยกันนี่เอง ถ้าหากประพฤติปฏิบัติบกพร่อง ไม่รักษาระเบียบวินัย โดย

๑ ไม่ใช้หน้ากากป้องกัน ไม่รักษาระยะห่าง หันกลับไปชุมนุมสังสรรค์

๒ ไม่ฉีดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อสม่ำเสมอ

๓ การอนุญาตให้ซื้อขายและดื่มสุรา ซึ่งเป็นข้อที่น่ากลัวที่สุด ไม่ว่าจะจำกัดขอบเขตอย่างไร แต่เป็นการเปิดโอกาสนำไปสู่สองข้อข้างบนได้ง่ายขึ้น

ดังนั้น สิ่งที่รัฐจะต้องกระทำควบคู่ไปด้วย โดยไม่ชักช้าก็คือ

๑ เร่งหาและฉีดวัคซีนให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน ซึ่งตามข่าวว่า ขณะนี้ เพียงฉีดได้แค่เพียง ๓๓ เปอร์เซ็นต์ของประชากรไทยทั้งหมดเท่านั้น

๒ หากจำเป็นต้องบังคับฉีด ก็ต้องทำ สำหรับคนที่ขัดขืน ถ้ายืนกรานไม่ฉีด ก็ต้องลงโทษ

ทั้งหมด ที่กล่าวมาแล้วนี้ นับเป็น”มาตรการระยะสั้น” ในการแก้ไขปัญหาที่ต้องระมัดระวังอย่างมาก ถ้าเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ซึ่งจะมาจากเชื้อโรคตัวเดิม

แต่ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ต้องเตรียมการต่อ เพื่อรับรับมือการ”กลายพันธุ์”เป็นสายพันธุ์ใหม่ๆ ของไวรัส ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนตาม”โทษสมบัติ”ของพวกมัน

ทั้งยังเกรงด้วยอย่างสุดๆว่า การ”กลายพันธุ์”ที่ว่า ถ้าวัคซีนทุกชนิดเท่าที่มีอยู่ ในเวลานี้ หากไม่สามารถสกัดการแพร่ระบาดไว้ได้ แล้วจะทำอย่างไรกัน

นั่นเป็นปัญหาเฉพาะหน้า ที่รัฐบาลพยายามแก้ไข

อยากทราบไหมครับว่า ในระยะยาว รัฐบาลพยามแก้ไขปัญหาอย่างไร ในแง่เศรษฐกิจ

ยังมองไม่เห็นครับว่า รัฐบาลมีแผนระยะยาวอย่างไรแน่นอน ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลัง”โควิด 19”

ผมว่า ไม่ว่าในระยะยาว “โควิด 19”จะค่อยๆ หายไป หรือยังคงอยู่คู่สังคมโลก รัฐบาลนี้ก็น่าจะคิดวางแผนทำให้เศรษฐกิจให้กลับฟื้น เข้มแข็งขึ้นมาใหม่ ได้แล้วครับ

บอกตรัง ๆว่า อยากจะเห็นแผนคร่าวๆ ในไม่ช้านี้ เพื่อความมั่นใจ

โดยจะเอา”ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี”มาปรับใช้ หรือจะกำหนดขึ้นมาใหม่ ก็แล้วแต่

เช่นว่า ในระยะสองสามปีข้าหน้านี้ ไทยเรานอกจะพยายามพี่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหลักแล้ว ยังพอจะมีอุตสาหกรรมอะไรอีก ที่จะฟื้นฟู้ขึ้นมาได้บ้าง

ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมการเกษตรนั้น พอจะมีพืชไร่ตัวไหน มีสัตว์น้ำ มีปศุสัตว์อะไรดีๆ ที่จะเอาไปขายหารายได้เพิ่มเข้ารัฐ  ให้คนมีงานทำ ก็วางแผนกันให้ชัดๆ

ในเมื่อไทยเราเป็นชาติ ที่มีการเกษตรเป็นแก่น ก็ต้องคิดในแง่นี้เอาไว้ก่อนสิครับ

บอกตรงๆ ว่าอยากเห็นผลงานรัฐบาล ที่มีวิสัยทัศน์อันยาวไกล

ถ้าไม่รู้ ทำไม่เป็น ก็ถามคณะที่ปรึกษาได้ครับ

ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ รอสิ้นสุด ภาระรับผิดชอบเท่านั้น

เบื่อ….

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *