สบาย สบาย สไตล์เกษม – ทุนดับเบิลยูพีไอ : จุดพลิกผันแห่งชีวิต ๔


สบาย สบาย สไตล์เกษม
เกษม อัชฌาสัย
ทุนดับเบิลยูพีไอ : จุดพลิกผันแห่งชีวิต ๔
เมื่อเปิดตัวออกสู่แวดวงสังคมโลกผ่าน”สยามรัฐ”หนังสือพิมพ์ที่ถือกันว่ามีอิทธิพลมากในแวดวงการเมืองไทยสมัยนั้นและมีม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็น”กัปตัน”นำทีม ผลงานของผม ก็พลอยถูกจับตามอง จากแวดวงการทูตระหว่างประเทศไปด้วย เพื่อว่าจะใช้ประโยชน์ในทางใดทางหนึ่ง
ระหว่างที่พรรคกิจสังคม ซึ่งมีเสียงในสภาแค่ ๑๘ ที่นั่ง แต่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น อยู่ๆ ทางสถานเอกอัครราชทูตอินเดีย ก็ส่งคนมาทาบทามผมให้ไปดูงานราวหนึ่งสัปดาห์โดยในเวลานั้น “อินทิรา คานธี”ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอินเดียอยู่
ผมนำความไปแจ้งให้”พี่นพ”หรือ”นพพร บุณยฤทธิ์”บรรณาธิการได้ทราบว่า ทางการอินเดียเขาเจาะจงเชิญเฉพาะตัวมาและกระทรวงการต่างประเทศอินเดียจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางค่าที่พัก กินอยู่หลับนอน ระหว่างการเดินทางทั้งหมด
บรรณาธิการท่านคงเล็งเห็นว่าจะเกิดประโยชน์แก่หนังสือพิมพ์”สยามรัฐ”และเพิ่มพูนประสบการณ์ของผมจึงได้อนุญาตให้ไปได้
เมื่อทางสถานทูตอินเดียทราบเรื่องว่าได้รับอนุญาต ก็เชิญ
อย่างเป็นทางการไปรับประทานอาหารกลางวันกับเอกอัครราชทูต
อินเดียประจำประเทศไทย(เป็นสุภาพสตรี)ที่ร้านอาหารหรูหรา”ลอร์ด จิม”(โรงแรมโอเรียนเตล) ซึ่งในอาสนี้ท่านได้บอกกับผมว่าอยากจะให้สัมพันธภาพระหว่างไทยกับอินเดียกระชับมั่นคงมากขึ้นจากนี้ไป
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หลังที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น เดินทางไปพบประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน”
เหมาเจ๋อตง”ที่ปักกิ่ง ซึ่งมีผลทำให้สัมพันธภาพที่ตึงเครียดระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนคลี่คลายดีขึ้นหลังจากตั้งตัวเป็นศัตรูกันมาเนิ่นนาน เพราะความแตกต่างในด้านลัทธิความเชื่อและการปกครองซึ่งในที่สุดก็ส่งผลทำให้การเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์ในไทยเสื่อมคลายจนสูญพันธุ์ไปเพราะการใช้นโยบาย ๖๖/๒๓ หรือคำสั่งนายกรัฐมนตรีในยุคต่อมา กำหนดให้ใช้การเมืองนำหน้าการทหาร ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม เป็นที่น่าอัศจรรย์
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเล่าให้นักข่าว(น่าจะเป็น”สมบัติ ภู่กาญจน์”-อดีตบรรณาธิการ”สยามรัฐ”)ฟังว่า “ประธานเหมา”บอกกับท่านในการพบปะว่า “คอมมิวนิสต์นั้นน่ะ อย่าไปกลัวมัน อย่าไปรบกับมัน ถ้ามันตายมากๆ มันก็ยิ่งมาตายกันอีก ไม่รู้จักหมด วิธีกำจัดคอมมิวนิสต์ คือทำให้ชาวบ้านชาวเมืองเขามีกินมีใช้ อย่าไปกลัวเลยคอมมิวนิสต์”
นี่เองคือกุญแจที่ไขไปสู่การใช้คำสั่ง ๖๖/๒๓ โดย”ใช้การเมืองนำหน้าการทหาร”ในการสลายพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
จากนั้นเอกอัครราชทูตอินเดีย ก็พูดถึงสถานะของอินเดียว่าเป็นหนึ่งในบรรดาชาติ”ขบวนการไม่ฝักใฝ่กับฝ่ายใด” (Non-Aligned Movement-NAM) และอยากให้ไทย เข้าร่วมในขบวนการนี้ด้วย เพื่อรักษาดุลถ่วงระหว่างประเทศเอาไว้
ผมได้รับฟังแล้วก็มาถึง”บางอ้อ”ว่านี่คือการหาเสียงระหว่างประเทศ
แท้ที่จริง อินเดียจับตาดูความเคลื่อนไหวของไทยอย่างใกล้ชิดมาตลอด หลังจากไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับชาติตะวันตกในสนธิสัญญาป้องกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ”ซีโต้” เป็นการตั้งป้อมทางทหารต่อต้านคอมมิวนิสต์ซึ่งแผ่นกระจายอิทธิพลแทรกซึมเข้าครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยการใช้คนท้องถิ่นเป็นแกน ขณะชาติตะวันตกสร้างทฤษฎี”โดมิโน”ขู่เอาไว้ว่า หากชาติหนึ่งชาติใดในภูมิภาคล้มและกลายเป็นคอมมิวนิสต์ (เช่น เวียดนาม)แล้ว ชาติเพื่อนบ้านก็จะพากันล้มตามไปด้วยทั้งกระบวน
ดังนั้น เมื่อถึงโอกาสอันเหมาะสมอินเดีย หนึ่งในขบวนการไม่ฝักใฝ่กับฝ่ายใด หรือ”ชาติในโลกที่ ๓”(โลกที่ ๑ คือกลุ่มทุนนิยมตะวันตกและโลกที่ ๒ คือกลุ่มคอมมิวนิสต์) จึงพยายามชี้ชวนไทยให้ไปเป็นพวกด้วย โดยเสนอตัวด้วยว่าอินเดียเองสนใจที่จะเข้าร่วมในสมาคม”อาเซียน” ซึ่งผมมองไม่เห็นว่าน่าจะทำได้ในสมัยนั้น จนในที่สุดเวลานี้ก็ยังคงเป็นเพียง”ชาติคู่เจรจา”ของ”อาเซียน”เท่านั้นเช่นที่จีนก็เป็นอยู่
เมื่อผมไปถึงอินเดีย สาระที่เป็นเรื่องเป็นราวมากที่สุด ก็คือไปสัมภาษณ์เชิงศหารือรัฐมนตรีระดับล่างของกระทรวงการต่างประเทศอินเดียที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเกี่ยวข้องกับประเทศไทย(จำชื่อท่านไม่ได้)ด้วยการส่งสัญญานผ่านผมไปถึง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ว่าอยากเชื้อเชิญให้เดินทางไปเยือนอินเดีย อย่างเป็นทางการ
ส่วนเวลาว่างที่เหลือนั้น เจ้าหน้าที่ซึ่งกระทรวงฯส่งมาทำหน้าที่ต้อนรับผม ก็พาไปชมเมืองต่างๆ เช่น ชมการพัฒนาคอมพิวเตอร์ที่เมือง”บังกาลอร์”ว่ามีความทันสมัยเพียงไร ทำให้ได้รับรู้ว่าที่นั่นมีการพัฒนาไม่เฉพาะเพียงคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ยังมีการพัฒนาการผลิตเครื่องบินและแม้แต่ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ขายแข่งกับชาติยุโรปในราคาที่ย่อมเยา
พาไปพบปะนักวิชาการด้านศาสนาอิสลามที่มหาวิทยาลัย ในเมืองไฮเดอราบัด ตามที่ผมร้องขอและสนใจพบว่านักศึกษาสตรีที่นั่นล้วนแต่งกายด้วยชุดดำคลุมหน้าคลุมตาและไม่ค่อยจะยอมพูดจากับคนแปลกหน้า ทำให้ผมนึกถึงนิยายนางพญาทะเลทรายเรื่อง”โซไรดา”ของ”เสฐียร โกเศศ”เขียน ขึ้นมาติดหมัดในขณะนั้น
เขายังพาไปเยี่ยมชมเสี้ยวหนึ่งของแวดวง”บอลลีวูด”แหล่งอุตสาหกรรมผลิตภาพยนตร์ที่”บอมเบย์”(สมัยนี้เรียก”มุมไบ”) ได้พูดจากับผู้กำกับท่านหนึ่ง ที่กรุณาเล่าว่า อินเดียใช้ภาพยนตร์ในการสื่อสาร”คุณค่าทางวัฒนธรรม”อย่างกว้างขวางอย่างไรและทำกำไรอย่างไร จากอุตสาหกรรมภาพยตร์ ซึ่งมีลูกค้าอยู่ทั่วโลก รวมทั้งในไทยและชาติเพื่อนบ้าน
และที่พลาดไม่ได้ก็คือ นั่งรถยนตร์จาก “นิว เดลี”ชมชีวิตชาวบ้านสองข้างทางฝ่าฝูงวัวที่ขึ้นมาเดินตามถนน ไปพักโรงแรมหรูในเมือง”อัคระ”เพื่อเยี่ยมชม”ทัชมาฮาล”มรดกโลกและสุสานแห่งความรักติดแม่น้ำ”ยะมุนา”ซึ่งจักรพรรดิ”ชาห์ชะฮัน”แห่งราชวงศ์โมกุลทรงทุ่มเทเงินทองมหาศาลสร้างขึ้นมาเพื่อแสดงความรักอย่างลึกซึ้งต่อ”มุมตัช”พระชายา แต่ในที่สุดก็ถูกพระโอรส”ออรังเซบ”โค่นพระอำนาจฐานใช้พระราชทรัพย์สิ้นเปลืองนำไปขังไว้ที่”ป้อมอัคระ”จนสิ้นพระชนม์ ณ ห้องหับซึ่งมีกระจกติดตั้งสะท้อนให้เห็น”ทัชมาฮาล”แต่ไกล จากทุกๆ มุมของห้องขัง
อย่างไรก็ตามความพยายามของรัฐบาลอินเดียคราวนั้นล้มเหลว ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ปฏิเสธไม่รับไมตรีของอินเดีย ด้วยการทำเฉยๆ เสีย แต่ท่านบอกกับผมว่า
“ไม่เอาด้วยหรอก ไทยยังจะต้องวางตัวอย่างนี้ต่อไปอีกนาน นอกจากอาเซียนแล้ว ไม่ควรเข้าสังกัดใครทั้งสิ้น”
แม้โดยข้อเท็จจริงแล้ว ไทยเราจำเป็นต้องเดินตามก้น สหรัฐมาตลอด ตั้งแต่สมัยเผด็จการก่อนหน้านั้น การที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชนายรัฐมนตรีไทยปุบปับไปผูกสัมพันธ์จีน จึงเป็นเรื่องที่นานาชาติแปลกใจมาก แม้แต่สหรัฐเอง
อย่างไรก็ตาม อินเดียยังไม่ละความพยายาม เชิญผมไปดูการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งแรกที่”ราชีพ คานธี”ลงสมัครรับเลือกตั้งอย่างไม่เต็มใจ(เนื่องจาก”สัญชัย คานธี”ทายาททางการเมืองของนาง”อินทิรา คานธี”เสียชีวิตจากเครื่องบินเล็กตก)ในปี ๒๕๒๔ หลังมารดาคือ“อินทิรา คานธี”เสียชีวิต เนื่องจากถูกองครักษ์ชาวสิกข์สองคนลอบสังหารเพื่อแก้แค้นกรณีที่เธอสั่งการส่งกองทัพไปปราบปรามการจลาจลแบบนองเลือดของชาวสิกข์ที่”สุวรรณวิหาร” ทำให้วงการทูตแอบเรียกเธอลับหลังว่า “นางยักษ์”
ผมได้พบปะกับ”ราชีพ คานธี”แวบหนึ่ง เพียงแค่ได้จับมือและกล่าว”ทักทาย”ขณะที่เขาไปหาเสียงที่”ป้อมแดง”ในพื้นที่กรุง”นิว เดลี”
หลังสุด เขาถูกระเบิดพลีชีพในรัฐทมิฬนาดูโดยสาวในสังกัดกองกำลังกู้ชาติ”พยัคฆทมิฬอีลัม”แห่งศรีลังกา ฐานที่เขาเข้าข้างรัฐบาล”โคลอมโบ”ขณะที่เขาอยู่บนปะรำพิธีหาเสียงและเสียชีวิตในสภาพร่างกายยับเยิน
ความพยายามใช้ผมเป็นสะพานเชื่อมต่อทางการทูตของอินเดีย ก็เลยยุติลงแต่เพียงแค่นั้นครับ







