เกินจะประนีประนอม..แล้วยังไงต่อ

สบาย สบาย สไตล์เกษม
เกษม อัชฌาสัย
เกินจะประนีประนอม..แล้วยังไงต่อ
ผมเป็นคนใฝ่สันติ ชอบประนีประนอม พูดจาอะไรไม่ก็ค่อยจะตำหนิใคร หากไม่จำเป็น ยกเว้นจะเหลืออดจริงๆ
ที่สำคัญมากๆ ก็คือ ไม่ชอบการบริภาษหรือเสียดสี หากไม่พึงใจอะไร เกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองก็วิพากษ์วิจารณ์ตรงๆ ไปตามเหตุผลที่ควรจะเป็น
นี่จะว่าคือสันดาน ซึ่งอาจไม่มีใครสังเกตเห็น
เหล่านี้ล้วนเป็นที่มาของความพยายามที่ผม(ในฐานะสื่อสารมวลชนไร้สังกัด) มักจะแสดงออกอย่างสม่ำเสมอ ในการเรียกร้องสามัคคีธรรม เวลาเกิดข้อขัดแย้ง ในประเด็นต่างๆภายในสังคมส่วนรวม อันอาจนำไปสู่ความเสียหาย สู่ความเลวร้ายของสถาบันต่างๆ รวมทั้งการไปสู่ความหมดสิ้นของสถาบันชาติ
แม้แต่ความขัดแย้ง ที่ทำท่าจะรุนแรงมาแต่แรก ในการเรียกร้องให้แก้ไขหรือยกเลิกรัฐธรรมนูญเพื่อยกร่างใหม่ เพื่อความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น จาก”กลุ่มเคลื่อนไหว”ที่เห็นว่า เผด็จการเข้ามาอยู่นานเกินไปแล้ว หลัง คสช.ยึดอำนาจมาจากรัฐบาลประชาธิปไตยที่คดโกงปล้นชาติ มาตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ และหลังจากใช้รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ที่กำหนดให้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบจำกัด มากว่าหนึ่งปีครึ่ง (จากผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒) ถึงแม้ว่ารัฐบาลปัจจุบัน จะเป็นประชาธิปไตย ก็ยังถูกมองว่าเป็น”เผด็จการ”อยู่โดยไม่รู้เลือน เพราะระบบการเล่นพรรคเล่นพวกยังดำรงอยู่ การคอรัปชั่นดูเหมือนจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น กลไกในการบริหารของรัฐ ดูเหมือนจะเป็นพวกเดียวกับรัฐบาลไปทั้งหมด ทั้งในด้านการใช้อำนาจนิติบัญญัติและตุลาการ
ทั้งนี้ เพราะรัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ ซึ่งตราขึ้นมาโดย คสช.จัดสรรเอาไว้ให้
กลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเที่ยวนี้มาแรง เพราะเดินกลยุทธเหนือเมฆ จับจุดอ่อนของคสช.ว่ามีความสัมพันธ์กับสถาบันกษัตริย์อย่างเหนียวแน่น จึงเร่งรุก มุ่งหมายปฏิรูปสถาบัน ๑๐ ข้อ พร้อมกันนั้น ก็เรียกร้องยุบสภา เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งสองประการหลังนี้เป็นเพียง”เป้าล่อ” เป้าหมายจริงๆ อยู่ที่ลดบทบาทและอำนาจของ”สถาบันกษัตริย์”
ขณะเดียวกัน ก็มีการเดินแต้มอีกทางหนึ่ง ผ่านทาง”ไอลอว์”รณรงค์ล่าชื่อคนไทยเกิน ๑๐๐,๐๐๐ คน(ความจริงแค่ ๕๐,๐๐๐คนก็พอ)เพื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีสาระสำคัญว่า ไม่ยกเว้นแก้ไข(หมวด๑และหมวด ๒ (ว่าด้วย“บททั่วไป”และ”พระมหากษัตริย์”)ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า จะนำไปสู่การแก้ให้”สถาบันกษัตริย์ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งชาวบ้านชาวช่องที่มีความเชื่อความศรัทธารับไม่ได้อย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น ในการลงมติรับหรือไม่รับร่างแก้ไขของ”ไอลอว์”นั้น ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลและ ส.ว.ล้วนแต่จะลงมติ”ไม่รับ” ในขณะที่พรรคเพื่อไทย อันเป็นแกนนำฝ่ายค้าน เพิ่งจะมาพลิกผันท่าทีล่าสุดวันนี้(๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๓)เพื่อ”รับ”ร่างแก้ไขของ”ไอลอว์” ซึ่งก็ไม่แปลกอีกที่ทำเช่นนี้ เพราะร่างแก้ไขของ”ไอลอว์”จะทำให้”ทักษิณ”ได้เดินทางกลับบ้านได้อย่างเท่ๆ
นายคำนูญ สิทธสมาน สมาชิกวุฒิสภา ตั้งข้อสังเกตว่า ร่างของ”ไอลอว์”จะมีผลต่อกระบวนการดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและคดีทุจริตประพฤติมิชอบอื่นๆแน่นอนเพราะการไปกำหนดให้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่เป็นฐานกำหนดความผิดโดยตรงมีอันสิ้นผลไปหรือพูดง่ายๆ ว่ายกเลิกนั้นจะมีผลเสมือนเป็นการนิรโทษกรรมคดีทุจริตในทางปฏิบัติตามหลักกฎหมายอาญาที่ว่ากฎหมายมีผลย้อนหลังได้หากเป็นคุณแก่ผู้กระทำผิดตามที่มีคำพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับวางบรรทัดฐานไว้
งานนี้ สรุปแล้ว นอกจากเป็นการกำจัดอำนาจเผด็จการแล้ว ก็ยังเป็นการ”บ่อนทำลาย”สถาบันกษัตริย์ อันเป็น”ศูนย์กลาง”หรือแก่นแห่งความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มีมานานต่อเนื่องอีกเกือบจะพันปีด้วย
ความเป็นห่วงเรื่องที่จะแตกความสามัคคีและเกิดปะทะถึงนองเลือด และความหวังว่าจะเกิด”การประนประนอม”สำหรับผมนั้น ถือว่าผ่านไปแล้ว ตั้งแต่วานนี้(๑๗ พย.๒๓) เมื่อมีคนชุดเสื้อกันฝนสีชมพู(ทำหน้าที่แทน”คนในชุดดำ”)ออกมากราดยิง กลุ่มผู้ชุมนุมและมีคนบาดเจ็บ แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต ในขณะที่ตำรวจแถลงว่า ยังไม่ใช้กระสุนยางยิง
ผมว่า เรื่องนี้จะไม่จบลงอย่างง่ายดาย ว่าใครจะชนะระหว่าง”คนรุ่นใหม่”กับ”คนรุ่นเก่า”
ตราบเท่าที่ยังมีหนึ่งใน”แก้วสามประการ”ซึ่งถูกสถาปนาขึ้นมาโดยผู้สนับสนุน”คนเสื้อแดง”ในอดีต ยังสามารถลอบเข้าทำร้ายชาวบ้านมือเปล่า อย่างลอยนวล เช่นนี้
เข้าทำนอง”กราบไป บ่อนทำลายไป”อย่างแท้จริง
ขอตั้งถามในที่สุดว่า รัฐบาลจะทำอย่างไรต่อครับ







