INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ปัญหาความมั่นคงกรณีศึกษา : โรฮิงญาชะตากรรมของคนไร้รัฐ

 

โรฮิงญามุสลิมแห่งพม่า  ความขัดแย้งที่ถูกลืมและยังแก้ไขไม่ได้

อะไรคือปัจจัยที่มีส่วนต่อความขัดแย้งระหว่างโรฮิงญามุสลิมและชาวพุทธในพม่า

ทำไมโลกจึงเพิกเฉยต่อชาวโรฮิงญาพม่า

อะไรคือบทบาทของพม่า  และบทบาทของตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐในการแก้ไขความขัดแย้งนี้

 

ใครคือโรฮิงญา

ชาวโรฮิงญาก็คือกลุ่มชาติพันธุ์ชาวมุสลิม ซึ่งเกี่ยวข้องกับชาวเบ็งกาลี (Bengali) ที่อาศัยอยู่ในบังกลาเทศและชายแดนของรัฐยะไข่ (Rakhine) ในพม่า  ประชาชนส่วนใหญ่ในรัฐอาระกันหรือยะไข่นั้นส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ  รวมกันแล้วมีอยู่ 3 ล้านคนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในรัฐนี้   ในขณะที่ประชาชนโรฮิงญาในพม่ามีอยู่ราวหนึ่งล้านคน

มีหลักฐานบางอย่างยืนยันว่าประชาชนชาวโรฮิงญาอาศัยอยู่ในบังกลาเทศและพม่าหรือเมียนมาร์มาหลายชั่วอายุคน    กระนั้นทางการพม่าก็ไม่ให้การยอมรับว่าพวกเขาเป็นประชาชนหรือกลุ่มชาติพันธุ์ของประเทศ  พวกเขาถูกเรียกว่ากลุ่มผู้อพยพที่ขาดหลักฐาน

กฎหมายการเป็นพลเรือน ปี 1982  (2525) ของพม่ายอมรับ 135 เชื้อชาติแต่กลับไม่ยอมรับชาวโรฮิงญา  เหตุนี้ชาวโรฮิงญาจึงไม่ได้รับการเป็นพลเมือง (Non-national) หรือไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้อาศัยที่เป็นชาวต่างชาติ

 

สาเหตุของความขัดแย้ง

จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์พบว่าชาวโรฮิงญามีที่มาจากการผสมกันระหว่างประชาชนท้องถิ่นตามชายฝั่งยะไข่และผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอาหรับระหว่างศตวรรษที่ 8 และ 9

ในปี 2367 หรือเมื่อ191 ปีก่อน  สงครามอังกฤษ-พม่า เป็นผลให้รัฐยะไข่และรัฐ Tenasserim ถูกยึดครองโดยอังกฤษ  ชาวโรฮิงญาจึงไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนทางตอนเหนือของรัฐยะไข่

อังกฤษเข้ายึดครองพม่าอย่างเบ็ดเสร็จหลังจากได้รับชัยชนะในสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่ 3 ในปี 1885 (2428) และรวมเอาอินเดียกับพม่าเข้าด้วยกัน  อังกฤษเป็นผู้สนับสนุนให้มีการอพยพจากอินเดียไปพม่า  รวมทั้งชาวโรฮิงญาจากเมืองจิตตากอง[1] (Chittagong) หลังจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ  การอพยพดังกล่าวถูกพิจารณาว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

รัฐบาลทหารพม่าจึงเริ่มยกเลิกกิจการทางสังคมและการเมืองของชาวโรฮิงญา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนายพลเนวิน (General Newin) เข้าสู่อำนาจในปี 2506

การรณรงค์เพื่อล้างเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่า “นากามิน” (Nagamin) เกิดขึ้นในปี 1978 (2521) การรณรงค์ดังกล่าวได้นำไปสู่การจับกุมเพื่อนำไปข่มขืนตามอำเภอใจ มัสญิดและหมู่บ้านถูกทำลาย ที่ดินของชาวโรฮิงญาถูกยึดครอง  จากนั้นหนึ่งในสี่ของชาวโรฮิงญาได้หลบหนีไปยังบังกลาเทศ

ปฏิบัติการที่เรียกว่า ความสะอาดและชาติอันงดงามถูกขับเคลื่อนในปี 1991 (2534) เพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน  โดยชาวโรฮิงญาสองแสนคนถูกทรมานและบังคับให้ไปอยู่ในบังกลาเทศจนถึงปัจจุบัน

 

ผลของความขัดแย้ง

ความขัดแย้งได้ระเบิดออกมาเมื่อตอนกลางปี 2012 (2555) หลังจากสตรีชาวยะไข่อายุ 27 ปี และสตรีมุสลิม 10 คน ถูกข่มขืนและฆาตกรรมในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน      ประชาชน 21 คนหรือมากกว่าเสียชีวิต  บ้านจำนวน 1,662 หลังรวมทั้งมัสญิดถูกทำลาย  ความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธยะไข่ และชาวมุสลิมโรฮิงญาได้รับความสนใจเมื่อประธานาธิบดีพม่าประกาศภาวะฉุกเฉินในรัฐยะไข่

ชาวโรฮิงญาต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติจากคนกลุ่มอื่นๆ ในพม่า  เชื่อกันว่าอองซาน ซูจีจะเป็นบุคคลผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งนี้  แต่เธอกับบอกว่าไม่รู้จักชาติพันธุ์นี้  ทั้งๆ ที่ชาวโรฮิงญาได้รับการดูแลอย่างเลวร้ายในบ้านของเธอเอง

ประธานาธิบดีเต็ง เส็ง กล่าวว่าชาวโรฮิงญาควรไปอยู่ภายใต้การดูแลของค่ายผู้ลี้ภัยที่สหประชาชาติให้การอุปถัมภ์และไปตั้งหลักแหล่งในประเทศอื่นๆ ที่จะรับพวกเขาไว้ดูแล

 

ปัญหาที่มาของความขัดแย้ง

สถานะตัวบุคคลของโรฮิงญากลายเป็นคนไร้รัฐ   ถูกสงสัยและชาวพม่าส่วนใหญ่มีอคติต่อชาวโรฮิงญา  ชาวโรฮิงญาซึ่งตั้งครรภ์จากการถูกข่มขืน ถูกบังคับให้ออกนอกประเทศหรือถูกให้ทำแท้งอย่างไม่ปลอดภัย  หลายคนต้องจบชีวิตลงเพราะไม่ได้รับการดูแลทางการแพทย์ที่เหมาะสมอันเนื่องมาจากข้อกำหนดเรื่องการเดินทาง

เนื่องจากไร้รัฐและได้รับการดูแลอย่างเลวร้ายในพม่า  ชาวโรฮิงญาจึงถูกบังคับเยี่ยงทาสในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ รวมทั้งถูกบังคับให้เป็นโสเภณีสำหรับเจ้าหน้าที่และผู้ใช้แรงงาน

 

ตัวแสดงในความขัดแย้ง

พม่า

ความตึงเครียดในสังคมพม่ายังคงมีอยู่ต่อไป  อันเนื่องมาจากการจัดการต่อชาวโรฮิงญาอย่างอธรรม  พระ ผู้คนทั้งหญิงและชาย   รวมทั้งนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างก็เรียกร้องให้เนรเทศชาว “เบ็งกาลี” เหล่านี้ออกจากรัฐยะไข่ไปเสีย

คำสั่งนี้มาจากหลายองค์การของชาวพุทธที่ต่อต้านชาวโรฮิงญา  โดยไม่ให้ชาวพุทธกระทำสิ่งต่อไปนี้กับชาวโรฮิงญา

ห้ามขาย ให้เช่า หรือจำนำทรัพย์สินของชาวพุทธต่อชาวมุสลิม

ชาวพุทธจะต้องไม่แต่งงานกับชาวมุสลิม

ชาวพุทธจะต้องซื้อของจากร้านของชาวพุทธเท่านั้น

ภายใต้ชื่อของชาวพุทธ  ชาวพุทธจะต้องไม่ซื้อ ตึก บ้าน ที่ดิน สนามหรือสร้างบ้านเรือนให้ชาวมุสลิม

ชาวพุทธจำนวนมากออกมาประท้วงองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ในการเปิดสำนักงานความร่วมมือเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนต่อชาวมุสลิมและชาวพุทธในรัฐยะไข่

มีผู้คนน้อยมากที่พยายามหยุดยั้งความรุนแรงเพื่อปกป้องชาวโรฮิงญา

ปฏิกิริยาของรัฐบาลพม่าเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างชาวมุสลิมและชาวพุทธ  คือส่งทหารออกไปยุติความรุนแรง

จัดตั้งคณะกรรมการพิเศษที่เรียกว่าคณะกรรมการไต่สวนยะไข่ เพื่อหาทางที่จะสมานฉันท์สองชุมชนหลังจากเกิดเหตุจลาจลในเดือนกรกฎาคม ปี 2012 (2553)

โรฮิงญายังไม่ได้รับการเป็นพลเมืองต่อไป

 

ประเทศไทย (ที่ผ่านมา)

มีการจับกุมฝูงชนชาวโรฮิงญาแล้วส่งให้ตำรวจภูธรทางเหนือของภูเก็ต

ให้การดูแลด้านมนุษยธรรมเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะเดินทางไปประเทศอื่นๆ

 

บังกลาเทศ

ยอมรับผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาจากพม่า ท่ามกลางการกดดันระหว่างประเทศ  ให้การช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร น้ำและยาแก่ชาวโรฮิงญา  แต่ปฏิเสธที่จะให้ที่อยู่อาศัยในดินแดนบังกลาเทศ

มีข้อตกลงกับสหประชาชาติเพื่อดูแลผู้ลี้ภัย   ใช้การทูตทั้งทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อเชิญชวนให้พม่ารับชาวโรฮิงญา กลับไป

 

 

อินโดนีเซีย

ประธานาธิบดีอินโดนีเซียขอให้การชาดของอินโดนีเซียช่วยสร้างบ้านให้ชาวโรฮิงญาในพม่า

ผู้ขอการพักพิงที่มาถึงอินโดนีเซียได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นโดยชุมชนท้องถิ่น  และได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล  ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานของสหประชาชาติ  และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อดูแลชาวโรฮิงญา  ประธานาธิบดีอินโดนีเซียส่งจดหมายไปยังผู้นำพม่าเพื่อยุติความรุนแรง  สภานิติบัญญัติเรียกร้องรัฐบาลพม่าให้ทำงานมากขึ้นเพื่อหยุดยั้งความรุนแรงและการประหัตประหารชาวโรฮิงญา

 

มาเลเซีย

รัฐบาลมาเลเซียเปิดทางให้กับผู้ขอลี้ภัย เปิดทางให้หน่วยงานผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ เป็นเจ้าภาพในการให้ความช่วยเหลือชาวโรฮิงญา

มาเลเซียยังไม่ได้ลงนามว่าด้วยการประชุมเพื่อผู้ลี้ภัยและพิธีสารของปี 1967 (2510) ผู้ลี้ภัยยังคงถูกถือว่าเป็นผู้อพยพที่มาที่อย่างไม่ถูกกฎหมาย

มาเลเซียมิได้ส่งผู้ลี้ภัยกลับพม่า  แต่ยังคงผลักใสชาวโรฮิงญาไปสู่ประเทศไทย

 

สหรัฐ

เมื่อเดินทางไปพม่า ประธานาธิบดีโอบามาบอกพม่าให้หยุดยั้งความรุนแรงต่อชางโรฮิงญา  ประธานาธิบดีโอบามากดดันรัฐบาลพม่าให้แก้ไขความขัดแย้ง   ประกาศแผนสี่ข้อสำหรับรัฐยะไข่และพิจารณาความเป็นพลเมืองสำหรับชาวโรฮิงญาสนับสนุนรัฐบาลให้อนุญาต NGOs ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อชาวโรฮิงญา

 

องค์การระหว่างประเทศ

UNHCR

ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จำเป็นต่อชาวโรฮิงญา เช่น อาหาร น้ำ และยา  หาที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาในประเทศที่สามอย่างเช่นบังกลาเทศ  ออกแถลงข่าวถึงแผนฟื้นฟู  และแผนการช่วยเหลือชาวยะไข่ด้วยการให้ความร่วมมือด้านมนุษยธรรม   อย่างไรก็ตาม สหประชาชาติก็กล่าวเช่นกันว่า “ไม่ใช่งานของ UN ที่จะมาจัดที่อยู่อาศัยให้ชาวโรฮิงญา”

 

 

 

ASEAN

ติดต่อกับพม่าเพื่อจัดการเกี่ยวกับเรื่องมนุษยธรรม เรียกร้องชุมชนระหว่างประเทศให้มีจุดยืนที่มีประสิทธิภาพและหาขั้นตอนที่มีความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหาของชาวโรฮิงญา  ไม่อาจสนับสนุนชาวโรฮิงญาเรื่องความเป็นพลเมืองได้

“มีประเด็นอื่นๆ ที่ ASEAN ไม่อาจคาดหมายที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากว่ารัฐบาลของประเทศหนึ่งกล่าวว่า “ผู้คนเหล่านี้มิใช่พลเมือง (ของเรา) ผมก็ไม่คิดว่าบทบาทของ ASEAN จะเข้าไปถึงได้” อดีตเลขาธิการ ASEAN สุรินทร์ พิศสุวรรณ กล่าว

 

อุปสรรคในการแก้ไขความขัดแย้ง

รัฐบาลพม่า

เป็นผู้นำเสนอโครงการรังแกชาวโรฮิงญาอย่างเป็นระบบ  รัฐให้การสนับสนุนการรังแกดังกล่าว

 

สภาพไร้รัฐ

รัฐบัญญัติของพม่าในปี 1582 ปิดโอกาสการเป็นพลเรือนในปี 1948  ชาวโรฮิงญาจึงไม่มีเกาะป้องกันตัวเอง    กลายเป็นผู้อพยพที่ผิดกฎหมาย

 

อุดมการณ์ชาตินิยม

คนพม่าส่วนใหญ่ไม่เห็นว่าชาวโรฮิงญาเป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองของประเทศพม่า

 

การไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในทางปฏิบัติ

ถือว่าเรื่องของชาวโรฮิงญาเป็นกิจการภายใน

 

ความคาดหมาย

พม่ายังต้องแก้ไขปัญหานี้ไปอีกนาน

ประธานาธิบดีพม่ากล่าวว่า “หนทางเดียวที่จะแก้ไขความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชนก็คือการขับชาวโรฮิงญาไปยังประเทศอื่นๆ หรือเข้าไปตั้งแคมป์ควบคุมดูแลโดยหน่วยงานผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ”

 

 

ข้อแนะนำ

เฉพาะพม่าเท่านั้นที่สามารถแก้ไขวิกฤตที่มีมาอย่างยาวนานที่รุมเร้าชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮิงญาของตนได้   หยุดการ “ผลักใส” ให้เป็นผู้ลี้ภัยจากพม่า  มั่นใจว่าการบรรเทาความเดือดร้อนจะเข้าถึงได้

 

ถึงที่สุดแล้ว

การแก้ไขปัญหาของชาวโรฮิงญาอย่างถาวรอยู่ในมือของพม่า  การไร้รัฐของชาวโรฮิงญามุสลิม เป็นประเด็นหลักของความทุกข์ยาก  ว่าด้วยการให้ความเป็นพลเรือนแก่ชาวโรฮิงญา   ทั้งนี้ความร่วมมือระหว่างประเทศมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

 

ชะตากรรมของชาวโรฮิงญา

ความขัดแย้งทางศาสนาที่รุนแรงขึ้นในเดือนมิถุนายน ปี 2014 ที่รัฐยะไข่ซึ่งอยู่ทางใต้ของบังกลาเทศ  ได้ส่งผลต่อชายแดนของบังกลาเทศที่อยู่ติดกับชาวพุทธในพม่า  ซึ่งมีการปะทะกันระหว่างชาวยะไข่มุสลิมหรือโรฮิงญาบ่อยครั้ง  พวกเขาถูกเรียกว่าเบ็งกาลีและไม่ถือว่าเป็นชาติพันธุ์  บังกลาเทศอยู่ในฐานะลำบากเพราะถ้าเปิดชายแดนก็จะมีการทะลักเข้ามาของชาวโรฮิงญาและต้องแบกรับผู้อพยพมากขึ้นในดินแดนที่ยากจนอยู่แล้ว

บังกลาเทศล้มเหลวที่จะให้ชาวโรฮิงญาซึ่งข้ามชายแดนมาในปี 1978 และปี 1991-1992 ราวสองแสนคนกลับบ้านเพราะพม่าปฏิเสธ

ด้วยเหตุนี้ภายใต้กฎหมายปี 1982 (2525) ชาวโรฮิงญาจึงถูกจัดเป็นคนไร้รัฐ ถูกดูแลในฐานะผู้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมายในพม่า  ถูกการเลือกปฏิบัติภายใต้รัฐบาลทหาร  ดังนั้นจากชาติพันธุ์ 135 กลุ่มที่ได้รับการยอมรับมีแต่ชาวโรฮิงญาเท่านั้นที่ถูกปฏิเสธความเป็นชาติพันธุ์ของตนเอง

ในเวลานี้ประเทศอย่างบังกลาเทศทำได้ก็แค่ในเรื่องของมนุษยธรรมและสามารถดูแลชาวโรฮิงญาได้ชั่วคราวเท่านั้น  เพราะบังกลาเทศมีประชากรถึง 160 ล้านคนไม่อาจแบกรับภาระนี้ได้

องค์การในระดับภูมิภาคอย่าง ASEAN และในระดับระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติ (UN) ยังช่วยชนกลุ่มน้อยพม่าได้ไม่ดีนักหรือยังช่วยหยุดยั้งการหลั่งไหลของชาวโรฮิงญาไปสู่บังกลาเทศไม่ได้

บังกลาเทศมีปัญหาระหว่างความเป็นมนุษย์ (humanity) ของชาวโรฮิงญากับสภาพความเป็นจริง (reality) ที่ได้รับ  ประเทศที่ยังถูกครอบงำอยู่กับความยากจนอย่างบังกลาเทศ  แบกรับการหลั่งไหลเข้ามาของชาวโรฮิงญาไม่ไหว  แต่ก็ให้เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลชายแดนให้ความช่วยเหลือไปก่อนเท่าที่ทำได้  เมื่อคนเหล่านี้เข้าประเทศมาทางเรือ

บางคนก็บอกว่าพวกเขามาจากบังกลาเทศ  ขณะที่บางคนบอกว่าพวกเขามาจากรัฐยะไข่ (Rakhine) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของพม่าเอง

เต็ง เส็ง ประธานาธิบดีของพม่าคนปัจจุบัน ปี 2558 (2015) ปฏิเสธว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวโรฮิงญา  เขาบอกว่ารายงานดังกล่าว “ตบแต่งขึ้นทั้งหมด” เขาปฏิเสธว่าชาวโรฮิงญาเป็นชาวพม่า  เขาเรียกชาวโรฮิงญาว่าชาวเบ็งกาลี[3] เขาถึงกับขอให้สหประชาชาติส่งชาวโรฮิงญาไปประเทศอื่นๆ เสีย  แต่สหประชาชาติ ปฏิเสธข้อเสนอของเขา  คำว่าชาวบังกลาเทศหรือเบ็งกาลีจึงกลายเป็นคำเรียกที่ต้องการให้เกิดข้ออ้างในการไม่ยอมรับการเป็นพลเมืองของชาวโรฮิงญา  ดังนั้นเมื่อชาวโรฮิงญาปฏิเสธการเป็นชาวบังกลาเทศ  พวกเขาก็ต้องทุกข์ทรมานตลอดมา

ปี 1982 (2525) ชาวโรฮิงญาถูกลบชื่อจากการเป็นพลเรือนของรัฐพม่า ซึ่งในเวลานั้นยังเรียกว่าพม่ามิใช่เมียนมาร์อย่างปัจจุบัน  ถูกจำกัดเรื่องการเข้าถึงการศึกษา การบริหาร  เสรีภาพในการเคลื่อนไหว และถูกริบทรัพย์สินตามอำเภอใจ[4]

โรฮิงญากว่าสองแสนคนอยู่ในบังกลาเทศอย่างคนไร้รัฐอย่างแท้จริง  ปี 2014 (2557) ชาวโรฮิงญา 40 คน ถูกสังหารหมู่ในหมู่บ้าน Du Chu Yar Tan โดยคนในท้องถิ่นเดียวกัน ซึ่งสหประชาชาติให้การรับรองว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงทั้งนี้มีคนอย่างน้อย 10 คน ถูกกดหัวลงในน้ำให้ตายอย่างน่าอนาถ  รวมทั้งเด็กๆ ด้วย

จากนั้นก็มาพบศพอีกจำนวนมากที่มาเสียชีวิตในค่ายต่างๆ ในประเทศไทย  และที่รอยต่อไทย-มาเลเซีย ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นชาวโรฮิงญา

นับตั้งแต่ปี 1978 (2521) พื้นที่ของบังกลาเทศที่ติดกับพม่าทุกแหงไม่ว่าจะเป็น Tekuaf, Ukhia หรือ Cox’s Bazar ตกอยู่ภายใต้ความกดดัน  เพราะพม่ามีนโยบาย “Dragon King” อันเป็นนโยบายที่มาจากทหารพม่าทำให้ชาวโรฮิงญา 300,000 คนต้องไปหาที่พักพิงในบังกลาเทศ ระหว่างปี 1978-1979 (2521-2552) สมัยที่ประธานาธิบดีฏิยา อุรเราะห์มาน (General Ziaur Rahman) เป็นประธานาธิบดีและเมื่อภรรยาของเขาอยู่ในอำนาจ  ในปี 1991-1992 ก็มีการเข้ามาของชาวโรฮิงญา อันเป็นผลมาจากการปกครองที่โหดเหี้ยมต่อชาวโรฮิงญาโดยรัฐบาลทหารพม่า

พวกเขายากจน ไม่ปลอดภัย มีจำนวนนับแสนคนจึงตกเป็นเหยื่อของผู้ค้ามนุษย์ได้ง่ายดาย  บางคนก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับการลักลอบค้ายาเสพติด  พรรคการเมืองบางพรรคก็ใช้ชาวโรฮิงญาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

โรฮิงญาอยู่ในรัฐยะไข่  อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของบังกลาเทศในส่วนของเมืองจิตตากอง (Chittagong)  ตอนนี้พวกเขาจำนวนมากถูกกักตัว ขังคุก ในเบ็งกอลตะวันตก สำหรับบางประเทศการหลั่งไหลเข้ามาของชาวโรฮิงญาถูกถือว่าเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคง (Security risk) และเป็นภาวะวิกฤตทางมนุษยธรรม ซึ่งส่งกระทบไปทั่ว

ปี 1983 (2506) รัฐยะไข่มีประชากร 4 ล้าน คน มีชาติพันธุ์ 12 ชาติพันธุ์ เช่น พุทธ ยะไข่ มุสลิม ชาวโรฮิงญามีจำนวนไม่น้อยกว่าชาติพันธุ์อื่นๆ และเป็นกลุ่มใหญ่  แต่ 30 ปีต่อมาพวกเขาต้องเผชิญกับอนาคตที่มืดมน  เพราะไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นชาวพม่าตามกฎหมายพลเรือน (Citizenship Law) พวกเขาจึงพยายามดิ้นรนออกมาจากพม่าเพราะพวกเขารู้ดีว่าหากพวกเขายังดำรงชีพต่อไปในพม่าในที่สุด   พวกเขาก็คงไม่อาจหลีกหนีการตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงได้

ในการจลาจลปี 2012 (2555) ชาวมุสลิมโรฮิงญานับพันกลายมาเป็นผู้ไม่มีที่อยู่อาศัย  จำนวนมากถูกสังหารทรัพย์สินถูกปล้น   อย่างไรก็ตามชาวพุทธยะไข่ก็สูญเสียมากเช่นกัน

ชาวโรฮิงญา แปดแสนคนเป็นคนไร้รัฐไม่อาจเข้าถึงการแพทย์และการศึกษาได้

นับตั้งแต่ปี 2013 (2556) เมื่อมีการหลั่งไหลของชาวโรฮิงญามากขึ้น บังกลาเทศก็ไม่อาจรองรับชาวโรฮิงญาที่ถูกไล่ล่ามากที่สุดกว่าชนกลุ่มน้อยใดๆ ในโลกได้ โดยกล่าวว่าพวกเขามิใช่ชาวบังกลาเทศ  แม้บังกลาเทศจะเคยรับพวกเขามาแล้วจำนวนมากโดยการสนับสนุนของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ของสหประชาชาติก็ตาม

เวลานี้บังกลาเทศไม่พร้อมที่จะรับผู้ลี้ภัยได้อีกต่อไป  และสำหรับชาวโรฮิงญาบางคนซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างพม่าที่มีชาวพุทธจำนวนมากกับบังกลาเทศซึ่งมีมุสลิมอยู่มากนั้นเขาเลือกที่จะเข้าไปที่อินเดียทางตะวันออกเฉียงเหนือ

พม่าจะไม่ยอมรับข้อกล่าวหาว่าเป็นที่มาแห่งปัญหา ผู้อำนวยการสำนักงานประธานาธิบดีของพม่า Zaw Htay กล่าว

มีเรือบรรทุกคนกว่า 20,000 ลำลอยอยู่กลางน้ำและมาถึงประเทศไทยอย่างหิวโหย  ส่วนเรือที่ลักลอบขนคนมาขาย  ทั้งกัปตันเรือและผู้ลักลอบค้ามนุษย์ต่างก็หลบหนีโดยทิ้งเรือไปเมื่อรู้ว่าจะมีการจับกุม

พวกค้ามนุษย์ที่ร่วมมือกับชาวไทย มาเลเซียได้นำเอาชาวโรฮิงญาที่หนีการประหัตประหารและบังกลาเทศที่ยากจนเข้ามาแออัดกันอยู่ในเรือ  โดยชาวโรฮิงญาเหล่านั้นหวังจะมีอนาคตที่ดี

ทั้งชาวบังกลาเทศและชาวโรฮิงญาพม่ามุ่งมาที่มาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่คนร้อยละ 60 เป็นชาวมุสลิม  ทั้งนี้มาเลเซียได้รับชาวโรฮิงญาไปแล้ว 45,000 คนตลอดหลายปีที่ผ่านมา  แต่เวลานี้มาเลเซียบอกว่าไม่อาจรับภาระดังกล่าวได้   ประเทศไทยและอินโดนีเซียก็มีปฏิกิริยาคล้ายคลึงกัน

ทั้งสามประเทศมีทหารเรือของตนเองอยู่ตามชายแดนโดยมีนโยบายช่วยเหลือให้อาหาร น้ำและให้ไปอยู่ประเทศอื่นๆ ต่อไป    พม่าบอกว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์  ไม่มีอะไรพิสูจน์ว่าผู้อพยพเป็นชาวโรฮิงญา  แม้ว่าพวกเขาบอกว่าเป็นชาวโรฮิงญาก็ตาม

ต่อมาประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพในการหาทางออกให้กับผู้อพยพชาวโรฮิงญาในมหาสมุทรอินเดีย  เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ปี 2018  โดยมี 15 ประเทศเข้าร่วมได้มาคุยกันถึง “ปัญหาที่เป็นรากเหง้า” อย่างแท้จริง  ของการอพยพเข้ามาเป็นช่วงๆ ในมหาสมุทรอินเดีย  ซึ่งทุกประเทศที่เข้าร่วมประชุมพร้อมที่จะร่วมกันแก้ปัญหาที่เป็นรากเหง้าและทางออกในอนาคต

ในขณะที่พม่ายังคงยืนกรานว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นกระทำโดยเจ้าหน้าที่ที่คอรัปชั่นซึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์

 

โรฮิงญากับ ASEAN

ในคำประกาศสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนมาตราที่ 15  เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ปี 1948 ได้กล่าวถึง “สิทธิของพลเมืองทุกคนต่อความเป็นเชื้อชาติ (Right to Nationality) แต่สำหรับชาวโรฮิงญาแล้ว  พวกเขาไม่มีความเป็นพลเมือง (Citizenship) ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากอย่างสาหัส   กลายเป็นเหยื่อความอยุติธรรมทางสังคมในหลายแง่มุม ถูกตัดออกจากสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

ASEAN มีความมุ่งมั่นต่อการเข้าเป็นประชาคมเศรษฐกิจของภูมิภาคในปี 2015 หากว่า ASEAN ไม่ให้ความสำคัญด้านสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจังในภูมิภาคของตนเอง  ASEAN ก็จะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากชุมชนระหว่างประเทศในความไม่สามารถที่จะจัดการกับปัญหาของ ASEAN เอง

ในความเป็นจริงมีหลายหน่วยงานในระดับโลกที่ให้ความสนใจกับการแก้ปัญหาความตายอย่างเป็นกลุ่มก้อน  และการทำให้หมดความเป็นมนุษย์ของชาวโรฮิงญาในพม่าในหลายแง่มุมด้วยกัน  หนึ่งในนั้นก็คือการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจแก่พม่าซึ่งจะทำให้พฤติกรรมของพม่าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  หรือการใช้ความพยายามหรือการอนุญาตให้หน่วยงานต่างๆ ด้านสิทธิมนุษยชนอย่างสำนักงานข้าหลวงใหญ่ของสหประชาชาติ (UNHCR) ได้เข้าถึงชาวโรฮิงญาอย่างเต็มที่

ชาวโรฮิงญาเกือบหนึ่งล้านคนในเวลานี้ที่มีชีวิตอยู่ในรัฐยะไข่ (Rakhine state) ในพม่าควบคู่ไปกับชายแดนของบังกลาเทศ  พวกเขาจำนวนมากพยายามเดินทางทางเรือมายังประเทศไทย  มาเลเซียและอินโดนีเซีย  ด้วยชีวิตที่ยามลำบากระหว่างเดินทาง   แม้ว่าส่วนหนึ่งจะได้รับการช่วยเหลือจาก UNHCR และหน่วยงานอื่นๆ  ซึ่งโครงการของ UNHCR ก็ช่วยเหลือพวกเขาได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น  ดังนั้นสิ่งที่ ASEAN จะต้องคำนึงคืออนาคตของชาวโรฮิงญาซึ่งเป็นหนึ่งในหนทางของการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง  คำถามที่ ASEAN จะต้องตอบก็คือ ทำไม ASEAN จึงมิได้นำเสนอวิกฤตของชาวโรฮิงญาอย่างเป็นรูปธรรมทั้งๆ ที่การปกป้องสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐานสำคัญของกฎบัตร ASEAN

สำหรับ ASEAN การละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเกี่ยวข้องกับชาวโรฮิงญานั้นยังแยกไม่ออกระหว่างประเด็นด้านความมั่นคงทางการเมืองกับประเด็นทางสังคม  ASEAN จะเข้าถึงพม่าอย่างไรในการแก้ไขปัญหาของชาวโรฮิงญา

กฎบัตรของ ASEAN นั้นจะเกี่ยวข้องอยู่กับการมีภาพลักษณ์ที่ดีร่วมกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความเคารพเสรีภาพพื้นฐาน   การส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนและการส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคม  แม้ว่า ASEAN จะคงยึดมั่นอยู่ในหลักการของการไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิกก็ตาม  แต่ปัญหาของชาวโรฮิงญาส่งผลกระทบต่อประเทศสมาชิกในวงกว้าง  ดังนั้นการร่วมกันแก้ไขปัญหาของชาวโรฮิงญาจึงเป็นปัญหาร่วมของ ASEAN เพราะ ASEAN มิได้มุ่งหวังที่จะบูรณาการทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงความสำคัญในสิทธิมนุษยชนอีกด้วย  ASEAN ต้องร่วมกันคิดในวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นและจะหาทางออกให้ชาวโรฮิงญาในระยะยาวอย่างไร   ระหว่างการไม่เข้าแทรกแซงในกิจการภายในตามวิถีเอเชียกับการปกป้องสิทธิมนุษยชน ASEAN จะทำให้เกิดความสมดุลอย่างไร   ในความเป็นจริง ASEAN ไม่ควรมองเรื่องของชาวโรฮิงญาว่าเป็นประเด็นทางสังคม-วัฒนธรรมเช่นนั้น   แต่ควรมองในแง่ของสิทธิมนุษยชนและการแก้ไขปัญหาร่วมกัน

ช่วงหน้าร้อนโดยเฉพาะเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปี 2558 (2015) จะพบว่ามีผู้อพยพจากพม่า (โรฮิงญา) และบังกลาเทศจำนวนมากถึง 1,000 คนได้รับการช่วยเหลือจากอินโดนีเซีย  และถูกจับตัวเอาไว้ในมาเลเซีย

มากกว่า 1,000 คนอยู่ในเรือ ซึ่งเข้ามาจอดที่เกาะลังกาวีของมาเลเซียและอาเจะฮ์ของอินโดนีเซีย      ส่วนใครเป็นโรฮิงญาพม่าใครเป็นบังกลาเทศยังสับสนอยู่  แต่ถ้าเป็นโรฮิงญาพม่าก็คือพวกที่ตกอยู่ภายใต้การเลือกปฏิบัติมาช้านานในประเทศที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ

ถึงเวลานี้ชาวโรฮิงญา หนึ่งล้านสามแสนสามหมื่นคนในพม่าถูกถือว่าเป็นผู้อยู่อาศัยที่ผิดกฎหมาย[5]

จนถึงปัจจุบันพวกเขาก็ยังมีสภาพที่เลวร้ายเช่นเคย  แม้จะอยู่ในประเทศตัวเองก็ยังถูกจัดให้เป็นคนไร้ถิ่นฐาน  กล่าวกันว่าชาวโรฮิงญามีข้อเลือกแค่สองอย่างคืออยู่เพื่อรอความตายหรือจะออกจากประเทศไปทางเรือเพื่อแสวงหาโลกใหม่ที่ไม่มีความแน่นอน ซึ่งบ่อยครั้งก็จบลงด้วยความตายเช่นกัน   อย่างไรก็ตามพวกเขาส่วนใหญ่มุ่งจะมาที่ประเทศมุสลิมอย่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

หน้าหนาวที่ผ่านมา (มกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2558) ชาวโรฮิงญาถึงสองหมื่นห้าพันคนออกจากประเทศโดยทางเรือ   เรือนี้มีคนที่เป็นนักลักลอบขนถ่ายผู้คนอย่างผิดกฎหมายเป็นเจ้าของ

ไทยจัดว่าเป็นหนึ่งในเป้าหมายของผู้อพยพทางเรือ แต่การไล่ล่านักค้ามนุษย์ของไทยในเวลานี้ทำให้เป้าหมายของการเดินทางจะมุ่งไปที่อื่นๆ มากกว่า

 

โรฮิงญากับการเมืองพม่า

ภาพของพม่าเป็นภาพที่ผสมผสานกันหลังจากสามปีของการปฏิรูป  และการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนต่อไปจะเป็นกุญแจสำคัญว่าพม่าจะบ่ายหน้าไปในทิศทางใด

จากการสำรวจของ International Republican พบว่าร้อยละ 88 ของประชาชนให้การตอบรับว่าประเทศมาถูกทางแล้ว  ทั้งนี้พม่ามีการสร้างถนนหลายสายสะพานหลายแห่งและสภาพเศรษฐกิจที่มีการพัฒนามากขึ้น

อย่างไรก็ตาม พม่าก็มีปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์มาอย่างต่อเนื่อง  ตามรายงานของหน่วยข่าวต่างๆ พบว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 237 คน อันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางชาติพันธุ์  นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2012 และมีคนพลัดถิ่นถึง 140,000 คน  จำนวนมากของพวกเขาอยู่ในรัฐยะไข่

มีการขยายตัวของความเป็นชาตินิยมทางศาสนาพุทธอย่างสุดขั้ว (ultra-Buddhist nationalism) แม้ว่าประเทศกำลังก้าวเข้าสู่ระบอบรัฐสภาและจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน ปี 2015 ก็ตาม  นักการเมืองที่ต้องการคะแนนเสียงจึงให้ความสนใจที่จะหาทางแก้ไขความขัดแย้งของกลุ่มชนต่างศาสนาน้อยมาก  เหมือนกับที่ The Economist บอกถึงพม่าในช่วงเวลานี้ว่ากำลังอยู่ใน “ช่วงอันตราย”

การเมืองพม่าจะเป็นไปในทิศทางใด คำตอบจะปรากฏชัดเจนขึ้น  เมื่อรู้ว่าใครจะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของพม่า  ซึ่งขณะที่มีอยู่ 4 คนที่น่าจะเป็นคู่แข่งขันระหว่างกันซึ่งก็ได้แก่ อองซาน ซูจี (หากว่ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ) ประธานรัฐสภา Thura Shwe Mann และอีกสองคนที่ยังไม่ประกาศตัว ซึ่งได้แก่ประธานาธิบดี เต็ง เส็ง และผู้บัญชาการทหารสูงสุดคือ Aung Hlaing ข้อเลือกของชาติจะขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งทั่วไป   และความพยายามของแต่ละพรรคการเมืองที่ทำงานร่วมกับทหาร พรรคฝ่ายค้านหลักอย่างสันนิบาตเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ (NLD) ได้รับการคาดหมายว่าจะทำได้ดีกว่า

โรฮิงญากับสิทธิมนุษยชน

กรณีของชาวโรฮิงญาถือว่าเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษยชาติแห่งยุคสมัย   เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์

แม้ว่าจะมีการประกาศสิทธิมนุษยชนสากล (Universal Declaration of Human Rights) หรือ UDHR เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนปกป้องสิทธิมนุษยชนทุกคนในหมู่ประชาคมโลกมายาวนานกว่า 60 ปี แต่การประหัตประหารผู้คนบนพื้นฐานของชาติพันธุ์ก็ยังดำเนินต่อไป  คำประกาศดังกล่าวมีสาระสำคัญคือ

มนุษย์ทุกคนเกิดมามีเสรีภาพและความเท่าเทียมในด้านของศักดิ์ศรีและสิทธิ ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งได้ประกาศเอาไว้ในคำประกาศดังกล่าวโดยไม่มีการแบ่งแยกใดๆ ในทางเผ่าพันธุ์ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดทางการเมืองหรืออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสัญชาติ พื้นฐานทางสังคม การเกิดหรือสถานะอื่นใด  ทุกคนมีสิทธิต่อการมีสัญชาติ ไม่มีใครจะถูกทำให้ขาดความเป็นสัญชาติหรือปฏิเสธการเปลี่ยนสัญชาติได้

การที่รัฐบาลพม่า ซึ่งเป็นสมาชิกของสหประชาชาติปฏิเสธสิทธิการเป็นพลเมืองของชาวโรฮิงญา จึงถือเป็นการกระทำที่น่าหวาดหวั่น

ชาวโรฮิงญาถูกตัดออกจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ จำนวน 135 ชาติพันธุ์ที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดทางไปสู่ทุกรูปแบบของการเลือกปฏิบัติ กฎหมายปี 1982 เปลี่ยนคำว่าชาวอาระกัน (Arakanese) เป็นยะไข่ (Rakhines) มีผลต่อการตัดชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญาแห่งอาระกับจากการมีส่วนร่วมในสถานะของความเป็นชาติ

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างโหดเหี้ยมเป็นระบบได้ผลักดันชาวโรฮิงญาสู่ท้องทะเล  จากบ้านที่พวกเขามีสิทธิอย่างถูกต้อง  มารอนแรมอยู่นอกประเทศ  เป็นวิกฤตมนุษยธรรมให้ชาติต่างๆ ต้องมาแบกรับภาระ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนบ้านของพม่าอย่างประเทศไทยได้รับการวิพากษ์จากตะวันตกอย่างเปิดเผย   เมื่อวิกฤตนี้ยังคงดำรงต่อไป  และยิ่งมีความหนักหน่วงขึ้นในเวลานี้  เมื่อประเทศเกิดการรัฐประหารในปี 2014 แต่ก็เป็นที่กระจ่างชัดว่าที่มาของปัญหานั้นอยู่ที่พม่าและโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงได้ถูกนำมาใช้สำหรับผู้ก่อคดีอาญาต่อชาวโรฮิงญาที่อยู่ในพม่าเอง

ไม่ว่าเพื่อนบ้านพม่าจะยืนกรานช่วยเหลือชาวโรฮิงญาที่ถูกขับออกมาจากบ้านพวกเขาอย่างไรก็ตาม  หากว่าความรุนแรงในการผลักใสพวกเขาออกมานอกประเทศไม่หยุดลง  วิกฤตมนุษยชนก็จะดำรงอยู่ต่อไป

ชาวโรฮิงญามิใช่คนไร้รัฐ  พวกเขามิใช่ประชาชนชาวเรือ มิใช่พวก “ไม่มีบ้าน” บ้านของพวกเขาคือพม่า อาชญากรรม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างคลั่งไคล้ได้ผลักใสชาวโรฮิงญาจากบ้านเกิดของพวกเขาเอง

ชาวโรฮิงญาถูกดูแลราวกับว่าพวกเขาเป็นผู้อพยพเข้ามาในพม่านับตั้งแต่อังกฤษได้ผนวกรัฐอาระกับเมื่อปี 1826 หลังจากเกิดสงครามอังกฤษพม่าแห่งปี 1824 ถึงปี 1826 อย่างไรอย่างนั้น ทั้งๆ ที่มีหลักฐานยืนยันทางประวัติศาสตร์ว่าชาวโรฮิงญาอยู่ในรัฐอาระกันมาช้านาน

รัฐธรรมนูญของรัฐอาระกันได้กำหนดเอาไว้ว่าความเป็นพลเมืองของอาระกันจะได้รับการพิจารณาจากกฎหมายที่ได้กำหนดขึ้น พลเมืองของชาวอาระกันจะรู้จักกับในนามชาวอาระกัน (Arakanese) พุทธศาสนาจะเป็นศาสนาประจำรัฐ เฉพาะคนสัญชาติอาระกันเท่านั้นที่มีสิทธิที่จะมีที่ดินของตนเองได้ ในเมื่อชาวโรฮิงญาถูกนับเนื่องเป็นชาวอาระกันเบ็งกาลี (Arakan Bengalis) พวกเขาจึงต้องตกเป็นประชาชนชั้นสอง ซึ่งไม่มีสิทธิที่จะเปิดสำนักงานหรือเป็นเจ้าของที่ดินได้

นับเป็นนโยบายการเลือกปฏิบัติที่มุ่งจะตัดความเป็นชาติพันธุ์ของชาวโรฮิงญาออกไปและผลักชาวโรฮิงญาให้เป็นคนชายขอบ  ซึ่งถูกเรียกว่ากุลาหรือกาลาเช่นเดียวกันที่ชาวแอฟริกาอเมริกัน (Afro-Americans) ได้รับในสหรัฐ ซึ่งคนเหล่านั้นถูกเรียกว่า Black Niggers พวกเขาถูกมองว่าเป็นไวรัส ซึ่งถ้าปล่อยให้เติบโตก็จะเข้าปกครองประเทศ   มีคำพูดจากชาวยะไข่ผู้ต่อต้านชาวโรฮิงญาหลายคนที่แสดงให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติต่อชาวโรฮิงญาอย่างไร้มนุษยธรรม

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *