เคยอยู่ที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ด้วยรักและภูมิใจ
เคยอยู่ที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ด้วยรักและภูมิใจ
ประเทศไทยเรานับเป็นประเทศที่มีพลเมืองหนาแน่นพอสมควร ประชากรและที่หมุนเวียนไปมาน่าจะมากกว่า ๗๐ ล้านคนไปนานแล้ว เพราะฉะนั้น การทำธุรกิจ หรือการเกษตร ก็มักจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก หรือฟาร์มขนาดเล็ก ช่วยตัวเองไม่ได้มากนัก คนที่มีรายได้น้อยจึงเป็นฐานทางเศรษฐกิจสังคมที่สำคัญของประเทศ
การสหกรณ์ เริ่มต้นโดยเป็นการรวมตัวกันของผู้ที่มีความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ เพื่อกีดกันต่อสู้กับนักธุรกิจที่เอาเปรียบ ตักตวงประโยชน์ จากคนที่อ่อนแอกว่า โดยสหกรณ์ก็เหมือนกับบริษัท หรือธุรกิจอื่นๆ แต่ดำเนินงาน โดยสมาชิก ซึ่งจะต้องมีบทบาท ๒ ประการ คือสมาชิกเป็นทั้งลูกค้า และเป็นเจ้าของสหกรณ์ ประการแรก คือ สมาชิกเป็นลูกค้าของสหกรณ์ต้องทำธุรกิจกับสหกรณ์ ให้เจริญก้าวหน้าทั้ง ๒ ฝ่าย ด้วยความซื่อสัตย์ต่อกัน ตัวอย่างเช่น การค้าข้าว ปกติข้าวมีราคาต่ำมานาน ชาวนาจึงตั้งสหกรณ์ขึ้นมา แต่พอพ่อค้ารู้ว่า มีสหกรณ์ จึงขึ้นราคาให้ราคาสูงกว่าสหกรณ์ แทนที่ชาวนาจะขายข้าวให้สหกรณ์ ก็ขายให้พ่อค้า สหกรณ์เลยไปไม่รอด พอสหกรณ์ล้มแล้ว คราวนี้ พ่อค้าจะตั้งราคาเท่าไหร่ก็ได้ เพราะมีผู้ซื้อรายเดียว ฉะนั้น สมาชิกต้องซื่อสัตย์และสามัคคี ทำธุรกิจกับสหกรณ์เท่านั้น จึงจะสู้กับผู้ที่เอาเปรียบได้
ประการที่ ๒ คือสมาชิกเป็นเจ้าของสหกรณ์ พอสหกรณ์มีรายได้ ก็จะจ่ายผลกำไร ให้กับสมาชิกในฐานะหุ้นส่วนของสหกรณ์ ทั้งนี้เงินเฉลี่ยคืนกำไรเป็นไปตามส่วนธุรกิจที่สมาชิกทำกับสหกรณ์ คือ ใครทำธุรกิจกับสหกรณ์มาก ก็ได้รับเงินเฉลี่ยคืนมาก แต่ถ้าใครทำน้อยก็ได้รับเงินเฉลี่ยคืนน้อย นอกจากนั้น ยังมีเงินปันผลตามมูลค่าหุ้นให้กับสมาชิก ใครมีหุ้นมาก ก็ได้ปันผลมาก หุ้นน้อย ก็ปันผลน้อย ฉะนั้น ตอนปลายปี สมาชิกจะมีรายได้ผลกำไรจากสหกรณ์ ตามส่วนธุรกิจและมูลค่าหุ้นตามที่กล่าวแล้ว สมาชิกบางคนได้รับเงินรายได้เป็นกอบเป็นกำ แล้วเอาเงินที่ได้นั้น ซื้อหุ้นสหกรณ์เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้มีรายได้จากเงินปันผลในปีต่อๆไปเพิ่ม ซึ่งเงินของตัวเองที่เป็นหุ้น ถือว่าเป็นทุนหรือหลักประกันเก็บไว้ ถอนออกไม่ได้ จนกว่าจะลาออกจากสหกรณ์ ถ้าเจ็บป่วยไข้ ต้องการใช้เงิน ก็ลาออก แล้วเมื่อสถานการณ์ของตนเองปกติแล้ว ก็สมัครเป็นสมาชิกใหม่ได้
หลักการสหกรณ์ที่สำคัญอันหนึ่ง คือหลักการประชาธิปไตย หรือ “ หนึ่งคนหนึ่งเสียง ” ทั้งนี้การดำเนินงานของสหกรณ์เหมือนกับองค์การสถาบันต่างๆ ที่จะต้องมีการประชุมใหญ่เมื่อดำเนินมาครบรอบปี ในการประชุมใหญ่นี้ จะเป็นการเสนอผลงานของสหกรณ์ในรอบปีที่ผ่านมา และแผนงานในปีต่อไป พร้อมทั้งเลือกตั้งกรรมการที่หมดวาระ และผู้ตรวจสอบบัญชี ไม่ว่าสมาชิกจะถือหุ้นของสหกรณ์มากน้อยแค่ไหน ก็มีสิทธิ์ออกเสียงในที่ประชุมใหญ่ได้ ๑ เสียงเท่ากันหมด ต่างกับธุรกิจอย่างอื่นที่สามารถออกเสียงได้ตามมูลค่าหุ้นที่ตนเองถือ ใครมีหุ้นมาก เกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าเป็นเจ้าของธุรกิจ เพราะโหวดชนะทุกครั้ง
การประชุมใหญ่นี้ สมาชิกสหกรณ์ทุกคน ในฐานะเจ้าของสหกรณ์ ต้องมาพิจารณาลงมติตามวาระการประชุม และออกเสียงเลือกกรรมการ สำหรับในสหกรณ์ออมทรัพย์บางแห่งที่ผมเคยมีประสบการณ์นั้น สมาชิกไม่สนใจวาระต่างๆในการประชุมใหญ่ ไม่สนใจเรื่องรายได้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น มาเข้าประชุมเพราะถูกเกณฑ์มาเลือกกรรมการ นอกจากนั้น หลายๆสหกรณ์มีสมาชิกกระจายอยู่ทั่วประเทศ ไม่สามารถมาเข้าประชุมใหญ่ได้ด้วยตนเอง จึงได้มีระบบผู้แทนสมาชิก ขึ้น โดยให้สมาชิกที่อยู่ในสำนักงานทุกแห่งรวมทั้ง ตามต่างจังหวัด เลือกผู้แทนสมาชิกมาเข้าประชุมใหญ่ เพื่อกระจายความเห็นและการพิจารณาผลตามวาระต่างๆได้กว้างขวางขึ้น ทั้งนี้ สมาชิกสหกรณ์ทุกคนยังสามารถเข้าประชุมใหญ่และเสนอความเห็นได้ เพียงแต่การออกเสียง ต้องให้ผู้แทนสมาชิกเป็นผู้ออกเสียงเท่านั้น หลักการสหกรณ์นี้ ถือเป็นหลักประชาธิปไตยที่ประชาชนสามารถยึดเป็นแม่แบบในการปกครองประเทศได้ ผู้แทนสมาชิก ก็เหมือนกับผู้แทนราษฎรที่เข้าไปนั่งในสภา ทั้งนี้ ผู้แทน ต้องเสนอความเห็น และโหวดเสียง ตามมติของสมาชิก ที่ตนเองเป็นผู้แทน ซึ่งอาจจะมีการโหวดเสียงในพรรคก่อนก็ได้
ความจริง ผมไม่ได้เชี่ยวชาญด้านสหกรณ์มากนัก แม้เคยเป็นกรรมการ และประธานสหกรณ์ออมทรัพย์หลายสมัย และที่จะเล่าต่อไปนี้คือความประทับใจที่ได้เป็นอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในปีงบประมาณ ๒๕๔๕ อยู่ ๑ ปี จึงมีความเห็นเรื่องสหกรณ์ตามที่เขียนมานี้ ในปี ๒๕๔๕ นั้น ถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่มีค่าสูงของผม ที่ได้พบผู้ร่วมงาน และร่วมกิจกรรมกัน เราพากันสนุกสนานในการทำงานและนำพาสหกรณ์ ให้ก้าวหน้า สามัคคี และมีศักดิ์ศรี ผมมีพี่ๆน้องๆ และเพื่อนๆสนิทเพิ่มขึ้น อย่างน้อย ๖ พันกว่าคนในปีนั้น
ภาพที่ประทับใจไม่เคยลืมมีอยู่ ๒ ตอน ตอนแรกคือ เมื่อทราบว่าจะไปเป็นอธิบดี ก่อนที่จะไปทำงานที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงกับผู้บริหารกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่เชียงใหม่ ผมไปคนเดียว ใจรู้สึกหวั่นๆ เป็นครั้งแรกที่ออกสู่่สังคมภายนอก หลังจากอยู่กรมส่งเสริมการเกษตรมาตั้งแต่เริ่มทำงาน แต่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น จนความรู้สึกนั้นหายไป และตอนที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๔ผมนั่งรถจากบ้านไปทำงานที่กรมส่งเสริมสหกรณ์วันแรก อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครจากที่ทำงานเดิม เพราะตั้งใจไปฝากเนื้อฝากตัวกับพี่ๆน้องๆ และอยู่ร่วมกับเขา เมื่อถึงกรมฯในเช้าวันนั้น มีความรู้สึกภูมิใจ ที่ทุกคนมาต้อนรับอย่างอบอุ่นมาก และมั่นใจว่า ผมจะต้องทำทุกๆอย่างที่นี่ได้ด้วยดี
พวกเราตั้ง ปี ๒๕๔๕ เป็นปีรณรงค์สหกรณ์ ภายใต้การนำ ของท่านรัฐมนตรีช่วยฯ ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ (ซึ่งดูแลงานสหกรณ์) และท่านปลัดกระทรวง ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รวมถึงท่านรองปลัดฯ สุทธิพร จีรพันธ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กราบทูลเชิญ สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ เป็นองค์ประธานในพิธีเปิด ซึ่งเราจัดงานกันที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต ในงานนี้ เราให้สันนิบาตสหกรณ์ ซึ่งเป็นตัวแทนของสหกรณ์ทั้งประเทศเป็นแม่งาน ซึ่งประสบความสำเร็จไปด้วยดี ทั้งนี้ เราขอให้ชุมนุมสหกรณ์ และสหกรณ์ในประเทศไทยทุกสหกรณ์ ได้มีกิจกรรมเร่งรัดทำความรู้ ความเข้าใจ และพัฒนาสหกรณ์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นตลอดในปีนั้น
ในขณะที่ผมเป็นอธิบดี อยู่ปีนั้น ทางกระทรวงได้จัดการแข่งขันกีฬาภายในของกระทรวงประจำปี และในการแข่งขันแต่ละปี ได้มีการประกวดขบวนพาเหรด และประกวดกองเชียร์ ซึ่งที่ผ่านๆมา กรมต่างๆก็ผลัดกันคว้ารางวัลชนะเลิศ แต่ในปี นั้น กรมส่งเสริมสหกรณ์พร้อมใจสามัคคีกัน จนชนะเลิศทั้ง ขบวนพาเหรด และกองเชียร์ ได้รับรางวัลทั้ง ๒ ประเภทแบบกินขาด ซึ่งไม่เคยปรากฎมาก่อน ทำให้ผมดีใจมาก ทั้งนี้ พี่ๆน้องๆกรมส่งเสริมสหกรณ์ก็พากันไปร่วมกิจกรรมนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งในช่วงสุดท้ายของกีฬา ได้มีการแข่งขันฟุตบอลผู้บริหาร ผมเลยขอลงแข่งด้วย ก็อยากให้เห็นว่าผมก็เป็นตัวแทนของกรมส่งเสริมสหกรณ์อีกคนหนึ่ง และหลังการแข่งขัน ในงานเลี้ยง น้องๆที่ได้เหรียญรางวัล ได้เอาเหรียญรางวัลมามอบให้ผม ที่โต๊ะอาหาร น้องๆคงไม่ทราบในใจของผมว่าผมมีความรู้สึกยังไง ที่มีวันนี้ และมีโอกาสเป็นพี่ของเขา บอกสั้นๆว่าสุดๆในชีวิตของผม ทำให้ผมหวนคิดไปถึงสมัยที่ผมเป็นผู้อำนวยการกองส่งเสริมพืชไร่นาของกรมส่งเสริมการเกษตร(ปัจจุบันกองนี้ไม่มีแล้ว) ในสมัยนั้น มีการแข่งขันฟุตบอลกันระหว่างกอง และกองทีผมทำงานอยู่นั้น มีนักฟุตบอลเก่งๆอยู่คนเดียว นอกนั้นเล่นไม่ค่อยเป็น เทียบตัวบุคคลแล้ว สู้ไม่ได้ แต่พวกเขาผนึกกำลังกันเต็มที่ จนทีมแน่น ได้รางวัลชนะเลิศ ทั้งๆที่ ตอนต้นๆ นึกว่าจะไม่ไหวซะแล้ว ดีใจสุดๆครับ
ความจำสนุกๆขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้น มี ๒ เหตุการณ์ เหตุการณ์แรก ที่ลานจัดนิทรรศการของกรมฯ ที่งานเกษตรแห่งชาติ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นแม่งาน สมเด็จพระเทพฯ เสด็จเปิดงาน และทรงเดินเยี่ยมชมนิทรรศการต่างๆ ก็ถกเถียงกันจนแน่ใจว่าพระองค์คงเสด็จมาไม่ถึงลานนิทรรศการของเรา ก็เลยไม่ได้เตรียมตัว แต่แล้ว พระองค์เสด็จมา น้องเจ้าหน้าที่ให้ผมถวายกระเช้าผลไม้ ผมก็รับกระเช้าไปถวาย แต่ภายใต้กระเช้าเป็นพาน ซึ่งไม่เห็น รับแต่กระเช้า พานเลยตกไปบนพื้นถนนกลิ้งเสียงดังโคล้งเคล้ง ทุกคนที่ตามเสด็จเห็นกันหมด ทูลกระหม่อมไม่ถือสา ทรงนิ่งเฉย แต่ผมอายในความผิดตัวเองครั้งนี้
เหตุการณ์ที่ ๒ คือการตักบาตรทำบุญที่บริเวณด้านหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตั้งโต๊ะเรียงๆกัน เพื่อให้แต่ละหน่วยงาน (กรมต่างๆ) เอาปัจจัยอาหารมาตั้งที่โต๊ะเพื่อถวายพระ พวกเรา กรมส่งเสริมสหกรณ์ก็มายืนคอย คิดว่าคงจะมีเจ้าหน้าที่ขนปัจจัยอาหารมาให้ แต่จนกระทั่งขบวนแถวพระสงฆ์เดินมาถึงแล้ว กรมเรายังไม่มีปัจจัยอาหารมาทำบุญ จำได้ว่าโต๊ะข้างๆได้แบ่งอาหารมาให้ สรุปแล้ววันนั้น ไม่มีอาหารมาให้เราใส่บาตรกัน
ผมมีวาสนาอยู่สหกรณ์ได้เพียงปีเดียว ก็ถูกย้ายกลับเข้ากระทรวงฯ ซึ่งเป็นธรรมดาของการทำงาน คงมีความสามารถจำกัด แต่ปีที่ผมอยู่นั้น น้องๆและเพื่อนร่วมงานทิ้งความประทับใจ ความรักไว้ให้กับผม จนปัจจุบัน ก็ลืมไม่ได้ ความจริงแล้ว ในปีนั้น กรมส่งเสริมสหกรณ์ มี พี่บู๊ ทำหน้าที่เป็นอธิบดี ผมขอให้ทุกๆคน เรียกผมว่า บู๊ หรือ พี่บู๊ และเรียกกันมาจนถึงปัจจุบัน แต่บางคนเปลี่ยนเป็นคุณปู่บู๊ ไปแล้ว อยากให้ทุกๆคนในกรมส่งเสริมสหกรณ์ และวงการสหกรณ์ทุกๆวงการทราบว่า แม้จะเพียงปีเดียว แต่ผมรักและคิดถึงพวกเขามากๆครับ
ทุกครั้งที่เห็นเครื่องหมายเกลียวเชือกของสหกรณ์ที่รถรับจ้างในต่างจังหวัด ผมคิดถึง พี่ๆเพื่อนๆ น้องๆที่เคยอยู่ด้วยกัน จำได้ทุกอย่าง ไม่เคยลืม
บู๊ คนเคยหนุ่ม
เชียงใหม่ ๑๔ พย. ๖๕