INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ซีเรีย​-ปาเลสไตน์​ : จากแผ่นดินโบราณสู่สัญญาณ​แห่งวันสิ้นโลก​ (17)

ซีเรีย​-ปาเลสไตน์​ : จากแผ่นดินโบราณสู่สัญญาณ​แห่งวันสิ้นโลก​ (17)

โดย​ อดุลย์​ มานะจิตต์

เกี่ยวกับเรื่องม้า และทำให้ต้องพลาดการละหมาด มีเหตุผล สองสามประการถึงเรื่องนี้

 

ประการแรก อิบนิ บาบะวัย กล่าวไว้ในหนังสือ มันลาฮ์ ยะฮ์ซะรุลฟะกีย์ ตามสายรายงานที่ถูกต้องของผู้เล่าเรื่องซึ่งอ้าง ถึงจาก ซุรอเราะฮ์ และพัดล์ อิบนิ ยัซซาร ว่าทั้งสองไปพบกับ อิมาม

 

มุฮัมมัด อัลบากิรและสอบถามถึงการอรรถาธิบายของอายะห์นี้ “แน่แท้การละหมาด เป็นเวลาหนึ่งที่ถูกกำหนดไว้สำหรับบรรดา

 

ผู้ศรัทธา” (4: 103)

 

อิมามกล่าวว่า “มันคูต” หมายถึงภาคบังคับและวาญิบ แต่นี่ ไม่ได้หมายความว่า เป็นเวลาต่างๆของการละหมาดที่ต้องทิ้งไป อย่างช่วยไม่ได้ หรือเวลาที่ดีต้องผ่านพ้นไปและจึงทำการละหมาด หากเป็นเช่นนี้ มันจะต้องเสียไป ถ้าหากมันเป็นเช่นนั้นจริง ดังนั้น สุลัยมาน อิบนิ ดาวูด ก็จะต้องพินาศ เพราะการละหมาดของเขา ได้ถูกละทิ้งไป(ในเวงลาของมัน) (หากมันเป็นเช่นนั้น) หากว่าผู้หนึ่ง หลงลืมและเมื่อเขาจำมันได้ เขาก็สามารถกระทำมันได้ ดังนั้น อิบนิ บาบะวัยฮ์ หลังจากรายงานวจนะนี้แล้ว จึงได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า พวกซุนนีที่ไม่รู้เรื่องกล่าวไว้ว่า มีอยู่วันหนึ่งที่สุลัยมานกำลังวุ่นอยู่ กับการตรวจสอบเหล่าม้าของเขา ดวงอาทิตย์จึงลับขอบฟ้า ดังนั้น เขาจึงมีคำสั่งให้นำฝูงม้านั้นมาต่อหน้าเขา จากนั้นเขาจึงตัดคอและขา ของพวกมัน และกล่าวว่าม้าเหล่านี้เป็นเหตุที่ให้ฉันต้องลืมอัลลอฮ์ ตั้งที่พวกเขากล่าวไว้นั้น มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะตัวลืมอัลลอมันไม่ใช่ความผิดของฝูงม้าเหล่านั้น เพราะพวกมันทั้งหมดไม่ได้เข้า มาหา สุลัยมาน พวกมันเป็นเพียงสัตว์ และเหตุผลที่เป็นไปได้ มีการ เล่าขานไว้จากอิมาม อัศ ศอดิก ว่า วันหนึ่งสุลัยมานมีธุระง่วนอยู่กับ การตรวจสอบฝูงม้าและดวงอาทิตย์จึงลับขอบฟ้า ดังนั้นท่านจึงขอให้ บรรดาทวยเทพนำเอาดวงอาทิตย์กลับคืนมา เพื่อว่าท่านจะได้ละหมาด ตรงตามเวลา ดังนั้นบรรดาทวยเทพจงนำดวงอาทิตย์ กลับคืนมา​ สุลัยมานจึงลูบศีรษะ และคางและคอ และในหลักชะรีอะห์ของท่าน​ มันเป็นเช่นนั้น จากนั้นสุลัยมานจึงลุกขึ้นทำละหมาดของท่าน​ เมื่อท่านทำละหมาดเสร็จ ดวงอาทิตย์จึงตก และบรรดาดวงดาวจึง​ปรากฏ สิ่งนี้ คือสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงกล่าวไว้ในพระคำของพระองค์ดังว่า​ และเขาได้มะซะฮ์(ลูบ)ที่คางและคอ

 

เหตุผลที่สองก็คือว่า ในทั้งสองกรณี มันควรถูกถือเอาว่า เป็นเรื่องของม้า หมายถึงว่าเอาฝูงม้าออกไปจนกระทั่งมันหายลับไป จากสายตาของสุลัยมาน จากนั้นท่านจึงออกคำสั่ง จากนั้นพวกมันจึง เข้ามาหาจึงเอามือของท่านลูบไปที่ขนคอและเท้าของพวกมัน เพื่อว่าท่านจะได้แสดงความเป็นมิตรกับพวกมัน ซึ่งถือเป็นการญิฮาด ต่อพระพักตร์ของอัลลอฮ์ และเป็นสิ่งที่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญ และจึงมีการกล่าวไว้ดังว่า “ฉันได้แสดงความรักต่อม้าเหล่านี้ เพราะ พวกมันอยู่กับฉันในการรำลึกถึงอัลลอฮ์ หรือเนื่องจากเหตุผลที่ว่า ฉันเป็นมิตรกับพวกมันในการญิฮาด และมิใช่เพื่อทำให้วิญญาณหรือจิตใจของฉันพึงพอใจ”

 

เหตุผลที่สาม ก็คือว่าดวงอาทิตย์กลับคืนมาและในกรณีที่ สองที่มีต่อม้า หมายถึงท่านได้ตรวจสอบฝูงม้า เลยไปจนดวงอาทิตย์ ลับขอบฟ้า และด้วยเหตุผลประการนี้ ที่ท่านมีคำสั่งให้นำฝูงม้า กลับมา และตัดคอและขาของพวกมัน มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการ บริจาคเนื้อของพวกมันไปในทางของอัลลอฮ์ และภายหลังจากนั้น การรำลึกถึงอัลลอฮ์ จะได้ไม่มีสิ่งใดที่จะมาเป็นอุปสรรคอีกต่อไป หรือไม่ก็อาจเป็นดังว่า พวกมันเป็นทรัพย์สินที่ใกล้ชิดสุลัยมานมากที่สุด (ในทัศนะของความรัก) และการทำซะดาเกาะฮ์ ในสิ่งที่รักมากที่สุดถือเป็นตำแหน่งที่สูงส่งประการหนึ่ง ดังนั้นท่านจงเชือดพวกมันและ แจกจ่ายเนื้อของพวกมันไป และสิ่งนี้เป็น ดัรก์ อัลเอาลา (ยกเลิกใน สิ่งที่ชอบมากกว่า) ซึ่งสุลัยมานได้กระทำมัน หรือไม่ก็อาจจะเป็น ไปได้ว่า ท่านได้นวดเฟ้นให้กับฝูงม้าและไม่ได้ฆ่าพวกมัน แต่ได้ปล่อยพวกมันไปในทางของอัลลอฮ์ เพื่อว่าผู้ใดที่ต้องการพวกมัน ก็เอาพวกมันไปได้

 

และอีกเรื่องเกี่ยวกับการตรวจสอบของสุลัยมานและความ โกลาหลต่างๆและก้อนเนื้อที่พบบนบัลลังก์ของท่าน ซึ่งมีคำอธิบาย ด้วยเหตุผลสองสามประการ

 

เหตุผลประการแรกก็คือว่า วันหนึ่งสุลัยมานกำลังประทับ อยู่บนบัลลังก์ของท่านและเอ่ยขึ้นว่า คืนนี้ฉันจะพบกับสตรีจำนวน เจ็ดสิบคน และแต่ละคนจะให้กำเนิดทารกเพศชายหนึ่งคน ผู้ซึ่งเขาจะ ต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ แต่ท่านมิได้กล่าว อินชาอัลลอฮ์ และเนื่อง จากเหตุนี้ จึงมีสตรีเพียงคนเดียวที่ตั้งครรภ์ นอกนั้นไม่มีผู้ใดให้กำเนิด ทารกเพศชาย และทารกชายผู้นี้มีรูปร่างผิดปกติ บุตรชายผู้นี้จึงถูก นำมาวางไว้บนบัลลังก์ของท่าน และในขณะเฉพาะพิเศษนั้น สุลัยมาน คิดคำนึง และมันก็เป็นดังนั้น เพราะท่านได้ทำ ตัรก์ อัลเอาลา และมิได้ กล่าว อินชาอัลลอฮ์ และท่านจึงเข้าเฝ้าอัลลอฮ์และขอลุแก่โทษและ แสวงหาการอภัยโทษ

 

เหตุผลที่สองก็คือว่า เมื่อทารกชายคนหนึ่งของสุลัยมาน ถือกำเนิด บรรดาบินและชัยตอนจึงตัดสินใจว่าถ้าหากเขามีชีวิต อยู่รอด เขาก็จะให้พวกมันทำงานหนักเหมือนกับสุลัยมาน ดังนั้น สุลัยมานจึงรู้สึกตระหนกว่า จะมีบางคนอาจจะทำทารุณกรรมกับ เด็กน้อยผู้นี้ ดังนั้นท่านจึงละทิ้งเขาไว้ในสถานที่ที่เขาถือกำเนิด และจึงมีการฝึกปรือให้ แต่มาวันหนึ่ง ท่านพบเขาเสียชีวิตอยู่บน บัลลังก์ของท่าน และท่านจึงกล่าวตำหนิขึ้นว่า มันไม่มีประโยชน์ อันใดที่จะหนีออกไปจากชะตากรรม และท่านก็ต้องเผชิญกับมัน ดังนั้นท่านจึงขอลุแก่โทษ และรู้สึกละอายว่าทำไมท่านจึงไม่เชื่อใน อัลลอฮ์ และกลับไปหวั่นกลัวจากบรรดาชัยฏอน

 

ประการที่สาม สุลัยมานเกิดมีอาการป่วยหนัก และท่านจึง ตกลงมาจากบัลลังก์ประหนึ่งว่าไม่มีวิญญาณใดๆอยู่ในร่างของท่าน​ ดังนั้นท่านจึงวิงวอนและขอร้องให้อัลลอฮ์รักษาท่าน ด้วยกับเหตุผล เหล่านั้นที่อุลามะฮ์ ชีอะฮ์ และบุคคลอื่นๆ ได้เล่าเรื่องนี้ไว้ เมื่อทำการ อรรถาธิบายอายะฮ์นี้ และสิ่งใดที่ อะลี อิบนิ อิบรอฮีม อธิบายไว้ จึงไม่เป็นที่ยอมรับ และวจนะสองบทแรกซึ่ง อิบนิ บาบะวัยฮ์ และเชค อัฏดูซี ได้เล่าเรื่องไว้ ก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการหักหลังของซาตาน จึง เป็นไปได้ว่าการตรวจสอบเช่นนั้น อัลลอฮ์ทรงสัญญาประชาชาติของ สุลัยมานและตัวของท่านเอง ซึ่งสุลัยมานถูกลงโทษจากการกระทำ ของท่านเอง และด้วยเหตุนี้การเป็นกษัตริย์ของท่านจึงถูกนำ เอาออกไป และท่านจึงต้องหายตัวไปจากประชาชาติของท่าน และอีกครั้งหนึ่งท่านจึงกลับมาด้วยกับพระบัญชาของอัลลอฮ์ ดังที่ได้ กล่าวถึงในตอนต้นแล้วว่า บรรดาศาสดาหลายท่านได้หายตัวไปจาก ประชาชาติของพวกท่าน และอีกครั้งหนึ่งท่านจึงกลับมา แหวน จึงมิใช่สาเหตุของการเป็นกษัตริย์ของท่าน นอกเสียจากอัลลอฮ์ ยอมไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ เพราะพระองค์ทรงรอบรู้ถึงเรื่องราวของมัน

 

3.4 สุลัยมานผ่านทุ่งมด และความอัศจรรย์ต่างๆของสุลัยมาน ที่เกี่ยวข้องกับบรรดาสรรพสัตว์และนก

 

อัลลอฮ์ตรัสไว้ในอัลกุรอาน “และไพร่พลของเขาซึ่ง ประกอบด้วยญินและมนุษย์และนก ต่างเข้ามารวมตัวอยู่กับเขา และพวกเขาต่างรวมกันเข้าเป็นกลุ่มๆ จนกระทั่งพวกเขามายังทุ่งมด มดตัวหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “โอ้มดเอ๊ย เจ้าจงกลับเข้าไปยังรังของพวกเจ้า สุลัยมานและไพร่พลของเขาอาจบดขยี้พวกเจ้าโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ดังนั้นสุลัยมานจึงยิ้มสรวล โดยรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของมด ตัวเมียตัวนั้น และจึงกล่าวขึ้นว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ได้ทรงโปรดประทานให้กับข้าพระองค์ เพื่อว่าบ้าพระองค์จะได้กตัญญู ต่อความโปรดปรานของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานให้กับข้าฯ​ และข้าฯ จะได้ประกอบกุศลกรรม ดังที่พระองค์ทรงพึงพอพระทัย กับมัน และทรงทำให้ข้าฯ เข้าไปด้วยกับความเมตตาของพระองค์ สู่การเป็นข้าทาสของพระองค์ที่เป็นคนดี” (27: 17-19)

 

มีบางคนกล่าวว่า ทุ่งมดนี้ตั้งอยู่ ณ เมืองฏออีฟ และบางคน กล่าวว่า อยู่ ณ นครดามัสกัส

 

อะลี บิน อิบรอฮีม เล่าเรื่องไว้ เมื่อลมยกเอาบัลลังก์ของ สุลัยมานไปยังทุ่งมด ซึ่งเป็นสถานที่ๆเงินและทองคำปรากฏออกมา ดังที่ อิมาม อัศ ศอดิกกล่าวว่า “มีหุบเขาของอัลลอฮ์อยู่แห่งหนึ่งทีมีเงิน และทองคำเติบโตขึ้นมา และพระองค์ทรงปกป้องไว้ด้วยกับสัตว์ ที่อ่อนแอที่สุดเช่นมด และหากมีกองทัพที่มีความเกรียงไกรต้องการ จะเข้าไป มันก็ไม่อาจจะเข้าไปได้”

 

ตามสายรายที่เชื่อถือได้ที่เล่าสืบกันมาว่า อิบนิ บาบะวัยย์ เล่ามาจากอิมาม อัศศอดิก ว่า เมื่อมดตัวหนึ่งสนทนากับมดตัวอื่นๆ ลมจะพาการสนทนาของพวกมันมายังสุลัยมาน ในขณะที่ท่านกำลัง บินอยู่บนอากาศ สุลัยมานจึงขอให้ลมที่พัดแรงหยุดพัดและจึงเรียก มดตัวนั้นมา มันจึงมาหาสุลัยมาน ท่านจึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่ รู้ดอกหรือว่า ข้านั้นเป็นศาสนทูตของพระเจ้า และข้านั้นไม่กดขี่ผู้ใด

 

มดจึงกล่าวตอบว่า “ใช่ ฉันรู้” สุลัยมานจึงกล่าวว่า ” ดังนั้น ทำไมเจ้าจึงทำให้ผู้อื่นต้องมาหวาดกลัวข้า และให้พวกเขาเข้าไป อยู่ในโพรง” มดกล่าวว่า ” ฉันเกรงว่าหากพวกเขาได้เห็นถึงความ โอฬารตระการตาของท่าน พวกเขาก็จะรู้สึกหลงไหลถึงความสวยงาม ของโลกนี้และจะหันห่างออกไปจากอัลลอฮ์” มดจึงถามสุลัยมานว่า “ระหว่างท่านกับดาวูด บิดาของท่านนั้น ใครมีเกียรติมากกว่ากัน” สุลัยมานกล่าวตอบว่า “บิดาของฉันมีความสูงส่งและมีเกียรติมาก กว่าตัวของฉัน” มดจึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นทำไมชื่อของท่านจึงมีตัว อักษรมากกว่าชื่อบิดาของท่านหนึ่งอักษรเล่า” สุลัยมานกล่าวตอบว่า “ฉันไม่รู้” มดจึงกล่าวว่า ” ทั้งนี้เพราะบิดาของท่านกระทำ ตัรค์

 

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *