INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (40)

ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ (40)

ผู้เขียน อ.อดุลย์ มานะจิตต์

 

เยี่ยงนี้มาก่อน เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์โลกช่วงนี้มิใช่เป็นเรื่องน่าตื่น ตระหนกดอกหรือ

 

เรื่องนี้มีปรากฏยู่ในหนังสือ ตัฟซีรุ้ล วุซูล อิลา ญามิอิล อุซูล เล่ม 2 หน้า 34 ซึ่งกล่าวถึงวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัดศาสนทูตของพระเจ้าเล่มง ความว่า

 

มุฮัมมัดศาสนทูตของพระเจ้ากล่าวว่า

 

“ศาสนานี้ยังคงดำรงอยู่อย่างมีเกียรติและเข้มแข็ง จนกระทั่งถึง 12 คอลีฟะฮ์ ทุกคนมาจากกุเรช”

 

มีผู้ถามขึ้นว่า “ต่อจากนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก”

 

ท่านศาสนทูตจึงกล่าวตอบว่า

 

“ต่อจากนั้นจะมีเหตุการณ์วุ่นวายอันน่าตื่นเต้น ตระหนก สับสน”

 

ท่านกุเรชเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งของชาวอาหรับ สืบตระกูลโดยตรง มาจากท่านศาสดาอิสมาอีล หรือรู้จักในนามทางการก็คือ ฟิห์ริ อิบนิ มาลิก ซึ่งเมื่อนับลำดับของผู้สืบตระกูลจากท่านศาสดามุฮัมมัดศาสนทูตของพระ เจ้าจนถึงท่านกุเรช มีจำนวน 12 ท่าน และเมื่อนับต่อจากท่านศาสดาไป จนถึงอิมามมะฮ์ดี มีจำนวน 12 ท่านเช่นกัน ดังได้กล่าวถึงแล้วในบทที่ผ่าน มา นี้คือสัญญาณหนึ่งของระบบอันอัศจรรย์ของการสืบสายตระกูลแห่ง การเป็นคอลีฟะฮ์ของพระเจ้าบนหน้าแผ่นดินอย่างแท้จริง ซึ่งสืบทอดสาย ธารมาจากอาดัม มนุษย์คนแรกของโลก ดังได้กล่าวถึงแล้วเช่นกัน

 

แต่นับเป็นความอับโชคของประชาชาติของบรรดาต่างๆ ตามยุคสมัย ต่างๆ ที่ผ่านมา ที่พญามารคอยจ้องหาโอกาสสร้างความตื่นตระหนก ความ โกลาหลและสับสนให้เกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดมา ด้วยกับการอุปโลกน์ ระบบคอลีฟะฮ์ที่จอมปลอม เอาเข้ามาผสมปนเปกับระบบคอลีฟะฮ์ที่แท้ จริงของพระเจ้า ซึ่งพระองค์และศาสนทูตของพระองค์เท่านั้นที่เป็นผู้ให้การรับรอง

 

อะมาวียะฮ์ทุกคนอ้างตนว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของท่านศาสดาโดยชอบ อะรม และพวกเขาล้วนสืบเชื้อสายมาจากชาวกุเรซ แต่เมื่อได้ศึกษาประวัติ การตร์อย่างละเอียดแล้วพบว่า อุมัยยะฮ์หรืออิบนิ อับดุชซัมส์ ผู้เป็นบิดา ศาสตร์อและอาสนั้น โดยแท้จริงแล้วเป็นลูกเลี้ยงของอับดุชชัมส์ แต่ผู้คน ต่างพากันเรียกว่าลูกของอับดุชซัมส์ เขาเป็นเด็กชาวคริสเตียนโรมันมาก่อน ที่อับดุชซัมส์จะรับมาเป็นลูกเลี้ยง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าคอลีฟะฮ์แห่งวงศ์อะมา วียะฮ์ทั้ง 14 คน จึงไม่ได้สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากอับดุชซัมส์เลยแม้แต่ เพียงคนเดียว ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขามิได้เป็นผู้สืบเชื้อสายทางบิดามา จากชาวกุเรชแต่ประการใด ส่วนบรรดาคอลีฟะฮ์แห่งวงศ์อับบาสิยะฮ์นั้น ต่างก็อ้างตนเองว่าเป็นผู้ปกครองที่ชอบธรรมของวงศ์บนีฮาชิม ผู้สืบเชื้อสาย มาจากท่านอับบาสลุงของท่านศาสดามุฮัมมัด แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในหน้า ประวัติศาสตร์กลับพบว่า ท่านอับบาส ฟัฏ อิบนิ อับบาส และอับดุลลอฮ์ อิบนิ อับบาสผู้เป็นญาติสนิทและสาวกที่เที่ยงธรรมของท่านศาสดามุฮัมมัด ได้ยืนหยัดอยู่เคียงข้างท่านอะลี อย่างมั่นคงจนตลอดชีวิตของท่านเหล่านี้ ฉะนั้นมันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่บรรดาคอลีฟะฮ์แห่งวงศ์อับบาสิยะฮ์ ผู้เป็นลูกหลานโดยตรงของท่านอับดุลลอฮ์ อิบนิ อับบาส กลับตั้งตนขึ้นเป็น ศัตรูกับบรรดาอิมามมะอ์ซูมีน นับตั้งแต่อิมาม ญะอ์ฟัร อัซซอดิก อิมาม ที่ 6 เป็นต้นมาจนถึงการล่มสลายของอาณาจักรไปในที่สุด โดยที่พวกเขา อ้างว่าพวกเขาเป็นคอลีฟะฮ์ที่ชอบธรรม หากมิใช่เพราะความกระหายใน อำนาจ !

 

ที่ได้นำเหตุและผลทั้งหมดมาเสนอข้างต้น ก็เพื่อที่จะแสดงให้เห็น ว่า วจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด ข้างต้นได้บังเกิดขึ้นสมจริงแล้วดังที่ว่า ถึงแม้อิมามทั้ง 12 ท่านจะถูกกระทำอยุติธรรมถูกกดขี่ ถูกปองร้ายเอาชีวิต แต่อิมามทุกท่านก็ได้อบรมสั่งสอนวิชาการอิสลามอันเที่ยงแท้ ตามความ รู้ที่อิมามอะลีได้รับสืบทอดมาจากท่านศาสดามุฮัมมัดโดยตรง จึงทำให้เกียรติยศและศักดิ์ศรีของอิสลามฉายแสงเรืองรองไปทั่วสารทิศ ดังเช่น ความรู้อัน กว้างขวางและลึกล้ำของท่านอิมามญะอ์ฟัร อัซ ซอดิก

 

ต่อมาภายหลังจากที่ท่านอิมามมะฮ์ดี อิมามที่ 12 ได้หายตัวไปใน ครั้งใหญ่ ความสับสนวุ่นวายก็ได้บังเกิดขึ้นกับโลกมุสลิมอย่างเห็นได้ชัด เช่นในเรื่องหลักศรัทธาในเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า ก็ถูกสั่นคลอนด้วยกับ แนวคิดในทางปรัชญาของกรีกและโรมัน เรื่องกฎกำหนดสภาวะของอัลลอฮ์ หรือกอฎอ-กอดัร ก็ถูกอธิบายกันอย่างเสรี จึงแตกออกเป็นความเชื่ออัน หลากหลายจนไม่อาจสามารถสาวกลับไปสู่ความเชื่อที่ถูกต้องดั่งเดิมที่ถูก สอนไว้โดยบรรดาอิมามได้ ส่วนชีวิตความเป็นอยู่ของมุสลิมโดยทั่วไปก็ ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของบรรดาผู้ปกครองที่หลงในอำนาจและดำเนินชีวิต อยู่อย่างฟุ่มเฟือยในปราสาทราชวัง ซึ่งไม่ต่างอะไรกันกับกษัตริย์ของพวก คริสเตียน เมื่อบรรดาคอลีฟะฮ์เหล่านี้ได้หันห่างออกจากคำสอนของอิสลาม คำสอนข จนถึงขีดสุดแล้ว พระองค์ก็ทรงทำลายล้างอาณาจักรของพวกเขาลงอย่าง ราบคาบ เช่น การล้มสลายของวงศ์อับบาสิยะฮ์โดยการรุกรานของพวก อนารยชนภายใต้การนำของฮูลากู ความหฤโหดของมันนั้นเกินกว่าที่จะ บรรยายถึงได้ จากนั้นก็เป็นการล่มสลายของอาณาจักรอะมาวียะฮ์ในสเปน ซึ่งมุสลิมถูกกษัตริย์คริสเตียนสังหารประหนึ่งผักปลา จากนั้นก็ติดตาม มาด้วยกับอาณาจักรอุสมานียะฮ์ ที่ต้องยอมสยบอยู่แทบเท้าของจักรพรรดิ คริสเตียนแห่งยุโรปยุคใหม่ฝังนิเซียในการบริ

 

เติร์ก ระบบคอลีฟะฮ์ที่จอมปลอมจึงถูกยกเลิกโดย เคมาล ปาชา อาตา และจนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีผู้ใดอีกเลยที่ประกาศตนเองเป็นคอลีฟะฮ์ ปกครองโลกอิสลาม

 

ดังนั้น นับตั้งแต่คอลีฟะฮ์ที่ 1 ได้ยึดอำนาจไปจากอิมามอะลี จน ถึงวาระแห่งการล่มสลายของคอลีฟะฮ์องค์สุดท้ายของอุสมานียะฮ์ ได้ผ่าน กาลเวลาอันยาวนานมาทั้งสิ้นประมาณ 1311 ปี (จันทรคติ) (1311 = 19 x69) เมื่อตำแหน่งคอลีฟะฮ์ที่จอมปลอมถูกสร้างขึ้นมาด้วยกับน้ำมือของ มนุษย์ที่ชุมนุมกันที่สะกีฟะฮ์ ตำแหน่งคอลีฟะฮ์นี้ก็ถูกทำลายลงด้วยน้ำ มนุษย์ที่ชุมปโดยพวกยังเติร์กที่ประชุมกันในรัฐสภาของตุรกี เพื่อถอดถอน สุลต่านอับดุลฮะมีดที่ 2 ออกจากตำแหน่ง 26 เมษายน 1909 ใน ขณะที่แนวทางแห่งอิมามิยะฮ์นั้นถูกสถาปนาขึ้นจากพระบัญชาของอัลลอฮ์ และถูกสนองตอบโดยท่านศาสดามุฮัมมัด ณ ฆอดิรคุม จึงทำให้ระบบ อิมามัตยังคงยั่งยืนสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ และจะต้องมีต่อไปจนถึงวาระ แห่งการมาของ อิมามุลอัศซร์ (อิมามแห่งกาลเวลา)

 

ซูเราะฮ์อัล ฮากเกาะฮ์ บทที่ 69 กาลเวลาที่ต้องปรากฏ (อัล กุรอาน 69:1) อะไรคือกาลเวลาที่ต้องปรากฏ (อัล กุรอาน 69:2) และอะไรที่ทำให้เจ้ารู้ว่าอะไรคือกาลเวลาที่ต้องปรากฏ (อัล กุรอาน 69:3)

 

ฉะนั้น เมื่อนำลำดับบทและโองการทั้งหมดข้างต้นมารวมกัน ผลลัพธ์ ก็คือ (69:1) + (69:2) + (69:3) = 213 ซึ่งเป็นตัวเลขที่จะถูกนำมาแสดงใน กาลเวลาที่จะต้องมาปรากฏ ว่าใครคือผู้ที่เป็น 70 จำพวกของพวกยิว และ ใครคือ 71 จำพวกของพวกคริสเตียน และใครคือ 72 จำพวกของพวก มุสลิม ที่จะต้องตกเป็นชาวนรก เพราะผลรวมของ 70 + 71 + 72 = 213

 

นับเป็นที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งอีกประการหนึ่งก็คือ บทที่ 69 นี้ มีลำดับการประทานลงมาเป็นลำดับที่ 78 ซึ่งก็คือผลบวกของเลข 1 จน ถึงเลข 12 นั้นคือ (1 + 2 + 3 …+ 10 + 11 + 12) = 78 ซึ่งก็ตรงกันกับ ลำดับซูเราะฮ์อัน นะบะฮ์ อันหมายถึง ข่าวสำคัญ” ที่ผู้คนมีกรณีพิพาทกัน ในเรื่องนี้ ซึ่งก็หมายถึงเรื่องของการแต่งตั้งอิมามหรือระบบ 12 อิมามที่เป็น ชาวกุเรชนั่นเอง ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งสองบทนี้ก็ได้แฝงเร้นเลข 12 เอา ไว้อย่างลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่งดังนี้คือ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *