วลาดิเมียร์ เลนิน : เทวดาหรือซาตาน ตอนที่ 3

วลาดิเมียร์ เลนิน : เทวดาหรือซาตาน ตอนที่ 3
ทหารประชาธิปไตย
กำเนิดเลนิน แนวคิด และการปฏิบัติ
วลาดิเมียร์ เลนิน เป็นนามแฝงที่เรียกกันในหมู่ขบวนการปฏิวัติสังคมนิยมรัสเซีย ชื่อจริงคือ วลาดิเมียร์ อิลลิช อุลยานอฟ เป็นผู้นำนักปฏิวัติมาร์กซิส คนแรกของสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย (USSR) ที่สถาปนาเมื่อ ค.ศ 1922 เป็นหัวหน้าพรรคบอลเชวิค เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกและที่สำคัญเป็นเจ้าของแนวคิดลัทธิเลนินที่ประยุกตมาจากทฤษฎีของมาร์ก และได้รับความนิยมในหมู่นักปฏิวัติสังคมนิยมทั่วโลก เลนินได้รับการศึกษาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคาซานและเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก
ในช่วงที่เป็นหนุ่มนักศึกษาเลนินได้เข้าร่วมในกิจกรรมของการประท้วงทางการเมืองจนถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยคาซาน แต่ต่อมาได้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ในช่วงนั้นเลนินได้หมกมุ่นในการศึกษาแนวคิดของมาร์ก และได้รับอิทธิพลทางความคิดจากนักวิชาการทางด้านนี้หลายคนด้วยกัน
ในเซนต์ปีเตอร์เบิร์กเลนินได้เข้าร่วมขบวนการกับกลุ่มนิยมมาร์ก แต่ในที่สุดก็ถูกจับกุมและเนรเทศไปไซบีเรีย หลังจากถูกปล่อยตัวจากการเนรเทศ เลนินก็ลี้ภัยไปอยู่ที่ มิวนิค เยอรมัน เลนินได้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ขึ้น ชื่อ ISKRA เพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงกลุ่มมาร์กซีสในรัสเซียและยุโรป เมื่อเดินทางกลับรัสเซียเลนินก็ได้มีบทบาทเป็นผู้นำของขบวนการปฏิวัติที่ทำการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลของพระเจ้าซาร์
นักวิชาการร่วมสมัยมองเลนินอย่างไร
ในทัศนะของคริสเฮจเจส มองว่าเลนินมีทวิลักษณ์ในตัวเองกล่าวคือด้านหนึ่งเป็นผู้ที่ชาญฉลาดมากๆในการวางแผนการปฏิวัติสังคมนิยมในรัสเซีย แต่อีกด้านหนึ่งเลนินก็คือพระเจ้าซาร์ยุคใหม่หรือจอมเผด็จการนั้นเอง
อย่างไรก็ตามเลนินก็เป็นผู้นำที่ทรงพลัง และสามารถนำการปฏิวัติได้อย่างแข็งขันจนประสบความสำเร็จ และสามารถหยุดยั้งการจลาจลวุ่นวายอันเกิดจากการลุกฮือของประชาชนตามกระแสการปฏิวัติ แม้เลนินจะเคยกล่าวว่า “ตราบใดที่ยังมีรัฐตราบนั้นยังไม่มีเสรีภาพ เมื่อมีเสรีภาพก็จะไม่มีรัฐ” แต่เมื่อเลนินมีอำนาจก็เป็นเช่นเดียวกับทรอทสกี้ เขาต่างก็เป็นนักฉวยโอกาสเช่นการสัญญาว่าอำนาจทั้งหมดจะต้องอยู่ที่สหภาพ แต่เขาก็ไม่เคยปฏิบัติตามสัญญาเลย ในฐานะผู้นำเลนินได้ดำเนินการจับกุมคุมขังฝ่ายตรงข้ามหรือแม้กระทั้งประหาร แม้แต่ขบวนการที่ร่วมมือกันมาเช่น คณะกรรมการสหภาพที่อยู่ในข้อตกลงว่าจะให้มีอำนาจเป็นอิสระจากรัฐในการดูแลผู้ใช้แรงงาน เอาเข้าจริงเลนินก็รวบอำนาจหมด
นอกจากนี้ยังก่ออาชญากรรมในการใช้ตำรวจลับอุ้มฆ่าผู้ที่ต่อต้านอำนาจของตนเอง ยุบพรรคการเมืองอื่นๆและควบคุมสื่อสร้างระบบทุนนิยมโดยรัฐขึ้น ควบคุมกรรมกรโดยละเมิดข้อตกลงที่สัญญาว่าจะให้สิทธิในการดูแลกันเองอย่างเป็นอิสระ เลนินก็เปนเฉกเช่นเดียวกันกับแมกซิมิเลี่ยน โรแบสปิแอร์ผู้นำการปฏิวัติฝรั่งเศสที่คิดว่าตนเองเป็นนักอุดมคติ และสิ่งที่ทำก็เพื่อปกครองขบวนการปฏิวัติ
แต่สหายคนหนึ่งของเลนิน คือ แอลเจลลิกา บาลาบาโนว่าซึ่งยึดแนวเกอร์เต นักสังคมนิยมเยอรมันได้กล่าวว่า เลนินอาจมีความปรารถนาดี แต่สร้างสิ่งชั่วร้ายขึ้นมานั้นคือ ก่อให้เกิดจอมเผด็จการสตาลินที่สังหารโหดประชาชนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการเนรเทศนักโทษการเมืองไปไซบีเรียจนเสียชีวิตไปอีกจำนวนหนึ่ง
เมื่อครองอำนาจเลนินคือศัตรูสำคัญของระบอบสังคมนิยมประชาธิปไตยในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยตำรวจลับ CHEKA เพียงปีแรกหน่วยนี้ได้ประหารผู้คนเป็นจำนวน 6,000 คนแต่นักประวัติศาสตร์บางคนอ้างว่าตัวเลขดังกล่าว ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก นี่คือเลนินคนเดียวกับที่เคยกล่าวในเดือนพฤษจิกายน 1917ว่า เราจะไม่สร้างความน่าสะพึงกลัวให้เกิดขึ้นเหมือนการปฏิวัติฝรั่งเศษที่มีการสังหารคนนับหมื่นคนจนนักอนาธิปไตยอย่างบาคูนินยังออกมาเตือนว่า ระบบมาร์กซีสก็คือการเปลี่ยนระบบทุนนิยมจากภาคเอกชนมาเป็นทุนนิยมของรัฐ ที่ควบคุมจากส่วนกลาง แต่ระบบนี้อาจจะโหดเหี้ยมกว่าทุนนิยมเสียอีก ด้วยเหตุนี้โนมชอมสกี้ จึงประนามเลนินว่าเขาคือจอมเผด็จการ ที่แผงตัวมาจากฝ่ายขวาและเป็นผู้ต่อต้านการปฏิวัติ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เลนินเป็นผู้ฉลาดหลักแหลมที่ได้สร้างระบบคิดใหม่ในทางการเมืองในช่วงศตวรรษที่ 20 ที่ทำให้แนวความคิดเลนินนิยมแพร่กระจายไปในยุโรป เช่น สเปญ ไปถึงจีน คิวบา เวียตนาม และอาฟริกาใต้ ประชาชนผู้ถูกกดขี่มองการปฏิวัติของเลนินอย่างชื่นชม
ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ช่องว่างทางรายได้ที่ห่างออกไปทุกทีก่อให้เกิดความขัดแย้งและอาจนำไปสู่การปฏิวัติสังคมนิยมได้ทุกขณะแต่ในนัยนี้ก็ก่อให้เกิดแนวคิดของพวก เสรีนิยมใหม่และนำไปสู่การปกครองแบบรัฐบรรษัทในสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็ยังคงมีการกดขี่อยู่อย่างเดิมแต่เปลี่ยนรูปแบบไปเป็น “รัฐลึก” อย่างในสหรัฐอเมริกาซึ่งจอห์นดิวอี้ เคยกล่าวว่าตราบใดที่ปัจจัยการผลิตส่วนใหญ่เช่นทุนและที่ดินยังอยู่ในมือนายทุนก็เป็นการยากที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง และเมือใดก็ตามที่นายทุนถูกคุกคาม ก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดมีการสนับสนุนให้เกิดระบอบเผด็จการขึ้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนายทุน ซึ่งขบวนการแบบนี้ก็จะได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นกลางที่กลัวการเปลี่ยนแปลง แต่การสถาปนาระบอบ เผด็จการขึ้น ยิ่งทำให้เกิดเงื่อนใขการปฏิวัติของประชาชนมากขึ้นไม่ว่าจะพยายามใช้การโฆษณาชวนเชื่ออย่างไรก็ตาม ก็หนีความจริงของการเอารัดเอาเปรียบไปไม่พ้น
ถึงอย่างนั้นจะหลีกเลี่ยงการเป็นทุนนิยมที่บริหารโดยรัฐและระบบราชการอย่างไร จะหลีกเลี่ยงการจัดการจากศูนย์กลางอย่างไรบาคูนินได้เสนอให้จัดองค์การที่บริหารโดยสมัครใจจากสหภาพแรงงานและสหกรณ์ในรูปแบบต่างๆ แต่คริสเฮจเจสเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่เลื่อนลอย ตราบใดที่องค์การเหล่านี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคปฏิวัติที่เป็นรัฐบาล องค์เหล่านี้ก็จะถูกทำลายลงโดยระบบทุนนิยมส่วนในระบบการควบคุมโดยส่วนกลาง ก็จะถูกแทรกแซงหรือควบคุมโดยระบบราชการ ทางเลือกที่คริสเฮจเจสนำเสนอคือระบอบสังคมประชาธิปไตย ที่กระจายอำนาจไปสู่ประชาชนให้บริหารจัดการกันเองในลักษณะวิสาหกิจชุมชนที่รัฐให้ความคุ้มครอง แต่ไม่ครอบงำ
อนึ่งดังที่กล่าวมาแล้วต้องยอมรับว่าเลนินมีความสามารถมากที่จะหยุดยั้งการจลาจลอันเกิดจากการปฏิวัติได้เพราะไฟปฏิวัตินั้นไม่อาจกำหนดล่วงหน้าได้.มันเกิดขึ้นเองเมื่อเงื่อนใขครบถ้วน และไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะลงเอยอย่างไร เหมือนที่เคอเรนสกี้ได้เคยวิพากษ์ไว้และเงื่อนใขดังกล่าวก็คือความล้มเหลวในระบบการเมือง เศรษฐกิจและขบวนการยุติธรรม ที่ล้มเหลวในการสร้างความยุติธรรมการบังคับใช้กฎหมายที่เลือกปฏิบัติ การสมคบคิดกันฉ้อฉลประชาชน ดังนั้นท่ามกลางโครงสร้างที่ฟอนเฟะนี้ การปฏิรูปจึงเป็นไปไม่ได้
เลนินและมาร์ก เข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงโดยการปฏิวัตินั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยชนชั้นรากหญ้าที่เฉื่อยชา และในบางโอกาศชนชั้นรากหญ้าที่เฉื่อยชากลับกลายเป็นตัวการต่อต้านการปฏิวัติเอง และกลายเป็นแนวร่วมของเผด็จการด้วยหลงเชื่อการโฆษณาชวนเชื่อและการตอบแทนเพียงเล็กน้อยนอกจากนี้ยังมีนักวิชาการบางคนที่ฉ้อฉลต่อวิชาชีพมาเป็นสมุนรับใช้ในการบิดเบือนหลักการที่ถูกต้อง
เลนินนั้นโดยความรู้สึกส่วนตัวไม่ชอบนักวิชาการปัญญาชนเพราะมองว่าพวกนี้มักจะเชื่องช้าในการตัดสินใจ แต่เขาก็ยอมรับว่าไม่มีชนชั้นไหนที่จะช่วยสร้างรูปแบบและชี้นำการปฏิวัติได้ดีเท่ากับกลุ่มปัญญาชน ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งพาทั้งทรอสกี้และเลฟคาเมนเนฟอย่างมากในยุคของเขา แต่พอมาถึงยุคสตาลินที่อำนาจได้สถาปนามั่นคงแล้วทั้งหมดก็ถูกกำจัด แต่เลนินเป็นข้อยกเว้นจากปัญญาชนทั้งหลาย
นักปฏิวัติจึงต้องหมั่นวิพากษ์ตนเองและตอบสนองในการปรับปรุงตนเอง ตามที่เลนินกล่าวไว้นอกจากนี้นักปฏิวัติจะต้องศึกษาเหตุการณ์ทั้งความสำเร็จ ความล้มเหลวและความพ่ายแพ้ การศึกษาของนักปฏิวัติจะต้องครอบคลุมทั้งปรัชญา ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและที่สำคัญ “ การเมือง “
นอกจากนี้เลนินยังกล่าวว่านักปฏิวัติจะต้องมีจิตใจที่มุ่งมั่นไม่คำนึงถึงผลประโยญชน์ส่วนตนตลอดจนความปลอดภัยของตนเอง มีวินัยที่เข้มแข็ง เสียสละเพื่อหน้าที่ และทุ่มเทให้พรรคปฏิวัติตามลำดับการบังคับบัญชา
อนึ่งนักปฏิวัติต้องยึดมั่นในอุดมคติแต่ไม่สะเลยภาวะวิสับและความเป็นจริง โดยเลนินถือว่าทฤษฎีล้วนๆหรือการยึดคัมภีร์นั้นเป็นเรื่องไร้สาระ ทฤษฎีเป็นแนวทางแต่ไม่ใช่คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ
ทรอสกี้เองก็ผิดพลาดที่ไม่ได้เอาใจใส่ในรายละเอียดของการบริหารกองทัพแดงที่เขาเป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งทำให้เขาถูกสตาลินกำจัดออกจากอำนาจต้องลี้ภัยและถูกหน่วยล่าสังหารของสตาลินไปฆ่าที่เมกซิโก
ผู้นำการปฏิวัติจึงต้องเป็นทั้งผู้นำที่ทำให้ประชาชนเชื่อถือดุจศาสดาอย่างเช่นครอมเวลของอังกฤษและโรแบสปิแอร์ของฝรั่งเศสซึ่งเขาเหล่านั้นจะมีส่วนผสมพิเศษของความสามารถและความคิดในการจูงใจคน แต่ผู้นำเหล่านี้ไม่ใช่กษัตริย์นักปรัชญาตามแนวคิดของเพลโต้ หากแต่เป็นฆาตกรนักปรัชญา ที่พร้อมจะกำจัดใครก็ตามที่ขัดขวางการปฏิวัติตามแนวคิดของตน ดังเหตุการณ์การต่อสู่กับพวกปฏิกิริยา ที่นิยมระบอบซาร์ได้รุกขึ้นมาต่อสู้ด้วย “กองทัพขาว” และพันธมิตรต่างประเทศ ซึ่งถูกเลนินและกองทัพแดงขจัดจนสิ้นซาก
การปฏิวัตินั้นต้องอาศัยการลุกฮือของประชาชนตามเงื่อนใขที่สุกงอมแต่ถ้าปราศจากการนำของขบวนการปฏิวัติ การลุกฮือของประชาชนก็จะเป็นเพียงการจลาจล ซึ่งเลนินเข้าใจในประเด็นนี้ดี ดังนั้นในจังหวะของการลุกฮือขบวนการปฏิวัติจะต้องฉกฉวยโอกาสในการชี้นำไปสู่การปฏิวัติที่จะล้มล้างชนชั้นปกครอง ซึ่งเลนินกล่าวว่าจังหวะเป็นเรื่องสำคัญหากกระทำก่อนการสุกงอมก็จะถูกปราบปรามโดยชนชั้นปกครอง แต่หากกระทำภายหลังการจลาจล ที่บ้าคลั่งไร้ทิศทางแล้ว กว่าจะสถาปนาอำนาจและทิศทางการปฏิวัติได้ บ้านเมืองก็จะเสียหายยับเยินและต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกนานเลนินกล่าวว่า “เวลาหลายทศวรรษที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่เวลาหลายสัปดาห์อาจก่อให้เกิดหลายสิ่งที่น่าจะเกิดในหลายทศวรรษ”
แม้เลนินจะเกลียดชังความรุนแรงของอนาธิปไตยที่เกิดจาการโฆษณาชวนเชื่อและมอมเมาประชาชน แต่การสังหารพระเจ้าซาร์และครอบครัวตลอดจนนายกรัฐมนตรีนั้นโดยเลนินถือว่าเป็นการกระทำที่ไร้สติบ้าคลั่ง ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น การก่อการร้าย ความป่าเถื่อนที่เกิดจากความบ้าคลั่งของการลุกขึ้นโดยประชาชนที่เคียดแค้น เป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ โดยเลนินเรียกว่า “เสรีภาพพร้อมด้วยระเบิด ” การก่อการร้ายจะสร้างความสะพรึงกลัวต่อประชาชน และจะทำให้แนวทางการปฏิบัติเสื่อมลงจนประชาชนละทิ้งขบวนการปฏิวัติ ซึ่งในการปฏิวัตินั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนและทำงานที่น่าเบื่อหน่ายเป็นระยะเวลานาน ซึ่งต้องมีสถาบันคือพรรคปฏิวัติเป็นผู้ชี้นำแนวทาง ถ้าปราศจากพรรคปฏิวัติการปฏิวัติที่ถูกต้องย่อมเป็นไปไม่ได้ เลนินกล่าว
การปฏิวัติอาจทำได้โดยทหารกลุ่มเล็กๆ แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนใขที่สอดรับกับความต้องการของประชาชน อย่างการปฏิวัติในเปอร์ตุเกส ดังนั้นการยึดอำนาจโดยกองทัพที่ทำไปโดยมิได้สอดรับกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ นอกจากการสร้างความต้องการเทียมจากการโฆษณาชวนเชื่อจึงมิใช่การปฏิวัติ
แต่การคิดว่าจะใช้กองกำลังจรยุทธเพื่อจุดกระแสการปฏิวัติแบบที่เชกูวาราทำจนนำไปสู่การสิ้นชีวิตของตนเองนั้นนับว่าเป็นความผิดพลาด ซึ่งเกิดขึ้นในหลายประเทศแถบลาตินอเมริการ อาฟริกาและเนปาล
สุดท้ายนี้แม้ว่าจะมีการวิพากษ์เลนินโดยนักวิชาการในหลายมุมมองก็คงยากซึ่งจะตัดสินได้ว่าเลนินเป็นเทวดา หรือ ซาตานเพราะในด้านหนึ่งเลนินเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การปฏิวัติสังคมนิยมแต่บนหนทางนั้นก็ยังก่อให้เกิดความน่าสะพึงกลัวของการเข่นฆ่าผู้คนเป็นจำนวนมากซึ่งเขาอาจมีสัดส่วนทั้ง2อย่างรวมกันก็ได้
แม้ว่าในปัจจุบันรัสเซียจะมิได้ยึดถือแนวทางของเลนินโดยเคร่งครัดแล้วและเรียนรู้จากความผิดพลาดจึงได้พัฒนาตนเองให้เจริญรุดหน้าไม่จมปลักอยู่ในระบบการบริหารจากศูนย์กลางอีกต่อไปเหมือนที่จีนก็ไม่ยึดติดกับหลักการเหมาเจ๋อตุง อย่างเคร่งครัดแต่มีการประยุกต์ใช้ระบบทุนนิยมเสรีเข้ามาเพิ่มแรงจูงใจในการสร้างประสิทธิภาพในการผลิต อันทำให้จีนก้าวกระโดดในการพัฒนาตนเองในช่วง 2 ทศวรรษนี้
และนี้เป็นอีกหนึ่งในการศึกษาประวัติศาสตร์และขบวนการปฏิวัติที่เกิดขึ้นในโลก







