INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ลอร์เรนซ์แห่งอาระเบีย

 

ลอร์เรนซ์แห่งอาระเบีย

ภายใน David and Goliath มาลคอล์ม แกลดเวลล์ ได้อ้างอิงการวิจัยของ
นักรัฐศาสตร์ อิวาน อาร์เรเจียน-ทอฟท์ ศึกษาสงครามระหว่างอำนาจที่ไม่
เท่าเทียมกันมาก แสดงอันเดอร์ด็อกสามารถชนะคู่ต้อสู้ที่ทรงพลังอย่างไร สนับสนุนการยืนยันของเขาเกี่ยวกับพลวัตรของอำนาจและอันเดอร์ด็อกโดยเฉพาะมาลคอล์ม แกลดเวลล์ ได้ใช้การวิเคราะห์ของ
อาร์เรเจียน-ทอฟท์ของการสู้รบที่ไม่เทียมกันสงครามระหว่างข้างที่ไม่เท่า
เทียมกันอย่างสำคัญ แสดงว่ากำลังที่เข้มแข็งกว่าและใหญ่กว่าไม่ชนะอยู่
เสมอ การศึกษาของอาร์้เรเจียน-ทอฟท์ จะมุ่งที่สงครามระหว่างข้างที่แตกต่างกันมากตลอดสองศตวรรษที่ผ่านมา
มาลคอล์ม แกลดเวลล์ได้อ้างผลงานของอีวาน อาร์เรกิน-ทอฟท์ แสดงว่าความเข้าใจโดยทั่วไปของอันเดอร์ด็อกจะแพ้อยู่้เสมอไม่ถูกต้อง เขาได้ใช้การวิจัยนี้แสดงแนวคิดของการต่อสู้ที่ไม่เท่าเทียมกัน ตรงที่ฝ่ายที่อ่อนแอกว่าบางครั้งสามารถจะชนะข้อเสียเปรียบที่สำคัญ ผ่านทางวิถีทางกลยุทธ์
ได้ เเนวคิดคือ ในขณะที่กองกำลังที่เข้มแข็งกว่า อาจจะดูเหมือนว่ามีข้อได้เปรียบ มันสามารถเป็นจุดอ่อนต่อกลยุทธ์ที่แตกต่างกันถูกใช้โดยอันเดอร์
ด็อก โดยเฉพาะผ่านทางการใช้กลยุทธ์นอกรูปแบบ
การศึกษาของอาร์เรกิน-ทอฟท์จะพบว่าเมื่อพิจารณาทุกสงครามตลอด
สองศตวรรษที่ผ่านมาประเทศที่เข้มแข็งกว่าชนะ 71.5% ของเวลา แต่ทว่า
เมื่อประเทศที่อ่อนแอกว่าได้ใช้สงครามกองโจรเเล้วร้อยละของกาาชนะจะเพิ่มสูงขึ้นมาก มาลคอล์ม แกลดเวลล์ ใช้การวิจัยนี้สนับสนุนข้อยืนยันของเขาว่าข้อเสียเปรียบ บางครั้งสามารถจะกลายเป็นข้อได้เปรียบ มาลคอล์ม แกลดเวลล์ ได้ใช้ตัวอย่างของ ที อี ลอร์เรนซ์ นำขบถอาหรับต่อสู้กองทัพตุรกีภายในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งแสดงจุดนี้กองกำลังของลอร์เรนซ์แม้ว่า
เล็กกว่า และติดอาวุธน้อย แต่จะเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพภายในการโจมตี ในที่สุดสามารถเอาชนะกองกำลังของตุรกีได้
ผลงานของอาร์เรกิน-ทอฟท์ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ชาติที่อ่อนแอกว่าต่อสู้ชาติที่เข้มแข็งกว่าภายในสงครามของเขา แสดงกลยุทธ์นอกรูปแบบสามารถจะปรับปรุงโอกาสความสำเร็จของอันเดอร์ด็อกเมื่อชาติที่เล็กกว่า อ่อนแอกว่า ต่อสู้กับชาติที่ใหญ่กว่า เข้มแข็งกว่าใช้กลยุทธ์ทางทหารสมัยเดิม โอกาสการเอาชนะของอันเดอร์ด็อกค่อนข้างต่ำ ประมาณ 29.2% แต่กระนั้นเมื่อชาติอันเดอร์ด็อกเดียวกันได้ใช้กลยุทธ์นอกรูปแบบ อย่างเช่น สงครามกองโจร ความสำเร็จของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งเป็น 63.6%
หนังสือของอาร์เรเจียน-ทอฟท์ “How the Weak Win Wars” ได้ยืนยันว่าชาติที่อ่อนแอสามารถชนะชาติที่เข้มแข็งภายในการสู้รบที่ไม่เท่าเทียมกัน ด้วยการใช้กลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จุดอ่อนของชาติที่เข้มแข็งเช่นลอร์เรนซ์
แห่งอาระเบีย ภายในบริบทของขบถอาหรับต่อสู้อาณาจักรออตโตมันเป็นตัวอย่างของหลักการนี้ภายในการกระทำ ที อี ลอร์เรนซ์ ได้ใช้ประโยชน์ยุทธวิธีสงครามกองโจร ต่อสู้จุดแข็งและจุดอ่อนของอาณาจักรออตโตมัน บรรลุชัยชนะ ทั้งที่มีความไม่สมดุลของอำนาจโดยส่วนรวม
ตัวอย่างของลอร์เรนซ์แห่งอาระเบีย แสดงว่าชัยชนะภายในสงครามที่ไม่เท่าเทียมกัน ไม่ได้ถูกกำหนดโดยขนาดของทหาร หรือคุณภาพของอาวุธ
เท่านั้นกลยุทธ์ของความสามารถที่จะใช้จุดอ่อนและการกระทำระหว่างกันของกลยุทธ์ที่ต่อสู้จะแสดงบทบาทที่สำคัญภายในการกำหนดความสำเร็จ
ภายในสงครามที่ไม่เท่าเทียมกัน ชาติที่อ่อนแอกว่าสามารถต่อสู้ชาติที่เข้มเเข็งกว่า ด้วยการใช้กลยุทธ์ที่จะใช้ประโยชน์จุดอ่อนของอำนาจที่เข้มแข็งกว่าอย่างเช่นการมุ่งข้อได้เปรียบของภูมิประเทศถิ่นที่อยู่การใช้ประโยชน์การสนับสนุนอย่างกว้างขวาง และการยึดยุทธวิธีการต่อสู้นอกรูปแบบ
สงครามเวียตนาม และสงครามโซเวียต-อัฟกานิสถาน ถูกใช้เป็นตัวอย่าง
ที่สำคัญ แสดงข้างที่อ่อนแอทางทหารสามารถบรรลุชัยชนะผ่านทางการ
รวมกันของ การปรับตัวทางกลยุทธ์ การต่อต้านอย่างกว้างขวาง และการ
สู้รบอย่างยืดเยื้ออย่างไร
ภายในสงครามเวียตนาม กองกำลังเวียตกง คอมมิวนิสต์เวียตนาม ต้อง เผชิญกับกองกำลังอเมริกันที่เข้มเเข็งกว่าทางทหารได้ใช้ยุทธวิธีสงครามกองโจรผสมผสานไปสู่ประชาชน และใช้ประโยชน์ภูมิประเทศป่าทึบเป็นข้อได้เปรียบของพวกเขาการต่อสู้บนพื้นที่ของพวกเขาเองชาวเวียตนามมีความเข้าใจอย่างลุกซึ้งต่อภูมิประเทศ และสามารถใช้ประโยชน์มันเป็นข้อได้เปรียบของพวกเขา ทำให้มันยุ่งยากต่อกองกำลังอเมริกามีข้อได้เปรียบอย่างเด็ดขาด ชาวเวียตนามเต็มใจอดทนการเสียชีวิตจำนวนมาก และสู้รบอย่่างยืดเยื้อ ในที่สุดได้กัดกร่อน การสนับสนุนของประชาชนต่อสงครามภายในอเมริกา อเมริกาด้วยความเข้มแข็งทางทหารสมัยใหม่ พ่ายแพ้กองกำลังเวียตกงที่ใช้การโจมตีสงครามกองโจร แสดงประสิทธิผลของวิถีทางกลยุทธ์ตรงกันข้าม
ภายในสงครามรัสเซีย-อัฟกานิสถาน การต่อต้านของอัฟกานิสถานได้ใช้
ยุทธวิธีสงครามที่ไม่สมส่วน ที่จัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อสู้ทหารตาม
รูปแบบ ในที่สุดนำไปสู่การถอนตัวของรัสเซีย ชัยชนะครั้งนี้ทั้งที่มีอำนาจทางทหารที่เหนือกว่าของรัสเซีย ถูกบรรลุโดยอัฟกานิสถาน ผ่านทางการปรับตัวทางกลยุทธ์และการสนับสนุนภายนอก มูจาฮิดีนแห่งอัฟกานิสถาน
นักต่อสู้กองโจรได้ใช้ความรอบรู้ของพวกเขาต่อภูมิประเทศ และได้รับเอา
ยุทธวิธีการสู้รบแบบกองโจรอย่างเช่น การซุ่มโจมตี การโจมตีแล้วหนี และการวางทุ่นระเบิด ใช้ประโยชน์จุดอ่อนทหารตามรูปแบบของรัสเซีย
กลยุทธ์การโจมตีตามรูปแบบของโซเวียต ล้มเหลวที่จะต่อสู้ยุทธวิธีการบแบบกองโจรของมูจาฮิดีน อัฟกานิสถานด้วยทรัพยากรที่จำกัดใช้สงคราม
กองโจรอย่างมีประสิทธิภาพต่อสู้กองกำลังโซเวียตด้วยการใช้ภูมิประเทศ
ที่ขรุขระ เป็นข้อได้เปรียบของพวกเขา ทำนองเดียวกับสงครามเวียตนาม
นักสู้อัฟกานิสถานมีความรอบรู้ที่คุ้นเคยของภูมิประเทศท้องที่ ทำให้พวกเขาสามารถที่จะซุ่มโจมตีและก่อกวนกองทหารโซเวียตได้ง่ายขึ้นมูจาฮิดีน
ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินและทางทหารอย่างมากมายจากอเมริกา
ปากีสถานและประเทศอื่นสนับสนุนอย่างสำคัญความสามารถของพวกเขา ต่อต้านรัสเซีย
รัสเซียอย่างเช่นอเมริกาภายในเวียตนามต้องเผชิญการสู้รบอย่างยืดเยื้อ
ด้วยการเสียชีวิตที่สูง การสนับสนุนของประชาชนลดน้อยลงในที่สุดนำไปสู่การถอนตัวของพวกเขา ในขณะที่เริ่มแรกรัสเซียจะเดินตามกลยุทธ์การ
โจมตีตามรูปแบบในที่สุดพวกเขาปรับตัวใช้กลยุทธ์ความป่าเถื่อนเกี่ยวพันกับยุทธวิธีที่รุนแรงขึ้นและเพิ่มอำนาจการยิงแต่กระนั้นกลยุทธ์นี้ถูกพิสูจน์ไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากความสามารถของมูจาฮิดืนที่จะปรับตัวและใช้ประโยชน์สถานการณ์ด้วยการสนับสนุนของต่างประเทศ
มูจาฮิดีนได้รับการสนับสนุนทางการทหารและการขนส่งอย่างสำคัญจากหลายประเทศอย่างเช่นอเมริกา ปากีสถาน และซาอุดี อาระเบีย ความช่วยเหล่านี้จะสำคัญต่อการต่อต้้านอย่างยั่งยืนของพวกเขาและการให้พวกเขาด้วยอาวุธ การฝึกอบรม และข่าวกรอง การสนับสนุนภายนอกจะสำคัญต่อการต่อต้านอย่างยั่งยืนต่อสู้รัสเซีย ความสามารถของมูจาฮิดีน ที่จะได้รับและใช้ประโยชน์การสนับสนุนนี้ทำให้พวกเขาต่อต้านอย่างมีประสิทธิภาพอำนาจการยิงของรัสเซีย
การบุกของรัสเซียได้ดึงการประณามระหว่างประเทศอย่างกว้างขวางยิ่งทำให้ซับซ้อนต่อไปต่อความพยายามของพวกเขาที่จะบรรลุชัยชนะอย่างรวดเร็ว ภูมิประเทศที่ขรุขระ และภูมิอากาศที่รุนแเรงของอัฟกานิสถานได้
แสดงควาทบมท้าทายอย่างมากต่อทหารรัสเซีย ทำให้มันยุ่งยากที่จะวาง
แผนและควบคุมประเทศได้ และเป้าหมายทางการเมีองของรัสเซียภายใน
อัฟกานิสถานจะจำกัด การขาดการสนับสนุนอย่างกว้างขวางต่อการโจมตี
ของพวกเขามีส่วนต่อความยืดเยื้อของสงคราม มูจาฮิดีน กองกำลังการต่อต้านของอัฟกานิสถานไม่ได้สู้รบกับกองกำลังรัสเซียภายในการเผชิญหน้าโดยตรง พวกเขาใช้ยุทธวิธีโจมตีแล้วหนี การซุ่มโจมตี การใชภูมิประเทศที่ลำบากเป็นข้อได้เปรียบของพวกเขา
แนวคิดการสู้รบที่ไม่เสมอภาคของอาร์เรกิน-ทอฟท์มุ่งเน้นความสำคัญ
ของการกระทำ ระหว่างกันทางกลยุทธ์ ระหว่างข้างที่ตรงกันข้ามภายใน
กำหนดผลลัพธ์ของสงคราม เขาจะยืนยันว่า เมื่อข้างที่อ่อนแอกว่ารับเอากลยุทธ์ที่แตกต่างกันจากข้างที่เข้มแข็งกว่ามันสามารถสร้างข้อได้เปรียบและโอกาสนำไปสู่ชัยชนะ ภายในสงครามโซเวียต-อัฟกานิสถาน

ความขัดเเย้งอสมมาตร ถูกรู้จักกันเป็นสงครามอสมมาตรด้วย ได้อ้างถึง

การสู้รบทางทหาร ตรงที่กองกำลังตรงกันข้ามจะมีจุดเเข็ง ความสามารถและทรัพยากรแตกต่างกันอย่างสำคัญ มักจะเกี่ยวพันกับกองกำลังทหารสมัยเดิมเข้มแข็งกว่า เผชิญกับผู้กระทำไม่เป็นรัฐที่อ่อนเเอกว่าผู้กระทำไม่เป็นรัฐอย่างเช่นผู้ก่อความไม่สงบหรือผู้ก่อการร้าย ที่สู้รบกับทหารของรัฐ โดยทั่วไปข้างที่อ่อนแอกว่าจะใช้ยุทธวิธีนอกรูปแบบหาประโยชน์ จากจุดอ่อนของข้างที่เข้มแข็งกว่า และลบล้างจุดออ่อนของพวกเขาเอง

ข้างที่อ่อนแอกว่าขึ้นอยู่กับกลยุทธ์อย่างเช่นสงครามกองโจร การก่อการร้าย หรือการโจมตีทางไซเบอร์ ข้างที่อ่อนแอกว่ามุ่งหมายที่จะยืดเยื้อการต่อสู้ ใช้ประโยชน์จุดอ่อนของข้างที่เข้มแข็งกว่าและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง ความขัดเเย้งอสมมาตรมักจะทำให้คลุมเครือเส้นแบ่งระหว่างสงครามและสันติภาพ บทบาททางทหารและพลเรือน และเเม้แต่พรมแดนทางภูมิศาสตร์ ผู้กระทำไม่เป็นรัฐใช้ยุทธวิธีกองโจรต่อสู้ทหารของรัฐเช่น

สงครามเวียตนาม

อีวาน อาร์เรกิน-ทอฟท์ นักรัฐศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดถูกรู้จักกันต่อการวิจัยของเขาเกี่ยวกับความขัดเเย้งอสมมาตร โดยเฉพาะหนังสือของเขา How the Weak Win Wars : A Theory of Asymmetric Conflict

เขาได้นำเสนอทฤษฎีของความขัดเเย้งอสมมาตรที่จะอธิบายกลยุทธ์ของ

ผู้กระทำที่อ่อนแอกว่าสามารถทำให้อำนาจของผู้กระทำที่เข้มแข็งกว่าไม่

มีความหมาย ตามอาร์เรกิน-ทอฟท์ การกระทำระหว่างกันของกลยุทธ์ของ

ผู้กระทำจะเป็นตัวทำนายที่ดีที่สุดของผลลัพธ์ของความขัดเเย้งอสมมาตร

เขาได้ท้าทายเเนวคิดสมัยเดิมว่าอำนาจที่เหนือกว่า นำไปสู่ชัยชนะอย่าง

หลีกเลี่ยงไม่ได้ได้เสนอแนะว่าผู้กระทำที่อ่อนแอกว่าสามารถใช้ประโยชน์

กลยุทธ์เฉพาะอย่างมีประสิทธิภาพ เอาชนะข้อเสียเปรียบของพวกเขาได้

อาร์เรกิน-ทอฟท์ เสนอแนะทฤษฎีของการกระทำระหว่างกันทางกลยุทธ์

ตรงที่ การเลือกยุทธวิธีนอกรูปแบบของผู้กระทำที่อ่อนแอกว่า อย่างเช่น

สงครามกองโจร สามารถกระทบอย่างสำคัญต่อความสามารถที่จะบรรลุ

เป้าหมายของผู้กระทำที่เข้มแข็งกว่า

อาร์เรกิน-ทอฟท์ ได้สนับสนุนทฤษฎีของเขาด้วยกรณีศึกษาทางประวัติ

ศาสตร์ การวิจัยของเขาได้วิเคราะห์ประสบการณ์ของโซเวียตภายในอาฟ

กานิสถาน และประสบการณ์ของอเมริกาภายในเวียตนาม ได้แสดงวิถีทางกลยุทธ์ที่แตกต่างกันสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามอย่างไรผลงานของอาร์รีเจียน-ทอฟท์ มุ่งที่ความขัดเเย้งอสมมาตร ความขัดเเย้งที่ไม่เท่าเทียมกัน การสู้รบตรงที่ฝ่ายหนึ่งมีพลังมากกว่ามากอีกฝ่ายหนึ่ง และพบว่าอันเดอร์ด็อก ชนะเกือบหนึ่งในสามของเวลา

ภายในเรื่องราวของเดวิดและโกไลเเอธ ความรวดเร็วและยุทธวิธีนอกรูปแบบของเดวิดเป็นจุดสำคัญต่อชัยชนะของเขาผลงานของอาร์เรกินทอฟท์ ได้เสนอแนะว่ากลยุทธ์นอกรูปแบบ สามารถมีประสิทธิภาพสูงต่อคู่ต่อสู้ที่เข้มแข็งกว่า การแสดงขนาดและความเข้มแข็งไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบเด็ดขาดอยู่เสมอ อาร์เรกิน-ทอฟท์ศึกษาความขัดเเย้งทางประวัติศาสตร์พบว่าอันเดอร์ด็อก ต่อสู้นอกรูปแบบ น่าจะชนะมากกว่าอันเดอร์ด็อก ที่พยายาม

เล่นด้วยกฏของคู่ต่อสู้ที่เข็มแข็งกว่า

การวิเคราะห์ของอาร์เรกิน-ทอฟท์ยาวนานกว่า 200 ปี ได้เปิดเผยว่าเมื่ออันเดอร์ด็อก ประเทศเล็ก ทำสงครามกับประเทศที่ใหญ่และเข้มแข็งกว่า อันเดอร์ด็อกชนะประมาณ 28.5% ของเวลาเท่านั้นแต่กระนั้นเมื่ออันเดอร์ด็อก ใช้ยุทธวิธีนอกรูปแบบ ร้อยละการชนะของพวกเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างสำคัญ ภายในกรณีนี้ อันเดอร์ด็อกจะชนะประมาณ 63.6% ของเวลา

ถ้อยคำ ความขัดเเย้งสอสมมาตร ได้รับความนิยมแพร่หลายเมื่อ ค.ศ

1970 โดยเฉพาะบทความของแอนดูรว์ แมค 1975 Why Big Nations Lose Small Wars เขาได้ใช้ถ้อยคำอธิบายความขัดเเย้ง ตรงที่เราจะมี

ความไม่เที่ยมกันอย่างสำคัญภายในอำนาจ ระหว่างข้างที่ตรงกันข้ามที่

มักจะเกี่ยวพันกับกองกำลังที่เล็กกว่าอ่อนแอกว่าใช้ยุทธวิธีนอกรูปแบบท้าทายก่องกำลังที่ใหญ่กว่าเข้มแข็งกว่า บทความ 1975 ของเขาได้ถูกยกย่องอย่างกว้างขวางการทำให้ถ้อยคำถูกนิยมแพร่หลายภายในวงจรวิชาการและกลยุทธ์

แอนดูรว์ แมค ได้ใช้ถ้อยคำวิเคราะห์ทำไมชาติที่ใหญ่กว่าและพลังมาก

กว่สมักจะต้องต่อสู้ดิ้นรนที่จะชนะชาติที่เล็กกว่าและพลังน้อยกว่าภายในสงคราม แนวคิดเเกนเบื้องหลังถ้อยคำความขัดเเย้งอสมมาตรคือ ความไม่สมดุลของอำนาจระหว่างฝ่ายที่ขัดเเย้งกัน ความไม่เท่าเทียมกันนี้สามารถจะเกี่ยวพันกับความเข้มแข็งทางทหาร ทรัพยากรเศรษฐกิจ ความสามารถทางเทคโนโลยี และอย่างอื่น แนวคืดนี้มีรากฐานภายในความขัดเเย้งทางประวัติศาสตร์ แต่การทำให้เป็นทางการของมันเป็นสาขาวิชาศึกษาเฉพาะได้เกิดขึ้นต่อมา โดยเฉพาะภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

เเม้ว่าถ้อยคำจะค่อนข้างใหม่แนวคิดของพลวัตรอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันภายในสงคราม ได้ถูกรับรู้มานานเป็นศตวรรษ ตัวอย่างยุคโบราณรวมถึงความขัดเเย้ง ระหว่างอาณาจักรโรมัน และเผ่าที่หลากหลาย และสงคราม

ของอเล็กซานเดอร์มหาราช และตำนานพิชัยสงครามของซุนวูล้วนแล้วแต่ได้สัมผัสความคิดของสงครามอสมมาตร และยุทธวิธีนอกรูปแบบเอาชนะศัตรูที่เข้มแข็งกว่า

เเนวคิดของความขัดเเย้งอสมมาตร เป็นหัวข้อของการศึกษาต่อนักวิจัยที่มีชื่อเสียงหลายคน อย่างเช่น ที อี ลอร์เรนซ์ – ลอร์เรนซ์แห่งอาระเบีย – ศึกษาการประยุกต์ใช้ของมันภายในขบถอาหรับ และเหมา เซตุง ได้สร้างทฤษฎีของสงครามกองโจร ที่มุ่งเน้นข้อได้เปรียบของกำลังที่อ่อนแอกว่าได้ใช้ประโยชน์จุดอ่อนของคู่ต่อสู้ที่เข้มแข็งกว่านักวิจัยสมัยใหม่อย่างเช่น อาร์เรกิน-ทอฟท์ และเเอนดูรว์ แมค ได้พัฒนาทฤษฎีอย่างทางการมากขึ้นสำรวจพลวัตรอสมมาตรของอำนาจและผลกระทบของมันต่อผลลัพธ์ของความขัดเเย้ง

โธมัส เอ็ดเวิรด ลอร์เรนซ์ ได้ถูกรู้จักกันอย่างมีชื่อเสียงว่าเป็นลอร์เรนซ์แห่งอาระเบีย เขาจะเป็นนายทหาร นักโบราณคดี นักเขียน และนักการฑูต ที อี ลอร์เรนซ จะเป็นบุคคลที่สำคัญต่อการศึกษาและการปฏิบัติของความขัดเเย้งอสมมาตร ความเข้าใจของลอร์เรนซ์ของหลัการสงครามอสมมาตร และความสามารถของเขาที่ปรับตัวต่อบริบทเฉพาะของทะเลทรายอาหรับ ได้เเสดงบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จของขบถอาหรับ มรดกของเขายังคงมีอิทธิพลต่อแนวคิดการทหารจนถึงวันนี้ เขาได้แสดงบทบาทที่สำคัญภายในการนำสงครามอสมมาตรภายในขบถอาหรับต่อสู้อาณาจักรออตโตมัน ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

งานเขียนและการกระทำของเขามุ่งเน้นประสิทธิผลของยุทธวิธีกองโจรต่อสู้กองกำลังที่ใหญ่กว่าตามรูปแบบการแสดงความสำคัญของปัจจัยเช่น การเคลื่อนไหวได้ง่าย ความรอบรู้ภูมิประเทศและการใช้ประโยชน์จุดอ่อน

ของศัตรู วิถีทางของลอร์เรนซ์ได้ให้บทเรียนที่มีคุณค่าต่อความเข้าใจและการมีส่วนร่วมภายในความขัดเเย้งอสมมาตร

Seven Pillars of Wisdom เรื่องราวชีวะประวัติของ ที อี ลอร์เรนซ์ ของขบถอาหรับ มีอิืทธิพลอย่างสำคัญต่อการวิจัยความขัดเเย้งอสมมาตร การให้ความเข้าใจที่มีคุณค่าไปสู่ยังความขัดเเย้งอสมมาตร ด้วยประสบการณ์

ของลอร์เรนซ์ที่นำกองกำลังอาหรับต่อสู้อาณาจักรออตโตมัน นักวิชาการและนักกลยุทธ์ทหารได้ศึกษาหนังสือเล่มนี้ที่จะเข้าใจพลวัตรของความขัดแย้งอสมมาตร รวมถึงการต่อต้านการก่อความไม่สงบ การก่อการร้าย และขบวนการต่อต้าน

ข้อมูลเชิงลึกของหนังสือได้ถูกใช้พัฒนาหลักการต่อต้านการก่อความไม่สงบ วิเคราะห์ประสิทธิผลของกลยุทธ์ที่หลากหลาย และความเข้าใจดีขึ้นต่อความท้าทายของการต่อสู้ผู้กระทำไม่เป็นรัฐ ชื่อหนังสือ Seven Pillars of Wisdom ได้ถูกบันดาลใจโดย Book of Proberbs : หนังสือสุภาษิต ไม่ได้เกี่ยวพันโดยตรงต่อเนื้อหาของหนังสือของลอร์เรนซ์ ที่เกี่ยวพันกับขบถอาหรับ เริ่มแรกลอร์เรนซ์ วางแผนหนังสือที่แตกต่างกันเกี่ยวกับเจ็ดเมืองตะว้นออกกลางที่ใช้ชื่อนี้ แต่ในที่สุดได้ประยุกต์ใช้มันต่อความทรงจำของเขาของขบถอาหรับ

ถ้อยคำตัวมันเองมาจากสุภาษิต ที่แสดงหลักการรากฐานของภูมิปัญญา แต่หนังสือของลอร์เรนซ์ ได้มุ่งที่ประสบการณ์ของเขาและมุมมองอาหรับภายในขบถอาหรัยต่อสู้อาณาจักรออตโตมัน Book of Proverbs ภายในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า ” ภูมิปัญญาได้สร้างบ้านของเธอ เธอได้สลักเสาเจ็ด

ต้นของเธอ” ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ลอร์เรนซ์ ได้เริ่มต้นเขียนหนังสือวิชาการเกี่ยวกับเจ็ดเมืองตะออกกลางที่สำคัญ และเขาตั้งใจที่จะเรียกมัน Seven Pillars of Wisdom ต่่อมาลอร์เรนซ์ ได้ใช้ชื่อเดียวกันต่อความทรงจำของเขาเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาภายในขบถอาหรับ

เเม้ว่าเนื้อหาของหนังสือจะไม่เกี่ยวกับความคิดต้นกำเนิดของเจ็ดเมืองใน ขณะที่หนังสือเกี่ยวกับบทบาทของลอร์เรนซ์ภายในขบถอาหรับ ชื่อตัวมันเองไม่ได้มุ่งหมายมีความหมายเฉพาะ ยึดกับวัฒนธรรมหรือความเชื่อของอาหรับ หนังสือของลอร์เรนซ์เป็นเรื่องราวส่วนบุคคลของการยุ่งเกี่ยวของเขาในขบถอาหรับต่อสู้กับอาณาจักรออตโตมันระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ตรงที่เขาได้ทำงานกับผู้นำอาหรับหลากหลาย การสำรวจของการเดินทางส่วนบุคคล เเละความซับซ้อนของขบถอาหรับ

Seven Pillars of Wisdom ได้พาดพิงถึงแนวคิดคัมภีร์ไบเบิล ตรงที่ เจ็ดเสาของบ้านภูมิปัญญาภายในสุภาษิต 9:1 จะเป็นสัญลักษณ์ความสมบูรณ์และความสำเร็จของภูมิปัญญาของพระเจ้า หนังสือเล่มนี้ ได้ถูกมองอย่าง

กว้างขวางว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นโบว์แดง ที่ผสมผสานกับการผจญภัยทาง

ประวัติศาสตร์ และการสะท้อนส่วนบุคคล หนังสือได้ถูกใช้เป็นรากฐาน

เพื่อภาพยนตร์ 1962 Lawrence of Arabia ด้วย

ตามรายละเอียดของหนังสือ ได้ให้มุมมองโดยตรงเกี่ยวกับสงครามกอง

โจร และพลวัตรของกำลังที่เล็กกว่า ท้าทายกองกำลังที่ใหญ่กว่า หนังสือไม่ได้เป็นเพียงแค่ความทรงจำกับสงคราม แต่ได้สำรวจความแตกต่่างทางวัฒนธรรมของโลกอาหรับ และความซับซ้อนของการนำกลุ่มที่หลากหลายภายในความขัดเเย้งต่อศัตรู่ร่วมกันด้วย หนังสือ ได้สำรวจยุทธวิธีสงครามกองโจร พลวัตรของกำลังนอกรูปแบบและการพัวพันกันระหว่างประชาชนท้องที่และอำนาจภายนอก

ประสบการณ์ของลอร์เรนซ์ ได้เเสดงความสำคัญความเข้าใจสภาพแวด

ล้อม สังคม และการเมือง การใช้ประโยชน์ความรู้ท้องที่ และใช้กลยุทธ์นอกรูปแบบภายในความขัดเเย้ง ตรงที่ข้างหนึ่งได้ยึดข้อได้เปรียบทางทหาร ความผูกพันอย่างลึกซึ้งของลอร์เรนซ์กับว้ฒนธรรม ประ เพณี และการเมืองอาหรับจะสำคัญต่อความสำเร็จของเขา เขาจะเข้าใจความสำคัญของความรู้ท้องที่และปรับตัวกลยุทธ์ของเขาตามนั้น ได้แสดงคุณค่าของความรู้สึกไวทางวัฒนธรรมภายในความขัดเเย้งอสมมาตร หนังสือสัมผัสมุมทางจิตวิทยาของความขัดเเย้งอสมมาตรด้วย ที่รวมถึงผลกระทบของการโฆษณาชวนเชื่อ การใช้ความหวาดกลัว และการรักษาขวัญท่ามกลางกองกำลังอาหรับ

หนังสือมุ่งเน้นความสำคัญของความเข้าใจการจูงใจ ความสามารถและข้อจำกัดของกองกำลังนอกรูปแบบที่ผสมผสานอย่างมีประสิทธิภาพกับการปฏิบัติการทางทหารตามรูปแบบได้อย่างไร เรื่องราวของลอร์เรนซ์ยืนยันความต้องการที่จะเข้าใจสภาพแวดล้อมทางการเมือง พลวัตรของท้องที่ และโครงสร้างทางสังคมที่ความขัดเเย้งอสมมาตรเกิดขึ้น เขาได้แสดงความสำคัญของการได้การสนับสนุนของประขาชนท้องที่เพื่อที่จะ

ความสำเร็จโดยเฉพาะความเป็นผู้นำของเขาของกองกำลังนอกรูปแบบอาหรับ

การสู้รบของขบถอาหรับต่อสู้อาณาจักรออตโตมัน ให้กรณีศึกษาทาง

ประวัติศาสตร์เพื่อความเข้าใจยุทธวิธีสงครามนอกรูปเเบบ และผลกระ

ทบของมันต่อกองกำลังตามรูปแบบได้ให้ตัวอย่างโลกเเห่งความเป็นจริงของกองกำลังอ่อนแอกว่าสามารถสู้รบอย่างมีประสิทธิภาพต่อกองกำลัง

เข้มแข็งกว่าตามรูปแบบการแสดงแสดงประสิทธิผลของยุทธวิธีกองโจรต่อสู้กองกำลังที่เข้มแข็งกว่า การเขียนของเขามุ่งเน้นที่ความสำคัญของความเข้าใจบริบทท้องที่ใช้ประโยชน์จุดอ่อนของศัตรูและรักษาการสนับ

สนุนอย่างกว้างขวางไว้

ประสบการณ์และการเขียนลอร์เรนซ์ เกี่ยวกับสงครามอสมมาตรได้ถูกศึกษาโดยนักกลยุทธ์ทหารและนักวิชาการมานานหลายทศวรรษ เขาได้ ใช้ประโยชน์ยุทธวิธีกองโจรอย่างมีประสิทธิภาพ การมุ่งเป้าหมายที่ทางรถไฟฮิยาช การโจมตีของลอร์เรนซ์รวมถึงการซุ่มโจมตี และการทำลายโครงสร้างพื้นฐานอย่างเช่นสะพานและรถไฟ ทางรถไฟฮิยาชจะเป็นสายสเบียงที่สำคัญของออตโตมัน ลอร์เรนซ์ มุ่งหมายที่จะกดดันอาณาจักร

ออตโตมันเบี่ยงเบนกองทหารและทรัพยากรที่จะป้องกันเส้นทางสเบียง ทำให้การควบคุมภูมิภาคของพวกเขาอ่อนแอลง

 

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *