INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

เพิรล ฮาร์เบอร์ ย้อนกลับ

เพิรล ฮาร์เบอร์ ย้อนกลับ

ในฐานะของประธานาธิบดี จอห์น เคนเนดีได้เผชิญกับความตึงเครียด ของสงครามเย็นอย่างมากภายในคิวบา เวียตนาม และที่อื่น คิวบาเป็นประเทศคอมมิวนิสต์เพียงแค่ 90 ไมล์ห่างจากชายฝั่งฟลอริดาและกลายเป็นการคุกคามทางทหารระหว่างจอห์น เคนเนดีเป็นประธานาธิบดีฮิลลารี คลินตัน ได้ใช้การโฆษณาการโจมตีทางการเมืองที่มีชื่อเสียงระหว่างการรณรงค์ ค.ศ 2008 กล่าวว่า ประธานาธิบดีต้องเตรียมพร้อมต่อโทรศัพท์ตอนตีสามบอกว่าบางสิ่งบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้นต่างประเทศต่อประธานาธิบดี จอห์น เคนเนดี คำพังเพยโทรศัพท์ตีสามเข้ามาแปดโมงสี่สิบหานาทีเช้าเมื่อ 6 ตุลาคม ค.ศ 1962 ประธานาธิบดีสวมชุดนอนกำลังนั่งภายในห้องนอนของเขาอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อเเมคเกรเกอร์ บันดีเคาะประตู ที่ปรึกษาความมั่นคงเเห่งขาติมีบางสิ่งบางอย่างต่อประธานาธิบดีอายุสี่สิบห้าปี : ภาพแสดงว่าโซเวียตกำลังติดตั้งจรวดนิวเคลียร์ภายในคิวบา จอห์น เคนเนดี ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เเละได้บอกแก่แมคเกรเกอร์ บันดี เขาต้องการพบทีมความมั่นคงเเห่งชาติของเขาก่อนเที่ยง ดังนั้น จอห์น เคนเนดี ได้พบกับทีมความมั่นคงแห่งชาติของเขาภายในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ต่อมากลายเป็นที่รู้จักกันเป็นคณะกรรมการบริหารความมั่นคงหรือเอ็กซ์คอม การประชุมได้เริ่มต้นการอภิปรายรัฐบาลควรจะตอบสนองอย่างไรวิกฤติจรวดคิวบา เมื่อ ค.ศ 1962 รัสเซียได้แสวงหาติดตั้งจรวดนิวเคลียร์รภายในคิวบาเมื่อมันได้ถูกค้นพบโดยการลาดตระเวณทางอากาศ จอห์น เคนเนดีต้องการให้จรวดถูกรื้อถอน เขาได้สั่งการปิดล้อมบริเวณต่ออาวุธทุกอย่างไปที่คิวบา ส่งผลต่อการปิดล้อมที่หยุดเรือรัสเซียจากการไปสู่คิวบา ต่อสงครามนิวเคลียร์ 13 วันใกล้เข้ามาได้สร้างความหวั่นกลัวต่อโลก ในที่สุดนายกรัฐมนตรีรัสเซียได้ยอมอ่อนข้อและตกลงที่จะนำจรวดออกไปจากคิวบาวิกฤติจรวดคิวบา ค.ศ 1962 กำลังมองว่าโลกกำลังจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ เป็นเหตุการณ์น่ากลัวที่สุดของสงครามเย็น การเผชิญหน้า 13 วันระหว่างอเมริกาและรัสเซียอาจจะทำให้สองมหาอำนาจของโลกไปสู่ริมขอบของของสงครามนิวเคลียร์ เมื่ออเมริกาค้นพบว่ารัสเซียได้ติดตั้งจรวดบนเกาะคิวบา อยู่ห่างจากชายฝั่งอเมริกาเพียงเก้าสิบไมล์เท่านั้น จอห์น เคนเนดี้ และคณะรัฐมนตรีของเขามองว่าอาวุธเหล่านี้เป็นการคุกคามที่ยอมรับไม่ได้ต่ออเมริกา นิกิต้า ครุชชอฟ นายกรัฐมนตรีรัสเซีย ได้สัญญาที่จะป้องกันคิวบา และเชื่อว่าอเมริกาจะไม่ขัดขวางการติดตั้งจรวดข้ามทวีปภายในประทศคาริบเบียนคอมมิวนิสต์ภายใต้สถานการณ์ของการติดตั้งขีปนาวุธภายในคิวบา จอห์น เคนเนดี้และนิกิต้า ครุชชอฟเจรจรต่อรองกันด้วยข้อมูลที่น้อยจากระบบราชการนโยบายต่างประเทศของแต่ละประเทศ วิกฤติได้แพร่กระจายไปทั่วด้วยการสื่อสารที่ผิดพลาดจอห์น เคนเนดี้ได้บอกกล่าวชาวอเมริกันเกี่ยกับการติดตั้งจรวดของรัสเซียภายในคิวบา และได้อธิบายการตัดสินใจของเขาที่จะปิดล้อมคิวบาด้วยกองทัพเรือ และทำให้มันชัดเจนว่าอเมริกาได้ตระเตรียมที่จะใช้กำลังทหาร ถ้าจำเป็นที่จะกำจัดการคุกคามนี้ต่อมั่นคงของชาติ บุคคลจำนวนมากกลัวว่าโลกกำลังใกล้จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ แต่กระนั้นในที่สุดความหายนะได้ถูกยุติลง เมื่ออเมริกาได้ตกลงกับข้อเสนอของนิกิต้า ครุชชอฟที่จะย้ายจรสดออกจากคิวบา แลกเปลี่ยนกับคำสัญญาของอเมริกาที่จะไม่บุกคิวบา จอห์น เคนเนดี้ ได้ตกลงเป็นความลับที่จะย้ายจรวดของอเมริกาออกจากตุรกีด้วย”Thirteen Days” เป็นภาพยนตร์ตื่นเต้นการเมืองประวัติศาสตร์อเมริกัน กำกับโดยโรเจอร์ โดแนลด์สัน มันเรื่องราววิกฤติจรวดคิวบาเมื่อ ค.ศ 1962 จากมุมมองของความเป็นผู้นำการเมืองอเมริกัน เคลวิน คอสท์เนอร์ แสดงเป็นผู้ช่วยทำเนียบขาว แม้ว่าภาพยนตร์ใช้ชื่อเดียวกับหนังสือ 1969 “Thirteen Days” โดยโรเบิรต เคนเนดี เเต่มันอยู่บนพื้นฐานของหนังสือ 1979 “The Kennedy Traps : Inside the White House During the Cuban Missle Crisis” โดยเออร์เนสท์ เมย์ และฟิลิป เซลืโคว์ การถอดเสียงจากการบันทึกเสียงภายในทำเนียบขาว ระหว่างวิฤกติจรวดเมื่ื ค.ศ 1962 ล้ำค่าต่อนักประวัติศาสตร์ เมื่อ ค.ศ 1962 อเมริกาและรัสเซียมาสู่ริมขอบของสงคราม พวกเขามีอาวุธนิวเคลียร์เพียงพอที่จะลบล้างอารยธรรมภายในซีกโลกเหนือ ต่อสองสัปดาห์ คณะความมั่นคงเเห่งชาติของจอห์น เคนเนดี ได้โต้เถียงกันที่จะตอบสนองอย่างไรต่อวิกฤติจรวดคิวบา

บทความ “Pearl Harbor in Reverse : Morale Analogies in the Cuban Missles Crisis” โดย โดยมินิค เทียนีย์ อาจารย์รัฐศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัย สวาร์ธมอร์ ได้วิเคราะห์บทบาทของการเปรียบเทียบทางศีลธรรมของเพิรล ฮาร์เบอร์ภายในวิกฤติจรวดคิวบา ค.ศ 1962 บุคคลได้ดึงการเปรียบเทียบทางศีลธรรม เมื่อพวกเขาได้พิจารณาถูกหรือผิดของการกระทำบนพื้นฐานคู่ขนานกัยการกระทำก่อนหน้านี้ดูแล้วมีศีลธรรมหรือไม่มีศีลธรรม การเปรียบเทียบประวัติศาสตร์ทางศีลธรรมมุ่งที่จริยธรรมของการตัดสินใจระหว่างวิกฤตจรวดคิวบา ค.ศ 1962 ข้อโต้แย้งที่การโจมตีทางอากาศต่อสถานที่ตั้งจรวดของรัสเซียภายในคิวบาเป็นการเปรียบเทียบทางศีลธรรมต่อการโจมตีไม่ให้รู้ตัวของญี่ปุ่นต่อเพิรล ฮาร์เบอร์เมื่อ ค.ศ 1941 มีผลกระทบที่สำคัญต่อการกำหนดนโยบาย การร้องขอของการเปรียบเทียบนี้มีส่วนต่อจอห์น เคนเนดี ยกเลิกการโจมตีทางอากาศทันทีต่อสถานที่ตั้งจรวด และเริ่มต้นด้วยการปิดกั้นทางเรือเเทนการโต้แย้ง”เพิรลฮาร์เบอร์ ย้อนกลับ” เป็นตัวอย่างหนึ่งของปรากฏการณ์ที่ได้รับความสนใจน้อยภายในการวิเคราะห์นโยบายต่างประเทศ – การเปรียบเทียบทางศีลธรรม – การหลอมรวมกันขององค์ประกอบศีลธรรมและการคิดอย่างมีเหตุผล การใช้การเปรียบทางศีลธรรมภายในวิกฤติจรวดคิวบาสำคัญภายในห้าข้อข้อเเรก การเปรียบเทียบทางจริยธรรมต่อการโจมตีไม่ให้รู้ตัวของเพริลฮาร์เบอร์ มีส่วนอย่างสำคัญต่อการตัดสินใจของจอห์น เคนเนดี ไม่เปิดการโจมตีทางอากาศทันทีต่อคิวบา และได้ดำเนินการปิดกั้นทางเรือของเกาะเเทนการเปรียบเทียบทางศีลธรรมของเพิรล ฮารฺเบอร์ เป็นเงื่อนไขเพียงพอต่อจอห์น เคนเนดีที่จะไม่ยอมรับทางเลือกของการโจมตีทางอากาศโดยไม่เตือนมอสโคว์ก่อน ยิ่งกว่านั้นด้วยการยกเลิกทางเลือกการโจมตีไม่ให้รู้ตัว การเปรียบเทียบทางศีลธรรมเพิรล ฮาร์เบอร์ ได้กำจัดทางเลือกการโจมตีทางอากาศดึงดูดที่สุดในเเง่ของกลยุทธ์ และได้ผลักดันรัฐบาลไปสู่การปิดกั้นทางเรือแทนข้อเสอง ผลกระทบของการเปรียบเทียบทางศีลธรรมเมื่อ ค.ศ 1962 น่า สังเกตุด้วนเหตุผลหลายอย่าง ข้อเเรกเพราะว่ามันท้าทายการเปรียบเทียบทางประวัติศาสตร์หลังสงครามที่สำคัญเสนอแนะการตอบสนองอย่างรุนเเรงต่อการรุกราน ข้อสองเพราะว่าบรรทัดฐานระหว่างประเทศต่อต้านการโจมตีไม่ให้รู้ตัวยังไม่มี ข้อสามเพราะว่านโยบายต่อคิวบาเป็นสังเวียนที่รัฐบาลจอห์น เคนเนดีก่อนหน้านี้ได้แสดงความกระวนกระวายใจทางศีลธรรมน้อย ข้อสี่ เพราะว่าสถานการณ์ฉุกเฉินของวิฤกติจรวด นำบุคคลมองว่าความสำคัญทางจริยธรรมรองลงมา และข้อห้าเพราะว่าการโจมตีของอเมริกาที่เสนอแนะที่จริงแล้วไม่ได้เปรียบเทียบทางศีลธรรมต่อเพิรล ฮาร์เบอร์ข้อสาม เเม้ว่านักประวัติศาสตร์หลายคนของวิกฤติจรวดคิวบาได้สังเกตุการใช้การเปรียบเทียบเพิรล ฮาร์เบอร์ ไม่มีการศึกษาก่อนหน้านี้ได้พิจารณาบทบาทของมันภายในรายละเอียดใดก็ตาม โชคดีแหล่งที่มาสำคัญได้กลายเป็นหามาได้ที่ฉายแสงต่อบทบาทนี้ จอห์น เคนเนดีได้บันทึกเทปลับของการประชุมที่สำคัญระหว่างวิกฤติ มันสามารถทำให้เราได้ฟังและประเมินผลกระทบของการเปรียบเทียบบนการอภิปรายและความพอใจนโยบายของผู้กระทำ เทปได้แสดงเรื่องราวการไม่เห็นด้วยกับเรื่องราวเริ่มแรกของการเปรียบเทียบเพิรล ฮาร์เบอร์เเสดงภายในวิกฤติ ข้อเขียนและความทรงจำของที่ปรึกษาพิเศษก่อนหน้านี้ต่อจอห์นเคนเนดี ธีโอดอร์ โซเรนเซ็น และรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมก่อนหน้านี้ โรเบิรต เคนเนดีได้แนะนำการเปรียบเทียบต่อการอภิปรายเป็นส่วนหนึ่งของข้อโต้แย้งทางจริยธรรมต่อการโจมตีทางอากาศ ภายในความเป็นจริงแล้ว โรเบิรต เคนเนดี ก้าวร้าวอย่างมาก ณ ตอนเริ่มต้นของวิกฤติข้อสี่ การใช้การเปรียบเทียบทางจริยธรรมภายในวิกฤติจรวดคิวบาให้ความเข้าใจการกำหนดนโยบายต่างประเทศที่กว้างขึ้น นักวิชาการก่อนหน้านี้สำรวจผู้ตัดสินใจใช้การเปรียบทางประวัติศาสตร์อย่างไรแต่พวกเขาไม่ได้มุ่งโดยเฉพาะต่อการเปรียบเทียบทางศีลธรรมเลยข้อห้า ทศวรรษภายหลังวิกฤติจรวดคิวบา การเปรียบเทียบเพิรลฮาร์เบอร์ ได้ถูกเกิดใหม่บนทั้งสองด้านของการโต้เถียงต่อสงครามภายในอิรัก ที่จริงแลัว ถ้อยคำ “เพิรล ฮาร์เบอร์ ย้อนกลับ” กระตุ้นทำให้ไม่เชื่อการโจมตีทางอากาศระหว่างวิกฤตืจรวดคิวบาถูกใช้อีกครั้งหนึ่งสงสัยต่อความมีศีลธรรมของการโจมตียูเอสต่ออิรัก แต่กระนั้นภายในการเปรียบเทียบต่อวิกฤติจรวดข้อโต้แย้ง “เพริล ฮาร์เบอร์ ย้อนกลับ” สร้างแรงดึงน้อยภายใน ค.ศ 2003 เรื่องราวของวิกฤติจรวดคิวบามีชื่อเสียง การติดตั้งจรวดของรัสเซียภายในคิวบาได้ถูกค้นพบเมื่อ 15 ตุลาคม 1962 และจอห์น เคนเนดีได้สรุปตอนเช้าตามมา ทำเนียบขาวรับรู้มันเป็นการคุกคามที่สำคัญต่อความมั่นคงของชาติการเปรียบเทียบทางประวัติศาสตร์สำคัญที่สุดใช้ระหว่างวิกฤติจรวดคิวบา ถูกวางระหว่างการโจมตีทางอากาศและการโจมตีเพิรล ฮารฺเบอร์ของญี่ปุ่น ณ ประมาณเช้า 8. 00 น ณ 7 ธันวาคม 1941 เครื่องบินญี่ปุ่น 353 ลำ โจมตีฐานทัพเรืออเมริกันบนเกาะโออาฮู ฮาวาย เรืออเมริกัน 21 ลำ และเครื่องบินเกือบ 350 ลำเสียหายหรือทำลาย และชาวอเมริกันมากกว่า 2400 คนเสียชีวิต เพิรล ฮาร์เบอร์เป็นการโจมตีที่น่าตกตะลึงและไม่ได้คาดหวังบนพื้นที่อเมริกัน บุคคลที่สั่งการโจมตีเพิรล ฮาเบอร์คือ ฮิเดกิ โตโจ เขาเป็นนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ในฐานะของนายกรัฐมนตรี เขารับผิดชอบโดยตรงต่อการโจมตีเพิรล ฮาร์เบอร์ การริเริ่มสงครามระหว่างญี่ปุ่นและอเมริกา ฮิเดกิ โตโจ เคยไปเยี่ยมอเมริกาและออกไปด้วยความไม่ประทับใจรถไฟของเขาวิ่งข้ามประเทศ เขาได้มองเห็นชาวอเมริกันเป็นวัตถุนิยมและ “อ่อน” ค่านิยมที่พวกเขายึดถือเหมือนเด็กเปรียบเทียบกับชาวญี่ปุ่นเมื่อ 7 ธันวาคม 1941 นายกรัฐมนตรีโตโจ ประกาศต่อประเทศว่าญี่ปุ่นทำสงครามกับอเมริกา และต่อสามปีภายหลังจากนั้น ฮิเดกิ โตโจได้ควบคุมสงครามภายในแปซิฟิก เริ่มแรกของสงคราม ฮิเดกิ โตโจ มีการสนับสนุนจากชาวญี่ปุ่นเมื่อจักรวรรดิ์ได้ชัยชนะครังแล้วครั้งเล่า แต่กระนั้นภายหลังจากสงครามมิดเวย์ได้พลิกกลับสงคราม เขาเริ่มต้นเผชิญการต่อต้านเพิ่มขึ้น สงครามและประเทศหลุดออกไปจากเขาเมื่อ ค.ศ1945 ญี่ปุ่น ได้ประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ฮิเดกิ โตโจ และผู้นำญี่ปุ่นคนอื่น 39 คนถูกจับ และตั้งข้อหาอาชญากรรมสงคราม ฮิเดกิ โตโจได้พยายามฆ่าตัวตายด้วยการยิงตัวเขาเองที่หัวใจแต่ไม่สำเร็จ เขาได้ถูกประหารชีวิตในที่สุดโรเบิรต แมคนามารา เป็นผู้บริหารธุรกิจ และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมคนที่แปด รับใช้ตั้งแต่ ค.ศ 1961 ถึง 1968 ภายใต้ประธานาธิบดี จอห์น เคนเนดี และลินดอน จอห์นสัน เขายังคงเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมยาวนานที่สุด เขาเเสดงบทบาทที่สำคัญต่อการส่งเสริมการยุ่งเกี่ยวของอเมริกาภายในสงครามเวียตนามโรเบิรต แมคนามารา กลายเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของจอห์น เคนเนดี และสนับสนุนการใช้การปิดกั้นระหว่างวิกฤติจรวดคิวบา จอห์น เคนเนดี และโรเบิรต แมคนามารา ได้สร้างกลยุทธ์ป้องกันสงครามเย็นของการตอบสนองอย่างยืดหยุ่นเมื่อ ค.ศ 1960 โรเบิรต แมคนามารา ได้กลายเป็นซีอีโอคนแรกของฟอร์ด มอเตอร์ ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของครอบครัว เขาได้สร้างระบบการบริหารแก่ฟอร์ด มอเตอร์ การให้อำนาจแก่การตลาดและผู้บริหาร ภายใต้การฟื้นฟูฟอร์ด มอเตอร์ของเขา จนฟอร์ด มอเตอร์ สามารถลุกขึ้นมาเทียบเคียงกับเจ็นเนอรัล มอเตอร์ได้ และได้ถูกมองว่าเป็นจุดสุดยอดของบริษัทสมัยใหม่ แต่กระนั้นเขาได้เป็นซีอีโอไม่ถึงเดือน ต้องมุ่งหน้าไปวอชิงดัน เพื่อที่จะเข้ารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมคนที่แปดของรัฐบาลจอห์น เคนเนดี้ เนื่องจากจอห์น เคนเนดี้ กำลังแสวงหาบุคคลเพื่อที่จะเข้ามาปรับปรุงแผนการป้องกันประทศ และเขาได้พูดถึงโรเบิรต แมคนามาราเป็นบุคคลฉลาดที่สุดเท่าเขาได้เคยพบมา เมื่อ จอห์น เคนเนดี ได้นำเสนอรัฐมนตรีกลาโหมแก่โรเบิรต แมคนามาราเขาได้ถอยไป ด้วยการอ้างว่าเขาไม่เหมาะสม เนื่องจากโรเบิรต แมคนามารา มองตัวเขาเองเป็นผู้บริหารธุรกิจมืออาชีพเหมาะสมต่อการบริหารองค์การที่ซับซ้อน แต่จอห์น เคนเนดี ดึงดูดใจแมคนารา บอกเขาว่า เราไม่มีโรงเรียนเพื่อการฝึกอบรมประธานาธิบดี
ภายใต้การปรับปรุงการบริหารเพนตากอน โรเบิรต แมคนามาราได้สร้างระบบการวางแผนและการงบประมาณ เพื่อที่จะสร้างความเข้มแข็งทางทหาร เขาได้มุ่งความต้องการกองกำลังแบบดั้งเดิมและฮาร์ดแวร์ทางหาร

จอห์น เคนเนดี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารทันทีอ้างถึงเป็นเอ็กซ์คอมเพื่อที่จะจัดการวิกฤติจรวดคิวบา เอ็กซ์คอมประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม โรเบิรต แมคนามารา ต่อ 13 วันที่ตรึงเครียดข้างหน้า เอ็กซ์คอมได้โต้เถียงการตอบสนองของอเมริกันต่อวิกฤติจรวดคิวบาอย่างไรภายหลังการประชุมยาวนานและยุ่งยากหลายครั้ง จอห์น เคนเนดีได้ตัดสินใจวางการปิดล้อมทางเรือรอบคิวบา ความมุ่งหมายของการกักบริเวณนี้ ต้องการป้องกันรัสเซียจากการนำอุปกรณ์ทางทหารเข้ามาสู่คิวบามากขึ้น เขาต้องการให้กำจัดจรวดที่ติดตั้งและทำลายสถานที่ตั้งการเปรียบเทียบทางศีลธรรมของเพิรล ฮาร์เบอร์เป็นเงื่อนไขที่เพียงพอต่อจอห์น เคนเนดีที่จะไม่ยอมรับทางเลือกของการโจมตีทางอากาศโดยไม่เตือนรัสเซียก่อน ทางเลือกของการกระทำตรงที่เราโจมตีโดยไม่มีการเตือนเหมือนกับเพิรล ฮาร์เบอร์ไม่มีใครมั่นใจผู้นำรัสเซีย นิกิต้า ครุชชอฟ จะตอบสนองต่อการปิดล้อมทางเรือและความต้องการของอเมริกาอย่างไร แต่ผู้นำของทั้งสองมหาอำนาจรับรู้ความหายนะของสงครามนิวเคลียร์ ในที่สุดรัสเซียได้ยอมรื้อทำเลที่ตั้งจรวด แลกเปลี่ยนกับคำสัญญาจากอเมริกาไม่บุกคิวบา ภายในข้อตกลงแยกต่างหากที่ยังคงเป็นความลับนานกว่ายี่สิบห้าปี อเมริกาได้ตกลงที่จะย้ายจรวดนิวเคลียร์จากตุรกีด้วย”Thirteen Days : A Memoir of the Cuban Missle Crisis” เป็นเรื่องราวของโรเบิรต เคนเนดีของวิกฤติจรวดคิวบาเมื่อค.ศ 1962 บนพื้นฐานมุมมองของโรเบิรต เคนเนดี หนังสือได้ถูกเปิดตัวเมื่อ ค.ศ 1969 หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงความคิดของโรเบิรต เคนเนดีเกี่ยวกับวิกฤติจรวดคิวบา และการกระทำที่เขาและคณะรัฐมนตรีอเมริกาป้องกันความหายนะของนิวเคลียร์ และสงครามโลกครั้งที่สาม หนังสือได้ถูกเขียนด้วยความช่วยเหลือของ ธีโอดอร์ โซเรนเสน เป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์เลือกตั้งของจอห์น เคนเนดีภายในการประชุมเอ็กซ์คอมสองครั้งที่เกิดขึ้น โรเบิรต เคนเนดีเงียบอย่างน่าประหลาดใจ ข้อวิจารณ์ที่มีชื่อเสียงของเขาเข้ามาเมื่อเขาได้ส่งบันทึกแก่จอห์น เคนเนดีอ่านว่า ในขณะนี้ผมรู้ว่าโตโจรู้สึกอย่างไรเมื่อเขากำลังวางแผนเพิรล ฮาร์เบอร์ โรเบิรต เคนเนดี ได้เริ่มต้นถากถางเพื่อนร่วมงานของเขารอบโต๊ะ พี่ชายของผมจะไม่เป็นโตโจของการโจมตีเพิรล ฮาร์เบอร์ ต่ออเมริกา การโจมตีไม่ให้รู้ตัวจะเป็น “เพริล ฮาเบอร์ ย้อนกลับ”เพิรล ฮาร์เบอร์ย้อนกลับมักจะถูกใช้เป็นการถากถางที่ปรึกษาที่ก้าวร้าวเรียกร้องการโจมตีทางอากาศหรือการบุกคิวบา และโรเบิรต เคนเนดีได้สนับสนุนข้อเสนอของโรเบิรตแมคนามาราต่อการปิดกั้น ลบล้างข้อเสนอของคณะเสนาธิการร่วมต่อการโจมตีทางอากาศ โรเบิรตเคนเนดีได้ยืนยันต่อต้านการโจมตีทางอากาศ การชี้ว่ามันจะเป็นการทำต่อคิวบาเหมือนที่ญี่ปุนได้ทำกับเรา วุฒิสมาชิก เเครนสตัน ได้กล่าวว่า บทเรียนสุดท้ายของวิกฤติจรวดคิวบาเป็นความสำคัญของการวางตัวเราเองภายในรองเท้าของประเทศอื่นภายในสิบสามวันของ ค.ศ 1962 โลกยืนอยู่บนขอบของความหายนะที่คิดไม่ถึง บุคคลทั่วโลกรออย่างกระวนกระวาย ผลลัพธ์ของการเจรจาทางการเมืองและการฑูต และการเผชิญหน้าทางทหารอย่างทรมานใจ การคุกคามสิ้นสุดลงด้วยการโจมตีวันสิ้นโลกของนิวเคลียร์ ระหว่างอเมริกาและรัสเซียหรือไม่ในฐานะของรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมและน้องชายของประธานาธิบดีจอห์น เคนเนดี โรเบิรต เคนเนดีแสดงบทบาทที่สำคัญ บุคลิกภาพและเเรงขับเคลื่อนของเขาทำให้เขานำหน้าความพยายามหลายอย่างนำทางข้อแก้ปัญหาวิกฤติขีปนาวุธในที่สุด เนื่องจากความไว้วางใจที่จอห์น เคนเนดีให้กับเขา โรเบิรต เคนเนดีมีความเป็นอิสระและอำนาจหน้ากระทำภายในนามของประธานาธิบดีการกระทำเหล่านี้มีทั้งบทบาทของเขาเป็นตัวกลางระหว่างจอห์น เคนเนดี และนิกิต้า ครุชชอฟ วางแผนการตอบสนอง และนำทางการอภิปรายและการโต้เถียงท่ามกลางคณะกรรมการบริหารถ้าไม่มีโรเบิรต เคนเนดีแสดงบทบาทนี้แล้ว วิกฤติจรวดคิวบาน่าจะจบลงแตกต่างกันมาก และบางทีนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์อเมริกาและรัสเซียเกือบจะยอมให้จรวดภายในคิวบาจุดเชื้อขยายสงครามอย่างรวดเร็วระหว่างสองมหาอำนาจ จอห์น เคนเนดี เผชิญกับการตัดสินใจยากที่สุดที่ประธานาธิบดีคนใดภายในประวัติศาสตร์ทำถ้าไม่มีน้องชายของเขาแสดงบทบาทที่มีคุณค่านี้ระหว่างวิกฤติ จอห์น เคนเนดี น่าจะเดินตามสัญชาติญานเริ่มแรกของเขาต่อการโจมตีทางอากาศ ด้วยการเสริมแรงจากคำแนะนำของที่ปรึกษาหลายคนของเขาการกดดันเพื่อการปฏิบัติการทางทหารต่อต้านทำเลที่ตั้งจรวดถ้าไม่มีโรเบิรต เคนเนดี จอห์น เคนเนดีต้องพบมันยุ่งยากมากขึ้นที่จะชนะความต้องการเพื่อการปฏิบัติการทางทหาร มันเป็นโรเบิรตเคนเนดีดูแลคณะกรรมการบริหาร หยุดความบ้าคลั่งของการโจมตีทางอากาศภายในวิถีทางของมัน เขาได้เขียนตอบจดหมายของนิกิต้าครุขชอฟและดำเนินการการเจรจาต่อรองลับกับอนาโตลี โดบรีนินวิกฤติจรวดคิวบาเป็นสถานการณ์คลาสสิคที่การเปรียบเทียบมิวนิคเข้ามามีบทบาท ระหว่างช่วงเวลานี้ จอห์น เคนเนดีได้ใช้การเปรียบเทียบกับการปราศัยของเขา เมื่อเขาได้ประกาศว่าเขาจะดำเนินการปิดล้อมคิวบา ภายในการตอบสนองต่อการค้นพบว่ารัสเซียได้ติดต้ังจรวดที่นี่ การถอดเสียงจากเทปของคณะกรรมการบริหารของความมั่นคงเเห่งชาติได้แสดงว่าการเปรียบเทียบมิวนิคได้ถูกใช้ภายในการอภิปรายของรัฐบาลระหว่างวิกฤตินายพลเคอร์ติส เลเมย์ ได้บอกประธานาธิบดีจอห์น เคนเนดีว่าการปฏิเสธของเขาต่อการโจมตีทางอากาศ และใช้การปิดกั้นคิวบาแทนเกือบเลวร้ายเหมือนกับการผ่อนปรน ณ มิวนิค จอห์น เคนเนดี ได้เขียนวิทยานิพนธ์ ณ ฮาร์วาร์ด “Appeasement at Munich” และกลายเป็นหนังสือเล่มแรกของเขา “Why England Slept” เขียนภายใน ค.ศ 1940 เมื่อจอห์น เคนเนดี ยังคงอยู่ภายในมหาวิทยาลัย และพิมพ์ใหม่ภายใน ค.ศ 1961 เมื่อเขาเป็นประธานาธิบดี หนังสือเล่มนี้เป็นการประเมินเหตุการณ์ที่เศร้าสลดนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง มันเป็นเรื่องราวการไม่เตรียมพร้อทของอังกฤษต่อสงคราม และการศึกษาจุดอ่อนของประชาธิปไตย เมื่อมันได้เผชิญกับภัยคุกคามของเผด็จการนิยมทำไมอังกฤษเตรียมพร้อมไม่ดีต่อสงคราม คำถามนี้ได้ถูกครั้งแล้วครั้งเล่าภายในอเมริกาเมื่อเราได้มองเห็นกองกำลังรถถังของฮิตเลอร์แล่นผ่านฮอลแลนด์และเบลเยี่ยม ทะลุแนวป้องกันของฝรั่งเศษ และมุ่งไปสู่ปารีสอังกฤษกำลังทำอะไรในขณะที่ฮิตเลอร์สร้างกองทหารเยอรมันที่ใหญ่โตเมื่อ ค.ศ 1938 วินสตัน เชอร์ชิล ได้พิมพ์หนังสือ “Arms and theCovenant” หนังสือ ได้ถูกพิมพ์ภายในอเมริกาเมื่อ ค.ศ 1938 เป็น “While England Slept” การสำรวจเหตุการณ์โลกระหว่าง ค.ศ 1932 – 1938 มันได้แสดงการขาดการเตรียมพร้อมทางทหารของอังกฤษ ณ เวลานั้นสงครามกำลังจะเกิดขึ้นแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น ส่วนใหญ่ภายในอังกฤษต้องการอยู่ข้างนอกสงคราม และอาศัยสิ่งกีดขวางตามธรรมชาติของอังกฤษ แต่กระนั้นมุมมองวินสตัน เชอร์ชืลได้แพร่หล่าย และมันเป็นจุดเเข็งของหนังเล่มนี้ที่เชอร์ชิลถูกเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ”While England Slept” เป็นหนังสือไม่ใช่นิยาย เขียนโดยวินสตัน เชอร์ชิล หนังสือได้เเสดงการขาดการเตรียมพร้อมทางทหารของอังกฤษที่จะเผชิญกับการการขยายตัวของนาซี เยอรมัน การโจมตีนโยบายในขณะนี้ของรัฐบาลอังกฤษนำโดยนายกรัฐมนตรีอนุรักษ์นิยมเนวิลล เเชมเบอร์ลิน เมื่อ ค.ศ 1940 จอห์น เคนเนดี นักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้พบว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์โดยวินสตัน เชอร์ชิลของเหตุผลสงคราม ดังนั้นเขาได้เขียนหนังสือแด้วยชื่อเกือบจะเหมือนกัน พิจารณาการสร้างอำนาจของเยอรมัน หนังสือได้พิจารณาความล้มเหลวของรัฐบาลอังกฤษจัดการป้องกันสงครามโลกครั้งที่สอง และเห็นได้ชัดต่อกรณีผิดธรรมดาของการไม่ตำหนินโยการผ่อนปรนของรัฐบาลอังกฤษในขณะนั้น ในฐานะของฑูตต่ออังกฤษ โจเซฟ เคนเนดีได้สนับสนุนนโยบายการผ่อนปรนของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เนวิลล์ เเชมเบอร์ลิน ระหว่าง ค.ศ 1930 จอห์นเคนเนดี อาศัยอยู่กับพ่อของเขาภายในอังกฤษ ณ เวลานั้น และมองเห็นการทิ้งระเบิดระเบิดของลุฟท์วัฟเฟ กองทัพอากาศเยอรมันโดยตรงการผ่อนปรนเป็นกลยุทธ์ทางการฑูต มันเกี่ยวพันกับการให้ข้อผ่อนปรนต่ออำนาจต่างประเทศที่ก้าวร้าวเพื่อการหลีกเลี่ยงสงคราม ตัวอย่างที่รู้จักกันดีที่สุดของการผ่อนปรนคือ นโยบายต่างประเทศของอังกฤษต่อนาซีเยอรมันเมื่อ ค.ศ 1930 ด้วยความทรงทำที่นิยมแพร่หลาย การผ่อนปรนได้ถูกเชื่อมโยงกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เนวิลล์ แชมเบอร์ลิน ระหว่าง ค.ศ 1937 และ 1940 แต่กระนั้นการผ่อนปรนนาซี เยอรมันเป็นนโยบายของผู้มาก่อนของเขาด้วย เจมส์ แมคโดนัลด์ และสเเตนเลย์ บอลด์วินด์เมื่อ ค.ศ 1930 ผู้นำอังกฤษเดินตามนโยบายการผ่อนปรนต่อนาซีเยอรมัน เพราะว่าพวกเขาต้องการหลีกเลี่ยงสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้ทำลายยุโรป และทำให้เกิดการเสียชีวิตหลายล้านคนวันนี้โดยทั่วไปการผ่อนปรนถูกมองเป็นความล้มเหลวเพราะว่ามันไม่สามารถป้องกันสงครามโลกครั้งที่สองได้จอห์น เคนเนดีเข้าใจความเสี่ยงภัยของการผ่อนปรน แต่ภายในเวลาความเสี่ยงภัยของนิวเคลียร์ เขาได้ต่อต้านการเปรียบเทียบมิวนิค และหลีกเลี่ยงความหายนะ เขาได้เขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับอังกฤษไม่ได้เตรียมพร้อมเพื่อสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ ค.ศ 1983 จนกระทั่งเนวิลล์ เเชมเบอร์ลิน ไม่มีทางเลือกน้อย และต้องยอมแก่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จอห์น เคนเนดีมองว่า ถ้าอังกฤษและฝรั่งเศสเข้าสู่สงครามเมื่อ ค.ศ 1938 พวกเขาอาจจะแพ้ ณ การประชุมมิวนิค ค.ศ 1938 ภายในเยอรมัน ฝรั่งเศสและอังกฤษเดินตามนโยบายของการผ่อนปรนแก่อดล์ฟ ฮิตเลอร์ เลือกที่จะไม่ท้าทายเขาต่อการยึดครองเชคโกสโลวาเกียของเขา ด้วยความหวังว่าการรุกรานของเยอรมันต่อประเทศเพื่อนบ้านจะหยุดลงที่นี่ เเละสงครามภายในยุโรปสามารถหลีกเลี่ยงได้แต่กระนั้นนโยบายการผ่อนปรนนี้เพื่อการป้องกันสงครามโลกครั้งที่สอง ได้ล้มเหลว นโยบายการผ่อนปรนประเมินความทะเยอทะยานของอดอล์ฟฮิตเล่อร์ ต่ำเกินไป ด้วยความเชื่อว่าการยินยอมเพียงพอจะรักษาสันติภาพที่ยั่งยืน การเปรียบเทียบมิวนิค กลายเป็นถ้อยคำใช้อธิบายการตัดสินใจของนโยบายต่างประเทศที่อ่อนแอ

อังกฤษและฝรั่งเศสได้ประกาศสงครามกับเยอรมันเมื่อ 3 กันยายน 1939 สองวันภายหลังการบุกโปแลนด์ของเยอรมัน การรับประกันให้แก่โปแลนด์โดยอังกฤษและฝรั่งเศสแสดงการสิ้นสุดของนโยบายการผ่อนปรน การสร้างความหวังของการหลีกเลี่ยงสงคราม การผ่อนปรนเป็นชื่อที่ให้กับนโยบายของอังกฤษเมื่อ ค.ศ 1930 ของการยอมให้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ขยายพื้นที่เยอรมันที่ไม่ตรวจสอบ มันเชื่อมโยงใกล้ชิดที่สุดกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เนวิลล์ เเชมเบอร์ลิน ในขณะนี้มันได้ถูกยกเลิกไปส่วนใหญ่ เพราะว่ามันเป็นนโยบายของความอ่อนแอ แต่ ณ ขณะนั้น ม้นเป็นนโยบายที่นิยมแพร่หลายและปฏิบัติกันภายในอังกฤษแล้ว ข้อตกลงมิวนิคได้ถูกรับรองเป็นข้อบังคับ แต่กระนั้นวินสตัน เชอร์ชิลที่หมางเมินจากรัฐบาล และเป็นบุคคลหนึ่งของไม่กี่คนต่อต้านการผ่อนปรนกับฮิตเลอร์ อธิบายมันเป็นความหายนะที่แท้จริงวินสตัน เชอร์ชิล ได้กล่าวอ้างอิงบุคคลที่พยายามทำข้อตกลงสันติภาพกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ว่า ผู้ผ่อนปรนเป็นบุคคลที่ให้อาหารจระเข้ หวังว่ามันจะกินเขาสุดท้าย ถ้อยคำอ้างอิงนี้ใช้การเปรียบเทียบที่ถ่ายทอดอันตรายของการผ่อนปรน และการไร้ประโยชน์ของความพยายามทำให้ผู้รุกรานสงบลง ด้วยความหวังของการหลีกเลี่ยงอันตรายภายในความรู้สึกของถ้อยคำเปรียบเทียบ จระเข้แสดงการคุกคามหรือกองกำลังที่ไม่เป็นมิตร ในขณะที่ผู้ผ่อนปรนแสดงบุคคลบางคนที่พยายามทำให้การคุกคามนั้นสงบลง หวังที่จะหลีกเลี่ยงหรึอถ่วงเวลาผลตามมาทางลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คำพูดอ้างอิงนี้แสดงความหมายแฝงทางการเมือง และมักจะเชื่อมโยงกับนโยบายการผ่อนปรนเดินตามโดยผู้นำบางคนก่อนสงครามโลกครั้งที่สองแม้ว่าด้วยคำสัญญาของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ไม่มีความต้องการพื้นที่ภายในยุโรปเพิ่มขึ้น เมื่อ ค.ศ 1939 เขาได้ละเมิดข้อตกลงมิวนิค ด้วยการยึดครองส่วนที่เหลืออยู่ของเชคโกสโลวาเกีย และหกเดือนต่อมาเมื่อ ค.ศ 1939 เยอรมันได้บุกโปเเลนด์ และอังกฤษได้เข้าสู่สงครามเมื่อ ค.ศ 1940 วินสตัน เชอรฺชิลได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษสืบต่อจากเนวิลล์ เเชมเบอร์ลิน เขาได้สร้างรัฐบาลแห่งชาติ และดูแลการยุ่งเกี่ยวของอังกฤษต่อสู้นาซีเยอรมัน วินสตัน เชอร์ชิล ได้ นำอังกฤษไปสู่ชัยชนะภายในสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้เขียนว่าผมรู้สึกว่า…..ชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของผมที่เคยเป็น เว้นแต่การเตรียมพร้อมเพื่อชั่วโมงนี้ และเพื่อการทดลองนี้ เมื่อตอนกลาง ค.ศ 1930 ความสนใจของโลกอยู่ที่เยอรมัน ผู้นำนาซี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ กำลังสร้างการเรียกร้องเพื่อพื้นที่และการผ่อนปรนอย่างอื่น ชุมชนระหว่างประเทศได้ถูกแบ่งเเยกอเมริกาได้ถอนตัวจากเหตุการณ์โลก ผู้นำของประเทศส่วนใหญ่ภายในยุโรปตะวันออก และผู้นำรัสเซีย โจเซฟ สตาลิน ต้องการให้อดอล์ฟฮิตเลอร์หยุดการขยายพื้นที่ พวกเขาได้มองดูที่อังกฤษและฝรั่งเศสที่จะหยุดอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เเต่ภายในอังกฤษและฝรั่งเศส ผู้นำของพวกเขาเชี่อมั่นน้อยมาก นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เนวิลล์ แชมเบอร์ลิน ชอบนโยบายการผ่อนปรน การอ่อนข้อต่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และฝรั่งเศสได้สนับสนุนนโยบายของอังกฤษภายในปลาย ค.ศ 1930 รัฐบาลนาซีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้แสวงหาอย่างก้าวร้าวเพื่อการขยายพื้นที่ โดยไม่มองเงื่อนไขของสนธิสัญญาแวร์ซายส์ และคุกคามความมั่นคงของยุโรป เนวิลล์ แชมเบอร์ลิน นายกรัฐมนตรีอังกฤษในขณะนั้นเดินตามนโยบายการผ่อนปรน ความเชื่อว่าด้วยการยินยอมและการประนีประนอม เขาสามารถตอบสนองความทะเยอทะยานทางพื้นที่ของฮิตเลอร์และรักษาสันติภาพได้เนวิลล์ แชมเบอร์ลิน และผู้นำตะวันตกคนอื่น ได้ใช้การเจรจาต่อรองและการยินยอมทางการฑูต ด้วยความพยายามหลีกเลี่ยงสงครามเต็มที่ วิถีทางนี้มีทั้งการลงนามข้อตกลงมิวนิคเมื่อ ค.ศ 1938 การยอมให้เยอรมันผนวกพื้นที่ซูเดนเทนลันด์ของเชคโกสโลวาเกียเเต่กระนั้นความทะเยอทะยานของอดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ได้พิสูจน์ความไม่รู้จักพอ และนโยบายการผ่อนปรนล้มเหลวที่จะขัดขวางการรุกรานของเขา มันกลายเป็นชัดเจนว่าอดอล์ฟฮิตเลอร์ได้หาประโยชน์การยินยอมโดยเนวิลล์ แชมเบอร์ลิน และใช้มันเป็นวิธีการก้าวไปยึดครองพื้นที่ต่อไปความล้มเหลวของนโยบายการผ่อนปรนที่จะป้องกันการระเบิดของสงครามโลกครั้งที่สอง ได้เเสดงอันตรายของหลักการเสียสละ และให้การยืนยอมที่จะผ่อนปรนผู้รุกราน คำพูดอ้างอิงการเปรียบเทียบของการให้อาหารจระเข้ ด้วยความหวังว่าที่จะชะลอโชคชะตาของตัวเอง สะท้อนการไร้ประโยชน์และสายตาสั้นของนโยบายการผ่อนปรนในฐานะผู้นำของนาซี เยอรมัน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้เดินตามนโยบายต่างประเทศรุกราน เขาไม่มองพรมแดนและข้อตกลงระหว่างประเทศที่ได้สร้างตามมาสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นาซีต้องการฟื้นฟูเยอรมันไปสู่สถานภาพอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ด้วยการทำลายสนธิสัญญาแวรซายส์สนธิสัญญาได้พยายามจำกัดอำนาจทางเศรษฐกิจและทหารของเยอรมัน มันยึดเยอรมันรับผิดชอบต่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และบังคับให้เยอรมันจ่ายค่าชดใช้สงคราม สนธิสัญญาได้ลดพื้นที่เยอรมันลงและจำกัดขนาดของทหารเยอรมันด้วย นาซีได้วางแผนที่จะสร้างใหม่ทหารเยอรมัน และยึดพิ้นที่เสียไปกลับคืน แต่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และนาซีวางแผนไปไกลมากว่าเพียงแค่ทำลายสนธิสัญญาแวร์ซายส์ พวกเขาต้องการรวมชาวเยอรมันทุกคนเป็นหนึ่งเดียวภายในอาณาจักรนาซี และขยายตัวด้วยการยึดครองพื้นที่อาศัย – เลเบินเราส์ ภายในยุโรปตะวันออกเมื่อ ค.ศ 1933 รัฐบาลอังกฤษได้ตระหนักความคิดของฮิตเลอร์เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศและสงคราม ฑูตอังกฤษต่อเยอรมันได้ส่งรายงานกลับไปลอนดอน รายงานได้สรุปสนธิสัญญาทางการเมืองและชีวะประวัติ”Mein Kanpf” ของฮิตเลอร์ รายงานฉบับนี้ทำให้มองเห็นความต้องการของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ชัดเจนใช้สงครามและทหารเขียนแผนที่ใหม่ของยุโรปรัฐบาลอังกฤษไม่มั่นใจจะยึดคำแถลงของฮิตเลอร์อย่างจริงจังหรือไม่หรือตอบสนองกับมันอย่างไร แต่เนวิลล์ เเชมเบอร์ลินเชื่อว่ารัฐบาลอาจจะเจรจาต่อรองกับฮิตเลอร์โดยสุจริต เขาหวังว่าด้วยการผ่อนปรนฮิตเลอร์ เช่น เห็นด้วยต่อความต้องการบางอย่างของเขา นาซีจะไม่ใช้สงครามแต่บุคคลอื่นได้เตือนว่าฮิตเลอร์ไม่อาจจะไว้วางใจด้วยมาตรฐานปรกติของการฑูตระหว่างประเทศ โดดเด่นที่สุดของเสียงตอบโต้เป็นวินสตัน เชอร์ชิล เขาเป็นเสียงทางการเมืองที่มีชื่อเสียง และสมาชิกของรัฐสภาเมื่อ ค.ศ 1930 เขาได้ออกคำเตือนสาธารณะซ้ำซากเกี่ยวกับอันตรายของฮิตเลอร์ต่ออังกฤษการประชุมมิวนิค เป็นการประชุมระหว่างประเทศเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ 1938 ภายในมิวนิค เยอรมัน ผู้เข้าร่วมประชุมคือ เนวิลล์ แชมเบอร์ลิน อังกฤษ เอดูอาร์ ดาลาเดียร์ ฝรั่งเศส ฮิตเลอร์ เบนิโต อิตาลี รัฐบาลเชคโกสโลวาเกีย ไม่ได้เข้่าร่วมภายในการเจรจาต่อรอง เเชมเบอร์ลิน และผู้นำคนอื่นตกลงต่อการยอมยกให้ซูเดเทินเเลนด์แก่เยอรมันภายในการเเลกเปลี่ยนต่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้เลิกการเรียกร้องใดก็ตามต่อส่วนที่เหลืออยู่ของเชคโกสโลวาเกีย สงครามได้ถูกหลีกเลี่ยงไปชั่วขณะหนึ่ง วินสตัน เชอร์ชิล ได้กล่าวตำหนิข้อตกลงมิวนิค เขาได้อ้างถึงมันเป็นความพ่ายแพ้โดยส่วนรวมและแท้จริง ต่ออังกฤษและส่วนที่เหลือของยุโรป วินสตัน เชอร์ชิล ยืนยันว่านโยบายการผ่อนปรนของอังกฤษได้ประนีประนอมอย่างลึกซึ้ง และบางทีทำให้เป็นอันตรายอย่างร้ายแรงความปลอดภัยและแม้แต่ความเป็นกลางของอังกฤษและฝรั่งเศสข้อตกลงมิวนิคได้ล้มเหลวที่จะหยุดการรุกรานทางพื้นที่ของนาซีเยอรมัน เมื่อ ค.ศ 1939 นาซี เยอรมันได้รื้อเชคโกสโลวาเกีย และยึดครองแผ่นดินเชค รวมทั้งปราก มันชัดเจนว่าเป้าหมายต่อไปของนาซีคือโปแลนด์ เพื่อนบ้านของเยอรมันทางตะวันออก การบุกแผ่นดินเชคของนาซี ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของอังกฤษ รัฐบาลอังกฤษได้เริ่มต้นเตรียมพร้อมต่อสิ่งที่ดูเหมือนสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ภายหลังในไม่ช้านาซียึดครองปราก รัฐบาลอังกฤษและฝรั่งเศสได้รับประกันการช่วยเหลือป้องกันอธิปไตยของโปแลนด์ เมื่อ ค.ศ 1939 นาซี ได้บุกโปแลนด์ และต่อมารัฐบาลอังกฤษและฝรั่งเศสได้ประกาศสงครามกับเยอรมัน การประกาศเหล่านี้ทำให้การบุกโปแลนด์ของเยอรมันกลายเป็นสงครามที่กว้างขึ้นเรียกกันเป็นสงครามโลกครั้งที่สองเนวิลล์ แชมเบอร์ลิน ได้ลาออกจากนายกรัฐมนตรีเมื่อ ค.ศ 1940 เขาได้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเมื่อ ค.ศ 1940 วินสตัน เชอร์ชิลได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรียามสงครามของอังกฤษ เขาได้กำหนดนโยบายยามสงครามของอังกฤษ และบริหารพันธมิตรยามสงครามของอังกฤษกับอเมริกาและรัสเซีย ตลอดห้าปีต่อมา อังกฤษได้ต่อสู้กับนาซีภายในยุโรป อัฟริกาเหนือ และตะวันอกกกลาง ความเป็นผู้นำที่กล้าหาญของเขาได้กระตุ้นอังกฤษและพันธมิตรของเขาชนะเยอรมันภายในสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อการได้ชัยชนะดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างมาก

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *