INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

นาโต้แห่งเอเชีย-แปซิฟิค ความจริงหรือความฝัน

คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ

ทหารประชาธิปไตย

นาโต้แห่งเอเชีย-แปซิฟิค ความจริงหรือความฝัน

การไปเยือนญี่ปุ่นของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ก่อให้เกิดเสียงร่ำลือในหมู่นักปลุกระดมไทยกลุ่มหนึ่ง เรื่องนาโต้ 2 ที่คนเหล่านั้นวิตกกังวลว่าไทยจะเข้าไปอยู่ในวังวนของความขัดแย้ง เพราะวัตถุประสงค์ที่ไบเดนไปพูดคุยกันที่ญี่ปุ่น คือการกระชับความร่วมมือภาคีแห่งความมั่นคง Quad กับผู้นำเหล่าชาติจตุรมิตร โดยมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การสร้างข้อตกลงความร่วมมือด้านความมั่นคงและการทหาร ซึ่งเริ่มจากภาคี Quad คือ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และสหรัฐฯ

            นอกจากนี้สหรัฐฯยังมีเป้าหมายที่จะสร้างวงล้อมกีดกันจีนออกจากวงจรเศรษฐกิจที่จีนได้ประโยชน์อย่างยิ่งจากระบบการค้าเสรี โดยสหรัฐฯต้องการสร้างระบบที่จะสร้างผลประโยชน์ร่วมกันในกรอบเศรษฐกิจที่ตนเองเป็นผู้วางกฎระเบียบ ซึ่งสหรัฐฯ จะเน้นว่าสหรัฐฯต้องการสร้างระบบที่จะเกิดการจ้างงานในสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับระบบการค้าที่ประเทศต่างๆ จะได้ประโยชน์ในการส่งออกแทนที่สินค้าของจีน

ด้วยเหตุนี้สหรัฐฯ จึงริเริ่มสร้างกรอบเศรษฐกิจที่เรียกว่า Indo-Pacific Economic Framwork(IPEF) โดยเริ่มต้นด้วยสมาชิก 7 ชาติอาเซียน ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม บรูไน และสิงคโปร์ กับประเทศในกลุ่ม Quad (จตุรมิตร) คือ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อินเดีย และขยายวงไปถึงเกาหลีใต้กับนิวซีแลนด์ รวมเป็น 13 ประเทศ

ดังนั้นการผนวกกำลังจาก Quad เข้ากับกลุ่มอาเซียน และเกาหลีใต้ บวกนิวซีแลนด์ก็แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ต้องการผนึกกำลัง 2 เรื่อง เข้าด้วยกัน คือความมั่นคงการทหารและเศรษฐกิจการค้าเข้าด้วยกัน

ด้วยทิศทางดังกล่าวในอนาคต สหรัฐฯก็จะเป็นผู้นำองค์การความร่วมมือทางทหารถึง 2 ภูมิภาค คือ ยุโรป และเอเชีย นั่นคือแนวปิดล้อมรัสเซียในยุโรป และแนวปิดล้อมจีนในเอเชีย

            แม้ว่าในขณะนี้ NATO ในเอเชียยังเป็นเพียงวุ้น แต่ก็มีสมาชิก Quad (จตุรมิตร) บางประเทศเริ่มมีท่าทีแข็งกร้าวต่อรัสเซียในกรณียูเครน เช่น ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ที่ประกาศแซงก์ซั่นรัสเซียอย่างเข้มข้น

อย่างไรก็ตามการจัดตั้งกลุ่มภาคีที่แบ่งแยกขั้วและค่ายในเอเชีย-แปซิฟิค  โดยแผนการจัดตั้ง NATO ของสหรัฐฯสำหรับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค แทนที่จะเป็นการสร้างเสถียรภาพขึ้นในภูมิภาค กลับจะทำให้เกิดการเผชิญหน้าและความขัดแย้ง อันจะก่อให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพในภูมิภาคได้อย่างมาก

หลายทศวรรษมาแล้วที่ภูมิภาคนี้สามารถสร้างเสถียรภาพให้เกิดขึ้นด้วยการ “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” ไม่ว่าจะเป็นระบอบการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ แม้แต่การไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน ทำให้ไม่เกิดความขัดแย้งในหมู่สมาชิกอย่างอาเซียน หรือประเทศอื่นๆในภูมิภาคในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะทางภูมิรัฐศาสตร์ หรืออุดมการณ์ทางการเมือง

ดังนั้นการจัดตั้งเป็นกลุ่มเป็นพวก จึงนำมาซึ่งความขัดแย้ง หรืออีกนัยหนึ่งคือ การจัดตั้ง NATO เป็นการนำยาพิษมาสู่ภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะนำมาซึ่งการล่มสลายของสมาคมอาเซียนที่ก่อตั้งมา 55 ปีแล้ว

            การรุกเข้ามาในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิคนี้ สหรัฐฯได้มีการวางยุทธศาสตร์ไว้นานแล้ว โดยเฉพาะในยุคโอบามา แต่มาเชื่องช้าลงในสมัยทรัมป์ ซึ่งเน้นการทำสงครามการค้ากับจีนโดยตรง

ทว่าไบเดน ได้นำแผนเหล่านั้นมาปฏิบัติอย่างเข้มข้นไม่ใช่เฉพาะแค่การสร้าง Quad และการสร้างข้อตกลงในการถ่ายโอนเทคโนโลยีในการสร้างเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ให้ออสเตรเลียที่ใช้เวลาประชุมร่วมจนตกลงกันได้ไม่ถึงปี ในการจัดตั้ง AUKUS ระหว่างสหรัฐฯ – อังกฤษ –ออสเตรเลียซึ่ง ก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่จะนำเข้าไปผนวกเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการปิดล้อมจีนในทุกมิติ

ที่น่าประหลาดใจ คือ ท่าทีของสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ที่ถอนตัวจากยุโรป (EU) แต่เข้ามากระชับสัมพันธ์กับออสเตรเลีย และภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค และก็ยังมีบทบาทชี้นำร่วมกับสหรัฐฯ ในกรณีความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย โดยส่งอาวุธและเงินเข้าไปสนับสนุนยูเครน กับท่าทีเป็นปรปักษ์กับรัสเซียอย่างแข็งกร้าว เพื่อประกาศศักดาของผู้นำในยุคล่าอาณานิคม แม้มันจะล่มสลายไปแล้วก็ตาม

ความขัดแย้งระหว่าง 2 ขั้ว 2 ค่าย ทวีความรุนแรงขึ้นมา ตลอดตั้งแต่สงครามการค้า มาจนถึงความขัดแย้งทางความคิดทางการเมือง ญี่ปุ่นเองก็มีความตึงเครียดกับจีนในกรณีหมู่เกาะเซนกากุ (เตียวหยู) และทะเลจีนใต้ที่ญี่ปุ่นถือเป็นภัยคุกคามต่อเส้นทางเดินเรือของตน

กรณีไต้หวันก็จะเป็นอีกชนวนของความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ

ที่สำคัญมีการเชื่อมโยงข้อตกลงต่างๆในการผนึกกำลัง เช่น ANZUS (ข้อตกลงความมั่นคงออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐฯ) ข้อตกลง FIVE EYES INTELLIGENCE ระหว่างออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา และสหรัฐฯ

ในอีกมุมมองการก่อตั้งแนวป้องกันจีน ด้วยการผนวกเอาข้อตกลงต่างๆเพื่อการจัดตั้งเป็น NATO แห่งเอเชีย-แปซิฟิค ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แม้สหรัฐฯจะออกแรงผลักดันอย่างเข้มข้น

ประการแรกอินเดียได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะเป็นอิสระทางการดำเนินนโยบายการค้าและการเมือง และจะส่งเสริม Quad ในทางสร้างสรรค์เท่านั้น ตัวอย่างเช่นที่อินเดียได้ดำเนินการค้าขายกับรัสเซีย เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ โดยไม่ยอมทำการแซงก์ซั่นตามการชี้นำของสหรัฐฯ

ประการที่สองออสเตรเลีย ภายหลังการเลือกตั้งที่นายมอร์ลิสสัน ที่มีสัมพันธ์แนบแน่นกับสหรัฐฯ ต้องตกเก้าอี้ไป โดยมีหัวหน้าพรรคแรงงาน นายแอนโทนี อัลบาเนซีขึ้นมาแทน ซึ่งอาจจะเปิดสัมพันธ์ด้านการค้ากับจีนใหม่ ภายหลังความตึงเครียดด้านความสัมพันธ์ที่เสื่อมโทรมสมัยรัฐบาลก่อน เพราะออสเตรเลียมีสินค้าออกที่จีน ต้องการมาก คือเนื้อสัตว์และนม ซึ่งฝั่งออสเตรเลีย ถือเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญที่มีเกษตรกรเกี่ยวข้องจำนวนมาก

ประการที่สามอาเซียนซึ่งตั้งแต่ก่อตั้งมีการตกลงร่วมกันที่จะดำเนินนโยบายเป็นกลาง และไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน แต่ปัจจุบันท่าทีนี้เริ่มปริแยก โดยมีการแบ่งฝักฝ่าย หากอาเซียนจะเข้าร่วมในการจัดตั้งบล็อกเพื่อปิดล้อมจีน โดยมีประเทศจำนวนหนึ่งที่ได้เข้าร่วม IPEF ไปแล้ว หากยังถลำลึกต่อไปจนจัดตั้งเป็น NATO เอเชีย-แปซิฟิคแล้ว ก็คงถึงคราวล่มสลายของอาเซียน ที่ตั้งมากว่าครึ่งศตวรรษ ทางเลือกของอาเซียนที่จะดำรงสภาพต่อไปก็คือ การเข้าร่วมในบริบททางการค้าทั้ง 2 ขั้ว 2 ค่าย และไม่ร่วมในข้อตกลงในทางทหาร แต่ดำรงสภาพของความเป็นกลางและเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ตามเจตนารมณ์เดิม แม้โดยรวมอาเซียนจะเสียดุลการค้ากับจีนมาตลอด

จะเอาอย่างไรอาเซียนต้องพิจารณาให้รอบคอบ มิฉะนั้นอาจเป็นการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน ท่ามกลางความขัดแย้ง

ประการสุดท้ายญี่ปุ่นและอาจรวมเกาหลีเริ่มจะทนไม่ไหวกับการแซงค์ชั่นพลังงานจากรัสเซียเพราะมันคือสายเลือดสำคัญในการหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของตนเอง

ยิ่งมีสมาชิกมากนาโต้ตะวันออกก็จะมีปัญหาความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างสมาชิกเหมือนกับนาโต้ตะวันตกและจะนำไปสู่ความล้มเหลวในที่สุด

 

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *