ทุนนิยมที่ไร้ความรับผิดชอบ กับการล่มสลายของจักรวรรดิ
ทุนนิยมที่ไร้ความรับผิดชอบ กับการล่มสลายของจักรวรรดิ
ศ.พล.ท.ดร. สมชาย วิรุฬหผล
แม้ภาพรวมจะดูว่าสหรัฐกำลังฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วด้วยมาตรการทั้งทางการเงินและการคลังที่ทุ่มเทด้วยเงินมหาศาล ในขณะเดียวกันรัฐบาลสหรัฐเร่งระดมฉีดวัดซีนให้ประชาชนเพื่อลดภัยคุกคามจากโควิด ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นที่จะออกมาจับจ่ายใช้สอย
แต่ถ้ามองเบื้องลึกจะเห็นว่าข้างในฐานรากของเศรษฐกิจสหรัฐนั้นมันกลวง เพราะสังคมการบริโภคของประชาชนตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเอาเงินในอนาคตมาบริโภค นั้นคือการกู้เงินเป็นหนี้สินมาบริโภค
ทางด้านสถาบันการเงินก็คิดประดิษฐ์เครื่องมือทางการเงิน (FINANCIAL INSTRUMENT) ใหม่ๆขึ้นมา เช่น ซับไพร์ม ที่เอารายได้อนาคตออกมาเป็นตราสารการเงินแล้วขยายผลด้วยการชักชวนการลงทุนด้วยอสังหาริมทรัพย์สุดท้ายเมื่อฟองสบู่แตก มันก็ล่มกันเป็นโดมิโน่ เพราะผู้ถือเอกสารการเงินเหล่านั้นมิได้เป็นเข้าของกรรมสิทธิในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง
ตัวอย่างคือกรณีที่ดอยช์แบงค์ฟ้องศาลในสหรัฐเพื่อบังคับคดียึดบ้านที่ขาดการชำระหนี้ ซึ่งเมื่อศาลวิเคราะห์แล้วก็วินิฉัยว่าผู้ฟ้องยึดทรัพย์มิได้เป็นเจ้าหนี้โดยตรงกับผู้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์จึงไม่มีสิทธิ์ไปยึดบ้านเขา เรื่องนี้บานปลายออกไปและมีการไล่เบี้ยกันหลายทอด จนกลายเป็นวิกฤติกาลทางการเงินที่เรียกว่า ซับไพร์มและทำให้เศรษฐกิจสหรัฐหัวทิ่ม ส่งผลกระเทือนต่อเศรษฐกิจโลก
ในครั้งนี้เครื่องมือทางการเงินอีกตัวที่อาจมีปัญหาในอนาคตอันใกล้ก็คือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ REAL ESTATE INVESTMENT TRUST ที่พัฒนามาจาก PROPERTY FUND โดยกองทุน REIT นี้มีหลายกองใกล้จะหมดอายุ (10 – 18 ปี) ทั้งนี้ปัญหาอยู่ที่ผู้บริหารกองทุน REIT หลายกองไม่สามารถใช้เงินคืนผู้ลงทุนได้ตามกำหนด ซึ่งมันจะกลายเป็นปัญหาบานปลายใหญ่โตคล้ายซับไพร์มได้
ในระดับมหภาค รัฐบาลสหรัฐในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมามีหนี้สินกองโตจากหลายสาเหตุ ประการแรกแต่ละรัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณขาดดุลมาโดยตลอด ทั้งการดำเนินโครงการต่างๆภายในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการต่างประเทศที่ออกไปทำสงครามหรือสนับสนุนสงครามภายนอกประเทศ เช่นที่ อิรัก อัฟกานิสถาน การสนับสนุนจำนวนมหาศาลให้อิสราเอล สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม, เป็นต้น
ประการที่ 2 สหรัฐโดยรวมมีดุลการค้าขาดดุลต่อเนื่องทำให้เงินดอลล่ารไปตกอยู่ในมือของประเทศต่างๆ เป็นจำนวนมากซึ่งนั้นคือหนี้และยังไม่นับรวม TREASURLY BILL กับ BOND ที่ออกมาค้ำประกันการกู้เงินบวกกับการใช้นโยบายพิมพ์เงินเพิ่ม (QUANTITATIVE EASING MONETARY POLICY) โดยไม่มีทุนสำรองหรือฐานเศรษฐกิจที่มั่นคงค้ำจุน
หากจะเข้าใจสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐในระดับมหภาคแล้วต้องนำย้อนกลับไปถึงกำเนิดของปัญหาที่สะสมหมักหมมมายาวนานในประวัติศาสตร์
ในปี ค.ศ 1944 สหรัฐเป็นผู้จัดหาอาวุธให้กับฝ่ายพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้นเมื่อออกจากสงครามย่อมมีฐานะที่มั่นคงมากกว่าประเทศอื่นๆ ทีเข้าสู่สงครามก่อนหน้านี้และประเทศเสียหายยับเยิน เงินในคลังและทองคำที่มีสำรองอยู่ถูกใช้ไปจนหมด สหรัฐจึงถือทองคำอยู่สามในสี่ของทองคำบนโลกในขณะนั้น จึงมีอำนาจที่จะบงการหรือกำหนดมาตรการทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกเสรีที่เรียกว่า NEW WORLLD ORDER คือ การกำหนดระเบียบโลกใหม่ จากการประชุมที่ BRETTON WOODS จนเกิดการจัดตั้งองค์การหลักขึ้นมา 3 องค์การ นั่นคือองค์การสหประชาชาติ(UN) ธนาคารโลก(IBRD-WORLD BANK) และ IMF (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ)
ด้วยองค์การทั้ง 3 สหรัฐสามารถสร้างความยิ่งใหญ่ในการควบคุมบังคับบัญชาโลกเสรีทั้งมวล โดยมีกองทัพหนุนหลัง
จากการที่สหรัฐใช้จ่ายเงินแบบขาดดุล และการขาดดุลการค้าจึงมีเงินไหลออกจำนวนมาก ซึ่งตามสภาพเงินดอลล่าร์ถือเป็นเงินสกุลหลักในการค้าขาย จึงต้องผลิตเงินออกมาให้เพียงพอต่อการค้าของโลก
นอกจากนี้การใช้จ่ายในเรื่องกองทัพที่ต้องเป็นหลักในการค้ำจุนอำนาจของสหรัฐทำให้สหรัฐมีภาระหนี้สินจำนวนมาก ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวเลขหนี้สาธารณะที่เพิ่มจาก 70% ของจีดีพีเป็น 100% ของจีดีพี แต่ยังมีตราสารหนี้ต่างๆที่สหรัฐออกมาเพื่อสนับสนุนนโยบาย QE ในการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ละครั้งก็ทำให้สหรัฐมีหนี้กับรัฐบาลต่างประเทศจำนวนมาก
เมื่อเงินดอลล่าร์ออกมามากมูลค่าก็ย่อมลดลงซึ่งแต่เดิมเงินดอลล่าร์เคยอิงกับค่าทองคำนั่นคือ 35 ดอลล่าร์เท่ากับทองคำ 1 ออนซ์ คือการสร้างหลักประกันว่า ใครก็ตามที่ต้องการเอาดอลล่าร์มาแลกทองคำที่สหรัฐสำรองไว้ที่ฟอร์ดน๊อกซ์ย่อมทำได้เสมอในราคานั้น
แต่ในโลกความเป็นจริงในยุคของประธานาธิบดีนิกส์สันปรากฏว่า ราคาทองคำในตลาดโลก 1 ออนซ์มีมูลค่าถึง 120 ดอลล่าร์ นิกส์สันจึงจำต้องประกาศยกเลิกการอิงดอลล่าร์กับทองคำ
อย่างไรก็ตามเพื่อให้เงินดอลล่าร์ยังเป็นที่ยอมรับในตลาดนิกส์สันจึงเจราจากับกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีการขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐและยังต้องพึ่งพาการตลาดของตะวันตก นั้นคือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ซื้อ-ขายและกลั่นน้ำมันในโลกมี 7 บริษัทเรียกว่า SEVEN SISTERS มีบริษัทของสหรัฐอยู่ 5 บริษัทแล้วจึงไม่เป็นการยากที่กลุ่มผู้ผลิตยินยอมให้ตั้งเป็นเงื่อนไขในการซื้อ-ขาย น้ำมันดิบเป็นดอลล่าร์สหรัฐนั่นคือที่มาของเปโตรดอลล่าร์และนั่นทำให้ประเทศต่างๆก็ยังคงมีความต้องการถือเงินดอลล่าร์อยู่ต่อไป แม้จะไม่มีทองคำหนุนหลัง
เรื่องความเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจอันเกิดจากความไม่รับผิดชอบต่อส่วนรวมของสหรัฐ นับเป็นความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่
ในยุคของจักรวรรดิโรมันเมื่อผู้นำของจักรวรรดิต้องการขยายดินแดน โดยการล่าอาณานิคมและขูดรีดเอาความมั่นคั่งกลับมาใช้จ่ายปรนเปรอกันในหมู่ผู้ปกครองโรม ขณะเดียวกันจักรวรรดิก็ต้องการกองทัพที่ใหญ่โตและเข้มแข็ง จึงต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่จะขยายกองกำลัง ตลอดจนทหารรับจ้างเพื่อการควบคุมเมืองขึ้นต่างๆ
สุดท้ายความฟุ่มเฟือยจากการใช้จ่ายของผู้ปกครองและภาระค่าใช้จ่ายของกองทัพที่เพิ่มขึ้นตลอดโดยเฉพาะยุคหลังเป็นรูปแบบของกองทหารรับจ้าง ก็ทำให้เกิดวิกฤตขึ้นเมื่อรายได้ไม่พอกับรายจ่ายทำให้กองทัพได้เงินลดลงในที่สุดก็เป็นภัยคุกคามต่อจักรวรรดิโรมันและกลายเป็นผู้ทำลายกรุงโรมศูนย์กลางของจักรวรรดิในที่สุด
เรื่องทำนองนี้ก็เคยเกิดมาแล้วในยุคกลาง เมื่อจักรวรรดิสเปญขยายกองกำลังทางเรือไปล่าเมืองขึ้น และกอบโกยเอาทรัพยากรโดยเฉพาะทองคำมาบำรุงบำเรอราชสำนัก สุดท้ายรายจ่ายท่วมหัวและไม่อาจเก็บภาษีเพิ่มได้เพราะเกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงที่ทำลายระบบการผลิตภายในประเทศลง มหาอำนาจอย่างสเปญก็ล่มสลาย
สหรัฐอเมริกาก็กำลังเผชิญกับสภาพเดียวกันยิ่งเศรษฐกิจภายในที่กลวง เพราะ PRODUCTIVITY หรือ ผลิตภาพต่ำในขณะที่ค่าแรงเพิ่มสูงขึ้น ด้วยต้นทุนที่สูงแบบนี้ความสามารในการแข่งขันของสหรัฐก็ลดลง ก็ยังดีที่สหรัฐยังมีความได้เปรียบในเรื่องนวตกรรมและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แต่ช่องว่างนี้ก็แคบเข้าไปทุกที เพราะจีนก้าวตามมาติดๆและบางส่วนก็ก้าวล้ำหน้าไปแล้ว
ระบบไอทีที่สหรัฐเคยเป็นเสือนอนกินจาก 1 จี ไปถึง 3 จี และแพลตฟอร์มต่างๆเช่น FB กูเกิล ตลอดจนเครือข่ายการสื่อสารกำลังถูกจีนเข้าแย่งยื้อในระบบ 4 จี และ 5 จี
ไม่ใช่การเข้าแข่งขันในตลาดไอทีเท่านั้น แต่ระบบธนาคารก็กำลังถูกท้าทาย โดยจีนเริ่มตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย ก็เป็นสัญญานของการเข้าแข่งขันกับธนาคารโลกที่เป็นเครื่องมือของสหรัฐในระบบการควบคุมโลก
นอกจากนี้ทั้งจีนและรัสเซียยังประกาศชัดเจนที่จะลดการถือครองหรือเงินทุนสำรองเงินดอลล่าร์ลง ซึ่งเป็นการซ้ำเติมสภาพของเปโตรดอลลล่าร์ เพราะน้ำมันจากฟอสซิลกำลังจะถูกแทนโดยพลังงานอื่นๆ เมื่อน้ำมันถูกใช้น้อยลงไม่เหมือนยุคเฟื่องฟูของการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปจากพลังงานเชื้อเพลิงที่แปรรูปน้ำมันดิบ อนาคตเปโตรดอลล่าร์ก็ค่อยๆมืดมัว
เมื่อความต้องการเงินดอลล่าร์ลดลง มูลค่าดอลล่าร์ย่อมตกต่ำซึ่งน่าจะทำให้สหรัฐส่งออกได้มากขึ้น ทว่าในโลกความเป็นจริงความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐลดลง ต้นทุนสูง นวตกรรมถูกไล่ทัน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายทางทหารเพิ่มมากขึ้นเพื่อค้ำจุนอำนาจที่ จีน-รัสเซีย เข้ามาท้าทายมากขึ้น แต่การลดค่าเงินดอลล่าร์จะกลับกลายเป็นปัญหาต่อสหรัฐ และคงต้องพิจารณาที่จะตัดรายจ่าย และในอันดับต้นๆก็คือองค์การสหประชาชาติที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจัดระเบียบโลกโดยขณะนี้สหรัฐเพียงประเทศเดียวจ่ายเงินอุดหนุนถึง 8 พันล้านดอลล่าร์ต่อปีให้กับองค์กรที่จะตายนี้
องค์การที่เหลือคือ IMF ก็คงยืนอยู่ไม่ได้นานในเมื่อมีการปรับปรุงดุลขนานใหญ่เกี่ยวกับการถือเงินสกุลต่างๆ ยิง่มีการออก CRYPTO CURRENCIES มาคู่ขนานกับการที่แต่ละประเทศหันมาออกเงินดิจิทัลและเพิ่มสัดส่วนทองคำหนุนหลัง IMF ก็คงอยู่ไม่ได้ นั่นหมายถึงเครื่องมือสุดท้ายในการจัดระเบียบโลกใหม่ของสหรัฐก็จะหมดลงไป
การที่ค่าเงินดอลล่าร์ลดลงทำให้หนี้สินเป็นภาระหนักขึ้นสำหรับเจ้าหนี้จึงพยายามถ่ายโอนเป็นเงินสกุลอื่น
ปัญหาหนี้สินก็จะย้อนกับเข้ามาเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐในขณะที่ความสามารถในการรีดภาษีภายในประเทศลดลง สหรัฐก็เริ่มออกกฏหมายรีดเงินใหม่ โดยบังคับให้ธนาคารในต่างประเทศเรียกเก็บภาษีจากคนอเมริกันที่ไปฝากเงินในธนาคารต่างๆ หากไม่ปฏิบัติตามจะถูกปรับด้วยจำนวนเงินค่องข้างสูง และจะมีปัญหาในการโอนเงินระหว่างประเทศ ด้วยกฎหมาย FOREIGN ACCOUNT TAX COMPLIANCE ACT (FATCA) แสดงให้เห็นชัดเจนว่าสหรัฐเริ่มถึงขีดจำกัดในการเก็บภาษีในประเทศแล้ว
สุดท้ายสหรัฐย่อมไม่อาจแบกภาระค่าใช้จ่ายทางทหารรวมทั้งงบช่วยเหลืออิสราเอลปีละหลายแสนล้านได้ ทำให้เกิดผลกระทบต่อฐานทัพต่างๆของสหรัฐทั่วโลก รวมทั้งนาโต้(NATO) ซึ่งมีสมาชิกเพียง 11 ประเทศเท่านั้นที่จ่ายเงินตามเงื่อนไขคือ 3% ของจีดีพี ในขณะที่อีก 19 ประเทศที่เหลือจ่ายน้อยมากด้วยประการเช่นฉะนี้สหรัฐเองก็คงไม่อาจแยกภาระอยู่ได้ดังที่ทรัมป์เคยเรียกร้องให้สมาชิกต่างๆออกเงินค่าคุ้มครองทางทหารไม่ว่าจะเป็นเยอรมัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าสหรัฐมีปัญหาการเงินในการทำนุบำรุงกองทัพ
เมื่ออำนาจทางทหารอ่อนล้า เศรษฐกิจท่วมท้นด้วยหนี้สิน การเก็บภาษีเพิ่มเป็นไปโดยยากลำบาก ประชาชนในประเทศจะเริ่มต่อต้านรัฐบาล นั่นก็คือการล่มสลายของระบบทุนนิยมที่กินตัวเอง อวสานของจักรวรรดิก็จะมาถึง
สหรัฐจึงอาจเหลือทางเลือกสุดท้ายคือการก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 เพื่อล้างหนี้ แต่สงครามคราวนี้สหรัฐคงต้องจ่ายแพงมาก เพราะการคาดหวังว่าภายในประเทศจะปลอดภัยจากภัยสงครามเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 1และครั้งที่ 2 คงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีการพัฒนาอาวุธในประเทศต่างๆไปไกลแล้ว
ด้วยจรวด ICBM ข้ามทวีป จรวดพิสัย IMF โดรนและหุ่นยนตร์สังหารจะทำให้ความได้เปรียบของสหรัฐในทางทหารจะลดทอนลงมาก
สงครามไซเบอร์และสงครามเคมี-ชีวะ ก็จะเป็นตัวช่วยเร่งให้อำนาจทำลายล้างแผ่ขยายออกไปและป้องกันยาก อาวุธนิวเคลียร์หลายหัวรบ และจรวดเหนือเสียงก็จะเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่สหรัฐต้องยอมรับ
นั่นคือปัจจัยที่ชี้ให้เห็นว่าทำไมสหรัฐถึงพยายามขยายกองกำลังอวกาศเพื่ออาศัยความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์แต่จีนและรัสเซียก็ได้พัฒนากิจการทางอากาศไล่ตามมาติดๆแล้ว
ประการสุดท้ายที่สหรัฐกริ่งเกรงก็คือความแตกแยกระหว่างเชื้อชาติ ศาสนาในประเทศอาจทำให้เกิดการจลาจลและจะเป็นโอกาสให้ศัตรูสหรัฐก่อวินาศกรรมให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวางได้
แต่ถ้ามองแบบลัทธิทุนนิยมที่ไม่รับผิดชอบ การล้างหนี้จากความเห็นแก่ตน การกอบโกยขูดรีดที่ระบบนี้สร้างขึ้นมาเป็นเวลา เกือบศตวรรษก็ยังเป็นมูลเหตุจูงใจอยู่ดีหรือ อิลอนมัสจะมองออกในประเด็นนี้จึงรีบเร่งจะไปตั้งนิคมในดาวอังคาร ใครจะไปรู้