INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

การคิดเขิงกลยุทธ์เป็นการมอง

การคิดเขิงกลยุทธ์เป็นการมอง

เฮนรี มิงท์เบิรก ได้พัฒนาแนวคิดของการคิดเชิงกลยุทธ์ เป็นการมอง
และการมองที่หลากหลายของมัน ภายในบล็อก โพสท์ 2018 ของเขา “Strategic Thinking as Seeing” ตรงที่เขายืนยันว่าการคิดเชิงกลยุทธ์ต้องการทิศทางหลายแง่มุม มองไปข้างหน้า มองไปข้างบน มองไปข้างหลัง มองไปด้านข้าง มองไปข้างล่าง มองเลยพ้นไป และมองมันผ่านไป สร้างกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพภายในโลกที่ซับซ้อน ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับกระ
บวนการวางแผนเป็นทางการเท่านั้น
มุมมองนี้ได้ปรากฏขึ้นจากข้อวิจารณ์ก่อนหน้านี้ของเขาต่อการวางแผนกลยุทธ์ที่เป็นทางการ โดยเฉพาะภายในหนังสือของเขา “The Rise and Fall of Strategic Planning” และผลงานของเขาเกี่ยวกับคำนิยามที่แตกต่างกันห้าอย่างของกลยุทธ์ ถูกรู้จักกันเป็น 5Ps ที่มุ่งเน้นวิถีทางไม่เป็นทาง วิสัยทัศน์ และการปรับตัว เหนือวิถีทางวิเคราะห์ตายตัว การคิดเชิง
กลยุทธ์สร้างกรอบของมันเป็นการกระทำของ “การมอง” ไม่ใช่เพียงแค่ “การคิด” ที่มุ่งเน้นการสังเคราะห์ การรับรู้แบบแผน มุมมององค์รวมของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต การคิดค้นเส้นทางใหม่เพื่อองค์การ
ตามเฮนรี มิงท์เบิรก การคิดเชิงกลยุทธ์เป็นการสังเคราะห์ที่สร้างสรรค์และสัญชาติญานของประสบการณ์ และข้อมูลเชิงลึก ที่ได้สร้างแกนของกลยุทธ์ แตกต่างจากกระบวนการทางกลไกของการวางแผนกลยุทธ์ เขา ใช้การเปรียบเทียบของการคิดเชิงกลยุทธ์เป็นการมอง มุ่งเน้นความแตกต่างของมันจากเพียงแค่การคิด กรอบข่ายการมองทางกลยุทธ์ของเฮนรี มิงท์เบิรก ได้ระบุการคิดเชิงกลยุทธ์ เป็นความสามารถสังเคราะห์ข้อมูลและประสบการณ์ สร้างวิสัยทัศน์เพื่ออนาคตของบริษัท
การมองทางกลยุทธ์เป็นกระบวนการหลายเเง่มุมครอบคลุมการมองไปข้างหน้า – การคาดคะเนอนาคต บนพื้นฐานอดีต – การมองไปข้างหลัง – การเรีบนรู้จากประสบการณ์ในอดีต – การมองข้างล่าง – การวิเคราะห์ลึกลงไป – การมองข้างบน – การได้มามุมมองที่กว้างขึ้น – การมองด้านข้าง –
การคิดสร้างสรรค์ตามแนวนอน – การมองเลยพ้น – การคิดค้นความเป็นไปได้ใหม่ และการมองมันผ่านไป – การดำเนินการกลยุทธ์ – การมองทางกลยุทธ์จะมุ่งเน้นที่สัญชาติญาน ความคิดสร้างสรรค์ การสังเคราะห์ และการปรับตัว ตรงกันข้ามกับกระบวนการวางแผนที่ตายตัวและวิเคราะห์
เฮนรี มิงท์เบิรกได้ระบุการคิดเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการที่สร้างสรรค์ของ “การเชื่อมต่อจุด” มุ่งเน้นการสังเคราะห์เหนือการวิเคราะห์ “การค้น
หาจุด” ของการวางแผนกลยุทธ์ ตามมุมมองของเขา การคิดเชิงกลยุทธ์เป็นกระ บวนการที่สร้างสรรค์ สัญชาติญาน สังเคราะห์ การชิ้นของข้อมูลที่เเยกจากกันไปสู่ทั้งหมดที่เชื่อมโยงกัน คล้ายกันมากที่เอ็ดวิน แลนด์ คิดกล้องโพลารอยด์ได้ จากคำถามของลูกสาวของเขา – จุด – ที่กระตุ้นความคิด และเขาได้สังเคราะห์กับความรู้ทางเทคนิคของเขา – จุดเพิ่มขึ้น – ที่ได้ สร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์
ในขณะที่ การวางแผนกลยุทธ์มุ่งการวิเคราะห์ การกำหนดกลยุทธ์ที่แท้จริงเกี่ยวพันกับกระบวนการที่ลื่นไหลและสัญชาติญานของการสังเคราะห์และการปรับตัว เฮนรี มิงท์เบิรก ใช้การเปรียบเทียบหลายอย่างแสดงการคิดเชิงกลยุทธ์การเปรียบเทียบเช่นมุมมองเฮลิคอปเตอร์ต่อการมองป่าบนพื้นดิน มุ่งเน้นความต้องการผู้บริหารเชื่อมโยงกับการดำเนินงานการค้นหาอัญมณีทางกลยุทธ์ การเปรียบเทียบที่สำคัญอื่นคือ การสร้างกลยุทธ์เป็นงานฝีมือเหมือนช่างปั้นหม้อดิน และการเปรียบเทียบหลักการมือที่มองไม่เห็นของอดาม สมิธกับกรงเล็บที่มองเห็น และอำนาจที่ไม่ตรวจสอบ
*ป่่าบนพื้นดิน
การเปรียบเทียบนี้ได้มุ่งเน้นข้อมูลเชิงลึกทางกลยุทธ์ ไม่ได้ค้นพบจากมุมมองเฮลิคอปเตอร์ระดับสูงของภาพใหญ่ แต่มันจะเป็นความเข้าใจรายละเอียดซับซ้อนและยุ่งเหยิง ณ ระดับพื้นดินขององค์การ เฮนรี มิงท์เบิรก วิจารณ์การเปรียบเทียบมุมมองเฮลิคอปเตอร์ต่อการคิดเชิงกลยุทธ์ยืนยันว่าในขณะที่มันให้มุมมองภาพใหญ่ที่จำเป็น มันไม่เพียงพอตัวมันเองเขาจะเน้นย้ำว่าการคิดเชิงกลยุทธ์ที่แท้จริงต้องการการรวมกันของมุมมองบนลงล่างนี้กับมุมมองล่างขึ้นบน การขุดเพื่อที่จะค้นพบรายละเอียดต้นกำเนิดที่กลยุทธ์ถูกสร้าง


เฮนรี มิงเบิรกได้เปรียบเทียบมันต่อเพชรในตม กระบวนของการสำรวจลึกลงไป ไม่ใช่เพียงแค่มุมมองที่ห่างไกลจากเฮลิคอปเตอร์ ป่าปรากฎเป็นพรมสีเขียวไม่แตกต่างกัน การขาดละะเอียดที่สำคัญ และต้นไม้แต่ละต้น – บุคคล ปัญหา และโอกาส – ที่สำคัญต่อการคิดเชิงกลยุทธ์ การอยู่ภายในเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานใหญ่ นำไปสู่การสูญเสียการสัมผัสกับสภาพแวดล้อมและความท้าทายที่แท้จริง จากเฮลิคอปเตอร์ ความซับซ้อนของป่า – สภาพแวดล้อมขององค์การ – ได้ถูกลดลงเป็นพรมธรรมดาที่ไม่แตกต่าง ผู้บริหารลงจากเฮลิคอปเตอร์และไปสู่ป่าที่จะได้มาข้อมูลเชิงและราละเอียดมากขึ้น อะไรกำลังเกิดขึ้น
เฮนรี มิงท์เบิรกใช้ “พรม” ภายในการเปรียบเทียบ อธิบายป่ามองจากข้างบน เหมือนกับพรมสีเขียวแบบเดียว จากห่างไกล เปรียบเทียบได้กับความเป็นจริงที่ซับซ้อนบนพื้นดิน ป่าเป็นพรม เมื่อถูกมองจากข้างบน ป่าปรากฏเป็นแบนราบไม่แตกต่าง ขยายเป็นสีเขียว ความเป็นจริงอยู่บนพื้นดิน เมื่อเราเดินเข้าไปภายในป่า เราจะค้นพบความซับซ้อนที่สับสน ต้นไม้ พุ่มไม้ สัตว์ป่าที่หลากหลาย และระบบการดำรงชีวิตทั้งหมดและผู้บริหารที่ดำเนินงานจากสำนักงานใหญ่้เท่านั้นหรือการขึ้นอยู่กับมุมมองภาพใหญ่
ระดับสูง คล้ายกับบุคคลบางคนบินเหนือป่า พวกเขาจะมองเห็นทิวทัศน์ที่ธรรมดาและผิวเผินขององค์การของพวกเขา
พวกเขาล้มเหลว ที่จะคว้าลักษณะที่แท้จริง รายละเอียด ความซับซ้อน เพื่อการคิดเชิงกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เราต้องลงสู่พื้นดิน และยุ่งเกี่ยวโดยตรงกับบุคคลและกระบวนการขององค์การที่จะเข้าใจการทำงานที่
แท้จริงของมัน เฮนรี มิงเบิรก ยืนยันว่า ความเข้าใจความเป็นจริงของป่า หรือองค์การ เราต้องประสบมันจากระดับพื้นดิน มองต้นไม้อย่างใกล้ชิด ไม่ใชเพียงแค่มุมมองจากเฮลิคอปเตอร์ ความเข้าใจกลยุทธ์ที่แท้จริง มา
จากการหมกมุ่นภายในรายละเอียด สร้างการเชื่อมโยงบนพื้นดินและเเม้แต่เผชิญกับป่าจากข้างล่าง เป็นไปไม่ได้จากมุมมองเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น อัญมณีทางกลยุทธ์ ไม่เห็นได้ชัดเจน เเต่ปรากฏขึ้นจากการคิดนิรมัยและความคิดสร้างสรรค์
การสนับสนุนผู้บริหารใช้เวลาบนพื้นดิน ประสบการณ์โดยตรงกับการดำเนินงาน แทนการสังเกตุจากมุมมองระดับสูงที่ไม่ยุ่งเกี่ยวเลยการสร้าง
ประสบการณ์บนพื้นดิน จะช่วยให้เราค้นพบความคิดทางกลยุทธ์ ที่เฮนรี มิงท์เบิรกเปรียบเสมือนเป็นเพชรในตมผ่านทางการขุดค้นและการสังเกตุ
กลยุทธ์ที่แท้จริงปรากฏขึ้นจากการขุดลงไปสู่รายละเอียด สร้างอัญมณีล้ำค่า เพชรในตม เสนอแนะว่ากลยุทธ์ไม่ได้เป็นแนวคิดที่สูงส่ง ถูกค้นพบจากข้างบนเท่านั้น แต่อัญมณีล้ำค่า ต้องถูกขุดพบจากกิจกรรมประจำวัน และความซับซ้อนขององค์การ ผ่านทางการสังเกตุและการวิเคราะห์อย่างขยัน และสร้างสรรค์ เพชรในตมมุ่งเน้นว่าการคิดเชิงกลยุทธ์ต้องการการขุดข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าจากรายละเอียดที่ซับซ้อนขององค์การ ที่ไม่ใช่การขึ้นอยู่กับภาพใหญ่ที่มีอยู่ก่อน
*การสร้างกลยุทธ์เป็นงานฝีมือ
การเปรียบเทียบนี้ได้อธิบายกลยุทธ์จะเป็นรูปแแบบศิลปะ เปรียบเทียบ
ผู้บริหารเป็นช่างฝีมือ เหมือนช่างปั้นหม้อดินปั้นดินเหนียว และกลยุทธ์เป็นดินเหนียวของพวกเขา กลยุทธ์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เอกสารตายตัว วางแผนไว้ล่วงหน้า แต่เป็นกระบวนการสัญชาติญาน ทำซ้ำ และสร้างสรรค์ ตรงที่
ผู้บริหารสร้างมันผ่านทางประสบการณ์ และการปรับตัวที่สร้างสรรค์ของ
พวกเขา คล้ายกับช่างปั้นหม้อดินได้ปั้นดินเหนียวจากประสบการณ์ และความรู้ทางสัญชาติญาน

เฮนรี่ มิงท์เบิรก ได้เขียนบทความเรื่อง Crafting Strategy ภายในวารสารฮาร์วาร์ด บิสซิเนส รีวิว เมื่อ ค.ศ 1987 เขาได้สร้างถ้อยคำ Crafting Strategy ขึ้นมา ด้วยการกล่าวว่าผู้บริหารควรจะกำหนดกลยุทธ์ด้วยวิถีทางเดียวกับช่างปั้นหม้อดิน เขาได้เปรียบเทียบบริษัทใหญ่เหมือนกับการปั้นหม้อดิน ตามคำอุปมาของเขาคือ ผู้บริหารคือ” ช่างปั้นหม้อดิน ดินเหนียวคือกลยุทธ์ ช่างปั้นหม้อดินจะนั่งอยู่่ข้างหน้ากองดินเหนียวที่อยู่บนแป้นหมุน ใจของเขาจะอยู่ที่ดินเหนียว และการตระหนักถึงการนั่งอยู่ระหว่างประสบการณ์ในอดีตและโอกาสในอนาคตด้วย

ช่างปั้นหม้อดินรู้อย่างแน่นอนว่าอะไรทำได้และอะไรทำไม่ได้ในอดีต เขามีความรู้งาน ความสามารถ และตลาดของเขา ช่างปั้นหม้อดินไ้ด้ใช้ความรู้สึกไม่ใช่การวิเคราะห์สิ่งเหล่านี้ ความรู้ของช่างปั้นหม้อดินคือยุทธวิธี สิ่งเหล่านี้ทุกอย่างกำลังอยู่ภายในใจของเขา ในขณะที่มือของช่างปั้นหม้อดินกำลังทำงานอยู่กับดินเหนียว ผลผลิตที่ปรากฏขึ้นบนแป้นหมุน จะเป็นการสืบทอดประเพณีในอดีตของช่างปั้นหม้อดิน แต่ช่างปั้นหม้อดินอาจจะละทิ้งและมุ่งไปสู่ทิศทางใหม่ได้

*กรงเล็บที่มองเห็น

การเปรียบเทียบนี้ได้อธิบายอำนาจที่ไม่ถูกตรวจสอบของรัฐบาล และ

บริษัท ขับเคลื่อนโดย “มือที่มองไม่เห็น” ของอดัม สมิธ เฮนรี มิงท์เบิรก

ได้สร้างการเปรียบเทียบ กรงเล็บที่มองเห็น ที่เปรียบเทียบกับมือที่มองไม่

เห็นของการแข่งขันภายในตลาด เขาได้ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ใช่ตลาด ใช้

อำนาจที่มองเห็น ผ่านทางการกระทำและนโยบายของพวกเขา เฮนรีื มิงท์

เบิรก ได้เสนอแนะ กรงเล็บที่มองเห็น อธิบายอำนาจที่มองเห็นชองรัฐบาล

ที่เขามองมันอย่างน่าสงสัยเพิ่มขึ้นและได้นำไปสู่ระบบที่ไม่มีประสิทธิภาพ

การทุจริต หรือความวุ่นวายการแทรกเเซงของรัฐบาลกลายเป็นการบังคับ

และมองเห็นในชณะที่มือที่มองไม่เห็นจะควบคุมตัวมันเองของการแข่งขัน

ภายในตลาดเสรี

เฮนรี มิงท์เบิรก มองว่าการแสวงหากำไรสามารถจะนำไปสู่อำนาจของบริษัท กลายเป็นกรงเล็บที่มองเห็นใช้ควบคุมชีวิตสาธารณะเขาได้เปรียบเทียบกับมือที่มองไม่เห็นของตลาดเสรี ด้วยการเปรียบเทียบกับกรงเล็บที่มองเห็นของเขาเอง ยืนยันว่าภายในสังคมสมัยใหม่ อำนาจของรัฐบาลได้

เปลี่ยนแปลงจากพลังการช่วยเหลือ ไปสู่พลังบริการตัวเองใช้การควบคุมและยึดทรัพยากแทนการบริการสาธารณะในขณะที่มือที่มองไม่เห็นของ

อดัม สมิธ เป็นการเปรียบเทียบทางเศรษฐกิจ ที่ได้อธิบายบุคคลแสวงหาผลประโยชน์ของพวกเขาเองภายในตลาดเสรีถูกนำทางโดยมือที่มองไม่เห็นเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยส่วนรวม มือที่มองไม่เห็นส่งเสริมการแข่ง

ขัน และประสิทธิภาพ

เฮนรี มิงท์เบิรกได้พลิกกลับความคิดนี้ เขายืนยันว่าภายในยุคสมัยใหม่เมื่ิอทุนนิยมได้ชัยชนะ พลังทางเศรษฐกิจได้กลายเป็นกรงเล็บที่มองเห็นของอำนาจ กรงเล็บ เป็นสัญลักษณ์อำนาจที่เข้มแข็งที่มักจะบังคับ บริษัท

สามารถใช้ภายในเขตแดนสาธารณะ คล้ายกับนักล่าด้วยกรงเล็บของมัน การเปรียบเทียบนี้แสดงอำนาจของบริษัทได้กลายเป็นจัดการ และบังคับอย่างเปิดเผยทดแทนลักษณะควบคุมตัวเองของตลาดด้วยอิทธิพลที่มองเห็น และเป็นอันตรายต่อสังคมและรัฐบาล เฮนรี มิงท์เบิรก ใช้การเปรียบ

เทียบนี้วิจารณ์อำนาจที่ไม่่ถูกตรวจสอบของบริษัทภายในสภาพเเวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเมืองตรงที่อิทธิพลของบริษัทไม่ได้ลึกลับต่อไปแล้ว แต่เปิดเผยและเสียหาย

อำนาจได้ก้าวจากพลังที่มองไม่เห็น นำทางไปสู่อำนาจที่มองเห็น ควบคุม และบางครั้งเอาเปรียบ การเปรียบ แสดงอิทธิพลของบริษัท และการแสวง

หากำไรของบริษัทกลายเป็นเเพร่หลาย จนมันได้บดบังรัศมีความต้องการของประชาชนและสังคม และมีอิทธิพลต่อนโยบายสาธารณะ การเปรียบเทียบกรงเล็กที่มองเห็น อธิบายมือที่มองไม่เห็นของการเเข่งขันของตลาดโดยอดัม สมิธ ได้ปฏิรูปไปสู่ กรงเล็บที่มองเห็นของอำนาจอย่างไร ตรงที่อำนาจของรัฐบาล กระทำที่จะควบคุมไม่ใช่ส่งเสริมการแข่งขันอย่างเสรี

เฮนรี มิงท์เบิรก ใช้กรงเล็บที่มองเห็น แสดงด้านทางลบของอำนาจของรัฐที่ไม่ถูกตรวจสอบ เสนอแนะว่่ามันสามารถนำไปสู่การทุจริต และความไม่มีประสิทธิภาพ เขาได้ยืนยันว่าสังคมที่ไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะจบลงด้วยความเป็นผู้นำที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการทุจริต กรงเล็บที่มองเห็นของอำนาจในขณะนี้ดำเนินงานอยู่ภายในสาธารณสมบัติ

อดัม สมิธ ได้ใช้มือที่มองไม่เห็นเป็นถ้อยคำพูดเปรียบเทียบต่อพลังที่มองไม่เห็นเคลื่อนเศรษฐกิจตลาดเสรีผ่านทางผลประโยชน์ตัวเองและเสรีภาพของการผลิตและการบริโภค การตอบสนองผลประโยชน์อย่างดีที่สุดของสังคมโดยส่วนรวมและมือที่มองไม่เห็นได้แสดงการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำ

เสมอเกิดขึ้น ระหว่างอุปสงค์และอุปทาน เพี่อการบรรลุดุลยภาพ เมื่อเรามีอุปทานส่วนเกินของสินค้า ราคาจะลดลง ดังนั้นอุปสงค์จะเพิ่มขึ้น เมื่อเรามีอุปทานส่วนขาดของสินค้าราคาจะสูงขึ้นกระตุ้นให้ผู้ผลิตเพิ่มอุปทาน พลังสองตัวเหล่านี้จะผลักดันตลาดไปสู่จุดดุลยภาพภายในสิ่งที่รู้จักกันเป็นมือที่มองไม่เห็น ตามรูปกราฟมือที่มองไม่เห็นจะผลักดันตลาดอย่างสม่ำเสมอกลับไปสู่ดุลยภาพ

 

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *