การรวมบริษัทยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์รถยนต์
เมื่อวันที่ 6 พฤษาคม ค.ศ 1998 เจอร์เก็น ชริมพ์ ซีอีโแ ของเดมเล่อร์ เบนซ์ และโรเบิรต อีตัน ซีอีโอ ของไครสเล่อร์ คอรปอเรชั่น ได้ฉลองวันแรกของการรวมบริษัท(การควบกิจการ) การรวมบริษัทยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์รถยนต์ ได้ถูกประกาศว่าเป็น “A Merger of Equals” และได้สัญญาจะขับเคลื่อนเดมเล่อร์ไครสเล่อร์ใหม่เป็นผู้เล่นแนวหน้าภายในตลาดโลก ข้อตกลงมีมูลค่า 38 พันล้านเหรียญ และได้สร้างบริษัทรถยนต์ใหญ่ที่สุดของโลกลำดับห้าขึ้นมา การรวมบริษัทครั้งนี้ ได้สร้างบริษัทใหม่ที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 92 พันล้านเหรียญ และยอดขายต่อปีมากกว่า 130 พันล้านเหรียญ เดมเล่อร์ได้ควบคุมส่วนได้เสีย 57 % และไครเล่อร์ 43 % ภายในบริษัทใหม่
การรวมกันระหว่างเดมเล่อร์และไครสเล่อร์คล้ายคลึงกับการแต่งงานของเจ้าฟ้าขายชาร์ลและเลดี้ไดอานา บริษัทสายเก่าชนชั้นสูง เดมเลอร์-เบนซ์ ได้ขอจับมือกับเจ้าสาวที่งดงาม
ยอดนิยม ไครสเล่อร์ คอรปอเรชั่น และข้อเสนอได้ถูกยอมรับ ดังที่เจอร์เก็น ชรึมพ์เรียกว่า นี่คือการจับคู่ภายในความฝัน ….. “Wedding Made In Heaven” การแต่งงานของคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง เมื่อ ค.ศ 1995 ไครสเล่อร์เป็นบริษัทรถยนต์ทำกำไรสูงสุดภายในโลก บริษัทมุ่งการผลิตรถมินิแวนและรถจี้ป และเดมเล่อร์เป็นบริษัทมุ่งการผลิตรถหรูหราราคาแพง และกำลังเผชิญแรงกดดันที่รุนแรงจากคู่แข่งขันรายใหม่เหมือนเช่นเล็กซัสของโตโยต้า เหตุผลที่สำคัญของการรวมบริษัทคือการประหยัดต้นทุนที่คาดหมายไว้ประมาณ 3.5 พันล้านเหรียญ และการเพิ่มยอดขายประมาณ 13 %
การดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์อยู่ได้เพียงสามปี และได้จบลงด้ายการเลิกกัน เดมเล่อร์ไครสเล่อร์ ได้ขาย 80.1%ของไครสเล่อร์แก่เซอร์เบอรัส แคบปิตอล แมเนจเม้นท์ บริษัทกองทุนรวมเอกชนอเมริกันที่เชี่ยวชาญการฟื้นฟูธุรกิจ ข้อเท็จจริงเบื้องหลังฉากของการรวมบริษัทอย่างเทียมกันคือ ระหว่าง ค,ศ 1988 – 2001 ไครสเล่อร์ไม่ได้ถูกรวมหรือได้รับสถานภาพอย่างเท่าเทียมกันเลย แม้แต่ชื่อบริษัทใหม่ต้องใช้คำว่า เดมเล่อร์ไครสเล่อร์ ไม่ใช่ ไครสเล่อร์เดมเล่อร์ จนกลายเป็นเรื่องตลกของไครสเล่อร์ว่า เราจะออกเสียงเดมเล่อร์ไครสเล่อร์อย่างไร -เดมเล่อร์-ไครสเล่อร์ ไม่ออกเสียง
ตอนเริ่มแรกผู้บริหารระดับสูงจากเดมเล่อร์ภายในเยอรมัน ย้ายไปอเมริกา เพื่อที่จะบริหารไครสเล่อร์ และทำให้เกิดการอพยพหนีภัยชองผู้บริหารระดับสูงของไครสเล่อร์ ภายในสองปีผู้บริหารอเมริกัน ได้ลาออกหรือถูกไล่ออก และทดแทนด้วยผู้บริหารเยอรมัน ขวัญกำลังใจของพนักงานไครสเล่อร์ตกต่ำสุด
เมื่อ ค.ศ 2000 เจอร์เก็น ชรึมพ์ ซีอีโอ ของเดมเลอร์ไครสเล่อร์ได้กล่าวต่อสาธารณะภายในหนังสือพิมพ์เยอรมันว่า เขามุ่งหวังจะให้ไครสเล่อร์เป็นบริษัทลูกของเดมเล่อร์อยู่เสมอ ถ้อยแถลงของการรวมบริษัทอย่างเท่าเทียมกันเป็นเหตุผลทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะได้รับการสนับสนุนจากคนงานไครสเล่อร์และชาวอเมริกันเท่านั้น แต่การรวมบริษัทอย่างเท่าเทียมกันไม่เคยเป็นความจริงได้
โดยทฤษีการรวมบริษัทระหว่างเดมเล่อร์และไครสเล่อร์ได้สร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันสองอย่าง ประการแรกคือ การเสริมแรงทางตราสินค้า การแบ่งส่วนตลาดโดยบุคคลวัยหนุ่มสาวมีครอบครัวย่อมจะซื้อรถมินิแวน เมื่อบุคคลมีรายได้สูงขึ้นย่อมจะซื้อรถหรูหรามากขึ้น ประการที่สองคือการเสริมแรงทางการผลิต เนื่องจากต้นทุนของการผลิตรถใหม่สูงมาก การสร้างแพลตฟอร์มบนรากฐานของการใช้ชิ้นส่วนร่วมกัน เพื่อที่จะสร้างความประหยัดจากขนาดภายในการผลิต การบรรลุการเสริมแรงทางโครงสร้างตราสินค้าและกลยุทธ์แพลตฟอร์มต้องมีการรวมกันระหว่างเดมเลอร์และไครสเล่อร์อย่างเข้มข้น วิศวกรเยอรมันต้องออกแบบรถยนต์ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตจากวิศวกรอเมริกัน และในทางกลับกัน แต่เนื่องจากเดมเล่อร์ผลิตรถหรูหรา ไม่ตระหนักถึงราคาเหมือนกับไครสเล่อร์ และกังวลใจว่าการใช้ชิ้นส่วนร่วมกันจะทำลายตราสินค้าของเดมเล่อร์ได้ ดังนั้นข้อตกลงของการใช้ชิ้นส่วนร่วมกันได้ถูกทำลายลง
การรวมบริษัทเกี่ยวพันไม่เพียงแต่เป็นการรวมทรัพย์สินของบริษัทเข้าด้วยกันเท่านั้น แต่เป็นการรวมวัฒนธรรมของบริษัทเข้าด้วยกันด้วย
เมื่อเรามีการวางแผนการรวมบริษัทหรือการซื้อบริษัท บริษัทส่วนใหญ่มักจะวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างการผลิตและการตลาด แต่บ่อยครั้งไม่ได้ประเมินความสอดคล้องระหว่างวัฒนธรรมของบริษัทที่แตกต่างกันเลย เดอะ เฮย์ กรุ็ป ได้พบว่าภายในห้าปีหนี่งในสามของบริษัทที่ถูกซื้อได้ถูกขายออกไป และ 90 % ของบริษัทที่ถูกรวมกันมีผลการดำเนินตกต่ำลง สาเหตุที่สำคัญคือ ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ตามการสำรวจบริษัทอเมริกัน 218 บริษัทของฮิววิทท์ แอสโซเอทส์ การวมวัฒนธรรมเป็นความสำคัญสูงสุดของ 69% ของบริษัทที่ตอบคำถาม ความแตกต่างทางวัฒนธรรมยิ่งเป็นปัญหามากขึ้น เมื่อเรามีการรวมบริษัทข้ามพรมแดน
นักวิเคราะห์ยืนยันว่าความขัดแย้งทางวัฒนธรรมองค์การ – วิถีทางของการกระทำสิ่งต่างๆ ณ ที่นี่ ระหว่างเดมเล่อรและไครสเล่อร์แตกต่างกันมาก คือ เหตุผลสำคัญของความล้มเหลวของการรวมบริษัท เดมเล่อร์เป็นบริษัทเยอรมัน วัฒนธรรมองค์การมุ่งอนุรักษ์นิยม ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย วิศวกรรม และการเคารพอำนาจหน้าที่ แต่ไครสเล่อร์เป็นบริษัทอเมริกัน วัฒนธรรมองค์การมุ่งความกล้าหาญ ความหลากหลาย ความเสมอภาค การทำงานเป็นทีม และการลดต้นทุน
ข่าวนี้น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของรถไฟฟ้า
#ตื่นเต้นมาก ถ้าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นจริง ปัญหาทุกๆ อย่างจะหมดไปทันทีเมื่อมีสุดยอดแบตเตอรี่ที่จะช่วยพลิกวงการรถไฟฟ้าให้ก้าวขึ้นมาแทนรถใช้เครืองยนต์ได้เร็วยิ่งขึ้น มันสามารถชาร์จไฟได้เต็มแค่ใน 5 นาที สุดยอด #แชร์ไปให้ตื่นเต้นกันไปทั้งบาง
สุดยอดแบตเตอรี่ที่จะพลิกวงการรถไฟฟ้า ชาร์จเต็มได้ใน 5 นาที ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากบริษัทแม่ของ Benz $60 ล้านเหรียญ
บริษัท Daimler ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของผู้ผลิตรถยนต์หรู Benz ได้ลงทุนเป็นจำนวนเงินถึง $60 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐในบริษัท StoreDot ที่ตั้งอยู่ในประเทศอิสราเอลซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ FlashBattery ซึ่งสามารถชาร์จเต็มได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที พร้อมกับก้าวเข้ามาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจเพื่อรับเอาเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในรถยนต์ของบริษัท
ซึ่งในการแถลงข่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมาก่อนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของบริษัท ตามอีเมล์ที่ทางสำนักข่าว CNBC ได้รับจาก Doron Myersdorf ผู้ซึ่งเป็น CEO ของบริษัทกล่าวว่า “เรามุ่งความสนใจไปที่การชาร์จไฟได้เร็วซึ่งตรงข้ามกับผู้ผลิตอื่นๆ ในอุตสาหกรรมที่มุ่งให้ความสนใจไปที่ความจุของตัวแบตเตอรี่”
บริษัท StoreDot ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่าตัวแบตเตอรี่นั้นใช้ส่วนประกอบที่เป็นสารอินทรีย์และวัสดุนาโนในการทำให้มีประสิทธิภาพในการชาร์จสมาร์ทโฟนและรถไฟฟ้าในเวลาเพียง 5 นาที นอกจากนั้นแล้วแบตเตอรี่ของบริษัทก็ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้มและยังสามารถทำให้รถวิ่งได้ไกลถึง 300 ไมล์ต่อการชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้งอีกด้วย
นอกจากบริษัท Daimler แล้ว กองทุนเพื่อการลงทุนอย่าง Samsung Venture, Norma Investments, Lucion Venture Capital และบริษัทอีกมากมายทั้งจากในประเทศอิสราเอลเองรวมทั้งสถาบันการเงินจากประเทศจีนต่างก็ให้ความสนใจร่วมสนับสนุนเงินลงทุนในรอบการระดมทุนล่าสุดครั้งนี้ด้วย
เมื่อกล่างถึงบริษัทเทสล่าซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกนั้น CEO ของ StoreDot กล่าวว่าเป้าหมายของบริษัทแห่งนี้ไม่ได้ต้องการแข่งกับบริษัทเทสล่า แต่เราอยู่ในแนวทางเดียวกันที่ต้องการจะแก้ปัญหาของผู้ขับขี่รถไฟฟ้าซึ่งนั่นก็คือความเร็วในการชาร์จไฟ และด้วยเทคโนโลยีการชาร์จไฟฟ้าแบบรวดเร็วก็จะทำให้เราสามารถช่วยให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลายสามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีให้แก่เจ้าของรถไฟฟ้าได้
Doron ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าบริษัท StoreDot อาจจะตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ของตนเองที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับโรงงาน Gigafactoty ของ Elon Musk โดยตั้งชื่อว่า OneGiga เขากล่าวว่าเป้าหมายของการตั้งโรงงานขนาดใหญ่แห่งนี้ก็เพื่อเป็นการนำเอาเทคโนโลยีนี้มาสู่กระบวนการผลิตให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะนำบริษัทให้ก้าวขึ้นมาอยู่บนแถวหน้าของเทคโนโลยีการชาร์จไฟฟ้าแบบรวดเร็วในยุคหน้าด้วยเช่นกัน
ขนาดของโรงงาน OneGiga แห่งนี้คาดว่าจะมีเนื้อที่กว้างใหญ่ถึง 15,900 ตารางเมตรและจะมีกำลังการผลิตเบื้องต้นที่ 1 gWh โดยสามารถขยายไปจนถึง 10 gWh ได้ ซึ่งกำลังการผลิตขนาดนี้ยังถือว่าห่างไกลจากกำลังการผลิตสูงสุดที่โรงงาน Gigafactory ของ Elon Musk สามารถทำได้เมื่อโรงงานสร้างเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2020
Marting Daum สมาชิกบอร์ดผู้บริหารของ Daimer ผู้ซึ่งรับผิดชอบเกี่ยวกับหน่วยธุรกิจรถบบรทุกและรถโดยสารของบริษัทกล่าวถึงความก้าวหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับธุรกิจส่วนนี้ว่าถือเป็นภาระกิจที่สำคัญอันดับหนึ่งของบริษัท Daimler ซึ่งได้เริ่มสายพานการผลิตรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดเล็กที่ชื่อว่า Fuso eCanter เมื่อต้นปีนี้ สิ่งนี้คือหลักฐานที่บ่งบอกถึงการมุ่งหน้าไปสู่ตลาดของรถไฟฟ้าสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
เขายังกล่าวเสริมด้วยว่าการชาร์จไฟฟ้าแบบรวดเร็วนั้นมีส่วนสำคัญมากๆ สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ใช้งานรถบรรทุกทุกๆ แบรนด์ของ Daimler และด้วยการทำงานร่วมกันกับบริษัท StoreDot บริษัทก็จะร่วมพัฒนาในแบบครอบคลุมทุกๆ ด้านของการชาร์จไฟฟ้าแบบรวดเร็ว
แม้ว่าการลงทุนในเพื่อมุ่งไปสู่การผลิตรถไฟฟ้าออกสู่ตลาดจะทำให้กำไรของบริษัทลงลดแต่บริษัทก็จำเป็นจะต้องทำเพื่อเป็นการก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคของรถไฟฟ้า
Mike Ramsy นักวิเคราะห์ของ Gartner กล่าวว่าระยะเวลานานที่ใช้ในการชาร์จรถไฟฟ้าและความไม่พร้อมของสถานีชาร์จไฟฟ้าเป็นสองปัจจัยที่ปิดกั้นการเปิดรับรถไฟฟ้าของผู้บริโภค การชาร์จไฟได้เร็วในเวลาเพียงแค่ 5 นาทีสามารถจะเปลี่ยนสถานการณ์ไปได้อย่างคาดไม่ถึง
สำหรับบริษัท Daimler และอุตสหกรรมรถยนต์ของเยอรมันโดยรวมนั้น การให้ความสำคัญและมุ่งหน้าไปสู่การผลิตรถไฟฟ้าจะช่วยให้พวกเขาค่อยๆ หลุดออกจากปัญหากรณี Dieselgate ที่อื้อฉาว ซึ่งยังผลให้บริษัท Daimler ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ยักษ์ใหญ่ของผู้ผลิตรถจะต้องทำการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อแก้ปัญหาไอเสียเกินมาตรฐานของรถดีเซลจำนวนหลายล้านคันที่มีปัญหาแก่เจ้าของรถที่ซื้อรถเหล่านี้ไป
—— มุมมองของ TNT : Tesla News Thailand
สำหรับอุตสาหกรรมโดยรวม นี่คือข่าวดีมากๆ ที่จะเป็นตัวช่วยให้รถไฟฟ้าใช้งานได้จริงในทางปฏิบัติแบบไร้ซึ่งข้อโต้แย้งโดยสิ้นเชิง แต่ในมุมของเทสล่าซึ่งได้ใช้แนวทางที่มุ่งแกัปัญหาเรื่องราคาของแบตเตอรี่ที่แพงมากๆ ให้ต่ำลงด้วยการตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่เองที่มีกำลังการผลิตที่ใหญ่มากๆ จนจะทำให้ราคารถไฟฟ้าไม่แพงกว่าราคารถใช้เครื่องยนต์ทั่วไปในอีกสองสามปีข้างหน้านั้นถือเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยส่งต่อไม้เหมือนการวิ่งผลัดให้เป้าหมายของการเปลี่ยนรถบนท้องถนนให้เป็นรถไฟฟ้าเป็นจริงได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ดีแม้ว่า CEO ของ StoreDot จะกล่าวว่าเป้าหมายของบริษัทนั้นไม่ได้ต้องการจะแข่งขันกันเทสล่า แต่ในทางธุรกิจแล้วสิ่งนี้ก็เป็นการแข่งขันทางอ้ออมผ่านตัวรถที่ผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ จะหันมาใช้เทคโนโลยีนี้ในการสร้างรถไฟฟ้าที่จะออกมาแข่งขันในตลาดกับเทสล่าอย่างตรงไปมาขนิดที่ไม่มีใครยอมใคร และสุดท้ายสิ่งที่ผู้บริโภคอย่างเราๆ จะได้รับก็คือรถไฟฟ้าที่ดีพร้อมสมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้านของการใช้งานในขึวิตประจำวันจริง
รู้แล้วอย่าลืมแชร์นะครับ จะได้คุยกับเพื่อนรู้เรื่อง
source : https://goo.gl/aK1k76
cr. รองศาสตราจารย์สมยศ นาวีการ