จะอยู่กันอย่างไรจากนี้ไป 20 ปี
ทหารประชาธิปไตย
www.INEWHORIZON.NET
จะอยู่กันอย่างไรจากนี้ไป 20 ปี
เวลา 20 ปี ดูเหมือนนานทีเดียว แต่ในความเป็นไปของโลกยุคใหม่มันจะเคลื่อนที่ไปเร็วมาก สำหรับบรรดาผู้สูงวัย อาจจะคิดว่าตั้ง 20 ปี เราคงอยู่ไม่ถึง แต่ในยุคที่วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วทวีคูณนี้ อายุคนเรายืนยาวไปมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก และอายุเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นโดยตลอดจาก 80 ปี เป็น 90 ปี และคงจะเลย 100 ปี ในเวลาไม่นาน ในขณะที่อัตราการเพิ่มของประชากรนั้นก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง ดังนั้นโลกจึงเคลื่อนเข้าสู่สังคมสูงวัยทีละน้อยโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง และรายได้สูงในบางประเทศจำนวนประชากรจะลดลงด้วยซ้ำ เช่น ญี่ปุ่น และหลายประเทศในยุโรปสมดุลของกำลังแรงงานจึงจะเกิดขึ้นได้ด้วยแรงงานอพยพ ซึ่งทำให้กำลังผลิตในประเทศเหล่านั้นดำเนินไปได้โดยไม่สะดุดในระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็จะเกิดความขัดแย้งในทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์มากขึ้น
อย่างไรก็ตามการก้าวกระโดดของวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีจะทำให้ความต้องการแรงงานมนุษย์น้อยลง เพราะเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และ AI จะเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ ณ จุดนั้นแรงงานที่ถูกทดแทนจะตกงานจนกว่าจะมีการปรับตัวเพื่อรองรับการทำงานในรูปแบบใหม่ๆ ที่สอดรับกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านนี้ เทคโนโลยีจะทำให้ธุรกิจหลายอย่างต้องปิดตัว หรือต้องพัฒนาอย่าง 360 องศา เช่น ธุรกิจธนาคาร จะต้องเผชิญกับระบบแบบใหม่ที่เรียกกว่า FIN TECH ระบบการเงินจะถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบ BIT COIN และโปรแกรม BLOCK CHAIN ในโรงงานคนงานจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรอัจฉริยะที่มีประสิทธิภาพกว่ามนุษย์ ธุรกิจจะหันมาเน้นการเข้าถึงการใช้มากกว่าการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต เช่น การเช่าใช้บริการคอมพิวเตอร์มากกว่าการเป็นเจ้าของ เพราะประหยัดกว่า รถยนต์ส่วนตัวจะค่อยๆหายไป กลายเป็นรถที่อาจเช่าใช้เป็นครั้งคราว เมื่อจำเป็นและในราคาถูก ที่อยู่อาศัยก็เช่นกัน ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมหลายอย่างก็จะผลิตสินค้าน้อยลง จ้างงานน้อยลง เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การทำธุรกิจก็ต้องปรับตัวเพื่อให้พร้อมต่อการแข่งขัน ทำให้ความมั่นคงของธุรกิจหลายอย่างมีระยะเวลาที่สั้นเข้า การจ้างงานก็จะเป็นในลักษณะชั่วคราว หรือเป็นชิ้นงานมากขึ้น การซื้อขายทางอินเตอร์เน็ตจะแพร่กระจายมากขึ้น ทำให้ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งต้องปิดตัว หรือปรับเปลี่ยนไปทำธุรกิจในลักษณะอื่น
ในเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายของรัฐ ประเด็นแรกมาตรการหลายๆอย่างของรัฐบาลจะไร้ประสิทธิภาพ เช่น นโยบายการเงินการคลัง เพราะระบบการเงินมันเปลี่ยนไป และธนบัตรมิได้อยู่ในการควบคุมของรัฐบาลอีกต่อไป ในเรื่องการจ้างงาน รัฐบาลจะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มการจ้างงานให้มากขึ้น เพราะเทคโนโลยีทำให้จ้างงานน้อยลง นโยบายการส่งเสริมการส่งออกเพื่อกระตุ้นความเติบโตจะชะงักงัน เพราะประเทศใหญ่ๆจะหันมาใช้นโยบายกีดกันทางการค้า เพื่อรักษาระดับการจ้างงานของตนเอง ซึ่งก็ทำได้ยากลำบากมาก และแม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในระยะต่อมาก็จะไม่เป็นผลดีต่อประเทศกำลังพัฒนามากนัก เพราะความได้เปรียบในเรื่องแรงงานราคาถูกจะหมดไป ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยสามารถผลิตสินค้าหรือชิ้นส่วนอะไหล่ได้ในราคาถูกกว่า เช่น เครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่สามารถผลิตสินค้า ชิ้นส่วนอะไหล่ ได้ในราคาถูก แม้แต่สินค้าที่ใช้ส่วนตัวอย่างรองเท้า เสื้อผ้า ก็สามารถผลิตได้ถูกและทำได้แบบ MASS CUSTOMIZATION นั่นคือผลิตได้เฉพาะตัว จำนวนมากราคาถูก
หากยังมองภาพไม่ชัดเจนลองดูธุรกิจเหล่านี้ ที่ต้องปิดตัวไป เช่น ธุรกิจผลิตฟิล์ม ธุรกิจเทป ซีดี และตอนนี้ที่กำลังเผชิญการท้าทายคือ ธุรกิจสิ่งพิมพ์ และธุรกิจทีวีตลอดจนภาพยนตร์ในขณะที่ธุรกิจหลายอย่างเช่น APPLE FACEBOOK GOOGLE UBER ALIBABA หรือบริการจองโรงแรม AIRBNB พวกนี้ไม่มีโรงงานหรือการผลิตของตนเลย ทั้งนี้เขายึดหลัก GAINING ACCESS ไม่ใช่ OWNING ASSETS ทำให้ประหยัดต้นทุนและทำกำไรได้มากขึ้น
นั่นคือไม่ต้องมีปัจจัยในการผลิตเป็นของตนเอง แต่ใช้เข้าถึงด้วยการเช่า หรือจ้างทำ หรือประสานงานนั่นคือใช้เครือข่าย (NET WORK)ด้วยระบบที่พัฒนาเช่น BIG DATA ก็ยิ่งทำให้มีขีดความสามารถมากขึ้น ตลอดจนการใช้ INTERNET OF THINGS ณ จุดนี้จะเห็นได้ว่ามีคำใหม่ๆ สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมในการปรับตัวเกิดขึ้นมากมาย แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งในยุโรป สหรัฐฯ จีน รัสเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น ต่างก็มุ่งสู่ทิศทางนี้และกำลังปรับตัวกันขนานใหญ่ หลายประเทศเริ่มวางทิศทางในการวิจัยพัฒนาเพื่อสร้างธุรกิจหลักของตน เช่น ญี่ปุ่นจะเน้นอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ เกาหลีเน้นทาง BIOTECH เช่นเดียวกับไต้หวัน สหรัฐฯจะเน้นเรื่อง AI คือเครื่องจักรอัจฉริยะและ NANOTECH ซึ่งก็มีจีนและรัสเซียวิ่งตามมาติดๆ
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้มันทำให้กฎของมัวร์ซึ่งเคยพยากรณ์วิวัฒนาการของเทคโนโลยีในทุกๆ 10 ปีต้องปรับเปลี่ยนไปจนทุกวันนี้มันเกิดได้ทุกๆวัน ซอฟแวร์ใหม่ๆ ที่ทรงประสิทธิภาพสามารถทดแทนการทำงานของมนุษย์ได้ในหลายๆด้าน แม้แต่งานกฎหมาย เช่น IBM WATSON สามารถให้คำแนะนำด้านกฎหมายพื้นฐานได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที และมีความแม่นยำถึง 90% ในขณะที่มนุษย์ทำได้เพียง 70% ทำให้ต่อไปจะเหลือแต่ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายเฉพาะด้านเท่านั้น ในด้านการแพทย์ก็จะมีโปรแกรมที่สามารถวินิจฉัยโรคที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และราคาถูก แถมมีบริการถึงบ้านอีกด้วยนั่นคือ TRICODER X
รถยนต์พลังไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติจะเข้ามาแทนที่ทั้งรถส่วนบุคคลและรถสาธารณะ ทำให้เกิดความปลอดภัยจากการเดินทางสูงมากขึ้น และทำให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัยอย่างเป็นนัยสำคัญ
การใช้พลังงานจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างขนานใหญ่ภายในเวลาไม่เกิน 10 ปี การใช้พลังงานจากฟอสซิล จะค่อยหายไป แต่จะมีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้นโดยเฉพาะพลังงานจากแสงอาทิตย์ ทำให้อุตสาหกรรมน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และเหมืองถ่านหินต้องค่อยๆปิดตัว ในเวลาไม่เกิน 20 ปี ซึ่งจะส่งผลให้ปรากฎการณ์เรือนกระจกทุเลาความรุนแรงลงมาก และด้วยพลังงานที่ถูกลงนี้เราสามารถผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลได้ในราคาที่ถูกมากๆ การเกษตรจะถูกพัฒนามากจากการใช้หุ่นยนต์ และ BIO TECH ทำให้ผลิตได้มากและราคาถูก แต่แรงงานจากภาคเกษตรจะตกงาน นอกจากผู้เป็นเจ้าของที่ดินและมีทุนที่จะพัฒนาและสามารถใช้เครื่องจักรเหล่านั้น การผลิตเนื้อสัตว์จะสามารถผลิตได้โดยการเพาะเลี้ยงเซล ทำให้มีเนื้อสัตว์ราคาถูกในขณะที่มีการพัฒนาการผลิตโปรตีนจากแมลงซึ่งมีมากมายในโลกใบนี้ ด้านกระบวนการยุติธรรมจะมีแอปที่เรียกว่า MOODIES ซึ่งสามารถบอกว่าคุณพูดจริงหรือโกหกได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเครื่องจับเท็จ ซึ่งจะทำให้การไต่สวนในขบวนการยุติธรรมสามารถลดขั้นตอนและเวลาลงได้มากที่สำคัญคือลดจำนวนบุคลากรลงได้มากอีกด้วย
ในเรื่องการศึกษาจะมีการใช้สื่อสารทางไกลราคาถูก โดยเฉพาะจาก SMART PHONE ด้วยโปรมแกรมมาตรฐานระดับโลกอย่าง Khan Academyและจะมีการนำเสนอในภาษาต่างๆมากขึ้น แต่เรื่องนี้สำหรับประเทศกำลังพัฒนาจะมีปัญหาหลักคือ มาตรฐานการศึกษาของเด็กอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นจะไม่สามารถเรียนรู้ตามโปรแกรมได้ยกเว้นจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำ
ในขณะที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วชนิดที่เรียกว่าการก้าวกระโดด กำลังแรงงานก็ต้องปรับตัวเองให้เรียนรู้ที่จะสามารถยืนหยัดอยู่ได้กับการที่เครื่องจักรอัจฉริยะ หุ่นยนต์ คอมพิวเตอร์เข้ามาแทนที่ช่องว่างนี้จะทำให้เกิดการว่างงานและความปั่นป่วนในสังคม ขณะเดียวกันก็จะเกิดช่องว่างระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา โดยประเทศที่ปรับตัวได้ช้าก็จะเผชิญกับภาวะทุกข์ยากเพราะจะสูญเสียความสามารถในการดำรงชีพ ของตนเองในระบบเศรษฐกิจที่เปิดกว้างอย่างในปัจจุบันนี้ ที่สำคัญนโยบายทางเศรษฐกิจต่างๆจะไม่สามารถใช้ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว ด้านการเมือง รัฐบาลกลางจะสูญเสียอำนาจการปกครองที่ตนเองเคยใช้ในการปกครอง ชุมชนต่างๆจะมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้น แต่ในยามที่สังคมมีความปั่นป่วน อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การปกครองก็จะปั่นป่วนมากขึ้น การเมืองก็จะมีปัญหาจนยากจะควบคุมทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
ในขณะเดียวกันแม้ว่าเราจะสามารถใช้เทคโนโลยีใหม่ที่จะลดภาวะโลกร้อนไปได้มาก แต่เราเลยจุดที่จะหันกลับเสียแล้ว ด้วยน้ำแข็งที่ขั้วโลกทั้งสอง เริ่มละลายจนยากหวนกลับ ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูง และสร้างความเจือจางให้กับน้ำทะเล ผลคือกระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็นในมหาสมุทรจะเกิดวิกฤต จนอาจหยุดหมุนเวียนทำให้ลมฟ้าอากาศแปรปรวนอย่างมาก น้ำทะเลที่เพิ่มสูงจะทำให้เราสูญเสียแผ่นดินไปเกือบ 1 ใน 4 ทำให้เกิดวิกฤติในการผลิตอาหารและที่อยู่อาศัย แม้ว่าตอนนี้ยังไม่เห็นชัดเจนแต่ในช่วง 20 ปี นี้เราจะพบกับเหตุการณ์ดังกล่าวที่ผืนดินจำนวนมากถูกน้ำท่วม
นอกจากนี้การปรวนแปรของการหมุนตัวของโลกจะก่อให้เกิดการประทุของภูเขาไฟในหลายๆพื้นที่ของโลก ซึ่งนั่นคือการตอบโต้ของธรรมชาติต่อความอหังกาของมนุษย์ในการพัฒนาเทคโนโลยีใน 20 ปี นี้จะเห็นชัดว่าใครจะเป็นฝ่ายมีชัยแล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
![]()  | 
| สภาพร้านสะดวกซื้อที่ไม่ต้องใช้พนักงานของแจ๊คหม่า ในจีน มีประชาชนเข้าไปใช้บริการหลบร้อนกันอย่างคับคั่ง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีพนักงานมาไล่ !!! | 












