อิสลามกับมุมมองเรื่อง ความรู้ ความศรัทธา และการปฏิบัติตน

อิสลามกับมุมมองเรื่อง ความรู้ ความศรัทธา และการปฏิบัติตน
ดร.เชค ชะรีฟ ฮาดีย์
ศูนย์อิสลามศึกษา วทส.
“ผู้ใดได้ปฎิบัติตัวอย่างมีคุณธรรม ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง โดยแน่แท้เขาเป็นผู้ศรัทธาต่อพระเจ้า ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดีงาม”(บทที่ ๑๖ โองการที่ ๙๗)
พระเจ้าทรงรังสรรค์สร้างมนุษย์มาอย่างมีเป้าหมาย และเป้าหมายนั้นเพื่อให้ไปถึงความสมบูรณ์แบบและความผาสุกทั้งชีวิตโลกนี้และชีวิตปรโลก และพระเจ้าทรงมอบสื่อและเครื่องมือหนึ่งในการไปถึงเป้าหมายนั้น คือการทำอิบาดะฮ์ การนมัสการต่อพระเจ้าหรือการปฎิบัติธรรม ดังโองการอัลกุรอานที่ได้กล่าวว่า
“ข้ามิได้บัญชาพวกเจ้าดอกหรือ โอ้ลูกหลานอาดัมว่า พวกเจ้าอย่าได้เคารพบูชากราบไหว้ชัยฎอน(มารร้าย )แท้จริงมันเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเจ้า”“และพวกเจ้าจงเคารพภักดีต่อข้า นี่คือทางที่เที่ยงตรง”(บทที่ที่๓๖ โองการที่ ๖๐-๖๑)
การอิบาดะฮ์(นมัสการ) ไม่ได้ให้ความหมายที่เป็นประเภทเฉพาะว่ามีเพียงรูปแบบเดียว แต่ทว่าให้ความหมายที่กว้างกว่านั้น นั่นคือทุกๆ การกระทำที่เป็นอุศลและความดีที่ได้ทำไปโดยเพื่อพึงพอใจต่อพระเจ้าเท่านั้นและแสวงหาความใกล้ชิดต่อพระองค์ ดังนั้นการอิบาดะฮ์ในมุมมองของอิสลามคือ ทุกๆกิริยาบททุกๆการกระทำที่สามารถเข้ามามีบทต่อการดำเนินชีวิตของเรา ไม่ว่า การทำงานประกอบอาชีพ การพูด การฟัง การกินการดื่ม การนอนและอื่นๆ และที่กว้างไปกว่านั้น คือการอิบาดะฮ์ที่เป็นรูปแบบตามศาสนบัญญัติตามศาสนพิธี เช่นการละหมาด การถือศิลอดและอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้บรรดาศาสดาถูกส่งมา เหตุผลหนึ่งเพื่อให้ประชาชนรู้จักต่อการนมัสการและภักดีต่อพระเจ้าและได้นำบทบัญญัติระเบียบแบบแผนให้กับประชาชน และพระผู้เป็นเจ้าได้ให้คำสอนนั้นถือเป็นระเบียบการดำเนินชีวิตที่ครอบคลุมทุกมิติ ไม่ว่าด้านปัจเจกบุคคลหรือด้านสังคม
ความเป็นจริงก็คือ ถ้าเราต้องการจะนมัสการ อิบาดะฮ์ต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ครบทุกมิติ ก็จะทำให้เราใกล้ชิดพระองค์มากยิ่งขึ้น และคงไม่เพียงพอที่จะหยุดอยู่เพียงการละหมาดหรือการถือศีลอดตามจารีตประเพณีที่ยึดถือกันมาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้อิสลามจึงสอนให้เริ่มด้วยการเพ่งพินิจการใช้ความคิด คือการสร้างการรู้จักพระเจ้า รู้จักศาสนา รู้จักความจริงสุงสุด รู้จักคุณค่าของมนุษย์ รู้จักชีวิต รู้จักความตาย หลังจากนั้นให้เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งใช้และคำสั่งห้าม ด้วยเหตุนี้สามองค์ประกอบหลักในการสร้างความใกล้ชิดต่อพระเจ้า คือ มีความศรัทธา มีหลักปฏิบัติศาสนกิจ และมีหลักจริยธรรม
อัลกุรอานได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า….
“และอัลลอฮ์ทรงให้ผู้ยำเกรงรอดพ้น เพราะชัยชนะของพวกเขา (โดยที่)ความชั่วร้ายจะไม่ประสบแก่เขา และพวกเขาจะไม่เศร้าโศกเสียใจใดๆ”(บทที่๓๙ โองการที่ ๖๑)
ภาวะความยำเกรงพระเจ้า(ตักวา) คือสมรรถนะหนึ่งทางจิตที่สามารถสั่งการให้มนุษย์กระทำสิ่งที่บังคับใช้และให้ละทิ้งสิ่งบังคับห้าม และผู้ใดมีภาวะความยำเกรงพระเจ้า จะเข้าสู่สวรรค์อันนิรันดร์
การสร้างความใกล้ชิดพระเจ้า ความหมายคือ การสร้างภาวะความสมบูรณ์แบบทางภวันต์ สร้างความสมบูรณ์ทางตัวตนในฐานะสิ่งถูกสร้างที่เชื่อมสัมพันธภาพกับผู้สร้างที่เกิดความคนึงหาอยู่ทุกคณะจิตที่เป็นพลังแห่งการเคลื่อนและการขยับไปให้ใกล้ที่สุดต่อพลานุภาพที่สมบูรณ์ ซึ่งนั่นคือพระเจ้าคือองค์สัมบูรณ์ จะทรงมอบความสมบูรณ์นั้น เพื่อสร้างความใกล้ชิดยังพระองค์ ไม่ใช่เป็นความใกล้ชิดเชิงสสารหรือเชิงวัตถุที่มีระยะ แต่เป็นความใกล้และความคณึงหาทางจิตและอยู่กับพระองค์อยู่ทุกคณะจิตต่างหาก และจากพื้นฐานที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้รอบรู้ ด้วยความรอบรู้และการรู้จักต่อบ่าวของพระองค์อย่างดิบดี ก็จะทำให้บ่าวพระองค์มีความพัฒนาและก้าวหน้า และพระองค์ยังทรงมีความปรีชาสามารถ และด้วยคุณลักษณะนี้จะถูกทำให้มนุษย์เข้าใกล้ชิดพระองค์ และจะพบเจอคุณลักษณะพระเจ้ามากยิ่งขึ้น และจะบังเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวของมนุษย์คนนั้นตามไปด้วย ดังนั้นมนุษย์ที่ถือว่าประสบความสำเร็จคือผู้ที่เขามีภาวะสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ ซึ่งหมายความว่า “เขามีคุณลักษณะที่ดีงามและมีศีลธรรม” (สอง)”คุณลักษณะแห่งการมีคุณธรรมดำรงอยู่ในตัวของเขาตลอดเวลา” (สาม)มีภาวะเป็นทางสายกลาง”(ไม่สุดโต่งและสุดดิ่ง)
อิมามยะฟัร ศอดิกได้นำรายงานวจนะบทหนึ่งจากพระศาสดามุฮัมมัด ว่า…”การครุ่นคิดเพียงหนึ่งชั่วโมง ประเสริฐกว่าการทำอิบาดะฮ์(ปฏิบัติธรรม)ตลอดทั้งคืน” ได้มีคนหนึ่งเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น ได้กล่าวอิมามว่า “เป็นไปได้อย่างไร? อิมามกล่าวว่า “ เมื่อเจ้าเห็นบ้านหลังหนึ่ง ก็จะเกิดคำถามว่า ผู้สร้างบ้านหลังนั้น อยู่ที่ไหน? และผู้อาศัยนั้นอยู่ที่ไหน? ทำไมไม่ถามว่า พวกเขาเกิดปัญหาอะไรกัน?(วะซาอิลุชชีอะฮ์ เล่ม ๑๑ หน้า ๑๕๔)
มนุษย์ที่สมบูรณ์ คือผู้ที่มีใจบริสุทธิ์ใจต่อพระเจ้าเพียงผู้เดียว พวกเขาจะเริ่มต้นการจาริกทางจิตวิญญาณยังพระเจ้าด้วยความมีเสรีภาพพร้อมความเข้าใจ และขับเคลื่อนตัวตนผ่านกระบวนการทางการรู้จักพระเจ้าและการนมัสการ กราบไหว้พระเจ้าเป็นเนืองนิตย์ จนไปถึงภาวะหนึ่งในบั้นปลายสุดท้ายคือยอมรับว่าตัวเองคือบ่าวผู้ต่ำต้อยและยังพึ่งพาอย่างแท้จริงต่อพระผู้สร้างเป็นการพึ่งพาทุกคณะจิต เป็นผู้มีความอ่อนแอ และเขานั้นยังแสดงความต่อมตนต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า เพื่อสร้างภาวะความบริสุทธิ์ใจของผู้ที่อยู่ในฐานะเป็นบ่าวผู้ต่ำต้อย
ด้วยเหตุนี้ เราสามารถจะกล่าวได้ว่า ขั้นสุดท้ายของการเดินทางของมนุษย์สมบูรณ์ที่จะต้องมีคือ ความเป็นบ่าวผู้มีใจบริสุทธิ์ต่อพระเจ้าเพียงผู้เดียว หรือกล่าวอีกนัยยะหนึ่งคือ ประจักษ์ถึงความเป็นผู้พึ่งพาและมีภาวะเป็นผู้พึ่งพิง(ต่อพระเจ้าทุกขณะจิต) ดังกุรอานได้กล่าวว่า
“และข้ามิได้สร้างญินและมนุษย์มาเพื่ออื่นใด นอกจากให้ภักดี กราบไหว้ต่อข้า”(บทที่ ๕๑ โองการที่ ๕๖)
ความสัมพันธ์ระหว่าง ความรู้ ความศรัทธา และการปฏิบัติ
ความศรัทธาคือ การเชื่อมั่นพร้อมกับการยอมรับด้วยหัวใจต่อสิ่งหนึ่งผ่านการไต่รตรองทางสติปัญญา โดยเกิดภาวะการยอมรับและเชื่อ และการเชื่อมั่นทางหัวใจทำให้ผู้ศรัทธานั้นมีภาวะความสงบมั่น และยังจะสร้างแรงจูงใจให้กระทำสิ่งที่ดีและมีคุณธรรม
ความศรัทธา มาคู่กับความรู้ แต่ก็ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกัน เพราะว่ามีบางอย่างที่เรามีความรู้ต่อมัน แต่เราอาจจะไม่เชื่อหรือศรัทธามัน ด้วยเหตุนี้ความศรัทธาต้องผ่านความรู้ ดังนั้นจึงเกิดความแยกแยะได้ถึงความสัมพันธภาพระหว่างความศรัทธากับความรู้ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างความศรัทธากับการกระทำ จะสามารถเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะว่า ดังที่ความศรัทธาต้องพึ่งพา ความรู้ ดังนั้นการกระทำก็พึ่งพาต่อการศรัทธาด้วย และการกระทำใดที่ไร้ถึงการศรัทธา ก็จะไม่ส่งผลสะท้อนในการจะได้รับความพึงพอใจจากพระเจ้าได้เลย การกระทำนั้นประดุจดัง คลื่นมายาในทะเลทราย ซึ่งมนุษย์ได้มองเห็นน้ำ สภาพที่ภาพที่เห็นเป็นเพียงมายาลวง เมื่อไปถึงที่นั้น ก็จะพบแต่ความว่างเปล่า ดังกุรอานได้กล่าวว่า
“และผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น การงานของพวกเขาเปรียบเสมือนภาพลวงตาในที่ราบโล่งเตียน คนกระหายน้ำนั้นคิดว่าเป็นเป็นแอ่งน้ำ เมื่อเขาเข้ามาใกล้มัน จะไม่พบอะไรเลย”(ซูเราะฮ์ที่ ๒๔ โองการ ๓๙)
ระดับขั้นที่สองของการกระทำ คือ การงานใดที่มนุษย์มีความเชื่อมั่นจากหัวใจ และปราศจากการใช้อวัยวะหรือร่างกาย
ดังกุรอานกล่าวว่า
“และจงรำลึกถึงอัลลอฮ์ให้มาก เผื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ”(ซูเราะฮ์ที่ ๖๒ โองการที่ ๑๐)
อิมามยะฟัร ศอดิก ได้กล่าวว่า ความศรัทธา คือ การกล่าวยอมรับด้วยวาจา และเชื่อมั่นด้วยหัวใจ และปฏิบัติด้วยอวัยวะ (อัลกาฟี เล่ม ๓ หน้า ๗๗)
“ผู้ใดได้ปฎิบัติสิ่งคุณธรรม ไม่ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธาต่อพระเจ้า ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดีงาม”(ซูเราะฮ์ ๑๖ โองการที่ ๙๗)
พระองค์อัลลอฮ์ ได้กล่าวถึงการให้กำลังใจทั้งบุรุษและสตรีที่เป็นคนมีคุณธรรม และมีศรัทธาต่อพระองค์ เขาจะได้รับชีวิตที่งดงาม (ฮะยาตฏอยยิบะฮ์”) อรรถาธิบายถึงโองการนี้ว่า”ชีวิตที่งดงาม คือ ชีวิตบริสุทธิ์ โดยไม่มีสิ่งใดมาทำให้มัวหมอง หรือมาทำลายการใช้ชีวิตแบบผาสุกให้หมดไป การมีชีวิตแบบนี้ ถือว่าเป็นประเภทเฉพาะจากความรู้และความสามารุที่พระองค์ทรงมอบให้กับมนุษยชาติ โดยที่จะเตรียมพร้อมให้กับมนุษย์เข้าใจถึงความเป็นจริงต่างๆ ”
พฤติกรรมนั้นแบ่งออกสองประเภท หนึ่ง เป็นพฤติกรรมที่อยู่กับความถูกต้อง สอง เป็นพฤติกรรมที่เป็นเท็จ เมื่อไหร่ที่ผู้ศรัทธาต่อพระเจ้าสามารถจะแยกแยะระหว่างสองพฤติกรรมนั้นออกจากกันได้ ก็จะทำให้ความสงสัยหรือความเคลือบแคลงหรือความผิดพลาดใดๆ ห่างไกลจากเขา จะเป็นบุคคลที่มีเกียรติ ที่จะมุ่งมั่นในการจะเชื่อมสัมพันธ์กับพระเจ้าอยู่ทุกขณะจิต เมื่อไหร่ที่เกียรติยศแห่งพระเจ้าอยู่กับเขา มารร้ายจะมิบังอาจจะเข้าใกล้ ความอยาก ตัญหา ราคะ ก็จะมิสามารถหลอกลวงหรือจะพันธนาการให้ติดกับดักมันไปได้ เหตุผลเป็นเพราะว่า เขานั้นมีวิจารณญาณต่อเรื่องตัญหา คาระหรือการจะใหลหลงในโลกียะ ความหมายของเราในตรงนี้คือว่า เขาจะไม่มีความผูกพันหรือใหลหลงอยู่กับชีวิตทางโลกนี้ แต่เขามีโลกทัศน์ในหลักเอกานุภาพของพระเจ้าต่อมุมมองในเรื่องสิ่งที่มีอยู่ โดยสิ่งที่เขาจะหลงใหลและพันธนาการอยู่ตลอดคือพระเจ้าเพียงองค์เดียว
ความหมายในประเด็นนี้มิได้หมายความว่า จะไม่ให้ใช้ประโยชน์จากความดีงามของโลกนี้หรือจะบอกว่าให้ออกห่างจากชีวิตโลกนี้ ซึ่งศาสนาอิสลามได้มีความขัดแย้งกับคนที่มีความเห็นเช่นนี้ เพราะว่าพระเจ้าได้กล่าวซ้ำหลายโองการเกี่ยวกับความโปรดปรานทั้งในชั้นฟ้าและชั้นดิน โดยได้แนะนำว่า นั่นคือความโปรดปรานที่มาจากพระองค์เอง ดังนั้นมนุษย์จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากความโปรดปรานนั้น โดยการขอบคุณต่อพระเจ้าในสิ่งที่พระเจ้าได้บันดาลให้มา ส่วนความหมายที่ถูกตำหนิ คือ การยึดมั่นถือมั่นอยู่กับโลกนี้และการหลงใหลต่อมัน และยังมีความหวังต่อชีวิตโลกนี้อย่างชนิดที่ว่าได้นำมาแทนที่ความศรัทธา และความหวัง และการมอบหมายต่อพระเจ้า
การรำลึกถึงพระเจ้า ถือว่าเป็นการปฏิสัมพันธ์ทางตรงที่จะทำให้เกิดความก้าวหน้าและการพัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์ และยังถือว่าเป็นการขับเคลื่อนไปสู่ความสมบูรณ์ และด้วยความมีคุณูปการและความสำคัญอย่างยิ่งยวดในเรื่องนี้นั้น ซึ่งบางครั้งเพียงชั่วครู่ของการรำลึกที่แท้จริงต่อพระเจ้ามีผลทางบวกมากกว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเวลาแรมปีเลยทีเดียว อัลกุรอานได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า…
“แท้จริงเราได้สร้างชั้นฟ้าและชั้นดิน และการที่กลางวันและกลางคืนตามหลังกันนั้น แน่นอนมีหลายสัญญาณ สำหรับผู้ใช้สติปัญญา”
“คือบรรดาผู้ที่รำลึกถึงอัลลอฮ์ ทั้งในสภาพยืน และนั่ง และสภาพที่นอนตะแคง”(บทที่ ๓ โองการที่ ๑๙๐-๑๙๑)




