ซีเรีย-ปาเลสไตน์ : จากแผ่นดินโบราณสู่สัญญาณแห่งวันสิ้นโลก (16)

ซีเรีย-ปาเลสไตน์ : จากแผ่นดินโบราณสู่สัญญาณแห่งวันสิ้นโลก (16)
โดย อดุลย์ มานะจิตต์
นำมาวางลงแทนที่หินที่พวกเขายกไป อิบลีสจึงสอบถามถึงสภาพ การณ์ของพวกเขาเอีก พวกเขาจึงกล่าวว่า สภาพของพวกเรา นั้นย่ำแย่มาก เขาจึงถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าไม่ได้นอนกันในตอน กลางคืนหรือ พวกเขาจึงตอบว่า “ทำไมจะไม่นอนเล่า” อิบลิส จึงกล่าวว่า “ดังนั้นพวกเจ้าก็ยังคงมีความสุขสบายดีในยามกลางคืน สอง ลืมได้นำพาการเจรจานี้ไปยังสุลัยมาน สุลัยมานจึงกล่าวว่า “นับ แต่นี้ต่อไป พวกเขาควรต้องทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน” สามปีผ่านไป ในลักษณะเช่นนี้ สุลัยมานจึงสวรรคตจากโลกนี้
ตามการรายงานวจนะหนึ่งที่เชื่อถือได้จากอิมาม อัรริฎอกล่าวว่า มีหญิงชรานางหนึ่ง มาเข้าเฝ้าสุลัยมาน และร้องเรียนถึง เรื่องของลม สุลัยมานจึงเรียกลมมาไต่สวนว่า “ทำไมถึงต้องทำให้ หญิงชราผู้นี้เดือดร้อน” ลมกล่าวตอบว่า “อัลลอฮ์ทรงมีบัญชาให้ ข้าฯรักษาเรือนั้นไว้ไม่ให้จม มีเรือลำหนึ่งกำลังจะจม ข้าฯจึงมาด้วย กับพลกำลัง เพื่อรักษาเรือและผู้คนบนเรือให้ปลอดภัย หญิงชรา ผู้นี้อยู่บนดาดฟ้าเรือ นางจึงตกลงมาแขนหัก เมื่อเป็นเช่นนี้ (ข้าฯ ทำผิดในสิ่งใด)” สุลัยมานจึงวิงวอนต่อพระองค์ “โอ้อัลลอฮ์ ข้าพระองค์จะตัดสินพิพากษาอย่างไร” จึงมีวิวรณ์ลงมาว่า “จงตัดสิน ไปว่า ให้ผู้คนบนเรือชดเชยให้กับหญิงผู้นี้ เพราะลมได้เข้าไปช่วย พวกเขาให้ปลอดภัย แต่ในส่วนของข้านั้น มิได้มีการกระทำที่เป็นการ อยุติธรรมในแต่ประการใด”
จากวจนะบทนี้ย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดถึงการเป็นกษัตริย์และ ความปรีชาสามารถของสุลัยมาน และในทำนองเดียวกัน อัลลอฮ์จะมิ ทรงอดรนทนต่อความอยุติธรรมที่กระทำต่อผู้อื่นได้
มีการเล่าขานมาจากอิมาม อัศ ศอดิก ว่า เนื่องจากสุลัยมาน ได้รับตำแหน่งการเป็นกษัตริย์ของโลกนี้(ตามความสามารถของเขา) ดังนั้นเขาจึงจะเป็นบุคคลสุดท้ายในมวลหมู่ศาสดาที่จะได้เข้าสวรรค์
มีวจนะอีกบทหนึ่งที่เชื่อถือได้กล่าวไว้ว่า บุคคลแรกที่ทำการทอผ้าคลุมกะอุบะฮ์ ก็คือสุลัยมาน สุลัยมานพร้อมกับมนุษย์ ญิน และบรรดานก พร้อมกับลม เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ แหวนของสุลัยมาน จารึกพระคำดังกล่าวนี้ไว้ “พระผู้อภิบาล ผู้ทรงมหาบริสุทธิ์ยิ่ง ผู้ทรงควบคุมญินไว้ด้วยกับพระคำของพระองค์
มีวจนะอีกบทหนึ่งที่เชื่อถือได้ มีเรื่องเล่ามาจาก อิมาม มุฮัมมัด อัล บากิรว่า คืนหนึ่ง เมื่ออะลีตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับไปสักพัก หนึ่ง และจึงออกมายังสนามนอกบ้านของท่าน พร้อมกับกล่าวว่า อิมามของพวกเจ้าจะมายังเจ้าโดยสวมใส่เสื้อผ้าของอาดัม สุลัยมาน และ(ถือ)ไม้เท้าของมูซา” แหวนของ
มีการเล่าขานไว้ว่า วันหนึ่งสุลัยมานทรงแต่งองค์ทรงเครื่อง ด้วยความวิจิตรตระการตาและเสด็จผ่านชาวอิสราเอลผู้หนึ่งที่กำลัง บำเพ็ญพรตภาวนาไป โดยชายผู้นี้กล่าวขึ้นว่า “บุตรของดาวูด เอ๋ย ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ที่พระองค์ทรงประทานการเป็นกษัตริย์เช่นนี้ ให้กับท่าน” ลมได้นำคำพูดของเขาไปยังสุลัยมาน สุลัยมานจึงกล่าว ตอบว่า “ข้าฯขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า การกระทำหนึ่งเดียวของผู้ ศรัทธาคนหนึ่ง นั่นคือ การกล่าว (ซุบฮานัลลอฮ์) โดยที่ผลรางวัลตอบ แทนของมันนั้น ดียิ่งเสียกว่าการเป็นกษัตริย์ของบุตรของดาวูด ทั้งนี้ เพราะอะไรก็ตามที่ทำให้กับเขา วันหนึ่งมันก็จะอันตรธานไป แต่รางวัล ตอบแทนของการกล่าว ตัสบิย์ นี้จะคงอยู่ตลอดไป”
มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ในทุกเช้าสุลัยมานมักจะผ่านบรรดาคน รวยไป และเมื่อมาถึงผู้คนที่ยากจน ท่านมักจะเข้ามานั่งร่วมกับพวกเขา และกล่าวว่า คนจนคนหนึ่งได้เข้ามานั่งร่วมกับคนจนอีกคนหนึ่ง ถึงแม้พระองค์จะทรงเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงฉลองพระองค์ด้วย เสื้อผ้าธรรมดา และในยามกลางคืนผูกมือของท่านไว้กับต้นคอและยืนสะอื่นให้อยู่เช่นนี้จนถึงรุ่งสาง พระองค์เคยสานตระกร้า และนำ ไปขายที่ตลาด และด้วยการค้าขายนี้ที่ท่านนำรายได้มาเลี้ยงดูตนเอง พระองค์ร้องขอที่จะเป็นกษัตริย์ เพื่อว่าพระองค์จะได้เข้าพิชิตบรรดากษัตริย์ทั้งหลายของโลก และนำพวกเขามาดูแนวทางของอิสลาม (และ ทำให้พวกเขาเคารพภักดีต่อพระเจ้า) ตามสายรายงานที่เล่าสืบต่อกันมาซึ่งเชื่อถือได้ กล่าวไว้ว่า
มีบุคคลผู้หนึ่งมาหา อิมาม มุฮัมมัด อัต ตากี และกล่าวขึ้นว่า “ผู้คนพา กันกล่าวถึงอายุของท่าน โดยกล่าวว่าเด็กอายุเพียงเก้าขวบจะเป็น อิมามได้อย่างไร” อิมามจึงกล่าวตอบว่า “อัลลอฮ์ทรงวิวรณ์มายังตาวูด ให้แต่งตั้งสุลัยมานเป็นคอลีฟะฮ์ของท่าน และสุลัยมานเป็นเพียง เด็กชายคนหนึ่งและเป็นคนเลี้ยงแกะ สุลัยมานขึ้นเป็นคอลีฟะฮ์ และ บรรดาผู้คนทั้งที่เป็นปัญญาชนและคนธรรมดาทั่วไปที่เป็นชาวอิสราเอล ต่างไม่ยอมรับในตัวเขา ดังนั้นจึงมีวิวรณ์มายังตาวูด ให้เก็บรวบรวม กิ่งไม้จากสุลัยมานและของผู้อื่นไว้ในห้องๆหนึ่ง และให้ใส่กุญแจ ห้องนั้นไว้ และเจ้าก็ใส่กุญแจไว้เช่นกัน ในวันรุ่งขึ้นให้เจ้าเปิด ประตูออกดู และหากพบว่ากิ่งไม้ของผู้ใดมีใบอ่อนแตกออกมา บุคคล ผู้นั้นก็จะได้เป็นคอลีฟะฮ์ของฉัน เมื่อดาวูดแจ้งให้พวกเขาทราบถึง พระบัญชาของพระเจ้า พวกเขาต่างพากันพึงพอใจ ด้วยกับการตัดสิน เช่นนี้ และจึงดำเนินการให้เป็นไปตามนั้น จากนั้นจึงปรากฏว่ามี ใบไม้ปรากฏขึ้น ณ ไม้เท้าของสุลัยมาน ดังนั้นพวกเขาจึงยอมรับ การสืบทอดตำแหน่งของสุลัยมาน และจึงเชื่อฟังปฏิบัติตามเขา
มีวจนะที่น่าเชื่อถือได้อีกวจนะหนึ่ง มีเรื่องเล่าไว้ว่า มีบุคคล ผู้หนึ่งมาถามอิมามยะอ์ฟัร อัศ ศอดิก ว่า “ชัยตอนไปสวรรค์ได้อย่างไร ทั้งนี้เพราะพวกเขาเป็นสิ่งถูกสร้าง และมีมลทินเสมือนมนุษย์ และถ้า หากพวกเขาไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะทำงานให้สุลัยมานได้อย่าง ไรกัน และยังสามารถทำงานได้หนักกว่าที่มนุษย์จะสามารถทำงาน ได้เสียอีก” อิมามกล่าวตอบว่า “ร่างกายของชัยตอนนั้นบริสุทธิ์ และอาหารของมันก็คืออากาศ และด้วยเหตุนี้พวกมันจึงเคลื่อนขึ้น ฟากฟ้า และเมื่ออัลลอฮ์ทรงทำให้พวกมันมีความจงรักภักดีต่อสุลัยมาน พระองค์จึงทรงทำให้ร่างกายของพวกมันบริสุทธิ์(เต็มไปด้วยสสาร) และไขมันเพื่อว่าพวกมันจะได้ทำงานได้
ตามการรายงานที่ปรากฏอยู่ในวจนะหนึ่ง กล่าวว่า อะลี บิน ยักฏีน สอบถาม อิมาม มุชา อัล กาซิมว่า “เป็นที่อนุมัติให้กับ ศาสดาของอัลลอฮ์(คนใด)หรือที่จะเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว อิมามกล่าว ตอบว่า”ไม่” จากนั้นเขาจึงถามต่อไปว่า “ทำไมสุลัยมานจึงวิงวอนต่ออัลลอฮ์ให้อภัยโทษกับท่าน และทรงประทานราชอาณาจักรให้กับ ท่านในลักษณะที่ว่า ภายหลังจากท่านแล้วขออย่าให้ผู้ใดได้รับเยี่ยบ นี้อีก” อิมาม กล่าวตอบว่า “ราชอาณาจักรมีด้วยกันสองแบบ แบบหนึ่ง ได้มาด้วยกับการกดขี่บีฑา และอีกแบบหนึ่งได้มาด้วยกับการอนุมัติ ของอัลลย์ เช่นราชอาณาจักรของผู้สืบตระกูลของอิบรอฮีม ฏอลูด ซุลกอรนัย” สุลัยมาน จึงได้กล่าวถึงเรื่องนี้ดังว่า “โอ้อัลลอฮ์ ทรงโปรดประทานราชอาณาจักรหนึ่งให้กับข้าฯ ซึ่งภายหลังจากนี้แล้ว อย่าให้ผู้ใดได้มัน ผู้ซึ่งเป็นพวกทรราช กดขี่บีฑา ดังนั้นผู้คนจึง ต่างคิดกันว่า ราชอาณาจักรของสุลัยมานนั้นอยู่เหนือความสามารถ ของมนุษย์ เพราะมันเป็นปาฏิหารย์หนึ่ง และมันเป็นการพิสูจน์ถึง สัจธรรมความจริงของท่าน และการเป็นศาสดาของท่าน แต่สุลัยมาน ไม่ได้หมายถึงว่า อัลลฮย์ไม่ควรให้ราชอาณาจักรเช่นนี้กับบรรดา ศาสดา และผู้สืบทอดตำแหน่งของพวกท่านในวิธีการที่เหมาะสม ประการหนึ่ง อัลลอฮ์ทรงทำให้ลมเชื่อฟังปฏิบัติตามท่าน และพา ท่านไปในทุกหนทุกแห่งที่ท่านมีบัญชากับมัน และทุกๆวันเดินทาง เป็นระยะทางถึงสองเดือน อัลลอฮ์ทรงทำให้ชัยตอนเชื่อฟังสุลัยมาน เช่นกัน ดังนั้นพวกมันจึงทำงานก่อสร้างให้กับท่าน เป็นประดาน้ำ ดำลงไปเอาไข่มุก อัลลอฮ์ทรงประทานความรู้ในภาษานกให้กับท่าน เพื่อว่าผู้คนจะได้คิดกันว่า ในระหว่างการครองราชย์ของท่าน จะได้ไม่ เหมือนกันกับบรรดากษัตริย์เหล่านั้น ที่ทำการกดขี่และเข้าพิชิตผู้คน อิมาม กล่าวว่า “ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ สิ่งใดก็ตามที่อัลลอฮ์
ทรงประทานให้กับสุลัยมาน ก็ทรงประทานให้กับพวกเราเช่นกัน
และสิ่งใดก็ตามไม่ได้ให้กับสุลัยมาน และผู้อื่น ดังเช่น อำนาจ และพล กำลังนั้น ได้มอบให้กับเรา อัลลอฮ์ตรัสกับสุลัยมานดังว่า “สุลัยมานเอ๋ย ราชอาณาจักรนี้ขาได้มอบให้กับเจ้าโดยปราศจากการคำนวณนับใดๆ และเจ้าเป็นอิสระไม่ว่าเจ้าจะมอบให้กับผู้ใดหรือจะรักษามันเอาไว้” แต่กับมุฮัมมัดนั้นอัลลอฮ์ตรัสว่า “(บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย) ไม่ว่าสิ่งใดก็ ตามที่คาสตามอบให้กับเจ้าก็จงรับมันไว้และจากเรื่องอันใดก็ตามที่เขา ห้ามเจ้าก็จงดเว้นมันเถิด” การควบคุมโลกนี้และโลกหน้าอย่าง สมบูรณ์นั่นได้ถูกมอบให้กับศาสดาแห่งอาระเบีย”
มีวจนะที่เชื่อถือได้เล่าเรื่องไว้ว่า มีผู้คนมาถามอิมาม ยะอฺฟัร อัศ ศอดิก “อัลลอฮ์ทรงมอบสิ่งต่างๆตามที่สุลัยมานร้องขอ ดังปรากฏ อยู่ในโองการนี้หรือไม่ อิมามกล่าวว่า “ใช่แล้ว และภายหลังจากเขา ไม่มีผู้ใดได้รับราชอาณาจักรเยี่ยงนั้นอีกเลย แต่อัลลอฮ์ทรงประทาน มันให้กับศาสดาองค์สุดท้ายด้วยกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ศาสดามีอำนาจเหนือซาตาน และมันถูกล่ามไว้ที่เสาของมัสยิด และดึงมันใน ลักษณะที่ว่าลิ้นของมันยื่นออกมา” จากนั้นอิมามจึงกล่าวว่า “ถ้าหาก ศาสดามี ฉันมิได้มีดุอาของสุลัยมานอยู่ในใจของฉันแล้วฉันก็จะแสดงมัน ให้เจ้าดู
อิบนิ บาบะวัย เล่าเรื่องไว้ในสายสืบที่เชื่อถือได้จากอิมาม ยะอฟัร อัศ ศอดิกว่า ..จากนั้นดาวูดจึงสอบทานสุลัยมาน ต่อหน้าชาวอิสราเอล ดาวูดถามว่า “ลูกเอ๋ย อะไรเอ่ย ที่มันเย็นและ หวานมาก” สุลัยมานกล่าวตอบว่า “อัลลอฮ์คือผู้ทรงอภัยโทษใน บาปต่างๆของบรรดาข้าทาสของพระองค์ และผู้คนที่พวกเขามองข้าม ซึ่งความผิดพลาดและบาปกรรมของกันและกัน” ดาวูดจึงถามอีกว่า “ลูกเอ๋ย อะไรที่หวานที่สุด” เขากล่าวตอบว่า “ความรักและมิตรภาพ และนี่เป็นความเมตตาปรานีอย่างหนึ่งของอัลลอฮ์ระหว่างพวกเขา” เมื่อได้ยินค่าตอบนี้แล้วดาวูดจึงยิ้มสรวลและมีความสุข และจึงกล่าวกับผู้คนชาวอิสราเอลว่า “ภายหลังจากฉัน เขาคือคอลีฟะฮ์ในหมู่

