INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

กุมภาพันธ์ ที่รัก

กุมภาพันธ์ ที่รัก

วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ผ่านไปแล้ว วันนั้น เป็นวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งมีเพื่อนๆรุ่นเดียวกันมาหลายๆคน ในสมัยที่ยังเรียนอยู่ เคยทราบว่ามีนิสิตทั้งมหาวิทยาลัย ๒,๐๐๐ กว่าคน และรุ่นที่ผมเรียนนี้ คือรุ่น ๒๔ มีประมาณเกือบ๕๐๐ คน ซึ่งตอนนี้ ลดลงไป เพราะหายไปจากโลกใบนี้ ถีง ๑๕๕ คน ที่มาร่วมพบปะกันในช่วงเช้าจนถึงบ่าย กว่า ๑๐๐ คนเท่านั้นเอง ที่เหลือไม่ได้มา คงเป็นเพราะมีธุระจำเป็นอย่างอื่น เช่นเจ็บป่วยไม่สามารถลากสังขารมาได้ หรืออยู่ไกลมากๆ ถ้าจะมาต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง หรือ เหตุผลที่ว่า ถ้าจะมาก็มาได้ แต่ไม่อยากมา ซึ่งคิดแบบนี้ มีไม่กี่คน

ในช่วงนั้น ทางมหาวิทยาลัยจัดให้มีงานเกษตรแฟร์ ผู้คนเดินชมงานกันขวักไขว่ เมื่อถึงตอนเย็น หลังหอประชุมใหญ่ด้านหน้า ก็มีงานของสมาคมนิสิตเก่าฯ ซึ่ง ตั้งโต๊ะเป็นรุ่นๆ มีบู๊ทอาหารของนิสิตเก่าหลายคนและหลายกลุ่ม ที่สร้างพลังศรัทธามาเลี้ยงอาหาร มีวงดนตรี เคยู แบนด์ และ รวมดาวกระจุยบรรเลง พร้อมรายการต่างๆ เหล่ารุ่นพี่รุ่นน้องก็ออกร่ายรำลีลาศไปตามสมัยนิยม เป็นที่สนุกสนาน ทำให้ผมรำลึกถึงเมื่อประมาณ ๖๐ ปีที่แล้ว( ๒๕๐๗-๒๕๑๑) ที่ผมยังเรียนอยู่ที่นี่ ขอเล่าเล่นๆอีกสักครั้งหนึ่ง

ในสมัยนั้นที่ผมรำลึกได้ แต่อาจจะเล่าผิดถูกก็ขออภัย เพราะเป็นเรื่องเข้าใจเอาเอง ดังนี้ คืนวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ จัด ลีลาศโต้รุ่งกลางทุ่งบางเขน หรือจัดที่หลังหอประชุมนี้ เป็นที่เดียวกัน ผู้ที่มาในงาน แต่งกายชุดราตรียาว ผู้ชายใส่สูท ดูสวยงาม เพลงและจังหวะลีลาศเป็นแบบบอลรูม รวมทั้งเพลงรำวง ซึ่งเพลงรำวงที่ฮิทในสมัยนั้น ตั้งแต่ผมยังเด็กๆ คือเพลง “ เกษตรนี้หล่อจริงๆ ผู้หญิงเขาอยากรู้จัก เกษตรนี้หล่อยิ่งนัก ถ้าใครรู้จักกินผักฟรีๆ ……….ฯลฯ”

ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลานั้น บริเวณรอบๆมหาวิทยาลัย ก็มีงานเกษตร หรือตลาดนัดเกษตร ซึ่งนิสิตคณะ กลุ่ม สโมสร ฯลฯ มาออกกิจกรรม และเชื้อเชิญให้ประชาชน นักเรียน นิสิตนักศึกษาจากสถาบันต่างๆมาเที่ยวชมงาน ซึ่งนอกจากกิจกรรมที่มาออกงานแล้ว ยังมีสวนกุหลาบดอกสวยๆที่สวนนอก ซึ่งอยู่ใกล้สนามฟุตบอล หลังหอหญิง มีฟาร์มสัตว์ของมหาวิทยาลัยให้เที่ยวชม มีรถแทร้กเตอร์ติดกระบะท้าย บนกระบะมีไม้กระดานพาดเป็นแถวๆสำหรับผู้โดยสาร นั่งรอบงานฟรี สำหรับบริเวณเส้นทางระหว่างริมถนนในมหาวิทยาลัยเลียบงามวงศ์วานยาวตั้งแต่ประตูหนึ่ง ไปจรดประตูสอง กว้างจนถึงริมรั้วเป็นสวนผัก ซึ่งเวลานั้น เป็นผักที่เหมาะกับอากาศหนาว เช่นกระหล่ำปลี กระหล่ำดอก ข้าวโพดหวาน ปลูกโดยนิสิตปีหนึ่ง ตามวิชาเกษตรศิลป์ และแล้ว เมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ ของวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ซึ่งงานลีลาศหลังหอประชุมฯเสร็จสิ้นลง แขกที่มาในงาน ก็ออกเดินชมตลาดนัด ซึ่งกิจกรรมที่คึกคักมาก ตรงที่กลุ่มนิสิตปีหนึ่งเก็บผักสดในแปลงออกมาขาย ราคาไม่แน่นอน แล้วแต่จะถูกใจแค่ไหน สมกับเพลงรำวงในงานลีลาศ ว่า “ถ้าใครรู้จักกินผักฟรีๆ”

มีเพื่อนคนหนึ่ง อยู่หอเดียวกับผมเอง เขาเรียนวนศาสตร์ ไม่ได้ปลูกผัก แต่ช่วยตะโกนเรียกลูกค้าให้ซื้อ เอาผักมาร้อยแขวนคอเหมือนพวงมาลัย พอดีมีนักเรียนหญิงกำลังเรียนพาณิชย์ มากับคุณแม่ เห็นเพื่อนคนนี้ ชอบใจ เลยถ่ายรูปไว้ จึงเกิดการพูดคุยนัดแนะขอรูปที่ถ่ายด้วย จนติดพัน น้องเขาเอาขนมมาฝากให้ที่หอเป็นประจำ และได้แต่งงานอยู่กินกันจนถึงปัจจุบันนี้

เมื่อผมเรียนอยู่ปีที่ ๔ สำหรับงานตลาดนัดเกษตรนี้ กลุ่มเพื่อนๆรสนิยมเหมือนกันคือชอบเฮฮา รวมหุ้นกันเปิดร้านขายอาหารเครื่องดื่ม ที่ในงาน สมัยนั้น มีสุราแม่โขง โซดา เป็นเครื่องดื่มที่สำคัญ อาหารก็เป็นกับแกล้มที่ซื้อมาจากตลาด เช่นถั่วลิสงคั่ว เพือนที่เล่นกีต้าร์ได้ ก็บรรเลงกล่อมลูกค้า เมื่อถึงวันสุดท้าย ปรากฎว่าตลอดงาน มีลูกค้าจริงๆมานั่งกินอยู่ ๒-๓ ราย ที่เหลือเป็นพรรคพวกเจ้าของร้าน กินฟรีๆ แล้วยังเอาเครื่องดื่มไปต่อที่อื่นอีก เมื่อเสร็จงาน ต้องช่วยกันใช้หนี้ที่กู้ยืมมาลงทุน เป็นเวลาหลายเดือน บทเรียนสำหรับการทำธุรกิจครั้งนี้ ผมถึงเลือกรับราชการ และไม่ได้ลงทุนอีกเลย

เมื่อจบการศึกษา จึงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะรับราชการ ในสมัยนั้น ไม่ต้องแข่งขันแม้จะมีการสอบคัดเลือก เพราะตำแหน่งงานมีมากกว่าที่มาสมัครสอบ ผมได้ไปอยู่ที่ฉะเชิงเทรา เป็นข้าราชการภูธร ซึ่งเป็นประสบการณ์ของชีวิต พบว่ารุ่นพี่ รุ่นน้อง และเพื่อนๆที่นั่นมีแต่ความจริงใจ หลังจากเลิกงาน ก็พากันดื่มกินสนุกสนาน ผมอยู่ที่นั่น ๘ ปี( ๒๕๑๒-๒๕๑๙) นับว่านานพอสมควร และประทับใจ ก่อนที่จะย้ายไปสระบุรี และลพบุรี ตามลำดับ ระหว่างที่ทำงาน ไม่ได้อยู่เฉยๆ พยายามสร้างงานกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ และเป็นประสบการณ์ มาจนถึงปัจจุบัน

ในขณะนี้ ที่เกษียณอายุมาเกือบ ๒๐ ปีแล้ว ยังมีความจำเกี่ยวกับการงาน พี่ๆน้องๆ เพื่อนๆที่เคยพบกัน ในวัยทำงาน แต่ตัวเองก็ไม่สามารถทนทานต่อความอ่อนล้า แก่เฒ่า โดยเฉพาะความจำเริ่มเสื่อมลง เมื่อ ๒ วันก่อน ไปซื้อ ตัวเลขเพื่อมาทำเลขที่บ้าน ที่โฮมโปร เพราะของเก่าผุชำรุดไปหมด ได้เลือกตัวเลขที่เป็นสแตนเลส จะได้คงทน หยิบทีละตัว เกือบครบ แต่ขาดเลข ๖ หาไม่พบ ก่อนที่จะสอบถามพนักงานขาย ภรรยาบอกให้ใช้ เลข ๙ กลับหัวเอา แล้วก็จริงๆด้วย เลข ๖ ก็คือ เลข ๙ กลับหัวนั่นเอง ( 9— 6 ) ถ้าภรรยาไม่มา คงต้องแสดงความโง่ให้พนักงานขายแน่นอน

ในสมัยก่อน ชอบกินเผ็ดมาก ตอนเรียนชั้นมัธยมต้นๆ ชอบไปกินข้าวแกงเขียวหวานเนื้อที่ร้านกาแฟหัวมุม ปากซอยอโศก สุขุมวิท ต่อมา ก็กินผัดกระเพรา อาหารคนสิ้นคิดเป็นประจำ ข้าวแกงหรือข้าวราดหน้าถือเป็นอาหารประจำวัน ตั้งแต่อยู่หอพัก และต่อมา ก็ไปอยู่ต่างจังหวัด เนื่องจากทำกับข้าวเองไม่เป็น แต่ตอนนี้ อายุมากแล้ว ไม่อยากจะกินเผ็ดมากๆอีกแล้ว เพราะอ่านข้อความเผยแพร่ด้านสุขภาพ เห็นว่าอันตราย แม้ว่า พริกจะมีสาร capsaicin ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ข้าวไข่เจียว จึงเป็นข้าวยอดฮิท ที่กินมาเสมอๆ สำหรับอาหารอื่นๆ เคยไปที่ร้านอาหารตามสั่งในศูนย์อาหาร เลือกข้าวราดหน้าผัดผัก ซึ่งเห็นว่า จืดๆสบายท้อง แต่พอได้มาแล้ว ปรากฎว่า ผัดผักใส่พริกเผ็ดมากๆ กินแทบไม่ได้ และถ้าเจออาหารเผ็ดๆ พอทานเสร็จ ต้องสั่งอะไรที่หวานๆ เช่นไอสครีม มากินแก้เผ็ดต่อไป บางที โรคเบาหวานอาจจะถามหาด้วยเหตุนี้

เดือนกุมภาพันธ์ ที่มีวันแห่งความรัก และเป็น ปลายฤดูหนาวของคนไทย ก็มีเรื่องคุยเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ

บู๊ คนเคยหนุ่ม
กรุงเทพฯ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *