ปัญหา 3 จชต.เมื่อไรจะจบเสียที

รูปจาก มติชน
ทหารประชาธิปไตย
ขอถวายความอาลัย แด่พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ เจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี เจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ และพระลูกวัดอีก 3 รูป จากเหตุการณ์ที่มีคนร้ายจำนวน 6 คน บุกเข้ามายิงในวัดจนมรรณภาพ
แต่เรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ ทางการคงต้องรีบเร่งสืบเสาะเพื่อเอาตัวคนร้ายมาลงโทษให้ได้ เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจ เฉกเช่นเดียวกับการสังหารพระที่ผ่านมา อย่างการสังหารพระชราที่วัดในเมืองปัตตานี ที่ทางการระดมเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆมาหาหลักฐานจนจับตัวคนร้ายได้อย่างรวดเร็ว
อย่างที่กล่าวเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆและคงจะตามมาด้วยการที่อิหม่ามถูกสังหารอีก เหมือนเช่นเคย ต่างกันที่ไม่อาจสืบเสาะหาคนร้ายได้ บางคดีหลายปีแล้วยังเงียบ เช่น คดีกราดยิงอิหม่าม และผู้ร่วมสวดมนต์ที่มัสยิดอัลฟูลกอน ไอปาแย บันนังสตา ยะลา
แต่ที่ควรพิจารณาว่ารัฐบาลไม่ควรปล่อยให้มีการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์แบบนี้อย่างต่อเนื่องทำนองการล้างแค้น เพราะมันจะยิ่งทำให้เหตุการณ์บานปลายหนักขึ้นไปอีก
ความจริงเหตุการณ์รุนแรงใน 3 จชต.นั้นเกิดมานานแล้ว ตั้งแต่รัฐสยามเข้ายึดครอง ก็มีการต่อต้าน แต่รัฐสยามก็สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้มาตลอด
จวบจนปี 2547 เป็นต้นมาก็มีเหตุการณ์ประทุขึ้นเป็นระยะๆรวมทั้งการปล้นปืนในค่ายทหาร แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่บางช่วงก็หนัก บางช่วงก็เบาบาง จนมีการเจรจาพูดคุยสันติสุข ซึ่งเป็นความหวังว่า คงนำไปสู่ความสงบสุขได้ ทั้งนี้ทางมาเลเซียก็ได้เข้ามาเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือกลุ่มตัวแทนที่เข้ามาเจรจากับฝ่ายทหารของไทย คือ กลุ่มมาราปัตตานี ไม่ใช่ตัวแทนที่คุมกำลังปฏิบัติการก่อเหตุ จึงทำให้การเจรจาไม่คืบหน้าเท่าที่ควร นอกจากเป็นการพูดคุยทั่วๆไป และเงื่อนไขทางเทคนิค ส่วนองค์กรที่คุมกำลังที่แท้จริง คือ BRN กลับไม่ได้เข้าร่วมพูดคุยโดยตรง
ทั้งนี้มีเหตุผลที่ว่า BRN มีเงื่อนไขสูงในการพูดคุย ขณะที่ฝ่ายรัฐไทยไม่ยอมรับ เพราะเกรงว่าจะเป็นการยกระดับ BRN เรื่องจึงยังคงค้างเติ่ง และก็เกิดภาวการณ์ก่อความไม่สงบติดต่อกันมา แม้ว่าองค์การนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าขบวนการมาหลายคนแล้ว แต่ก็ยังเป็นองค์การที่มีบทบาทและอิทธิพลอยู่ใน 3 จชต.
ประเด็นก็คือรัฐไทย ไม่สู้เข้าใจแนวทางการสู้รบแบบนี้ แต่ไปเน้นที่สงครามทางกายภาพ คือใช้กำลังคน อาวุธการข่าว และยุทธวิธีแบบทหาร ขณะที่ BRN ใช้ยุทธวิธีแบบกองโจร จรยุทธ
ส่วนสงครามหรือการสู้รบในแนวอื่นๆ เช่น สงครามอุดมการณ์ ซึ่งใช้รูปแบบสงครามทางการเมืองกลับเป็นรอง เพราะไม่อาจเอาชนะใจคนในพื้นที่ได้มากนัก และมักจะเป็นแบบผิวเผินเพื่อแสดงผลงานซึ่งก็ไม่ต่อเนื่อง
ส่วนสงครามความรู้สึกและสงคราม ข่าวสารก็มิได้เป็นฝ่ายที่เป็นต่อแต่อย่างไร
นอกจากจะไม่ต้องการจะยกฐานะ BRN มาเป็นคู่เจรจาแล้ว รัฐไทยก็ยังไม่อาจจะใช้วิธีการปราบปรามอย่างรุนแรงขั้นสูงสุด แบบที่รัฐบาลศรีลังกาปราบปรามพยัคฆ์ทมิฬอิแลม เพราะเราไม่อาจจำกัดพื้นที่การเคลื่อนไหวของ BRN และการข่าวของเราก็ไม่แม่นยำ ยิ่งปฏิบัติการรุนแรงก็เพลี่ยงพล้ำสงครามทางความรู้สึก สงครามการเมือง และสงครามข่าวสาร
ครั้นมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน ที่มีการประลองกำลังกันระหว่างมหาอำนาจ เพื่อปรับเปลี่ยนขั้วใหม่ที่เรียกว่า Rebalancing Power โดยมีการทำสงครามในภูมิภาคต่างๆ ตลอดจนการใช้ขบวนการก่อการร้ายระหว่างประเทศ ที่เคลื่อนตัวเข้ามาสู่ภูมิภาคนี้ อย่างเช่น การปฏิบัติการยึดเมืองมาราวีในฟิลิปปินส์ ก็เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า ขบวนการก่อการร้ายสากลได้เคลื่อนตัวเข้ามาอยู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จริง ไม่ใช่แค่ข่าวลือ
เงื่อนไขสำคัญของรัฐไทยก็คือการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ที่จะทำให้มหาอำนาจที่กำลังแข่งขันกันอยู่ โดยเฉพาะการขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้ ในแง่ภูมิรัฐศาสตร์พื้นที่ปลายด้ามขวานมีทำเลสำคัญ คือ ติดชายฝั่งทั้งด้านแปซิฟิค และมหาสมุทรอินเดียที่มหาอำนาจจับตาอยู่ แถมมีทรัพยากรมาก
ความผิดพลาดของการดำเนินนโยบายต่างประเทศกับมหาอำนาจก็อาจเป็นชนวนนำมาสู่หายนะแบบซีเรียได้
นอกจากการดำเนินนโยบายต่างประเทศกับมหาอำนาจแล้ว การดำเนินนโยบายกับประเทศเพื่อนบ้านทางใต้ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เรามีโอกาสจัดการกับปัญหาความไม่สงบลงได้เหมือนกับที่ศรีลังกาทำการเจรจากับรัฐบาลอินเดีย เพื่อหยุดการขยายตัวของความรุนแรงของศรีลังกา
รัฐบาลไทยจึงมีปัญหาที่จะต้องแก้ไข ทั้งภายในและระหว่างประเทศ หากยังมัวเพลิดเพลินกับเกมส์แห่งอำนาจในส่วนกลาง ทางใต้จะกลายเป็นแผลติดเชื้อได้ไม่ยาก







