INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

โลกภายใต้ระบบการเงิน 2 ขั้ว

คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ

ทหารประชาธิปไตย

โลกภายใต้ระบบการเงิน 2 ขั้ว

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา มีการประชุมที่เป็นจุดสนใจอย่างยิ่งในระบบการเงินโลก นั่นคือการประชุมร่วมประจำปีของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และจะประชุมต่อเนื่องจนถึงวันเสาร์ ซึ่งคาดหมายว่าจะนำมาสู่ข้อสรุปในวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจของโลก ตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ระดับเงินเฟ้อที่เริ่มจะคุมไม่อยู่ และการถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างไรก็ตามต้องเข้าใจว่าองค์การทั้ง 2 นี้ นับเป็นเครื่องมือสำคัญที่สหรัฐฯ และโลกตะวันตกใช้ในการกำกับการจัดระเบียบโลก

ภายใต้องค์การทั้ง 2 นี้หากประเทศใดไม่ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางที่สหรัฐฯเป็นผู้กำหนด ก็จะถูกลงโทษด้วยเครื่องมือต่างๆ เช่น การยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เหมือนเช่นที่ อิหร่านภายหลังการล่มสลายระบบชาร์หรือ อัฟกานิสถานภายหลังจากตอลีบันขับไล่กองทัพสหรัฐฯออกไปแล้ว หรือแม้แต่รัสเซียภายหลังบุกยูเครน

ข้ออ้างก็มีสารพัด ทั้งๆที่มันไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งทั้งธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF)เลย

นอกจากมาตการลงโทษแล้วในทางปฏิบัติช่วยเหลือบรรเทาเหตุก็เลือกปฏิบัติ เช่น การที่ IMF ทำการช่วยเหลือกรีซในการแก้ปัญหาชำระหนี้เลยกำหนดก็มีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆลงเพื่อช่วยเหลือ

แต่สำหรับบางประเทศ อย่างปากีสถานที่ในปัจจุบันดูจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน ก็ถูกมาตรการบีบบังคับอย่างเข้มงวดกำกับการให้กู้ยืมเงินบรรเทาวิกฤติทางเศรษฐกิจอันเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิดและน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่พึ่งผ่านไป ซึ่งนับเป็นหายนะที่ร้ายแรงมากที่สุดเท่าที่ปากีสถานเคยประสบมา

ส่วนประเทศไทยเมื่อครั้งประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 หรือที่เรียกว่า “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ก็เคยเจอมาตรการบีบรัดจาก IMF จนแทนที่จะเป็นการผ่อนคลายปัญหา กลับเป็นการซ้ำเติมปัญหาและทำให้เราต้องขายหนี้NPLและทรัพย์สินให้สถาบันการเงินของสหรัฐฯในราคาถูกๆ

โดยที่สถาบันการเงินนั้นก็มิได้ควักเงินมาจ่ายค่าสินทรัพย์ที่ซื้อไปในระดับ 10-20% เลย แต่ใช้การกู้เงินภายในประเทศไทย โดยสถาบันการเงินดังกล่าวทำการค้ำประกัน เมื่อขายหนี้เสียได้กำไรงามก็ใช้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยแบกกำไรกลับบ้าน แน่นอนงานนี้มีเกลือเป็นหนอนและได้รับส่วนแบ่งไม่น้อย แถมยังไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย

ผลของการประชุมตั้งแต่วันเริ่มต้น IMF ก็สรุปออกมาว่าประเทศกำลังพัฒนา รายได้น้อยหลายประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (EMERGING MARKET) จะประสบกับปัญหาเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอย และสำทับว่าทั้งโลกจะต้องร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียว โดยเข้มงวดนั่นคือต้องต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อเป็นอันดับแรก และต้องไม่ใจอ่อนไปกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อหวังความเติบโต เพราะนั่นจะเป็นการไปกระตุ้นเงินเฟ้อโดยรวม

นั่นหมายความว่าประเทศทั้งหลายจะต้องพร้อมใจกันลดการใช้จ่ายของรัฐบาลในแต่ละประเทศ อย่าพยายามใช้มาตรการทางการคลังที่ขาดดุล นั่นคือห้ามใช้จ่ายเกินรายรับ หรือการสร้างหนี้สาธารณะโดยIMFตั้งเป้าเพื่อลดดีมานด์รวมของโลก อันจะส่งผลให้ระดับราคาลดลง

ทว่าสิ่งที่ IMF ไม่ได้พูดถึงเลยคืออะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุในการก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และไปกระทบต่อการถดถอยทางเศรษฐกิจทั่วโลก

นอกจากนี้ธนาคารโลกก็มิได้มีแผนงานอะไรเลยที่จะจัดโครงการไปช่วยเหลือประเทศตลาดเกิดใหม่ ที่กำลังมีปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว ทุนสำรองหดหาย การค้าชะลอตัว ทำให้เศรษฐกิจของแต่ละประเทศชะลอตัวลงอย่างมาก เพราะต้องพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว

ดังนั้นเราจึงต้องมาแยกแยะปัญหาที่ต้นเหตุเพื่อสร้างความเข้าใจถึงเหตุแห่งปัจจัยให้ถ่องแท้ ควบคู่ไปกับการพิจารณารายงานของ IMF และธนาคารโลกที่จะออกตามมาดังนี้

1.ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของโควิดมีส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่มิได้ทำให้เกิดเงินเฟ้อ

2.การเกิดความขัดแย้งในแง่ภูมิรัฐศาสตร์ เช่น จีน-สหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าตั้งแต่ยุคประธานาธิบดีทรัมป์ หรือความขัดแย้งที่สหรัฐฯเป็นฝ่ายกระตุ้นขึ้นในสมัยประธานาธิบดีไบเดน คือปัญหาไต้หวัน ทำให้การค้าโลกแทนที่จะเริ่มฟื้นตัวหลังจากโควิด เริ่มซาลง ก็กลับโงหัวไม่ขึ้น

นอกจากนี้ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในกรณียูเครน-รัสเซีย และสหรัฐฯ ใช้มาตรการแซงก์ซั่นรัสเซีย ทั้งการค้าและการเงินก่อให้เกิดการชะงักงันในห่วงโซ่ซัพพลาย (SUPPLY CHAIN DISRUP TION) และการติดขัดในการโอนเงินที่เกี่ยวกับการใช้หนี้การค้าระหว่างประเทศ

3.การที่สหรัฐฯใช้นโยบายพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมาอย่างมากมายโดยไม่สอดรับกับดีมานด์-ซัพพลายของโลก แต่สหรัฐฯ โดย FED มุ่งหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจของตนเอง ทำให้เกิดปัญหาตามมานั่นคือ ค่าเงินดอลลาร์ลดลง และเพื่อแก้ปัญหาเงินดอลลาร์ล้นโลกของตนเอง ในที่สุดสหรัฐฯ โดย FED ก็ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงเงินกลับเข้ามาเก็บหรือทำลายในระบบ โดยที่ FED อ้างว่าที่ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่ปัญหาเงินเฟ้อโดยแท้จริงนั้นมันเกิดจากนโยบายแซงซั่นของสหรัฐฯ ที่กระทำต่อรัสเซีย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ด้านพลังงาน เช่น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ทำให้เกิดการขาดตอนในการขนส่งสินค้าเหล่านั้น จนเป็นเหตุให้ราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้น ทั้งที่ปริมาณน้ำมันและก๊าซธรรมชาติยังมีเพียงพอสนองต่อดีมานด์ของโลก

เมื่อราคาพลังงานเพิ่มสูงอันเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตและการขนส่ง ราคาสินค้าโดยทั่วไปก็แพงขึ้น แม้แต่สินค้าไฮเทคอย่างไมโครชิปที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตสินค้ายุคใหม่ บางหน่วยธุรกิจทนแบกรับต้นทุนไม่ไหวก็ต้องปิดตัวเองลง ยิ่งทำให้เกิดการขาดแคลนสินค้า ซ้ำเติมจากระดับราคาที่ต้นทุนสูง เพราะปัญหาพลังงานดังกล่าวมาแล้ว

ตอนนี้โอเปคพลัสก็ลดการผลิตน้ำมันลง 2 ล้านบาเรลต่อวันแล้วประเทศเล็กๆที่รายได้ต่ำจะอยู่ได้อย่างไร IMF และ WORLD BANK  จะช่วยเศรษฐกิจโลกได้หรือไม่

นอกจากนี้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ โดยเฟดยังไปเป็นตัวเพิ่มต้นทุนจากการกู้ยืม เพื่อใช้ในการลงทุนทำให้ต้นทุนสินค้าและบริการที่ยังดำเนินการอยู่ได้ มีต้นทุนสูงขึ้นจนทำให้ต้องปรับราคา นั่นคือการไปเพิ่มการภาระของต้นทุน ก่อให้เกิดเงินเฟ้อมากขึ้น

4.นอกจากนี้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทำให้ประเทศอื่นๆ ที่พยายามตรึงอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ เพราะไม่ต้องการไปเพิ่มภาระทางต้นทุน อันจะไปกระตุ้นเงินเฟ้อภายในต้องขยับ อัตราดอกเบี้ยขึ้น เพื่อชะลอการไหลออกของทุนสำรอง ที่มีเงินดอลลาร์อยู่ในสัดส่วนที่สูง จนทำให้ค่าเงินตราของตนลดลง และทำให้ต้องซื้อสินค้านำเข้าที่หลักใหญ่คือพลังงานแพงขึ้น ทำให้เกิดเงินเฟ้อซ้ำสอง

ส่วนการส่งออกและการท่องเที่ยวแม้จะมีโอกาสดีขึ้น เพราะค่าเงินของหลายประเทศลดลงเมื่อเทียบกับเงินสหรัฐฯที่แข็งค่ามากขึ้นนั้น ก็ไม่ได้รับอานิสงค์เท่าที่ควร เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยเฉพาะขาใหญ่อย่างสหรัฐฯ และยุโรปที่เศรษฐกิจกำลังย่ำแย่ แม้แต่จีนการเติบโตก็ลดลงจาก 6-7% เหลือ 3-3.5%

สุดท้ายปัญหาเศรษฐกิจโลกที่เริ่มจากโควิดมาสู่ความขัดแย้งทางการเมืองของขั้วอำนาจเก่าและขั้วอำนาจใหม่ก็จะนำไปสู่การแยกขั้วของระบบการเงินระหว่างประเทศ

แต่กว่าระบบจะเซทตัวเรียบร้อย และมีการเชื่อมโยงที่ชัดเจนเข้มแข็ง ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร มันไม่อาจแก้ไขได้ข้ามคืน แต่จะต้องผ่านกระบวนการที่จะพัฒนาเป็นลำดับ

ในระหว่างนั้นแน่นอนย่อมเกิดความขลุกขลักในปัญหาการค้าการลงทุน การโอนเงินระหว่างประเทศ และอาจหมายถึงต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น

หากมันดำเนินไปในทางนี้ ซึ่งไม่น่าจะมีทางเลือกอื่น ประเทศไทยเตรียมพร้อมหรือยัง หรือเตรียมการอะไรไว้บ้าง อย่ารอให้เกิดเหตุค่อยแก้ไข อย่าตั้งตนอยู่บนความประมาท เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *