INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

อันเนื่องมาจาก“มาร์ลอน แบรนโด”

สบาย สบาย สไตล์เกษม

เกษม อัชฌาสัย

อันเนื่องมาจาก“มาร์ลอน แบรนโด”

ความเบื่อหน่ายในชีวิตประจำวัน ของผู้สูงอายุ(คนแก่)อย่างผม ทำให้ต้องมีชีวิตต่อไป ด้วยการหาอะไรมาทำ นอกจากการกิน อยู่หลับนอน พักผ่อนและการไปหาหมอเพื่อรักษาสุขภาพ ซึ่งตามปกติแล้ว

ก็พยายามจะเลี่ยงรบกวนผู้อื่น หากไม่จำเป็น

สิ่งที่ช่วยปลอบประโลมใจได้ นอกจากจะบำเพ็ญภาวนา ไปตามศรัทธา ไม่โลภมากในบุญกุศล ก็หาอะไรมาทำ ให้เพลิดเพลินตามประสามนุษย์ปุถุชนธรรมดา เช่น ดูหนัง ฟังเพลงไปตามเรื่อง

เพราะไม่ใช่คนเคร่งศาสนาถึงขนาด ที่ปฏิเสธความบันเทิงอย่างเด็ดขาด

ช่วงนี้ ผมลุยดูหนังมากกว่าฟังเพลงครับ เป็นหนังสารคดีต่างชาติเป็นคลิปท่องเที่ยว ล่าสัตว์ ทำครัว เสียเป็นส่วนใหญ่

หนังไทยและละครไทย เลิกดูไปนานแล้ว นับแต่ดูเรื่องสุดท้าย”ซุ้มมือปืน”กำกับโดย”สนานจิตต์ บางสะพาน”(หรือ”เสือเตี้ย”ซึ่งรู้จักเป็นการส่วนตัว)

ไม่ดูหนัง ไม่ดูละครไทย เพราะเบื่อแนวเรื่องเก่าๆ ซ้ำซาก เช่นเดียวกับหนังจีนกำลังภายในและหนังซามูไรญี่ปุ่นที่ดูจนเดาเรื่องได้

ยกเว้นหนังที่กำกับโดย”จาง ยี่มู่”ผมชอบดูมาก เพราะท่านผู้นี้ทำหนังได้สวยงาม ทั้งภาพ สาระเนื้อหาและความสามารถของนักแสดง

ถึงกับบางเรื่อง ดูชนิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยเหตุที่เนื้อเรื่องแปลกและใหม่สำหรับผม ซึ่งไม่ค่อยจะมีเวลาดูหนังนัก ช่วงในวัยทำงาน เช่น เรื่อง To live (คนตายยาก) ก็ดูมาแล้วอย่างน้อยสามหน หรือเรื่อง Red sorghum ดูแล้วสองครั้ง

เมื่อเร็วๆ นี้ ผมกลับไปดูหนังเรื่องหนึ่งชื่อภาษาอังฤษว่า On the waterfront หรือ”กรรมกรท่าเรือ”เพราะได้ยินคำร่ำลือมานานและไม่เคยดูมาก่อน

นำแสดงโดยดาราที่ผมชื่นชอบ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น”มาร์ลอน แบรนโด”ในสมัยที่ยังเป็นหนุ่มน้อยหอยสังข์นั่นเอง

หนังเรื่องนี้สะท้อนชีวิตกรรมกรท่าเรือ ที่ชาวอเมริกันเรียกว่า longshoreman ซึ่งหมายถึง “คนที่มีอาชีพขนของ”ขึ้น-ลงเรือเดินทะเลบรรทุกสินค้าที่ท่าเรือ ซึ่งในหนังไม่ได้ระบุว่าที่ไหนแน่ แต่พอจะรู้เบาะแสได้ว่า จะต้องเป็นย่านหนึ่งย่านใด ใน”นิวยอร์ก ซิตี้”ค่อนข้างจะแน่นอน

นอกเหนือไปจากการแสดงของดารานำ ที่เข้าถึงบทอย่างไม่มีที่ติ ในบทบาทกรรมกรท่าเรือที่รักสงบและสันติอย่าง”มาร์ลอนแบรนโด”แล้ว อีกคนที่ต้องพูดถึงก็คือ “คาร์ล มาลเดน”ผู้แสดงเป็นบาทหลวง”เยซูอิต”ที่พยายามชี้ชวนให้เหล่ากรรมกรที่ตกเป็นเบี้ยล่างกลุ่มผู้นำแรงงานลุกขึ้นเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพตลอดจนคุณธรรมความถูกต้องที่สมควรที่จะได้รับความเคารพโดยหยิบยกเอากรณีที่กรรมกรผู้หนึ่งถูกฆ่าปิดปาก มาเป็นประเด็น

จนในที่สุด พวกกรรมกรก็พร้อมใจกันลุกขึ้นต่อสู้เพื่อความชอบธรรม

หลังจากที่”มาร์ลอน แบรนโด”ตัดสินใจ เมื่อถูกกระตุ้นจากกรณีที่พี่ชายถูกกลุ่มผู้นำกรรมกรสังหารไปอีกคนหนึ่ง

การต่อสู้ที่ว่านี้ สะท้อนสังคมอุตสาหกรรมของสหรัฐที่จะต้องพึ่งพาแรงงานผ่านกลุ่มผู้นำ ตัวแทนของคนงาน

หัวหน้ากลุ่มแรงงานที่ว่านี้ ต่อมาได้พ้ฒนามาเป็นสหภาพแรงงานนั่นเอง

หากสหภาพแรงงานไม่ตั้งตัวไว้ตรง ต่อคนงานในดูแล ก็ยากที่จะไปรอด ดังนั้น โดยปกติแล้ว จะต้องรักษาผลประโยชน์ของสมาชิกไว้ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นสหภาพแรงงานนี่เอง ที่เป็นขุมกำลังสำคัญ ของพรรคการเมือง ที่จะต้องใส่ใจ แต่บางครั้งสหภาพแรงงานก็กดขี่คนในสังกัดได้เช่นกัน

ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความสำคัญต่อเนื้อหาสาระมาก จึงทำออกมาในรูปแบบหนัง”ขาว-ดำ”(อย่างเช่นภาพยนตร์สงครามนั้น ก็มักจะทำเป็น”ขาว-ดำ”) จนถูกกล่าวหาว่า เป็นหนังส่งเสริมคอมมิวนิสต์ สร้างความยากลำบาก ต่อคนเขียนบทพอสมควรเลยทีเดียว

กล่าวได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ มีความเป็นภาพยนตร์สูง ใช้ภาพเล่าเรื่องและมีบทพูดที่เหมาะสม หนังไม่กระโดด มีความต่อเนื่อง เข้าใจง่าย

คนที่เล่นเป็นบาทหลวงนั้น เล่นบทปลุกระดม ได้อย่างน่าประทับใจด้วยคำปราศรัยที่ว่า

”การลุกขึ้นต่อสู้ เพื่อความถูกต้อง ไม่ได้มีความหมายแค่เพียงการที่พระเยซูทรงยอมให้ถูกตรึงการเขน แต่ถ้าไม่สู้ พวกคนงานนั่นแหละที่จะถูกตรึงกางเขน”

“มาร์ลอน แบรนโด”เป็นคนแรกที่ถือ”ตะขอเกี่ยว”พยายามลุกจากอาการถูก(นายงาน)ซ้อม ออกเดินนำหน้าแสดงการต่อต้านความไม่ชอบธรรม แล้วกรรมกรทุกคนก็พากนเดินตาม

ฉากหนังปิดตรงที่กลุ่มนายงานถูกทอดทิ้งอยู่กลางสายฝนครับ

ดูหนังเรื่องนี้แล้ว ย้อนกลับมาดูตัวเอง

เมื่อผมสอบเข้าธรรมศาสตร์ได้ในปี ๒๕๐๗ นั้น ไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้ากับข้าวของจำเป็นเพื่อเข้าเรียน จึงไปเรี่ยไรหยิบยืมเงินครูโรงเรียนวัดสระเกศและก็ได้ไปมากพอ เพื่อเข้าเรียนหนังสือปีแรก

ผมก็สามารถใช้คืนได้หมดครับ จากการไปเป็นกรรมกรท่าเรือ(คลองเตย) ทุกเสาร์-อาทิตย์

ได้ไปทำโดยไม่ได้ผ่านสหภาพแรงงานอะไร เหมือน”มาร์ลอน แบรนโด”

แต่ไปในฐานะหนึ่งในกรรมกรรายวันจำนวนหลายสิบคนที่มีความสามารถเพียงใช้เลื่อยเป็นและตีตะปูเป็น ครับ

แต่การ”คัดเลือก”ใครเข้าทำงาน ก็จะต้องมีสมัครพรรคพวกเช่นกัน ใครไม่มี ก็ไม่ได้รับการคัดเลือก เพราะที่ท่าเรือคลองเตยนั้น กลุ่มใครก็กลุ่มมัน

การทำงานนั้น ทำข้ามคืนข้ามวันด้วยการผลิต”พาเลต”(pallet)กว้างยาวราวหนึ่งเมตร จากไม้ฉำฉาแผ่น ที่เรือเดินทะเลขนมาจากต่างประเทศ เพื่อใช้ในการรองรับกระสอบบรรจุแป้งมันที่ขนส่งออกไปจากประเทศไทย

บางครั้งทำงานไม่ทัน ก็ต้องติดเรือเดินทะเล ออกจากท่าคลองเตยไปทำงานต่อจนเสร็จที่เกาะสีชัง(เพื่อ”โหลดสินค้า”ขึ้น)ครับ เรือจะไปจอดรอสินค้าที่นั่น

หากนานหน่อย กลับไปเรียนหนังสือไม่ทัน ก็มีครับ แต่จะทำอย่างไรได้เล่า

เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็กลับกรุงเทพฯ(พร้อมด้วยค่าแรง)โดยรถเมล์จากศรีราชา

ชีวิตตอนนั้นลำบากหน่อย แต่ก็สนุกดีครับ

ว่างๆ จะเล่าให้ฟังว่า ระหว่างทำงานบนเรือสินค้าที่เกาะสีชัง ในบางเที่ยว จะมีเรือเล็กไปจอดเทียบ ปล่อยให้สาวสวย ไต่ขึ้นไปบนเรือที่ผมทำงาน คราวละหลายคนครับ

ไปทำไม ไปหาใครและไปทำอะไร ขอผลัดไปเล่าวันหลังครับ

 

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *