INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

โจรสลัดแห่งคาริบเบี้ยน : ยิงลูกกระสุนปืนก่อน ต่อจากนั้นยิงลูกกระสุนปืนใหญ่

เราจะมีการรับรู้โดยทั่วไปภายในความเป็นผู้นำว่านวัตกรรมคือหัวใจของความสำเร็จ เรายิ่งคิดสร้างสรรค์มากเท่าไร เรายิ่งบรรลุความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น แต่กระนั้น จิม คอลลินส์ ได้ค้นพบความเป็นจริงที่แตกต่างกันหลักฐานจากการวิจัยของเราไม่ได้สนับสนุนความเชื่อว่าบริษัท 10X จะต้องคิดสร้างสรรค์มากกว่าบริษัทที่เปรียบเทียบ และภายในบางกรณีบริษัท 10X จะคิดสร้างสรรค์น้อยกว่าบริษัทที่เปรียบเทียบ เราไม่ได้กล่าวว่านวัตกรรมจะไม่สำคัญ
สิ่งที่สำคัญคือความคิดสร้างสรรค์และระเบียบวินัยจะต้องอยู่ด้วยกัน ผู้ก่อตั้งอินเทลเชื่อว่านวัตกรรมที่ปราศจากระเบียบวินัยจะนำไปสู่ความหายนะ
ที่จริงแล้วค่านิยมแกนหมายเลขหนึ่ง ไม่ใช่นวัตกรรมของอินเทล มันจะเป็นระเบียบวินัย จิม คอลลินส์ ได้สังเกตุว่างานที่ยิ่งใหญ่ยากที่จะบรรลุความสำเร็จคือ การผสมผสานความเข้มข้นทางความคิดสร้างสรรค์กับระเบียบวินัยที่แน่วแน่ เพื่อที่จะขยายความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่ทำลายมัน แต่จุดสำคัญจะไม่ใช่เพียงแต่ความคิดสร้างสรรค์ มันจะเป็นความคิดสร้างสรรค์เชิงประสบการณ์ ด้วยคำพูดอีกอย่างหนึ่ง บริษัท 10X ไม่ได้สร้างสรรค์อย่างตาบอด การทุ่มทรัพยากรจำนวนมากไปที่ความคิดใหม่ พวกเขาจะใช้แนวคิดหนึ่งจากหนังสือ Great by Choice ของจิม คอลลินส์ เรียกว่า ลูกกระสุนปืนก่อน ต่อจากนั้นลูกกระสุนปืนใหญ่ แนวคิดนี้จะมาจากภาพยนตร์ เรื่อง “Pirates of the Caribbean”
จิม คอลลินส ได้ใช้การเปรียบเทียบทางหารของการค้นพบตัวเองอยู่ภายในทะเลด้วยจำนวนดินปืนที่จำกัด ถ้าเรายิงลูกปืนใหญ่และใช้ดินปืนของเราจนหมด และยิงพลาดเป้าหมายคลังดินปืนของเราจะหมดไปและในที่สุดเราจะตาย แต่แทนที่เมื่อเราได้มองเห็นเรือแล่นเข้ามา เราจะใช้ดินปืนเล็กน้อยและยิงลูกกระสุนปืนก่อน ลูกกระสุนปืนอาจจะพลาดเป้าหมายไป เราจะยิงลูกกระสุนปืนอีกครั้งหนึง ลูกกระสุนปืน
อาจจะพลาดเป้าหมายไปอีก ในที่สุดลูกกระสุนนัดต่อไปยิงถูกลำเรือ ตอนนี้เราจะใช้ดินปืนที่เหลืออยู่ทั้งหมด และยิงลูกกระสุนปืนใหญ่ตามระยะเดิมและจมเรือของศัตรูได้ เราจะรอดชีวิตถ้าเรายิงลูกกระสุนปืนจนกระทั่งเราได้ทำการปรับที่จำเป็นยิงให้ถูกเป้าหมาย ต่อจากนั้นยิงลูกกระสุนปืนใหญ่ เราจะบรรลุความสำเร็จเรื่องราวนี้จะแสดงแนวคิดของ “ยิงลูกกระสุนปืนก่อน ต่อจากนั้นยิงลูกกระสุนปืนใหญ่ทีตรวจสอบระยะแล้ว แนวคิดที่สำคัญอย่างหนึ่งของจิม คอลลินส์ ภายในหนังสือ Great by Choice ของเขาแนวคิดคือการยิงกระสุนปืนเล็กก่อน : ทดสอบผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และกระบวนการใหม่ ที่จะดูว่าได้ผลหรือไม่ได้ผล ภายหลังจากที่ความคิดใหม่ได้ถูกทดสอบและพิสูจน์แล้วเท่านั้นบริษัทควรจะยิงกระสุนปืนใหญ่ : การทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากไปยังความคิดใหม่ ภายหลังจากที่พวกเขาได้ยิงกระสุนปืนเล็กจำนวนมากแล้ว : การทดสอบความคิดใหม่ที่จะพิสูจน์ว่าพวกมันจะได้ผลหหรือไม่
จิม คอลลินส์ ได้อธิบายลูกระสุนปืนว่า การทดสอบทางประสบการณ์มุ่งที่การเรียนรู้ว่าอะไรได้ผลและบรรลุเกณฑ์สามข้อคือ
กระสุนปืนจะต้นทุนต่ำ ขนาดและต้นทุนจะเพิ่มขึ้นเมื่อบริษัทได้เจริญเติบโตกระสุนปืนจะเสี่ยงภัยต่ำ เราจะมีผลตามมาน้อยถ้ากระสุนปืนไม่ถูกเป้าหมาย
กระสุนปืนจะสับสนต่ำ กระสุนปืนจะไม่ดึงบริษัทของเราออกไปจากจุดมุ่งลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงก่อนที่เราจะตรวจสอบระยะจะเป็น “ลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ไม่ได้ตรวจสอบระยะ” จิม คอลลินส์ ได้กล่าวว่า บริษัท 10X จะยิงลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ตรวจสอบระยะ ในขณะที่บริษัทเปรียบเทียบจะยิงกระสุนปืนใหญ่ที่ไ่มได้ตรวจสอบระยะ นี่ไม่ได้หมายความว่าบริษัท 10X จะไม่เคยยิงลูกกระปืนใหญ่ที่ไม่ได้ตรวจสอบระยะ แต่พวกเขาจะยิงเพียงไม่กี่ครั้ง พวกเขาจะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดอย่างรวดเร็ว และกลับมาใช้วิธีการของกระสุนปืนก่อน ต่อจากนั้นกระสุนปืนใหญ่ ลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ตรวจสอบระยะจะมีการยืนยันบนพื้นฐานของประสบการณ์จริง – การตรวสอบทางการทดลอง – การเดิมพันที่ยิ่งใหญ่น่าจะพิสูจน์ได้ว่าบรรลุความสำเร็จ
ลูกกระสุนปืนใหญ่ทีไม่ได้ตรวจสอบระยะ หมายถึง การเดิมพันที่ยิ่งใหญ่ที่ปราศจากการตรวจสอบทางประสบการณ์
ลูกกระสุนปืนใหญ่ทีไม่ได้ตรวจสอบระยะสามารถนำไปสู่ความหายนะได้ บริษัทจะต้องจ่ายราคาที่สูงเมื่อเหตุการณ์ที่วุ่นวายอย่างรุนแรงเกิดขึ้นพร้อมกับการยิงกระสุนปืนใหญ่ที่ไม่ได้ตรวจสอบระยะของพวกเขาบริษัทจะต้องมีความสร้างสรรค์ แต่ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาจะต้องถูกตรวจสอบด้วยประสบการณ์ทางการทดลอง บางครั้งเราอาจจะหมายความเพียงแต่การเรียนรู้จากบุคคลอื่น ดังนั้นเราไม่ต้องยิงกระสุนปืนแม้แต่นัดเดียว
เวลาอื่นเราจะยิงกระสุนปืน การทดสอบความคิดใหม่ ต่อจากนั้นเราอาจจะยิงกระสุนปืนมากขึ้นและมากขึ้น ภายหลังจากการตรวจสอบความคิดสร้างสรรค์ของเราแล้วเท่านั้น เราจะยิงลูกกระสุนปืนใหญ่ เมื่อเราได้ค้นพบว่าอะไรได้ผลแล้ว จุดสำคัญคือการเปลี่ยนไปเป็นการเดินทาง 20 ไมล์
บริษัทที่ยิ่งใหญ่จะสร้างสรรค์ แต่ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเป็นเกียรติกับการสร้างสรรค์ เราจะไม่เคยเห็นแอปเปิ้ลโยนผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดทุกอาทิตย์ จิม คอลลินส์ จะเรียกว่า ยิงกระสุนปืนก่อน ต่อจากนั้นยิงกระสุนปืนใหญ่ ตัวอย่างที่ดีคือไอพอด และไอทูน ของแอปเปิ้ล แก่ นอน-แมค คอมพิวเตอร์ แอปเปิ้ลได้พัฒนาไอพอด เริ่มแรก เป็นเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ที่ดีกว่าที่มีอยู่แล้ว กระสุนนัดต่อไปคือ ไอทูน แก่แมค ร้านดนตรีออนไลน์ ของแอปเปิ้ล ด้วยความสำเร็จที่พิสูจน์แล้วสะสม พวกเขาสามารถจะยิงลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ตรวจสอบระยะ : ไอพอด และไอทูนส์ ที่ไม่ใช่แมค คอมพิวเตอร์
เมื่อย้อนหลังไป ค.ศ 2001 แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ได้วางตลาดไอพอด ครั้งแรก แต่มันไม่ใช่ไอพอดที่เรารู้จักกันว้นนี้ มันเป็นการทดสอบภาคสนาม และเราสามารถมองเห็นได้ว่าข้อเท็จจริงมันจะเป็นส่วนประกอบของแมค เสี่ยงภัยต่ำ ต้นทุนต่ำ และสับสนต่ำ เมื่อผู้ใช้แมคชอบมัน พวกเขาจะยิงกระสุนปืนนัดต่อไปคือ ไอทูนส์ การให้ทางเลือกแกผู้ใช้แมคดาวโหลดดนตรีของพวกเขาอย่างถูกกฏหมายและราคาถูกโดยตรงจากไอพอดของพวกเขา เมื่อการทดสอบทั้งสองบรรลุความสำเร็จ ปีต่อมาแอปเปิ้ล ได้เปิดและนำไอพอด และไอทูนส์ ที่ไม่ใช่แมค คอมพิวเตอร์ ออกมา
ผลตอบแทนจากโชค จะเป็นแนวคิดหนึ่งที่่่ได้ถูกพัฒนาภายในหนังสือ Great by Choice ของจิม คอลลินส์ ตามมุมมองของจิม คอลลินส์ แล้ว ความแตกต่างระหว่างบริษัทที่ดีและบริษัทที่ยิ่งใหญ่มักจะเป็นว่าพวกเขาได้ใช้โชคอย่างไร โชคดีหรือโชคไม่ดีจะเกิดขึ้นกับบริษัททุกบริษัท บริษัทที่ยิ่งใหญ่จะไม่โชคดีกว่าบริษัทที่เปรียบเทียบ – พวกเขาไม่ได้โชคดีกว่า โชคไม่ดีน้อยกว่า แต่พวกเขาจะมีผลตอบแทนจากโชคสูงกว่า การสร้างผลตอบแทนจากโชคของพวกเขาได้มากว่าบริษัทอื่น คำถามที่สำคัญจะไม่ใช่ เราจะมีโชคหรือไม่ แต่เราจะทำอะไรกับโชคที่เรามี
เหตุการณ์ที่ได้ถูกพิจารณาว่าโชคดีหรือโชคไม่ดีไม่ได้แตกต่างกันอย่างแท้จริงใช่หรือไม่ จุดที่สำคัญคือเหตุการณ์อาจจะกลายเป็นดีขึ้นหรือเลวลง โอกาสที่ถูกจัดการไม่ดีจะกลายเป็นโชคไม่ดี และวิกกฤติที่ถูกจัดการดีจะกลายเป็นโชคดี ปัจจัยสำคัญที่สุดคือเราจะรับรู้และจัดการมัยอย่างไร
แฮร์รี่ ทรูแมน อดีตประธานาธิบดีอเมริกา ได้เคยกล่าวว่า “เราสามารถบรรลุความสำเร็จอะไรก็ตามภายในชีวิต หากว่าเราไม่สนใจว่าใครจะได้การยกย่อง”
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่จะอ้างความสำเร็จของพวกเขาจะเกิดขึ้นจากโชค แต่มันไม่เป็นความจริง แต่มันจะเป็นความถ่อมตัว เมื่อความสำเร็จได้เกิดขึ้น ผู้นำที่ยิ่งใหญ่จะมองหน้าต่างที่จะยกย่องปัจจัยอื่น ถ้าไม่มีบุคคลหรือเหตุการณ์ทีี่่จะยกย่องได้ พวกเขาจะเพียงแต่ยกย่องโชค พวกเขาจะพยายามมองหน้าต่างและยกย่องอะไรก็ตามทีไม่ใช่ตัวพวกเขาเอง นั่นคือความถ่อมตัวเหลือเกิน และในขณะเดียวกันผู้นำที่ยิ่งใหญ่จะมองกระจกที่พวกเขาเองจะยอมรับความรับผิดชอบ ไม่เคยกล่าวหาว่าโชไม่ดี เมื่ออะไรเป็นไปไม่ดี ดังนั้นเมื่อบางสิ่งบางอย่างได้ล้มเหลว แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่ความผิดของพวกเขา พวกเขาจะยอมรับการการตำหนิื พวกเขาจะมองที่กระจก ไม่ต่องการจะชี้นิ้วไปที่หน้าต่าง จิม คอลลินส์ ได้ระบุว่าบริษัที่เปรียบเทียบจะมีผู้นำที่ตรงกันข้าม
กับแนวคิดของกระจกและหน้าต่าง เมื่ออะไรเป็นไปไม่ดี ผู้นำจะมองที่หน้าต่างว่าใครควรจะกล่าวโทษ แต่เมื่ออะไรเป็นไปดี ผู้นำจะมองที่กระจกว่าพวกเขาได้สร้างความสำเร็จเขาเชื่อว่าบริษัทที่สร้างผลตอบแทนจากโชคได้ดีที่สุดจะเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ได้ จิม คอลลินส์ ได้ระบุว่าโชคจะเป็นเหตุการณ์อย่างหนึ่ง เราจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าบุคคลที่โชคดี แต่เราจะมีบุคคลที่รู้ว่าจะใช้ “เหตุการณ์ของโชค” อย่างไรที่เกิดขึ้นภายในชีวิตของพวกเขาเท่านั้น
เมื่อเราได้สัมภาษณ์ ผู้นำระดับ 5 ด้วยการขอให้พวกเขาระบุห้าปัจจับลำดับสูงสุดภายในการปฏิรูปบริษัทพวกเขารียงลำดับตามความสำคัญ พวกเขาส่วนใหญ่จะระบุปัจจัยหมายเลขหนึ่งของพวกเขาคือ โชค ทุกครั้งที่ทีมวิจัยถามย้ำ คำตอบจะเป็นโชคอยู่เสมอ เราจอยู่ภายในสถานที่ที่เหมาะสม ณ เวลาที่เหมาะสม เราโชคดีที่มีบุคคลที่เหมาะสมภายในบริษัท หรือเราโชคดีที่ได้ค้นพบผู้สืบทอดที่เหมาะสม โชคดูแล้วจะผิดธรรมดาที่ได้เกิดขึ้นเกือบทุกครั้งของการสัมภาษณ์เมื่อเราเปรียบเทียบระหว่างเบธลีแฮม สตีล และนูคอร์ สตีล บริษัทเหล็กทั้งสองจะผลิตผลิตภัณฑ์ที่สร้างความแตกต่างได้ยาก และพวกเขาจะต้องเผชิญกับความท้าทายทางการแข่งขันจากเหล็กนำเข้าราคาถูกกว่า ทั้งสองบริษัทจะต้องจ่ายค่าจ้างที่สูงกว่าคู่แข่งขันต่างประเทศ และซีอีโอ ณ สองบริษัทจะมีมุมมองที่แตกต่างกันต่อสภาพแวดล้อมอย่างเดียวกันซีอีโอของเบธลีแฮม สตีล ได้สรุปปํญหาของบริษัทภายใน ค.ศ 1983
ด้วยการกล่าวหาการนำเข้า ปัญหาอย่างแรก อย่างที่สอง และอย่างที่สามของเราคือ การนำเข้า ในขณะเดียวกัน เค็นเนธ ไอเวอร์สัน ซีอีโอ ของนูคอร์ สตีลจะมองการนำเข้าว่าเป็นการให้พร เราโชคดีใช่ไหม เหล็กจะหนัก และเหล็กจะถูกขนส่งข้ามมหาสมุทร การสร้างข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่แก่เรา ที่จริงแล้วเค็นเนธ ไอเวอร์สัน ได้มองปัญหาอย่างแรก อย่างที่สอง และอย่างที่สามที่อุตสาหกรรมเหล็กของอเมริกาได้เผชิญอยู่ ไม่ใช่การนำเข้าแต่จะเป็นการบริหาร เขาได้พูดต่อสาธารณะด้วยการคัดค้านการคุ้มครองการนำเข้า การบอกแก่บริษัทเหล็กว่าปัญหาที่แท้จริงที่อุตสาหกรรมเหล็กได้เผชิญอยู่จะเป็นข้อเท็จจริงที่ผู้บริหารไม่สามารถตามให้ทันกับเทคโนโลยีเค็นเนธ ไอเวอร์สัน ได้กล่าวว่ารากเหง้าของปัญหาที่่บริษัทเหล็กภายในประเทศได้เผชิญอยู่คือ ความไม่สามารถเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร เขารู้สึกว่าบริษัทเหล็กบริหารไม่ดี เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
เค็นเนธ ไอเวอร์สัน ได้ทำการปฏิรูปนูคอร์จากบริษัทที่ใกล้จะล้มละลายให่กลายเป็นบริษัทเหล็กที่บรรลุความสำเร็จมากที่สุดบริษัทหนึ่งภายในโลก
นูคอร์ ได้สร้างวัฒนธรรมที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนของบริษัทใหญ่ ณ เวลานั้น พวกเขาจะกำจัดระดับการบริหารเท่าที่จะเป็นไปได้ บริษัทได้เจริญเติบโต
เป็นบริษัทฟอร์จูน 500 3.5 พันล้านเหรียญ ด้วยสี่ระดับการบริหารเท่านั้น สำนักงานใหญ่ของบริษัทจะมีบุคคลไม่ถึงยี่สิบห้าคน พวกเขาได้ยัดเยียดกัน สำนักงานบริษัทเช่าขนาดร้านทำฟันขนาดเล็ก เค็นเนธ ไอเวอร์สัน ได้กล่าวว่า เกือบ 100% ของความสำเร็จของพวกเขาจะเกิดขึ้นจากความสามรถถ่ายทอดแนวคิดที่เรียบง่ายของธุรกิจให้เป็นการกระทำที่มีระเบียบวินัยสอดคล้องกับแนวคิดนั้น นูคอร์ ได้พยายามสร้างความเสมอภาคทั่วทั้งบริษัท เค็นเนธ ไอเวอร์สันจะเป็นบุคคลที่เรียบง่าย ถ่อมตัว และอ่อนน้อมมาก

การผลิตเหล็กจะเป็นธุรกิจที่ใช้เครื่องจักรมากและยากภายในอุตสาหกรรมขึ้นและลง อุปสรรคการเข้ามาจะมีน้อย การแข่งขันจากต่างประเทศรุนแรง
และเราจะต้องเป็นผู้ตามราคา เหล็กเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกัน วอร์เร็น บัฟเฟตต์ กูรูทางการเงิน ได้เคยกล่าวว่า อำนาจการกำหนดราคา จะเป็นตัวกำหนดสำคัญที่สุดที่บริษัทเหล็กไม่มีถ้าเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง แต่พวกเขาไม่มีภายในสต็อค เราเพียงแต่ข้ามถนนไปซื้อจากร้านอื่นเท่านั้น ไม่มีใครซื้อรถยนต์ที่ต้องผลิตจากเหล็กประเภทอะไร เราเคยไปซื้อรถแคดิแลคจากผู้แทนจำหน่ายและบอกว่า เราต้องการรถแคดิแลคที่ใช้เหล็กจากโรงงานนี้หรือไม่ ดังนั้นเมื่อเจ็นเนอรัล มอเตอร์ ต้องการซื้อเหล็ก พวกเขาเพียงแต่ติดต่อบริษัทเหล็กทุกบริษัท และพูดว่า เราได้ราคาที่ดีที่สุดมาแล้ว คุณจะสู้ราคาของพวกเขาไหม หรือจะปล่อยให้โรงงานของคุณมีกำลังการผลิตว่างอยู่ดังนั้นบริษัทเหล็กอเมริกันรายเล็กได้ผงาดขึ้นมาจนในที่สุดกลายเป็นครอบงำการผลิตเหล็กภายในอเมริกาได้อย่างไร คำตอบจะอยู่เค็นเนธ ไอเวอร์สัน เขาได้นำนูคอร์ สตีล ต้นกำเนิดจากธุรกิจเหล็กรายเล็กภายในเมืองเมื่อ ค.ศ 1960 จนกลายเป็นบริษัทเหล็กใหญ่ที่สุดลำดับสามภายในอเมริกาเมื่อ ค.ศ 2002 ด้วยการสร้างวัฒนธรรมที่เป็นตำนานแก่นูคอร์ สตีลของเค็น ไอเวอร์สัน ปัจจุบันนูคอร์ สตีล คือบริษัทเหล็กใหญ่ที่สุดของอเมริกาความลับแห่งความสำเร็จของพวกเขาคืออะไร ที่น่าสนใจคือพวกเขาไม่มีสูตรลับอะไรเลย และไม่มีโมเดลทางการบริหารที่ซับซ้อนที่บริษัทอื่นไม่มีเลย โดยพื้นฐานพวกเขาเพียงแต่เปลี่ยนแปลงกรอบความคิดที่อุตสาหกรรมเหล็กจะทำธุรกิจอย่างไรเท่านั้น พวกเขาได้กลายเป็นบริษัทที่ให้รายได้แก่คนงานสูงกว่าทุกบริษัทภายในอุตสาหกรรม พวกเขาจะเป็นผู้ผลิตเหล็กต้นทุนต่ำสุด พวกเขาไม่เคยปลดคนงานหรือปิดโรงงาน และขาดทุนเลยเค็น ไอเวอร์สัน ซีอีโอตำนานของนูคอร์ สตีล ได้สร้างการเจริญเติบโตแก่บริษัท 17% ต่อปี และทำกำไรนานกว่าสามสิบปี การเปลียนแปลงวัฒนธรรมที่เรียบง่ายเหล่านี้ ได้สร้างองค์การที่ทำกำไรอย่างยั่งยืนภายในช่วงเวลาที่ยาวนาน และยากอย่างไม่น่าเชื่อที่จะแข่งขัน
เค็นเนธ ไอเวอร์สัน ได้กล่าวว่า เขามักจะถูกถามบ่อยครั้งว่า คุณจะอธิบายความสำเร็จของนูคอร์อย่างไร ผมได้ตอบว่า วัฒนธรรม 70% เทคโนโลยี 30%
ข้อเท็จจริงคือ ผมไม่มั่นใจว่า มันจะเป็น 80 ต่อ 20 หรือ 60 ต่อ 40 แต่ผมแน่ใจว่าวัฒนธรรมของเราอธิบายความสำเร็จของเราได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง ความเสมอภาค ตวามเป็นอิสระ และความเคารพ จะส่งเสริมแรงจูงใจ ความคิดริเริ่ม และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ไม่มีขัอสงสัยเลย วัฒนธรรมของนูคอร์ จะเป็นแหล่งที่มาของได้เปรียบทางการแข่งขันที่สำคัญที่สุด และจะเป็นอยู่ตลอดไป แต่การรักษาวัฒธรรมนั้นจะไม่ง่ายเลย มันจะเรียกร้องการให้ความสนใจประจำวัน ต่อสู้กับความโน้มเอียงของมนุษย์ที่จะแบ่งตัวเราเองเป็นค่าย “พวกเรา ต่อสู้ พวกเขา”วัฒนธรรมความเสมอภาคของเราจะเป็นเหตุผลที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งที่ทำไมผู้บริหารของเราไม่ต้องยุ่งเกียวกับสหภาพ หรือต้องใช้เวลาอย่างมากคิดถึงเกี่ยวกับการเอาสหภาพออกไปจากบริษัทของเรา แม้ว่าอุตสากรรมของเราจะเต็มไปด้วยสหภาพ บริษัทบางบริษัทจะมีสหภาพ ผู้บริหารของพวกเขาเพียงแต่ไม่ได้ปฏิบัติต่อบุคคลอย่างถูกต้อง พวกเขาจะใช้ลำดับชั้นกดบุคคลให้ต่ำไว้ แต่เมื่อผู้บริหารของบริษัทได้ปฏิบัติต่อบุคคลอย่างเสมอภาคแล้ว พวกเขาจะได้รับความไว้วางใจ

จิม คอลลินส์ ได้สรุปการวิจัยของหนังสือ Good to Great ของเขาด้วยการสัมภาษณ์เค็นเนธ ไอเวอร์สัน ซีอีโอ บริหารนูคอร์ บริษัทที่ไม่มีชื่อเสียงจนกลายบริษัทที่มีกำไรมากที่สุดภายในอเมริกา ผมได้ขอให้เขาระบุชื่อปัจจัยห้าอย่างสูงสุดที่นำการปฏิรูปนูคอร์จากบริษัทที่ดีไปสู่บริษัทที่ยิ่งใหญ่ เราคิดว่าเขาจะให้เทคโนโลยีอยู่ที่ไหน ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ หรือแม้แต่ที่ห้า ภายในคำบันทึกการสัมภาษณ์ 8,000 คำ คำว่า “เทคโนโลยี”จะปรากฏอยู่ครั้งเดียวและมาถึงตอนสุดท้ายของการสัมภาษณ์ เค็นเนธ ไอเวอร์สัน ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าเขาจะลุ่มหลงต่อวัฒนธรรมและบุคคลของนูคอร์ และเขาจะภูมิใจต่อข้อเท็จจริงว่านูคอร์ได้กลายเป็นบริษัท 500 ลำดับของวารสารฟอร์จูนด้วยระดับการบริหารสี่ระดับเท่านั้น และสายสนับสนุนของสำนักงานใหญ่จะมีบุคคลไม่ถึง 25 คนนูคอร์ได้กลายบริษัทเหล็กอเมริกันหมายเลขหนึ่ง แต่พวกเขาได้เริ่มต้นจากฐานะที่ต่ำต้อย เพื่อที่จะสร้างวัฒนธรรมที่มีลักษณะเฉพาะของพวกเขา นูคอร์ ได้ค้นหาเกษตรกรแทนที่จะเป็นคนงานเหล็กที่มีประสบการณ์ บนสมมุติฐานว่าเราสามารถสอนเกษตรกรจะผลิตเหล็กได้อย่างไร แต่เราไม่สามารถสอนจริยธรรมการทำงานแก่บุคคลที่ไม่ได้มีมันเสียแต่แรก นูคอร์ได้สร้างโรงงานภายนอกทำเลที่ตั้งของการผลิตเหล็กโดยทั่วไป พวกเขาจะเข้าไปสู่ท้องที่ของเกษตรกร เช่น นอร์โฟลค เนบราสก้า เกษตรกรเหล่านี้จะเข้านอนหัวค่ำและตื่นเช้า และตรงไปทำงานเลย
นูคอร์จะกำจัดคนงานที่ไม่ร่วมจริยธรรมการทำงานนี้ ภายในปีแรกของโรงงานใหม่ อัตราการหมุนเวียนของคนงานสูงถึง 50% แต่ภายหลังจากนั้นมันจะต่ำลงมาก เมื่อบุคคลที่เหมาะสมขึ้นบนรถโดยสารแล้ว นูคอร์ยากที่จะเริ่มต้นเป็นบริษัทที่ดี พวกเขาจะมีหน่วยธุรกิจเดียวเท่านั้นที่ทำเงิน และไม่มีวัฒนธรรมที่น่ภูมิใจ ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน และเกือบจะต้องออกไปจากธุรกิจ ต้นกำเนิดนูคอร์จะเป็นบริษัทบนรากฐานพลังงานนิวเคลียร์ไม่ใช่เหล็ก ณ การเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านของพวกเขาไปสู่บริษัทที่ยิ่งใหญ่เมือ 1965 พวกเขาไม่ได้ผลิตเหล็กเลย แต่สามสิบปีต่อมาพวกเขาจะเป็นผู้ผลิตเหล็กลำดับสี่ภายในโลก และทำกำไรสูงกว่าบริษัทเหล็กอื่นภายในอเมริกามุมมองโดยทั่วไปจะยืนยันว่านูคอร์เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ได้เนื่องจากเทคโนโลยีของพวกเขา บริษัทได้สร้างโรงงานเล็กที่สามารถชนะโรงงานใหญ่ แต่ข้อเท็จจริงเราจะพบว่าการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ของนูคอร์เจะเกิดขึ้นก่อนที่พวกเขาจะมีเทคโนโลยีของโรงงานเล็ก ดังนั้นคำถามจะกลายเป็นว่า อะไรที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา เมื่อเราได้ค้นหาอย่างแท้จริงลงไปกับมัน สิ่งที่เราได้พบคือ วัฒนธรรมที่ประหลาด ณ นูคอร์ และมันเป็นวัฒนธรรมของพวกเขาอย่างแท้จริงที่ช่วยทำให้พวกเขาสามารถเจริญรุ่งเรืองภายในอุตสาหกรรมที่ยากลำบากได้ ทำนองเดียวกับเซ้าธ์เวสท์ แอร์ไลน์ วัฒนธรรมบวกกับโมเดลทางธุรกิจของพวกเขา ไม่เพียงแต่โมเดลทางธุรกิจของพวกเขาที่จะตอบว่าทำไม สายการบินใหญ่บางสายพยามยามจะลอกเลียนแบบเซ้าธ์เวสท์ แต่จะยากลำบากพราะว่าความสามารถจะทำมันได้คือวัฒนธรรม นี่คือทำไมวัฒนธรรมกินกลยุทธ์ เค็นเนธ ไอเวอร์สัน ของนูคอร์ ได้สร้างบริษัทที่แตกต่างออกไปสำนวนที่ว่า Culture Eats Strategy For Breakfast : วัฒนธรมกินกลยุทธ์เป็นอาหารเช้า ของ ปีเตอร์ ดรัคเกอร์ กูรูทางการบริหารที่เป็นตำนานของโลก มาร์ค ฟิลด์ อดีตซีอีโอ ของฟอร์ด มอเตอร์ คอมพานี ได้ทำให้สำนวนนี้กลายเป็นที่แพร่หลายท่ามกลางผู้บริหารไปทั่วโลก และมักจะถูกกล่าวถึงภายในสิ่งตีพิมพ์ การฝึกอบรม หรือการสัมนาเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์การอยู่เสมอ Culture Eats Strategy for Breakfast หมายความว่า ไม่ว่ากลยุทธ์ของบริษัทแหลมคมแค่ไหนไม่สามารถบรรลุความสำเร็จได้เลย ถ้าวัฒนธรรมของบริษัทไม่สอดคล้องหรือสนับสนุนกลยุทธ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าวัฒนธรรมมีความสำคัญกว่ากลยุทธ์ กลยุทธ์อยู่บนกระดาษ กลยุทธ์ที่กระทำไม่ได้ หรือกระทำแล้วล้มเหลว เนื่องจากไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมย่อมจะกลายเป็นเสือกระดาษในที่สุด

 

แอนน์ แมคลาฟลิน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานของอเมริกา ได้เคยพูดว่า ผู้บริหารต้องประหลาดใจกับการแข่งขันภายในศตวรรษที่ 21 พวกเขาจำเป็นต้องรู้เรื่องราวของบริษัทนูคอร์ ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของอเมริกา เค็นเน็ธ ไอเวอร์สัน อดีตซีอีโอที่กลายเป็นตำนานของอุตสาหกรรมเหล็ก ได้บริหารบริษัทตามแนวทางของการบริหารแบบคล่องตัว โครงสร้างของบริษัทแบนและคล่องตัวมาก สี่ระดับการบริหารเท่านั้นระหว่างซีอีโอและคนงาน ในขณะที่โครงสร้างของบริษัทเหล็กรายอี่นมีแปดหรือเก้าระดับการบริหาร เมื่อเรามองไปที่สำนักงานใหญ่ของนูคอร์ ณ ชาร์ลอตเต้ นอร์ธแคโรไลน่า ได้ช่วยเล่าเรืองราวได้เป็นอย่างดี โทรศัพท์เข้ามาผ่านสวิทช์บอร์ด ไปยังโทรศัพท์ของเคนเน็ธ ไอเวอร์สัน เขาไม่มีเลขานุการแม้แต่คนเดียว เขาใช้โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์บันทึกรายงานการผลิตด้วยตัวเอง สายงานสนับสนุนน้อยมากไม่ถึงยี่สิบคน นูคอร์เป็นบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่เล็กที่สุดท่ามกลางบริษัท 500 ลำดับของวารสารฟอร์จูนนูคอร์จะมีวัฒนธรรมองค์การที่มุ่งประสิทธิภาพ ความเสมอภาค และความประหยัด ผู้บริหารและคนงานมีวันพักร้อน วันหยุด และการประกันสุขภาพเหมือนกัน ผู้บริหารไม่มีสิทธิพิเศษ เช่น ห้องอาหารผู้บริหาร หรือที่จอดรถยนต์ของผู้บริหารต้องไม่มี เมื่อหลายปีที่แล้วเค็นเนธ ไอวอร์สัน ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับโรงงานแห่งหนึ่งภายในคานาดา บุคคลทุกคนจะต้องใส่หมวกสีเดียวกัน เขาชอบแนวคิดมาก ดังนั้นเขาได้ตัดสินใจยกเลิกสีหมวกที่กำหนดให้ตามตำแหน่ง เขาได้ออกบันทึกว่าบุคคลทุกคนภายในโรงงานจะต้องใส่หมวกสีเดียวกัน เค็นเนธ ไอเวอร์สัน ได้ให้ผู้บริหารและคนงานใส่หมวกสีเขียวเหมือนกันทุกคน หัวหน้าคนงานบางคนได้ร้องเรียนถึงการสูญเสียสถานภาพ ก่อนหน้านี้หัวหน้าคนงานใส่หมวกสีขาว เค็นเนธ ไอเวอร์สัน ได้ตอบสนองว่า อำนาจหน้าที่ที่แท้จริงของเราไม่ได้มาจากสีหมวก แต่มาจากความสามารถของการเป็นผู้นำ ผู้บริหารคนหนึ่งได้บอกแก่เค็นเนธ ไอเวอร์สัน ว่า เขาได้กระทำผิดพลาดอย่างหนึ่ง เราต้องสามารถมองเห็นช่างบำรุงรักษาทันทีภายในโรงงาน ดังนั้นเค็น ไอเวอร์สัน ได้ยกเว้นช่างบำรุงรักษาเท่านั้นที่ใส่หมวกสีเหลือง นอกจากนั้นบุคคลทุกคนต้องใส่หมวกสีเขียวเท่านั้น เค็น ไอเวอร์สัน ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากหัวหน้าคนงานคนหนึ่งกล่าวว่า เขาไม่ควรจะยกเลิกสีหมวกเลย การเป็นหัวหน้าคนงาน หมวกสีขาวคืออำนาจหน้าที่ของหัวหน้าคนงาน ผมวางหมวกของผมบนด้านหลังของรถยนต์เมื่อกลับบ้าน บุคคลทุกคนจะได้รู้ว่าผมเป็นหัวหน้าคนงานของนูคอร์เค็นเนธ ไอเวอร์สัน ได้ใช้ความพยายามอย่างแท้จริงสร้างวัฒนธรรมนูคอร์ที่มุ่งความเสมอภาค เขาได้เล่าว่าเมื่อนูคอร์ซื้อโรงงานแห่งหนึ่ง เขาได้ขายรถลีมัวซีนไปทันที และยกเลิกที่จอดรถยนต์ของผู้บริหาร เขาได้พบคนงานคนหนึ่งเดินมาที่โรงงาน และบอกผมว่า เขาได้จอดรถยนต์ ณ ที่ของผู้บริหาร คุณรู้ไหม ผมรู้สึกอยากจะทำงานที่นี่มาก เค็น ไอเวอร์สัน มีความเป็นผู้นำที่ตรงไปตรงมา และไม่เป็นทางการ ห้องทำงานของเขาไม่ใหญ่โตหรูหราหรือตกแต่งด้วยเครื่องประดับราคาแพง เขาจะพาผู้มาเยี่ยมข้ามถนนไปที่ร้านขายอาหารสำเร็จรูป ห้องอาหารผู้บริหารของนูคอร์ ทานแซนวิส ค่านิยมชาวสปาร์ต้า หมายถึงความอดทนและความกล้าหาญของนูคอร์จะปรากฏอย่างชัดเจน ณ สำนักงานใหญ่ แทนที่จะมีอาคารเหมือนตู้กระจกสินค้าราคาแพง และสง่างามบนภูมิประเทศที่สวยงาม นูคอร์ ได้เช่าพื้นที่ไม่กี่พันตารางฟุตบนชั้นสี่ของอาคารสำนักงาน ชื่อบริษัทประกันภัยเดิมจะยังคงปรากฏอยู่ ร่องรอยของนูคอร์อย่างเดียวคือ การดูรายชื่อจากรายนามบริษัทของอาคารเท่านั้น
เราจะต้องต่อสู้กับลำดับชั้น เราต้องทำลายลำดับชั้น การลดความแตกต่างระหว่างผู้บริหารและคนงานให้น้อยที่สุด ไม่มีใครเลยที่ต้องเลื่อนตำแหน่งมากกว่าสี่ครั้งขึ้นมารับงานของผม การเพิ่มระดับการบริหารมากขึ้นจะทำลายจุดแข็งที่สำคัญของธุรกิจของเรา เมื่อเรามีอำนาจ อำนาจอย่างแท้จริงเหมือนกับผู้จัดการโรงงานของนูคอร์ เราจะต้องอ่อนน้อมถ่อมตน การเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทของเรา อย่าทำตัวเราเหนือกว่าบุคคลอื่น เราจะต้องพยายามรับฟังความคิดจากบุคคลอื่น

 

บิลล์ เกตส์ จะเพียงแต่เกิดภายในครอบครัวชาวอเมริกันที่มีฐานะดี และสามารถส่งเขาเข้าโรงเรียนมัธยมเอกชนได้ เลคไซด์ สคู ภายในซีแอตเติ้ล โรงเรียนที่มีโทรพิมพ์เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ทำให้เขาสามารถเรียนรู้โปรแกรมได้ บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ธรรมดาต่อโรงเรียนเมื่อปลาย ค.ศ 1960
เขาเพียงแต่เกิด ณ เวลาที่เหมาะสม การเข้ามาสู่ยุคเมื่อความก้าวหน้าของไมโครอีเล็คโทรนิคได้สร้างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าเขาเกิดสิบปีหรือแม้แต่ห้าปีต่อมา เขาจะต้องพลาดโอกาสที่สำคัญไปบิลล์ เกตส์ และพอล อัลเล็น ทั้งสองคน ไ้ด้เข้าโรงเรียนเอกชน เลคไซต์ ภายในซีแอตเติ้ล เมืองที่พอล ได้ทุ่มเทชีวิตและโชคชะตาของเขาอย่างมาก ณ เลคไซต์ บิลล์ เกตส์ และพอล อ้ลเล็น ได้ใช้คอมพิวเตอร์ของโรงเรียน พอล อัลเล็น ได้เขียนเรียงความเกี่ยวกับมิตรภาพของเขากับบิลล์ เกตส์ ว่า เราเหมาะสมกันมาก บิลล์ เกตส์ และพอล อัลเล็น จบจากเลคไซต์ เมื่อ ค.ศ 1973 พอล อัลเล็น ได้เข้ามหาวิทยาลัยวอชิงตัน สเตรท ภายหลังสองปี พอล อัลเล็น ได้ลาออกจากมหาวิทยาลัย และได้เริ่มต้นทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ ณ ฮันนี่เวลล์ ภายในบอสตัน อยู่ใกลักับเพื่อนของเขา บิลล์ เกตส์ ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพอล อัลเล็น เพื่อนของบิลล์ เกตส์ เพียงแต่ได้มองเห็นหน้าปกของบทความเมื่อ ค.ศ 1975 จากการตีพิมพ์ของวารสารป้อปปูล่าร์ อีเล็คโทรนิค บทความเกี่ยวกับ อัลแทร์ 8800 ไมโครคอมพิวเตอร์ บิลล์ เกตส์ และพอล อัลเล็นได้มีความคิดที่จะแปลงเบสิกให้เป็นโปรแกรมแปลแปลคำสั่ง เบสิกจะเป็นภาษาการโปรแกรมเมนเฟรม คอมพิวเตอรที่นิยมแพร่หลาย เพื่อที่จะใช้กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเริ่มแรกเมื่อเราถอยหลังไปยังยุคของเครื่องพิมพ์ดีด ความคิดของการมีคอมพิวเตอร์บนทุกโต๊ะและทุกบ้านจะเป็นนิยายทางวิทยาศาสตร์ แต่บิลล์ เกตส์ และพอล อัลเล็น จะมีวิสัยทัศน์ และได้มุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงโลก บิลล์ เกตส์ ได้กล่าวถึงพอล อัลเล็น ว่า
พอล อัลเล็น ได้มองอนาคตว่าคอมพิวเตอ์จะเปลี่ยนแปลงโลก แม้ว่าตอนอยู่โรงเรียนมัธยม ไม่มีพวกเราใครเลยรู้มาก่อนว่าคอมพิวเตอรส่วนบุคคลคืออะไร พอล อัลเล็นได้คาดคะเนว่าคอมพิวเตอร ชิป จะมีพลังสูงขึ้นและในที่สุดจะสร้างอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมา ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของเขาจะเป็นเสาหลักของทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้กระทำด้วยกัน คอมพิวเตอร ส่วนบุคคล จะไม่มีอยู่ ถ้าปราศจากเขาบิลล เกตส์ ได้ติตต่อเอ็มไอทีเอส ผู้ผลิตอัลแทร์ และนำเสนอการบริการของพวกเขาที่จะเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกใหม่แก่อัลแทร์ภายหลังจากแปดสัปดาห์ บิลล์ เกตส์ และพอล อัลเล็น ได้แสดงโปรแกรมของพวกเขาแก่เอ็มไอทีเอส ที่ได้ตกลงจะจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ อัลแทร์ เบสิก ข้อตกลงของอัลแทร์ ได้บันดาลใจบิลล์ เกตส์ และพอล อัลเล็น สร้างบริษัทซอฟ์ทแวร์ของพวกเขา ดังนั้นไมโครซอฟทได้ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ ค.ศ 1975 เมื่อ ค.ศ 1973 บิลล์ เกตส์ ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่กระนั้น บิลล์ เกตส์ ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ของเขาภายในศูนย์คอมพิวเตอรของฮาร์วาร์ด เขาได้รักษาการปรับปรุงทักษะการโปรแกรมของเขาไว้
ในไม่ช้าพอล อัลเล็น ได้ย้ายมาที่บอสตันด้วย เขาจะทำงานเป็นโปรแกรมเมอร ิและได้กดดันให้บิลล์ เกตส์ ลาออกจากฮารวารด เพื่อที่พวกเขาจะทำงานเต็มเวลาด้วยกันภายในโครงการของพวกเขาบิลล์ เกตส์ จะมีโชคดีอย่างแน่นอน แต่โชคไม่ได้ทำไมบิลล์ เกตส์ ได้กลายเป็น 10Xer บิลล์ เกตส์ จะเป็นบุุคคลเดียวเท่านั้นภายในยุคของเขาที่ได้เกิดภายในครอบครัวอเมริกันที่มีฐานะดีหรือไม่ เขาจะเป็นบุคคลเดียวเท่านั้นที่ได้เกิดภายในช่วง ค.ศ 1950 และได้เข้าโรงเรียนที่มีคอมพิวเตอร์หรือไม่ เขาจะเป็นบุคคลเดียวเท่านั้นที่ได้เข้ามหาวิทยาลัยที่มีคอมพิวเตอร์ภายใน ค.ศ 1970 หรือไม่ เขาจะเป็นบุคคลเดียวเท่านั้นที่ได้อ่านบทความของวารสารป้อปปูล่าร์ อีเล็คโทรนิค หรือไม่ เขาจะเป็นบุคคลเดียวเท่านั้นที่รู้การเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ และไม่ภาษาเบสิก ได้ถูกพัฒนาโดยนักวิชาการจากดาร์มูธทศวรรษก่อนหน้านี้ และภาษาเบสิกจะรู้กันอย่างกว้างขวางเมื่อ ค.ศ 1975 และได้ถูกใช้ภายในทางวิชาการและอุตสาหกรรม ตอนนั้นเราจะมีนักศึกษาปริญญาโทและเอกทางวิศวกรรม คอมพิวเตอร์ ที่มีความเชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์มากกว่าบิลล์ เกตส์ ณ วันที่บทความของวารสารป้อปปูล่าร์ อีเล็คโทรนิค ได้ปรากฏขึ้น พวกเขาใครก็ตามได้ตัดสินใจเลิกเรียนและก่อตั้งบริษัทซอฟท์แวร์ แต่พวกเขาจะมีกี่คนที่จะทำให้แผนชีวิตของพวกเขายุ่งยาก – การไม่ยอมหลับนอนทั้งยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย การกินอาหารให้รวดเร็วที่สุดไม่ให้ขัดขวางการทำงาน – เพื่อที่จะทุ่มตัวพวกเขาเองภายในการเขียนภาษาเบสิกแก่อัลแทร์ เราจะมีพวกเขากี่คนที่จะไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ลาออกจากมหาวิทยาลัย และย้ายไปที่อัลบูเคอเคอร์ ทำงานกับอัลแทร์ บุคคลหลายพันคนสามารถกระทำสิ่งเดียวกันเหมือนกับบิลล์ เกตส์ แต่พวกเขาไม่ได้กระทำเท่านั้นความแตกต่างระหว่างบิลล เกตส์ และบุคคลที่มีข้อได้เปรียบเหมือนกันจะไม่ใช่โชค บิลล์ เกตส์ ได้ก้าวต่อไป การได้มาของการบรรจบกันของปรากฏการณ์ของโชคและการสร้างผลตอบแทนจากโชคที่สูงของเขาและนี่คือความแตกต่างที่สำคัญ โชค ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี จะต้องเกิดขึ้นกับบุคคลทุกคน แต่เมื่อเราได้มองดูที่ 10Xers เราจะมองเห็นบุคคลเหมือนกับบิลล์ เกตส์ ทีไ้ด้รับรู้โชคและยึดมันไว้บิลล์ เกตส์ และพอล อัลเล็น ได้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ เมื่อ ค.ศ 1975 ภายในอัลบูเคอกี้ นิวเม็กซิโก บิลล์ เกตส์ ได้ใช้ชื่อ “ไมโคร-ซอฟท์” ที่ได้ถูกแนะนำจากพอล อัลเล็น ภายในจดหมายที่ส่งไปยังพอล อัลเล็น อ้างถึงการเป็นหุ้นส่วนของพวกเขา ชื่อ “ไมโครคอมพิวเตอร” และ ” ซอฟท์แวร์” ได้ถูกจดทะเบียนที่นิว เม็กซิโก พวกเขาได้พัฒนาและขายโปรแกนมแปลคำสั่งเบสิกแก่อัลแทร์ 8800 บริษัทได้เจริญเติบโตยึดครองตลาดระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ด้วยเอ็มเอส-ดอส เมื่อ ค.ศ 1980 ตามมาด้วยไมโครซอฟท์ วินโดว์ ผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดในปัจจุบันนี้ เมื่อ ค.ศ 1980 ไอบีเอ็ม ได้ขอให้ไมโครซอฟท์ ผลิตระบบปฏิบัติการแก่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกของบริษัทคือ ไอบีเอ็ม พีซี ไมโครซอฟท์ ได้ซื้อระบบปฏิบัติการจากบริษัทหนึ่ง ปรับปรุงมัน และใช้ชื่อใหม่ว่าเอ็มเอส -ดอส เอ็มเอส-ดอส ได้วางตลาดกับไอบีเอ็ม พีซี เมื่อ ค.ศ 1981 ภายหลังจากนั้นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ซื้อสิทธิเอ็มเอส-ดอสเป็นระบบปฏิบัติการของพวกเขา การสร้างรายได้อย่างมากมายแก่ไมโครซอฟท์ เมื่อต้น ค.ศ 1990 ไมโครซอฟท์ได้ขายซอฟท์แวร์ของพวกเขามากกว่าหนึ่งล้านกอปปี้ เมื่อ ค.ศ 1990 บิลล์ เกตส์ ได้แสดงแผนในอนาคตของไมโครซอฟท์ด้วยการแนะนำวินโดว์ 3.0 วินโดว์ ขายได้มากกว่า 60 ล้านก้อปปี้ทำให้ไมโครซอฟท์ เป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวของมาตรฐานพีซีซอฟทแวร์ไมโครซอฟท์ก่อน ค.ศ 1990 จะเป็นซัพพลายเออร์ที่ยิ่งใหญ่แก่ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ นั่นคือตลาดเป้าหมายของพวกเขา เมื่อโทคโนโลยีได้ก้าวหน้าและคอมพิวเตอร ์ส่วนบุคคลได้กลายเป็นที่นิยมแพร่หลาย รายได้จำนวนมากของไมโครซอฟท์
จะเกิดขึ้นจากการขายแก่ผู้บริโภค พวกเขาจะเป็นบริษัทซอฟท์แวร์รายแรกที่มีรายได้สูงถึงหนึ่งพันล้านเหรียญ เมื่อไมโครซอฟท์วินโดว์รุ่นใหม่ได้ถูกวางตลาดมากขึ้นและมากขึ้น ไมโครซอฟท์ได้ยึดครองส่วนแบ่งตลาดพีซีของโลกประมาณ 90%บริษัทได้ให้สิทธิการใช้ระบบปฏิบัติการเอมเอส-ดอส ของพวกเขาแก่คอมพิวเตอรส่วนบุคคลเครื่องแรกของไอบีเอ็ม การปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อ ค.ศ 1981 เมื่อ ค.ศ 1985ไมโครซอฟท์ ได้วางตลาดระบบปฏิบัติการใหม่ วินโดว์ และบริษัทได้ขายหุ้นแก่ประชาชน ณ ราคาหุ้นละ 21 เหรียญ การระดมเงินทุนได้สูงถึง 61 ล้านเหรียญ เมื่อปลาย ค.ศ 1980 ไมโครซอฟท์ ได้กลายเป็นบริษัทซอฟท์แวร์ใหญ่ที่สุดของโลก เมื่อ ค.ศ 1995 ท่ามกลางการซื้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเพื่อการใช้ภายในสำนักงานและบ้าน วินโดว์ 95 ได้สร้างการปรากฏตัว และขายได้เจ็ดล้านกอปปี้ภายในห้าสัปดาห์แรกเมื่อ ค.ศ 1998 กระทรวงยุติธรรมของอเมริกาได้กล่าวหาว่าไมโครซอฟท์ทำผิดกฏหมายห้ามการผูกขาด ด้วยการใช้การยึดครองตลาดขับไล่คู่แข่งขันออก ไปจากอุตสาหกรรม เมื่อ ค.ศ 2001 บริษัทไ้ด้บรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลที่ได้บังคับข้อจำกัดต่อการปฏิบัติของบริษัท ยิ่งกว่านั้นเมื่อ ค.ศ 2001 ไมโครซอฟท์ ได้เข้าสู่ตลาดวีดีโอ เกม ด้วยการวางตลาด เอ็กซ์บอกซ์ คอนโซล แต่กระนั้นเมื่อทษวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 ไมโครซอฟท์ ได้กลายเป็นล้าหลังบริษัทเหมือนเช่น แอปเปิ้ล ภายในตลาดสมาร์ทโฟน และกูเกิ้ลภายในตลาดโปรแกรมค้นหาความสามารถจะบรรลุผลตอบแทนจากโชคที่สูง ณ โอกาสที่สำคัญจะมีผลกระทบทวีคูนอย่างมากแก่ 10Xers พวกเขาจะขยายภาพที่จะรับรู้ เมื่อโชคได้ปรากฏขึ้น และพิจารณาว่าพวกเขาควรจะยอมให้มันก่อกวนแผนของพวกเขาหรือไม่ จินตนาการดู ถ้าบิลล์ เกตส์ ได้พูดกับพอล อัลลเล็น ว่า “พอล ผมจะมุ่งการศึกษาของผม ณ ฮาร์วาร์ด ในขณะนี้ รอสองสามปี ต่อจากนั้นผมพร้อมที่จะเริ่มต้น”
จิม คอลลินส์ ได้กล่าวว่า เมื่อเราได้พิจารณาบริษัทเปรียบเทียบ โดยทั่วไปเราได้มองเห็นผลตอบแทนจากโชคที่ไม่ดีื บริษัทเปรียบเทียบบางบริษัทจะมีโชคที่ดี แต่ได้แสดงความสามารถที่จะทำให้โชคนั้นสูญเสียไป เมื่อเวลาได้มาถึงที่จะกระทำกับโชคที่ดีของพวกเขา พวกเขาได้เกิดสะดุดลง พวกเขาไม่ได้ล้มเหลวจากการขาดโชคที่ดี พวกเขาจะล้มเหลวจากการขาดการกระทำที่ดีจิม คอลลินส์ ได้กล่าวว่า ภายในด้านหนึ่งบิลล์ เกตส์ จะโชคตี เขาจะโชคดีด้วยการอยู่ภายในสถานที่ที่เหมาะสม ณ เวลาที่เหมาะสม เขาจะรู้การเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกอย่างไร เพียงเพื่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ได้ปรากฏขึ้นครั้งแรก แต่เราจะมีบุคคลอื่นหลายพันคนได้เข้าหาคอมพิวเตอร์และรู้การเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกต่อจากนั้นต่อไป “เหตุการณ์โชค” ได้มาถึง ไอบีเอ็ม ได้เดินผ่านประตูเข้ามา การมองหาระบบปฏิบัติการ และบริษัทอื่นจะมีโอกาสอย่างเดียวกัน แต่พวกเขาไม่ได้จัดการอย่างดี แต่ไมโครซอฟท์ ได้จัดการดีกว่าอะไรได้เกิดขึ้นเมื่อไอบีเอ็มกำลังค้นระบบปฏิบัติการที่จะใช้กับพีซีเริ่มแรกของพวกเขา ไอบีเอ็มได้ติดต่อบริษัทซอฟท์แวร์จำนวนหนึ่งรวมทั้งไมโครซอฟท์ด้วย บิลล์ เกตส์ รู้ว่าซีแอตเติ้ล คอมพานี จะมีระบบปฏิบัติการนี้อยู่แล้วเรียกว่า คิว-ดอส แต่ไอบีเอ็มไม่รู้ เขาได้ยืมเงินจากพ่อของเขา 50,000 เหรียญ และได้ขอซี้อลิขสิทธ์จากบริษัท เนื่องจากซีแอตเติ้ล คอมพานี ไม่รู้ว่าไอบีเอ็มกำลังค้นหารระบบปฏิบัติการนี้อยู่ และพวกเขากำลังขาดแคลนเงินสด บิลล์ เกตส์ ได้เรียกชื่อใหม่ว่า เอ็มเอส-ดอส ปรับปรุงให้ดีขึ้น และขายสิทธิแก่ไอบีเอ็มไปดังนั้นไมโครซอฟทจะมีโชคอย่างแน่นอน โชคที่ว่าซีแอตเติ้ล คอมพานี ไม่ได้รู้ถึงความต้องการของไอบีเอ็ม โชคที่ว่าไอบีเอ็มได้ติดต่อไมโครซอฟท์ โชคที่ว่าบิลล์ เกตส์ รู้เกี่ยวกับระบบปฏิบัติการนี้ของซีแอตเติ้ล คอมพานี และโชคที่ว่าบิลล์ เกตส์ จะมีพ่อที่ร่ำรวยให้กู้ยืมเงินได้ แต่การอ้างความสำเร็จทุกอย่างของไมโครซอฟท์ว่าเป็นโชคจะไม่ถูกต้องตามที่ได้กล่าวมาแล้ว

 

เมื่อ ค.ศ 1975 บิลล์ เกตส์ และพอล แอลเล็น ได้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ขึ้นมา จนกลายเป็นบริษัทซอฟท์แวร์พีซีรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดบริษัทหนึ่งภายในโลก ผลิตภัณฑ์อย่างแรกของไมโครซอฟท์คือ ภาษาโปรแกรมของแอปเปิ้ล 2 แต่เมือ ค.ศ 2523 ไอบีเอ็มได้ติดต่อไมโครซอฟท์ เพื่อที่จะให้บริษัทสร้างระบบปฏิบัติการแก่คอมพิวเตอรส่วนบุคคลของไอบีเอ็มที่จะออกสู่ตลาดในไม่ช้า
เนื่องจากไมโครซอฟท์ไม่ได้มีระบบปฏิการของพวกเขาเองที่จะใช้กับพีซีของไอบีเอ็ม แต่พวกเขารู้ว่าระบบปฏิบัติการนี้จะซื้อได้จากที่ไหน ดังนั้นพวกเขาได้ซื้อระบบปฏิบัติการชื่อ คิวดอส ราคา 500 เหรียญ และใช้ชื่อใหม่ว่า เอมเอส-ดอส เมื่อ ค.ศ 2524 ไอบีเอ็มได้แนะนำพีซีออกสู่สตลาดที่ใช้ระบบปฏิบัติการเอมเอส-ดอสวิวัฒนาการของไมโครซอฟท์จากระบบปฏิบัติการที่จำกัด เอมเอส-ดอส ได้กลายเป็นระบปฏิบัติการที่ซับซ้อนมากขึ้น วินโดว์ จนทำให้ไมโครซอฟท์กลายเป็นบริษัทระบบปฏิการและการประยุกต์ ที่ได้สร้างความมั่งคั่งอย่างมากมายการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของไมโคซอฟท์ ไดัถูกกระตุ้นจากอุปสงค์ของคอมพิวเตอร์ส่นบุคคลอย่างต่อเนื่อง คอมพิวเตอรส่วนบุคคลที่ต้องการซอฟท์แวร์ แต่กระนั้นการครอบงำธุรกิจระบบปฏิบัติการของไมโครซอฟท์ได้นำไปสู่การกล่าวหาการผูกขาดของบริษัท กระทรวงยุติธรรมได้ตรวจสอบไมโครซอฟท์และแสวงหาหลักฐานของพฤติกรรมการจำกัดการการแข่งขันของไมโครซอฟท์ แม้ว่าบริษัทจะต้องเผชิญกับความท้าทายและความยุ่งยากหลายอย่าง บิลล์ เกตส์ ได้สร้างความสำเริ่มแรกของไมโครซอฟท์ภายในธุรกิจระบบปฏิบัติการ เขาได้สร้างบริษัทซอฟท์แวร์ที่มีพลังและความสำเร็จสูงมากไมโครซอฟท์ ได้ลงทุนกับการพัฒนาระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่สูงมาก แทนที่พวกเขาจะพยายามป้องกันข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของระบบปฎิบการเอม เอส ดอสที่มีกำไรอยู่ นักวิเคราะห์จะไม่เห็นด้วยกับการกินเนื้อผลิตภัณฑ์บริษัทเอง แทนที่จะเป็นการเก็บเกี่ยวผลปรโยชน์จากผลิตภัณเดิมที่มีกำไรเหมีิอนเช่นวัวเงิน ผลิตภัณฑ์ใหม่ควรจะถูกแนะนำต่อเมื่อเราพิสูจน์ได้ว่าพวกมันไม่แย่งลูกค้าผลิตภันฑ์เดิมเท่านั้น แต่ไมโครซอฟท์จะไม่เห็นด้วย ภายในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันรุนแรงมาก บริษัทจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ของการกินเนื้อพวกเดียวกัน บิลล์ เกตส์เชื่อถ้าไมโครซอฟท์ไม่ได้ทดแทนเอมเอส ดอสด้วยผลิตภัณที่ดีกว่าแล้ว คู่แข่งขันบางรายจะกระทำ
บิลล์ เกตส์ได้นำบริษัทในฐานะของซีอีโอ และก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อ ค.ศ 2000 บิล เกตต์ ได้พัฒนาภาษาโปรแกรมเบสิคของเขาเองในขณะที่เรียนอยู่มหาวิทยาลับฮาร์วาร์ด บิลล์ เกตส์ ได้ จินตนาการขนาดการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปทั่วโลก เขาได้คาดหวังว่าพลังของการคำนวณจะกลายเป็นถูกลง ด้วยเหตุนี้ เขาคาดหวังว่าบุคคลส่วนใหญ่จะสามารถซื้ออคอมพิวเตอได้ ในที่สุดเขาถูกต้องและได้สร้างอุตสาหกรรมซอฟท์แวร์สนับนุนการเจริญเติบโต จนทำให้เขากลายเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงโลกตั้งแต่เด็กเขาจะได้รับมรดกความทะเยอทะยาน ความฉลาด และวิญญานการแข่งขัน ช่วยให้เขาขึ้นมาสู่จุดสูงสุด ภายใต้ความเป็นผู้นำของเขา ไมโครซอฟท์ได้ปฏิรูปอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และได้กลายเป็นผู้กำหนดแนวโน้มที่สำคุญที่สุดรายหนึ่งภายในโลกสมัยใหม่ บิลล์ เกตส์อ่านวารสารฟอร์จูน ตั้งแต่วัยหนุ่ม ครั้งหนึ่งเขาได้ถามพอล อคลเล็นว่า คุณคิดอย่างไรถ้าเราได้บริหารฟอร์จูน 500 คอมพานี เขาจะเป็นผู้ประกอบการวัยรุ่นไปแล้วเมื่ออายุ 13 ปี บิลล์ เกตส์ ไ้ด้กล่าวว่า เราอาจจะมีบริษัทของเราเองด้วยกันวันหนึ่ง คอมพิวเตอร์บนทุกโต๊ และไมโครซอฟท์ ซอฟแวร์กับทุกคอมพิวเตอร์ นี่คือวิสัยทัศน์ของบิลล์เกตส์ต่อไมโครซอฟท์บิลล์ เกตส์จะหลงใหลกับคอมพิวเตอร์เมื่อเขายังหนุ่ม และใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนรู้การโปรแกรม แม้ว่าเขาจะไม่เป็นนักศักษาโมเดล บิลล์ เกตส์ได้ตัดสินใจมุ่งสิ่งเขาลุ่มหลง การนำไปสู่การค้นพบหลายอย่างของคอมพิวเตอร์ รวมทั้งภาษาโปรแกรมเบสิค และต่อมาโปรแกรมเอ็มเอส ดอส แก่ไอบีเอ็ม จนกะทั่งความรักคอมพิวเตอร์ของเขาได้กลายเป็นรากฐานของไมโครซอฟท์บิลล์ เกตส์ รู้ว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นเพียงข้ามคืน และจะเกิดขี้นจากการสะสมการทำงานหนักอยูเสมอ การจุดเชื้อความลุมหลง เขาใช้เวลาหลายปีจากโรงรถยนต์ของเขา พัฒนาการเขียนโค้ดและการโปรแกรม และการเรียนรู้การสร้างคำตอบอย่างไร
ผู้นำจะต้องไม่อยูคงที่ พวกเขาจะต้องเปลี่ยนแปลงบิลล์ เกตส์จะกลายเป็นตำนานด้วยการเปลี่ยนแปลอย่างอยู่เสมอ บิลล์ เกตส์จะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง เขารู้ว่าถ้าไมโครซอฟท์จะรักษาฐานะความเป็นผู้นำไว้ได้แล้ว ไมโครซอฟท์ต้องคิดค้นตัวเองขึ้นมาใหม่ เขาได้กระจายสายผลิตภัณฑ์ของไมโคร บิลล์ เกตส์ ได้กล่าวว่า เราประเมินการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายในสองปีหน้ามากเกินไป และประเมินการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายในสิบปีข้างหน้าน้อยเกินไปอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ตัวเองสงบนิ่งด้วยการไม่กระทำอะไรเลย
บิลล์ เกตส์ ไดัถูกมองภายในโลกของธุรกิจว่าเขาเป็นผู้นำทางธุรกิจที่ถูกชื่นชอบมากที่สุดสิบลำดับสูงสุดของวารสารฟอจูน บิลล์ เกตส์จะมีชื่อเสียงกับการเป็นผู้นำที่เรียกร้องสูงมากและค่อนข้างจะโหดเหี้ยม เขาจะกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม และการยกย่องบุคคลและความสำเร็จของทีม บิลล์ เกตส์ จะขอให้บุคคลของเขานำเสนอและรายงานความคิดและการค้นพบของพวกเขาต่อเขาเป็นประจำ ระหว่างการประชุุมเหล่านี้ เขาจะมักขัดจังหวะ เพื่อที่จะถามและท้าทายข้อเท็จจริงและสมมุติฐาน สไตล์ความเป็นผูนำของบิลล์ เกตส์ จะเป็นเผด็จการ แต่กระนั้นผู้นำส่วนใหญ่รวมทั้งบิลล์ เกตส์ จะมีสไตล์ความผู้นำมากกว่าหนึ่งอย่าง สไตล์ของความเป็นผู้นำที่แตกต่างกันจะถูกใช้ตามสถานการณ์ ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่บิลล์ เกตส์ จะบรรลุความสำเร็จจากการใช้้ความเป็นผู้นำแบบเผด็จการอย่างเดียวเท่านั้นบิลล์ เกตส์จะเป็นผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของการปฏิรูปคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เขาได้ถูกวิจารณ์อย่างมากจากยุทธวิธีทางธุรกิจของเขาที่ได้ถูกมองว่าต่อต้านการแข่งขัน ซอฟท์แวร์เริ่มแรกของเขาคือเอ็มเอส ดอส ได้ออกสู่ตลาดเมื่อ ค.ศ 1981 ต่อมาวินโดว์ ได้ถูกแนะนำต่อประชาชนเมื่อ ค,ศ 1985 นับตั้งแต่นั้นมาบริิษัทได้ยึดครองตลาดซอฟท์แวร์พีซีของโลก
ภายใต้การขยายตัวอย่างรวดเร็ว วัฒนธรรมของไมโครซอฟท์ ได้ถูกรับรู้ว่ามีประสิทธิภาพและเข้มแข็งมาก บิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัท ได้สร้างวัฒนธรรมบริํทที่มุ่งการแข่งขันอย่างรุนแรง จิตใจของพวกเราต้องแข่งขันกับพวกเขา จริยธรรมของการทำงานหนัก และความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งท่ามกลางเพื่อนร่วมงาน บุคคล ณ ไมโครซอฟท์ ได้กล่าวว่า ไมโครซอฟท์มีวัฒนธรรมคล้ายกับการเลื่อมใสบุคคล พวกมันจะกลืนเราไปเลย บิลล์ เกตส์ จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาวัฒนาองค์การและพฤติกรรมของบุคคล ณ ไมโครซอฟท์ บริษัทจะคล้ายกับร่างสิ่งมีชีวิตที่ได้รับดีเอ็นเอจากผู้ก่อตั้ง ผู้ก่อตั้งจะร่วมจุดเเแข็งและจุดออนอย่างเดียวกันทุกอย่าง บุคคลทุกคนจะเลียนแบบรายละเอียดทุกอย่างของพฤติกรรมบิลล์ เกตส์ ตั้งแต่การแต่งกายและสไตล์การพูดของเขา ปรากฏการณ์เหล่านี้ได้ถูกขยายเลยพ้นไปจากไมโครซอฟท์ ซีอีโอที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้างรูปร่างของบริษัท เช่น แซม วอลตัน ผู้ก่อตั้งวอล มาร์ท และ เฮอร์เบิรต เคลลีเฮอร์ ผู้ก่อตั้งเซ้าธ์เวสท์ แอร์ไลน์การยึดมั่นกับวัฒนธรรมบริษัทอย่างเข้มแข็งจะเป็นทรัพย์สินหรือหนี้สิน ไมโครซอฟท์เชื่อว่าการบูชาบุคคลที่เป็นผู้ก่อตั้งจะมีอยู่ภายในบริษัทไฮเทคที่เริ่มต้น อุตสาหกรรมอื่นจะมองว่าทรัพย์สินคืออาคารหรือโรงาน ภายในบริษัทไฮเทคแล้ว บุคคลจะเป็นทรัพย์สิน ดังนั้นเราต้องการผู้นำที่ดึงดูดบุคคล บุคคลหลายคนจะกลัวบิลล์ เกตส์ ต่อความสำเร็จของการสร้างวัฒนธรรมที่มุ่งการปฏิบัตงานที่สูงและความยึดเหนี่ยวความสำเร็จของไมโครซอฟท์ จะเป็นตัวอย่างที่แท้จริงของทักษะการเป็นผู้ประกอบการของบิลล์ เกตส์ การทำงานหนัก การทุ่มเท และความเชื่อมั่นตนเองของเขาได้ช่วยให้เขามีทุกสิ่งทุกอย่าง เขาเป็นบุคคลที่เรียบง่ายและอนุรักษ์นิยม เมื่อมองถึงเงิน แม้ว่าเขาจะเป็นบุคคลร่ำรวยที่สุดของโลก บุคคลวัยหนุ่มสาวสามารถสร้างแรงบันดาลใจจากชีวิตของบิลล์ เกตส์ได้ปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าวิสัยทัศน์เดิมของผู้ก่อตั้งได้กลายเป็นความจริงไปแล้ว วางคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานทุกโต๊ะ และอยู่ภายในบ้านทุกบ้าน โดยใช้ไมโครซอฟท์ ซอฟท์แวร์วิสัยทัศน์ใหม่ของบริษัทคือ การให้อำนาจแก่บุคคลทุกคนเพื่อซอฟท์แวร์ที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นการรับรู้ความสามรถทางความคิดสร้างสรรค์จะแผ่ซ่านภายภายในบริษัท เมื่อวัฒนธรรมบริษัทได้กลายเป็นเข้มแข็งมากขึ้น คู่แข่งขันของพวกเขากำลังสูญหายและล่าถอยออกไปทุกที ซีอีโอของผู้ผลิตซอฟท์แวร์รายหนึ่ง ได้กล่าวว่า ไมโครซอฟท์คือมหาสมุทร พวกเราคือปลาที่กำลังว่ายอยู่ภายในมหาสมุทรเท่านั้นการควบคุมจะเป็นรากฐานการบริหารของบิลล์ เกตส์ เขาจะมุ่งรายละเอียดด้วยตัวอย่างที่แทบสำลัก เขาเคยลงนามค่าใช้จ่ายแก่บุคคลมือขวาของเขา สตีฟ บัลเมอร์ บิลล์ เกตส์ จะให้ความสนใจอย่างมากต่อการสรรหาและการรักษาบุคคที่มีความสามารถไว้ภายในอุตสาหกรรมซอฟท์แวร์ เขาเขื่อการสรรหาวิศวกรซอฟท์แวร์ทีีมีความสามารถจะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งภายในอุตสาหกรรรซอฟท์แวร์เมื่อเราดูอย่างผิวเผินแล้ว ไมโครซอฟท์จะดูคล้ายกับการผูกขาดทางธรรมชาติของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ นับตั้งแต่บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดระบบปฏิบัติการของโลก 90% ไมโครซอฟท์ ได้สร้างความประหยัดจากขนาดอย่างมาก ไม่มีผู้ผลิตซอฟแวร์ รายไหนเลยสามารถใช้เงินได้มากเท่ากับไมโครซอฟท์ เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาด พวกเขาจะถูกบังคับให้กำหนดราคาที่สูงกว่าไมโครซอฟท์ข้อได้เปรียบของการผูกขาดภายในอุตสาหกรรมซอฟท์แวร์ คือการสร้างผลิตภัณท์ถูกกว่าและดีกว่า เนื่องจากความประหยัดจากขนาดภายในอุตสาหกรรม การพัฒนาซอฟท์แวร์ต้องใช้ต้นทุนคงที่สูงมากแก่บริษัท แต่ต้นทุนผันแปรของการผลิตจะต่ำมาก ความประหยัดจากขนาดหมายความวาผู้ผลิตรายใหญ่สามารถผลิตได้ดีกว่าและถูกกว่าผู้ผลิตรายเล็กหรือในทางกลับกันไมโครซอฟท์จะเป็นตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทซอฟท์แวร์ของการเผูกขาดทางธรรมชาติภายในตลาด
ข้อตำหนิบางอย่างต่อรัฐบาลกล่าวหาไมโครซอฟท์ละเมิดกฎหมายห้ามการคือ การป้องกันไมโครซอฟท์ว่าเป็นการผูกขาดทางธรรมชาติที่ถูกกฏหมาย เพราะว่าไมโครซอฟท์ได้การยึดครองตลาดซอฟทแวร์จากการเอาชนะด้วยยุทธวิธีภายในตลาดการแข่งขันสรี ความหมายที่แท้จริงของการผูกขาดทางธรรมชาติจะแตกต่างจากความหมายดั้งเดิม ภาใต้สำนวนทางเศรษศาสตร์ การผูกขาดทางธรรมชาตคือการยอมให้บริษัทผูกขาดภายในอุตสาหกรรม เพราะว่ามันเป็นผลประโยชน์อย่างดีที่สุดต่อประเทศและลูกค้า

จิม คอลลินส์ ได้อธิบายมิติที่สำคัญสามอย่างของการหวาดระแวงอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใน Great to Choice ด้วยแนวคิดของการอยู่เหนือเส้นตาย เส้นตายคือจุดที่บุคคลส่วนใหญ่จะไม่รอดชีวีต เมื่อกำลังปีนไปสู่ยอดภูเขาสูง จิม คอลลินส์ ได้ใช้เรื่องราวการเดินทางของการปีนภูเขา เพื่อที่จะแสดงแนวคิดของความหวาดระแวงอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งสองทีมนักเดินทางได้พยามจะปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ เมื่อ ค.ศ 1966 ทีมนักเดินทางที่หนึ่งบรรลุความสำเร็จ และทีมนักเดินทางที่สองเสียชีวิต บริษัท 10X เข้าใจว่าพวกเขาไม่สามารถคาดคะนเหตุการณ์ในอนาตตได้อย่างสม่ำเสมอและเชื่อถือได้ ดังนั้นพวกเขาจะตระเตรียมล่วงหน้าเวลาตลอดเวลา อะไรที่พวกเขาไม่สามารถคาดคะเนได้ พวกเขาเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เลวร้ายสามารถจะทำร้ายพวกเขาได้อย่างรวดเร็วและไม่ได้คาดหวังไว้ตลอดเวลา มันคือสิ่งที่เราจะต้องกระทำก่อนที่พายุจะถล่ม การตัดสินใจและระเบียบวินัย และเครื่องรับน้ำหนักจะพร้อมอยู่แล้ว การพิจารณาว่าบริษัทของเราจะดันไปข้างหน้า ล้าหลัง หรือตาย เมื่อพายุได้ถล่มบริษัท 10X จะสร้างเครื่องรับน้ำหนักและเครื่องป้องกันการกระเทือนเลยพ้นไปจากบรรทัดฐานที่บริษัทอื่นได้กระทำ พวกเขาได้สร้างเงินสดสำรองและเครื่องรับน้ำหนักตระเตรียมเพื่อเหตุการณที่ไม่ได้คาดหวังไว้และโชคไม่ดีก่อนที้พวกมันจะเกิดขึ้น บุคคลบางคนการกักตุนเงินสดจะเป็นการไม่รับผิดชอบต่อการพัฒนาทุน มุมมองที่ยึดถือภายในโลกที่แน่นอน แต่ไมใช่โลกที่คาดคะเนไม่ได้ ความน่าจะเป็นของเหตุณ์หงษ์ดำจะเกิดขึ้นเกือบ 100% เราจะเพียงแต่เป็นไม่ได้ที่จะคาดคะนว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรื่อไรจะเกิดขึ้น
พวกเขาจะรับรู้ความเสี่ยภัยสามอย่าง ความเสี่ยงภัยทางเส้นตาย ความเสี่ยงภัยทางความไม่สมดุล และความเสี่ยงภัยทางการควบคุมไม่ได้
บริษัท 10X จะระมัดระวังอย่างมากว่าพวกเขาจะจัดการความเสี่ยภัยอย่างไร การให้ความสนใจแก่ความเสี่ยงภัยสามอย่าง ความเสี่ยงภายทางเส้นตาย ความเสี่ยงภัยที่สามารถจะฆ่าหรือทำลายบริษัทอย่างรุนแรง ความเสี่ยภัยทางความไม่สมดุล ความเสี่ยงภัยที่โอกาสของข้อเสียจะสูงกว่าข้อดี ความเสี่ยงภัยทางการควบคุมไม่ได้ ความเสี่ยงภัยที่ไม่สามารถควบคุมหรือจัดการได้ หลักฐานได้เสนอแนะการยิงลูกกระสุนปืนก่อนการยิงลูกกระสุนปืนใหญ่
จิม คอลลินส์ สงสัยว่าความสำเร็จของบริษัท 10 เนื่องจากความเต็มใจจะเสี่ยงภัยหรือไม่แต่พวกเขาได้ค้นพบตรงกันข้าม ผู้นำของบริษัท 10X จะอนุรักษ์นิยมต่อการจัดการความเสี่ยงภัย พวกเขาจะจำกัดการเจริญเติบโตด้วยการเดินทาง 20 ไมล์ พวกเขาจะยิงกระสุนปืนก่อนยิงกระสุนปืนใหญ่ ภายใต้ความเสี่ยงภัยสามอย่าง บริษัท 10X จะรับความเสี่ยงภัยน้อยกว่าบริษัทที่เปรียบเทียบของพวกเขา การมุ่งที่ความเสี่ยภัยเหล่านี้จะเป็นความสามารถของพวกเขาที่จะวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและการใช้เวลาและพลังอย่างเหมาะสมต่อการบริหารสภาพแวดล้อม ระยะเวลาจะกระทบความเสี่ยงภัยด้วย บางครั้งการกระทำที่รวดเร็วเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงภัย บางครั้งการกระทำที่ช้าเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงภัย คำถามที่สำคัญคือ เวลามากน้อยแค่ไหนก่อนที่ข้อมูลความเสี่ยงภัยของเราจะเปลี่ยนแปลงบริษัท 10X จะใช้การย่อภาพและการขยายภาพ พวกเขาจะมีความสามารถทางเลนส์คู่ พวกเขาสามารถย่อภาพมองการเปลี่ยนแปลงภายในสภาพแวดล้อม และประเมินความเสี่ยงภัย และต่อจากนั้นพวกเขาสามารถจะขยายภาพ การมุ่งการดำเนินการแผนและเป้าหมาย
พวกเขาจะมุ่งที่เป้าหมายของพวกเขา และรับรู้การเปลี่ยนแปลงภายในสภาพแสดล้อมของพวกเขา พวกเขาจะผลักดันเพื่อการกระทำที่สมบูรณ์ และปรับตัวกับสภาวะที่เปลี่ยนแปงไป เมื่อพวกเขาได้รับรู้ถึงอันตราย พวกเขาจะย่อภาพ พิจารณาทันทีว่าการคุกคามจะใกล้เข้ามารวดเร็วแคไหน และจะต้องเปลี่ยนแปลงแผนหรื่อไม่ ต่อจากนั้นพวกเขาจะขยายภาพ การเปลี่ยนแปลงจุดมุ่งของทรัพยากรภายในการกระทำตามเป้าหมาย

Cr รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *