ซีเรีย-ปาเลสไตน์ : จากแผ่นดินโบราณสู่สัญญาณแห่งวันสิ้นโลก (16)

ซีเรีย-ปาเลสไตน์ : จากแผ่นดินโบราณสู่สัญญาณแห่งวันสิ้นโลก (16)
โดย อดุลย์ มานะจิตต์
พวกเจ้า” ภายหลังจากนี้สุลัยมานจึงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และจึงสมรสกับสตรีนางหนึ่ง และเป็นเวลาสักสองสามปีที่เขาเก็บ ตัวเงียบไปจากมิตรสหายของเขา (ชีอะห์) วันหนึ่งภรรยาของเขา กล่าวกับเขาว่า “ขอให้บิดามารดาของฉันได้ได้พลีเพื่อท่านด้วยเถิด ด้วยความประพฤติและนิสัยที่ดีของท่าน ท่านไม่เคยทำให้ฉันต้องยุ่ง ยากลำบากอะไรเลย ยกเว้นก็แต่เพียงว่า ค่าใช้จ่ายของท่านนั้น ของฉันเป็นผู้รับภาระ จงไปที่ตลาดเถิดและแสวงหาปัจจัยยังชีพที่นั่น และหวังว่าอัลลอฮ์จะไม่ทรงทำให้ท่านผิดหวัง” สุลัยมาน กล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันไม่เคยทำงานในโลกนี้เลยและฉันก็ไม่รู้ อะไรเลย” จากนั้นเขาจึงไปที่ตลาดและมองหางานทำตลอดทั้งวัน แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย เขาทำเช่นนี้ในทุกๆวันจึงกลับมาและพูดว่า “ฉันยังไม่ได้งานทำเลยในวันนี้ ภรรยาจึงกล่าวว่า “ไม่เป็นไรดอก พรุ่งนี้ท่านก็จะได้เอง” ในวันรุ่งขึ้นเขาก็ทำเช่นนี้อีก และภรรยาของเขา ก็ปลอบประโลมเขา ในวันที่สามเขาจึงไปยังริมฝั่งน้ำ และเห็นคน หนึ่งกำลังจับปลาอยู่ เขาจึงกล่าวกับคนคนนั้นว่า “ขอให้ฉันช่วยท่าน และฉันคิดค่าตอบแทนด้วยปลาสองตัว” ชายคนนั้นตกลง ดังนั้น สุลัยมานจึงช่วยเขาจับปลา ชาวประมงจึงมอบปลาให้เขาสองตัว เป็นค่าจ้าง สุลัยมานจึงกล่าวขอบคุณอัลลอฮ์ เมื่อเขาแร่ปลาตัวนั้น ออก จึงพบแหวนวงหนึ่งอยู่ในท้องของมัน เขาจึงเก็บมันไว้และ ขอบคุณอัลลอฮ์ จากนั้นเขาจึงล้างปลาให้สะอาดและนำมันมาบ้าน ภรรยาจึงรู้สึกดีใจ เป็นอย่างมาก และจึงกล่าวขึ้นว่า “ฉันอยากจะเรียก ผู้ปกครองของฉันมาดูให้เห็นว่าท่านได้งานทำและได้รับปัจจัยยังชีพ กลับมา” จึงมีการนำปลานี้ไปทำอาหารและสุลัยมานจึงเชิญบรรดา เขยของเขามาร่วมรับทานอาหาร พวกเขาจึงบริโภคปลาตัวนี้ สุลัยมาน กล่าวกับพวกเขาว่า “พวกท่านจำฉันได้ไหม” พวกเขากล่าวว่า ” ไม่ เราไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลย” สุลัยมานจึงหยิบแหวนวงนั้นออกมา และสวมมัน
ในบัดดลนั้น บรรดานกและญินจึงเข้ามาหาท่านและมีความซื่อสัตย์ต่อท่าน และยอมรับในความเป็นกษัตริย์ของท่าน ท่านได้นำเอาภรรยาของท่าน พร้อมกับบิดามารดาของนางไปยัง เมืองอิสตะคอร และชีอะห์ทั้งหมดของท่านต่างมารวมตัวอยู่รอบท่าน และต่างก็มีความสุข ความยุ่งยากลำบากต่างๆในระหว่างการหายตัว ไปของท่านนั้นก็อันตรธานไปสิ้น ท่านปกครองอยู่เป็นเวลานาน เมื่อวาระสุดท้ายของท่านมาถึง ท่านจึงได้แต่งตั้ง อซีฟ บิน เบิรกียะฮ์ ด้วยกับพระบัญชาของพระเจ้าให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของท่าน บรรดาผู้เป็นสาวกของท่าน ต่างอ้างอิงกลับไปยัง อซีฟ และปัญหา ต่างๆของพวกเขาจึงได้รับการแก้ไข อัลลอฮ์ทรงนำตัว อซีฟ มาเก็บ ไว้จากผู้คนของเขาเป็นเวลานาน จากนั้นเขาได้ปรากฏตนและอยู่ ร่วมกับพวกเขาเป็นเวลานาน จากนั้น อซีฟ จึงกล่าวอำลาพวกเขา พวกเขาจึงถามขึ้นว่า พวกเขาจะได้พบเขาอีกเมื่อใด เขากล่าวว่า “ในวันตัดสินพิพากษาใกล้กับสะพานซิรอต” และจากนั้นเขาก็หาย ตัวไป และจากการไม่ปรากฏกายของเขา จึงทำให้พวกอิสราเอลได้รับ ความโกลาหลวุ่นวายต่างๆอย่างมากมาย และบุคคลผู้มีชื่อเสียงผู้หนึ่ง จึงมีอำนาจเหนือพวกเขา และกดขี่บีฑาพวกเขาในทุกทาง
มีเรื่องเล่ามาจากอิมาม ยะอฺฟัร อัศ ศอดิก ว่า อัลลอฮ์ทรงซ่อน ราชอาณาจักรของสุลัยมานไว้ในแหวน เมื่อใดก็ตามที่เขาสวมใส่มัน บรรดาญิน มนุษย์ วิหก และสัตว์ทั้งหลายยอมเชื่อฟังเขา เมื่อเขาขึ้น นั่งบนบัลลังก์ อัลลอฮ์ทรงส่งลม ซึ่งจะนำพวกเขาให้เดินทางไปพร้อม กับญิน มนุษย์ และชัยฏอน บรรดาวิหกและปศุสัตว์ ตามที่เขา ต้องการ ในวิธีการเช่นนี้สุลัยมานจะละหมาดตอนเช้ามืดที่เมือง ดามัสกัส และละหมาดดุฮ์รี่ที่เปอร์เซีย และเขาจะบัญชาให้ชัยฏอน ขนย้ายก้อนหินจากเปอร์เซียไปยังดามัสกัส และจึงนำพวกมันไปขาย ยังสถานที่นั้น เมื่อเขาเชือดม้าจำนวนหนึ่งของเขา อัลลอฮ์จึงยึด เอาราชอาณาจักรของเขากลับไป เมื่อใดก็ตามที่สุลัยมานต้องเข้า ห้องน้ำ เขาจะถอดแหวนนั้นออก และให้คนรับใช้คนหนึ่งของเขา
เก็บรักษามันไว้ วันหนึ่งชัยฏอนได้ เข้ามาล่อลวงคนรับใช้คนนี้และ จึงนำเอาแหวนนั้นไปและจึงสวม ใส่มัน ในบัดดลนั้น บรรดาญิน มนุษย์ ชัยฏอน วิหก และสรรพ สัตว์ทั้งมวล ต่างเข้ามารวมตัวอยู่ ต่อหน้า และจึงเริ่มบัญชาการ เมื่อสุลัยมานออกจากห้องน้ำ เขาไม่อาจหาแหวนวงนั้นได้ และเห็นว่า ราชอาณาจักรของเขาได้ถูกนำพาไปแล้ว เขาจึงละออกจากที่นั่น และไปยังริมฝั่งแม่น้ำ ผู้คนชาวอิสราเอลเห็นถึงการประพฤติตนของ ชัยตอน แตกต่างไปจากสุลัยมาน (เนื่องแต่เขา ได้เปลี่ยนใบหน้า ของเขาให้เหมือนใบหน้าสุลัยมาน และกล่าวอ้างตนว่าเป็นสุลัยมาน เช่นกัน) และจึงเกิดความสงสัย ดังนั้นผู้คนจึงมาพบกับมารดา ของสุลัยมาน พร้อมกับกล่าวว่า “ท่านได้สังเกตเห็น ความประพฤติ ของบุตรชายของท่านว่า เขาเปลี่ยนไปอย่างไรหรือไม่” นางกล่าว ตอบว่า “เขาเป็นคนดีมาก และกตัญญูต่อฉันอย่างที่สุด แต่มาบัดนี้ เขาได้แสดงอาการต่อต้านฉัน”
พวกเขาจึงไปสอบถาม บรรดาภรรยาและบรรดาทาสหญิง ของสุลัยมาน พวกนางต่างตอบว่า “สุลัยมาน ไม่เคยเข้ามาข้องแวะกับ พวกเราในขณะที่พวกเรามีรอบเดือน แต่มาบัดนี้เขาได้กระทำมัน” ดังนั้นซาตานตัวนี้จึงบังเกิดความหวาดกลัวและกล่าวกับตนเองว่า “มัน ไม่ควรเกิดขึ้นเลย ที่ความลับนี้ถูกเปิดเผย และฉันก็ถูกจับได้แล้ว” มันจึงขว้างแหวนวงนี้ลงไปในแม่น้ำ และจึงหลบหนีไป อัลลอฮ์ทรง มีบัญชาให้ปลาตัวหนึ่งกลิ่นแหวนนี้เข้าไป ผู้คนชาวอิสราเอลจึงมีความ หวาดวิตกอยู่นานถึงสี่สิบวัน และตามหาสุลัยมาน สุลัยมานไปที่ชาย ฝั่งเพื่อแสวงหาการอภัยโทษจากอัลลอฮ์ ภายหลังจากนั้นสี่สิบวัน เขาจึงพบกับชาวประมงคนหนึ่ง และทั้งสองจึงตกลงกัน…….เมื่อสุลัยมาน นำแหวนวงนั้นมาสวมใส่แล้ว บัดดลนั้นบรรดาชัยฏอน ญิน มนุษย์ และพวกอื่นๆจึงมารวมตัวกัน ดังนั้นสุลัยมานจึงขึ้น นั่ง(บนบัลลังก์) ในพระราชวังของพระองค์ และจึงจัดการตามจับ ซาตานตัวนี้ พร้อมด้วยกับกองทัพของมัน และจึงจัดการคุมขังพวก มันไว้ จากบางตัวของพวกมัน มีสองสามตัวที่ถูกคุมขังไว้ระหว่างพื้น น้ำและบางตัวอยู่ระหว่างก้อนหิน ด้วยนามของอัลลอฮ์ และทั้งหมด ของพวกมันถูกจองจำไว้เช่นนี้ และถูกลงทัณฑ์ไปจนถึงวันตัดสิน เมื่อสุลัยมานกลับคืนมาสู่ราชอาณาจักรของท่านแล้ว พิพากษา เขาจึงตำหนิ อซีฟ บิน เบิรกียะฮ์ ผู้เป็นหัวหน้าเสนาบดีของเขาและ อัลลอฮ์ ทรงประทานความโปรดปรานให้กับเขาดังปรากฏในคัมภีร์ว่า มีการประทานความรู้บางประการให้กับเขา และเขาเป็นผู้นำเอาบัลลังก์ ราชินี บิลกีส มาปรากฏต่อหน้าสุลัยมาน เพียงชั่วกระพริบตาเท่านั้น สุลัยมานกล่าวกับเขาว่า “ข้าพิจารณาเห็นว่า ผู้คนต่างสิ้นหวังเพราะ พวกเขาไม่เข้าใจ ซาตานตนนั้น ในขณะที่ทำไมข้าจึงได้ให้อภัยกับเจ้า ทั้งนี้เพราะเจ้ารู้และจำซาตานตนนั้นได้ อซีฟ กล่าวตอบว่า “ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันรู้ถึงปลาตัวนั้นที่มันกลืนแหวนวงนั้นของท่านไป และตลอดจนถึงบรรพบุรุษของมันทั้งหมด แต่มันเป็นพระบัญชาของ อัลลอฮ์ ซาตานตนนั้นมันบอกให้ฉันเขียนพระราชโองการต่างๆ ดังที่ฉันเขียนให้กับท่าน แต่ฉันบอกกับมันว่า ปากกาของฉันจะไม่ เขียนในสิ่งที่อยุติธรรม ดังนั้น เขา (ซาตาน)จึงบอกให้เขา (อซีฟ) นั่งลงเงียบๆ ฉันจึงนั่งอยู่อย่างเงียบๆ แต่ โอ้…สุลัยมาน ทำไมท่านถึง เป็นมิตรกันกับนกฮูโป ถึงแม้มันจะเป็นนกที่เป็นตัวร้ายมีกลิ่นสาบ” สุลัยมานกล่าวตอบว่า “เพราะมันมองเห็นน้ำที่อยู่ใต้ก้อนหิน แต่เพียง กับดักที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวดินที่กลบไว้ด้วยดินเพียงกำมือหนึ่ง มันกลับ มองไม่เห็น และมันจึงเข้าไปติดกับดัก ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมใดๆ ก็ตาม เมื่อได้ถูกกำหนดไปแล้ว เจ้าก็จะมืดบอด” (การรายงานของอะลี อิบนิ อิบรอฮีม จบลงตรงนี้)

