ประเทศไทยกับปัญหาไม่รู้จบ
คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ทหารประชาธิปไตย
ประเทศไทยกับปัญหาไม่รู้จบ
ลองมาพิจารณาถึงปัญหาของประเทศไทย และการดำเนินการแก้ไขทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และปัจเจกชน ซึ่งผู้เขียนใคร่ขอลำดับประเด็นปัญหาและแนวทางการแก้ไขที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่
เรื่องแรกคงหนีไม่พ้นปัญหา หรือภัยพิบัติที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งต้องท้าวความย้อนหลังไปถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดของรัฐบาลในการไม่ระงับการแพร่ การระบาดได้ทันกาล นั่นคือการเกิดการแพร่การระบาดที่เกิดขึ้นที่จีนเมืองอู่ฮั่น ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 แต่เราก็คงยังปล่อยให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามายังประเทศไทยจนถึงปลายเดือนมกราคม 2563
อย่างไรก็ตามก็ต้องชมว่ารัฐบาลก็ได้จัดการควบคุมโรคร้ายที่แพร่ระบาดได้อย่างดี ดูตามตัวเลขสามารถสกัดกั้น การนำเข้าการแพร่ระบาดได้จนเหลือเลขตัวเดียวเป็นเวลานานหลายเดือน ซึ่งได้รับการชมเชยจากนานาประเทศ
แต่การไปมุ่งเน้นเพื่อแสดงตัวเลขการจัดการกับโควิด-19 ด้วยมาตรการเข้มงวดทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้วอย่างรุนแรง ประกอบกับการที่เราต้องพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 11 ของจีดีพี และมีสัดส่วนของการจ้างงานในอัตราสูง
กระนั้นก็ตามก็ยังคาดหมายว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว โดยมีการเติบโตประมาณร้อยละ 3.2 ในปี 2564 ซึ่งเมื่อเทียบกับที่เราติดลบไปร้อยละ 6.6 เราก็ยังติดลบอยู่
ความหวังที่จะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจึงวางหลักอยู่ที่การนำวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนเป็นจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 50% และกว่าจะฉีดได้ครบถ้วนก็คงลุล่วงไปถึงสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า
ดังนั้นการคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวด้วยรายได้จากการท่องเที่ยว จึงต้องรอไปก่อน แต่ความหวังที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวจากการค้าโลกที่จะกระเตื้องขึ้นเพราะนโยบายใหม่ภายใต้ประธานาธิบดีใหม่ของสหรัฐฯ ก็ยังมี
แต่โครงสร้างสินค้าการผลิตเพื่อการส่งออกของไทยนั้น นอกจากจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกแล้ว ยังเป็นสินค้าที่จะฟื้นตัวช้า เช่น เครื่องจักรเครื่องยนต์ และกำลังจะหมดยุคอีกด้วย
ประการสำคัญในเรื่องโควิดนี้ ก็คือการปล่อยปละละเลยให้มีการระบาดในรอบสอง อันเนื่องมาจากการไม่เตรียมตัวจัดการในเชิงรุก โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติ จะอ้างว่าคาดไม่ถึงก็ไม่ได้ เพราะมันเกิดกับสิงคโปร์มาแล้ว
นอกจากนี้การขอความร่วมมือจากประชาชนก็เป็นไปอย่างสับสนกลับไปกลับมา ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่เขาพร้อมอยู่แล้วที่จะร่วมมือเพราะต่างก็กลัวกันมากอยู่ แต่ก็มาถูกซ้ำเติมด้วยพวกเห็นแก่ตัว เช่น การลักลอบนำแรงงานข้ามชาติ การเปิดบ่อนเถื่อน ทำให้เกิดการกระจายโรคอันเป็นปัญหาสำคัญ
สุดท้ายในเรื่องโควิด-19 นี้ รัฐบาลก็ยังคงทำการเยียวยาช่วยเหลือที่ล่าช้า และกะปิดกะปอย ซึ่งไม่เพียงพอที่จะตั้งยันมิให้เศรษฐกิจทรุดตัวลงไปอีก เกิดปัญหาการว่างงาน ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้ก็จะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 700,000 คน รวมกับผู้สำเร็จการศึกษาใหม่อีก 3-4 แสนราย ก็เป็นล้าน นี่ยังไม่นับแรงงานที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม อาชีพอิสระ ผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยอีกนับไม่ถ้วน
ประการต่อมา คือ ปัญหาเศรษฐกิจซึ่งบางส่วนได้กล่าวถึงไปบ้างแล้วในเรื่องที่เกี่ยวพันกับการระบาดของโควิด-19 แต่รัฐบาลเองก็ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนให้ภาคเอกชนได้จับทิศทางในการดำเนินธุรกิจ ตัวอย่างธุรกิจ โรงแรม และร้านอาหารซึ่งต้องปิดตัวเพราะนโยบายการควบคุมโควิด-19 ของรัฐบาล โดยเฉพาะโรงแรมที่ได้ลงทุนไปเป็นจำนวนมาก สุดท้ายนายทุนจีนอาจเข้ามากว้านซื้อในราคาถูกๆจะทำอย่างไร
ในด้านอุตสาหกรรมทั้งผลิตภายในและส่งออกรัฐบาลจะเอาอย่างไร เพราะเราสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปมากแล้ว
ภายหลังพึ่งการลงทุนจากต่างประเทศ FDI ก็ลดลงไปมาก
หากหวังพึ่งเทคโนโลยีจากต่างประเทศก็หวังยาก และความสามารถในการดูดซึมเทคโนโลยี ไทยก็อยู่ในระดับต่ำ
ปัญหาระยะยาวเป็นเรื่องโครงสร้างจะแก้ไขอย่างไรโดยเฉพาะการผูกขาดตัดตอนที่ทำให้ช่องว่างรายได้นี้ห่างออกไป
การตั้งเป้าจะให้ไทยเป็นครัวของโลก และมีความมั่นคงทางด้านการผลิตอาหารจะทำอย่างไร เศรษฐกิจพอเพียงเป็นไปได้ไหม เหล่านี้รัฐบาลยังไม่มีความชัดเจน ตลอดจนแผนปฏิบัติงานที่เป็นระบบ และรัฐบาลก็ยังจัดสรรงบประมาณที่ไม่เอื้อต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งที่ขาดดุลมาก
ดังนั้นปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะการตกงานจำนวนมากจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงและจราจลได้หรือไม่น่าคิดครับ
ประการที่สามปัญหาการเมืองทุกวันนี้ยังเถียงกันไม่จบว่าเราเป็นหรือไม่เป็นประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังมีบางส่วนที่ยังเห็นว่าเผด็จการนั้นมีคุณูปการต่อประเทศ เพราะสามารถสร้างความสงบเรียบร้อยได้ส่วนสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล หรือสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย นี่ก็เป็นความเชื่อที่ไม่มีบทพิสูจน์ในระยะสั้น ทั้งๆที่มีตัวอย่างในต่างประเทศ และในอดีตของประเทศไทยแล้ว
ดังนั้นหากการเมืองยังไม่ได้รับการแก้ไขให้สามารถสนองประโยชน์แก่ประชาชนส่วนใหญ่แล้ว จะแน่ใจได้ไหมว่าเราจะยังรักษาความสงบอย่างที่มองเห็นอย่างผิวเผินได้ต่อไปข้างหน้า
ประการที่สี่ คือ ปัญหาสังคม ผู้เขียนขอเริ่มจากเรื่องการศึกษา หากเรามีการปฏิรูปจริงเหมือนที่รัฐบาลประกาศเราคงจะไม่มีปัญหาในการพัฒนาประเทศ แต่เรามักจะหลอกตัวเองไปวันๆ ด้วยการสร้างภาพ ซึ่งในที่สุดทรัพยากรมนุษย์ของไทยจะไม่มีวันตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคดิจิทัล และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้เลย
ในด้านศีลธรรม คุณธรรมชนชั้นนำก็ไม่สามารถจะเป็นตัวอย่างที่ดีต่อเยาวชน นอกจากพยายามจะตีกรอบให้อยู่ในกะลาและการใช้วาทะกรรม กับการสร้างการโฆษณาชวนเชื่อ
ปัญหายาเสพติดที่นับวันจะรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันถึงขนาดเสพแล้วตายหลายสิบคน คือยาเคนมผง ซึ่งตำรวจยังไม่อาจสืบจับผู้ผลิตได้ หรือบ่อนการพนันที่ตำรวจยืนยันว่าไม่มีบ่อน มีแต่การลักลอบเล่นการพนัน
ธุรกิจสีเทานั้นในความเป็นจริงมันมีขนาดใหญ่กว่าธุรกิจที่สุจริตชนเขาประกอบสัมมาอาชีพกัน และมีมานานแล้ว แต่ผู้ปกครองก็ยังคงเพิกเฉยทำไม่รู้ไม่เห็น จนทำให้เกิดคำกล่าวว่า “คุกมีไว้ขังคนจนเท่านั้น”
กระนั้นก็ตามปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หากผู้ปกครองมีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินกำลัง
สิ่งที่ผู้เขียนกังวลอย่างยิ่งก็คือนอกจากจะไม่แก้ปัญหาแล้ว ยังปล่อยปละละเลยจนเป็นปัญหาไม่รู้จบ
สุดท้ายที่น่ากลัวมากๆ คือ ความแตกแยกอย่างรุนแรงของประชาชนในชาติ ซึ่งสร้างความเกลียด ความโกรธ ระหว่างผู้เห็นต่างไม่ว่าจะเกิดจากอะไร แต่แทนการแก้ไขด้วยความรักความเมตตาสมกับเป็นเมืองพุทธ เรากลับช่วยเติมเชื้อไฟด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ การสร้างข่าวเท็จ การสร้างกระบวนการผลิตซ้ำทางความคิดเพื่อล้างสมอง
ทว่าปัญหาที่แท้จริงกลับไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้ความแตกแยกนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ รอวันระเบิดรุนแรงเหมือนการระเบิดของภูเขาไฟ หากไม่ฟังกันไม่พูดกันไม่สร้างความเข้าใจกัน
ปัญหาความแตกแยกนี้แหละคือปัญหาสำคัญยิ่งกว่าปัญหาใดๆ นี่จะทำให้ชาติล่มสลาย โดยที่คนส่วนใหญ่แทนที่จะหยุดยั้งความเกลียดความโกรธนี้กลับช่วยกันเติมเชื้อไฟ มันก็คงเอวังลงด้วยประการฉะนี้