ซีอีโอยอดเยี่ยม 7 คน ของโลก : แอนดี้ โกรฟ
ซีอีโอยอดเยี่ยม 7 คน ของโลก : แอนดี้ โกรฟ
What the Best CEO’s Know – 7 Exceptional Leaders and Their Lessons for Transforming any Business โดย เจฟฟรีย์ แครมส์
หนังสือเล่มนี้พิมพ์ 20 ครั้ง ระหว่าง ค.ศ 2003 และ 2006 และมีอยู 4 ภาษา
หนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงผู้นำบริษัทที่ยอดเยียม 7 คน และค้นหาคุณลักษณะร่วมที่ทำให้บริษัทของพวกเขาบรรลุความสำเร็จ รายชื่อของเจฟฟรีย์ แครมส์
จะคล้ายคลึงกับรายชื่ออื่นเหมือนเช่น บริษัทที่ชื่นชอบมากที่สุด 10 ลำดับสูงสุดภายในอเมริกา และแม้แต่บริษัทที่ชื่นชอบมากที่สุดของโลก เขาได้ชี้ว่า ผู้นำที่บรรลุความสำเร็จอย่างมากไมใช่จะไร้ข้อบกพร่อง พวกเขาต้องกระทำผิดพลาด แต่พวกเขาได้เรียนรู้จากความผิดพลาด
โดยส่วนรวมพวกเขาคือผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ขององค์การ พวกเขาได้สร้างโมเดลทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ อะไรทำให้หนังสือเล่มนี้มีเอกลักษณ์ นอกจากการค้นหาว่าพวกเขาได้ทำอะไร และทำไมพวกเขาได้ทำ หนังสื่อเล่มนี้ได้มองว่่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าพวกเขาได้ทำมันแตกต่างออกไป
รายชื่อสุดท้ายผู้นำที่ยอดเยี่ยม 7 คน ของเขาจะประกอบด้วย ไมเคล เดลล์ ชีอีโอของเดล คอมพิวเตอร์ แจ็ค เวลซ์ ซีอีโอของเจ็นเนอรัล อีเล็คทริค
ลูว์ เกิรทเนอร์ ซีอีโอของไอบีเอ็ม แอนดี้ โกรฟ ซีอีโอของอินเทล บิลล์ เกตส์ ซีิอีโอของไมโครซอฟท์ เฮอร์เบิรต เคลลีเฮอร์ ซีอีโอของเซ้าธ์เวสท์ แอร์ไลน์ และแซม วอลตัน ซีอีโอของวอลล์ มาร์ท
เจฟฟรีย์ แครมส์ เป็นนักเขียนชาวอเมริกัน เขาเขียนหนังสือ 5 เล่ม หนังสือของเขาได้ถูกแปลเป็นภาษาต่างประเทศมากกว่า 36 ภาษา เขาเคยเป็นรองประธานบริษัทและผู้จัดพิมพ์ของหน่วยธุรกิจหนังสือทางธุรกิจของแมคกรอว์ ฮิลล์ สำนักพิมพ์ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของอเมริกา เขาได้เคยตรวจแก้ไขและพิมพ์หนังสือทางธุรกิจมากกว่า 1, 000 เล่ม รวมทั้งหนังสือที่ได้รางวัลชนะและขายดีที่สุด เช่น หนังสือของแจ็ค เวลซ์ ไมเคล เดลล์ ลูว์ เกิรทเน่อร์ เฮอร์เบิรต เคลลีเฮอร์ และบิลล์ เกตส์ เมื่อไม่นานมานี้ เจฟฟรี่ย์ แครมส์ ได้พิมพ์หนังสือเจ็ดเล่มของหนังสือทางธุรกิจที่ติดลำดับสูงสุด 35 เล่มแห่งปีของไลบรารี่ย์ เจอร์นัล
เจฟฟรี่ย์ แครมส์ เขียนหนังสือห้าเล่ม หนังสือสามเล่มจะมุ่งที่ซีอีโอก่อนหน้านี้ของเจ็นเนอรัล อีเล็คทริค แจ็ค เวลซ์ เขาได้เขียนหนังสือความเป็นผู้นำและซีอีโอ ไว้อย่างกว้างขวาง และหนังสือเล่มล่าสุดของเขาคือ Jack Welch and the 4E of Leadership วารสารเคอร์คัส รีวิว ได้กล่าวว่า หนังสือเล่มนี้ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าจะต้องกลายเป็นความเป็นผู้นำที่คลาสสิค
เจฟฟรีย์ แครมส์ จะเป็นผู้เขียนหนังสือขายดีที่สุดคือ Jack Welch and the 4E ,The Welch Way, What the Best CEO Know และ The Rumsfeld Way เขาจะเป็นนักเขียนของนิวยอรค ไทม์ วอล สตรีท เจอร์นัล ลอสแอนเจลิส ไทม์ และชิคาโก ทรีบูน ด้วย
แอนดี้ โกรฟ ได้นำการปฏิรูปอินเทลทำให้ตราสินค้าเพนเทียมและโลโก้ “Intel Inside” กลายเป๊นที่ยอมรับกันไปทั่วโลก เขาได้ทำให้อินเทลเป็นบริษัทที่เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงธุรกิจแกนของบริษัทอย่างน่าทึ่ง ภายในช่วงเวลาที่มองเห็นการเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล อินเตอร์เน็ต และซิลิคอน แวลลี่ย์
เมื่อเกือบห้าสิบปีที่แล้ว แอนดี้ โกรฟ อายุสิบเก้าปี ก้าวลงจากเรือที่นิวยอร์ค ผู้อพยพที่ยากจนจากฮังการี ได้หลบหนีภัยจากการยึดครองของนาซี สิบปีต่อมา แอนดี้ โกรฟคือ ผู้ก่อตั้งร่วมอินเทล บริษัทที่ได้ช่วยคิดค้นอุตสาหกรรมพีซี แต่แอนดี้ โกรฟ เป็นมากกว่าวิศวกรที่มีพรสวรรค์ ดังที่ ริชาร์ด เท็ดโลว์ ผู้เขียนชีวประวัติของเขา ได้กล่าวถึง
วารสารไทม์ ได้เลือกแอนดี้ โกรฟ เป็นบุคคลแห่งปี 1977
และยกย่องเขาว่า ” บุคคลที่รับผิดชอบมากที่สุดต่อการเจริญเติบโตอย่างน่าทึ่งภายในศักยภาพของพลังและนวัตกรรมของไมโครชิป ส่วนประกอยแกนของการปฏิวัติดิจิตอล
โรเบิรต เบอร์เกิ้ลแมน อาจารย์สอน MBA ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สอนวิชาการบริหารร่วมกับแอนดี้ โกรฟ เมื่อ ค.ศ 1980 เรียกแอนดี้ โกรฟว่าเป็นนักคิดที่แหลมคมมากที่สุดคนหนึ่งที่ผมได้เคยพบ ความสามารถทางเทคนิคและกลยุทธ์ของเขาสำคัญต่อการสร้างอินเทล และการป้องกันอินเทลจากการคุกคามของคู่แข่งขันอาเชียน ผมเชื่อว่าอินเทลจะไม่เป็นอินเทลเหมือนที่เรารู้จัก อุตสาหกรรมชิปของอเมริกาจะไม่เป็นเหมือนที่เป็นอยู่ ถ้าเราไม่มีแอนดี้ โกรฟ
แอนดี้ โกรฟ เป็นนักเขียนหนังสือศาสตร์และศิลปของการบริหารธุรกิจที่มีชื่อเสียง โดยเฉพาะหนังสือสองเล่มของเขาเป็นที่แพร่หลายมาก หนังสือเล่มที่เป็นตำนานของเขาคือ Only the Paranoid Survive พิมพ์เมื่อ ค.ศ 1996 แต่ยังคงต้องอ่าน ถ้าใครก็ตามที่ต้องการจะเข้าใจนวัตกรรมและพลังของการทำลายอย่างสร้างสรรค
แอนดี้ โกรฟ ได้เคยสอนวิชากลยุทธ์ร่วมกับอาจารย์
โรเบิรต เบอเกิ้ลแมน แก่นักศึกษา MBA ณ มหาวิทยาลัย
สแตนฟอร์ด เขาได้นำเสนอกรณีศึกษาโลกที่เป็นจริงแก่ห้องเรียน เช่น ครั้งหนึ่งแอนดี้ โกรฟ ได้ใช้กรณีศึกษาที่เป็นจริงที่เขากำลังเผชิญอยู่ในฐานะซีอีโอของอินเทล การติดสินใจที่ผิดพลาดสามารถทำลายธุรกิจไ้ด้ เขาได้ถามภายในห้องเรียนว่า “ซีอีโอควรจะทำอย่างไร”
ภายหลังสามสัปดาห์ผ่านไป และแอนดี้ โกรฟยังไม่ได้ตัดสินใจ เขาไม่รู้คำตอบด้วย เขาได้สอนนักศึกษาของเขาว่า บุคคลไม่สามารถใช้ความรู้โดยไม่มีความคิดสร้างสรรค์ได้ และได้แสดงว่าเขาเอง ไม่ได้แสวงหาคำแนะนำจากบุคคลคนเดียวเท่านั้น แต่จากนักศึกษาที่สามารถใช้ความคิดได้อย่างสร้างสรรค์ด้วย เป็นเรื่องไม่ธรรมดาเลยที่ซีอีโอคนไหนจะยืนอยู่หน้าชั้นเรียน และกล่าวว่า “ผมไม่รู้จะทำอย่าวไร คุุณคิดอย่างไร”
ภายใต้การถือบังเหียนของแอนดี้ โกรฟ อินเทลได้เพิ่มรายได้ต่อปี จาก 1.9 พันล้านเหรียญ เป็น 26 พันล้านเหรียญ มูลค่าตลาดของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น 4,500% แต่แอนดี้ โกรฟ เป็นมากกว่าผู้นำธุรกิจ เขาได้เล่าถึงการปฏิรูปอินเทลภายในหนังสือการบริหารสองเล่มที่ได้อ่านกัน
อย่างกว้างขวาง จนทำให้เขามีชื่อเสียงเป็นนักคิดที่
ฉลาดที่สุดคนหนึ่งแห่งซิลิคอน แวลลี่ยฺ แอนดี้โกรฟ เป็นที่เลื่อมใสแก่ผู้นำที่มีชื่อเสียงทางเทศโนโลยีหลายคน
รวมทั้งสตีฟ จ้อป จากแอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
High Ouput Management หนังสือที่เป็นตำนานภายในซิลิคอน แวลลี่ย์ หลักสูตรเร่งรัดแก่ผู้บริหารระดับกลาง บิลล์ แคมป์เบลล์ อดีตกรรมการบริษัทแอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ได้กล่าวว่า High Output Management เป็นไบเบิ้ลที่ผู้ประกอบการและผู้บริหารทุกคนภายในอเมริกาควรจะมองหา อ่าน และเข้าใจ แอนดี้ โกรฟ เขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวเอง หนังสือที่ผู้บริหารทุกคนต้องมีบนชั้นวาง
ผู้นำทั่วทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยต่างยกย่องหนังสือเล่มนี้ หนังสือเล่มนี้ราคาสิบเหรียญ และใช้เวลาอ่านหนึ่งวัน แต่หนังสือเส่มนี้มูลค่าหลายล้านเหรียญที่เราอาจจะลดข้อผิดพลาดระหว่างอาชีพของเราได้
แอนดี้ โกรฟ เป็นหลายสิ่งหลายอย่าง ผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ผู้อพยพจากคอมมิวนิสต์ฮังการี ผู้บุกเบิกเทคโนโลยี บุคคลแห่งปีของวารสารไทม์ และบิดาของสไตล์การบริหารขับเคลื่อนอย่างไม่ปรานีแห่งซิลิคอน แวลลี่ย์
แอนดี้ โกรฟจะไม่ลดละต่อความคาดหวังความสำเร็จของเขา เขาได้เคยเรียกร้องให้บุคคลทำงานเพิ่มขื้นสองชั่วโมงต่อวันโดยไม่มีรายได้ เมื่อ ค. ศ 1984 วารสารฟอร์จูน ได้เรียกเขาว่าเป็นนายที่บึกบึนที่สุดคนหนึ่งภายในโลก ณ หัวใจปรัชญาการบริหารของเขาคือ แนวคิดของการเผชิญหน้าอย่างสร้างสรรค์ ความคิดจะถูกจ้องจับผิด การขึ้นเสียงและความรู้สึกจะไม่เก็บไว้ แอนดี้ โกรฟ ได้บอกกับ
ชิคาโกทริบูนว่า เรากระตุ้นบุคคลของเราให้จัดการปัญหาโดยไม่ถอยหนี บุคคลจะขับเคี่ยวกันอย่างโผงผาง
หลักการบริหารของแอนดี้ โกรฟ ได้ฝังรากลึกภายในซิลิคอน แวลลี่ย์ หนังสือ High Output Management ของเขาได้ถูกส่งเวียนไปรอบคล้ายกับตำราศักดิ์สิทธิ์ ลูกศิษย์เช่นสตีฟ จ้อป ได้ใช้หลักการบริหารของแอนดี้ โกรฟ กับธุรกิจของเข่า เมื่อสตีฟ จ้อป ได้ต่อสู้ ดิ้นรนว่าเขาควรจะกลับไปที่แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ในฐานะซีอีโอหรือไม่ เขาได้ขอคำแนะนำจากแอนดี้ โกรฟ คำตอบคือ สตีฟ ผมไม่สนแอปเปิ้ลเลย
จุดแข็งยิ่งใหญ่ที่สุดของแอนดี้ โกรฟในฐานะของผู้บริหารคือ ความสามารถที่จะเผชิญหน้าตัวเขาเอง เมื่อต้น ค.ศ 1980 ยอดขายของชิปหน่วยความจำของมินิคอมพิวเตอร์ ธุรกิจแกนของอินเทล ได้ตกต่ำลงภายใต้การเผชิญหน้ากับการแข่งขันจากญี่ปุ่น แทนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงค่อยเป็นค่อยไป แอนดี้ โกรฟ ได้ถามบุคคลของเขาว่า ถ้าเราถูกเตะออกไปและคณะกรรมการบริษัทนำซีอีโอคนใหม่เข้ามา เราคิดว่าเขาควรจะทำอะไร
คำตอบคือการออกไปจากธุรกิจ และเริ่มต้นการผลิตไมโครโพรเซสเซอร์ เป็นคลื่นลูกใหม่แก่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
คำถามที่บุคคลของเราถามผมว่า เราควรจะลงทุนภายในด้านที่นอกเหนือจากไมโครโพรเซสเซอร์หรือไม่ แทนที่จะเอาใข่ทุกใบของเราใส่ตะกร้าใบเดียว หรือเราควรจะมองการปรับปรุงโทรทัศน์ให้ดีขึ้น นอกเหนือจากที่เราจะวางเดิมพันกับพีซีหรือไม่ ผมโน้มเอียงจะเชื่อมาร์ค ทเวน พูดว่า เอาใข่ทุกใบของเราใส่ตะกร้าใบเดียว และระวังตะกร้าใบนั้นให้ดี
เรามีเหตุผลของการมุ่งเป้าหมายเชิงกลยุทธ์อย่างเดียว บริษัทยากที่จะข้ามหุบเขาแห่งความตายได้โดยไม่มีทิศทางเชิงกลยุทธ์ที่เรียบง่ายและชัดเจน เพราะว่าบุคคลจะเสียขวัญและขัดแย้งระหว่างกัน ถ้าคู่แข่งขันกำลังไล่ตามเรา และพวกเขาเป็นอยู่เสมอ ทำไมผู้หวาดระแวงเท่านั้นที่อยู่รอด เราจะข้ามหุบเขาแห่งความตายได้โดยการวิ่งให้เร็วกว่าบุคคลที่ตามหลังเรา และเราสามารถวิ่งได้เร็วกว่าเท่านั้น ถ้าเราได้ผูกพันตัวเราเองกับทิศทางโดยเฉพาะ และไปให้เร็วที่สุดเท่าที่เราสามารถไปได้
แนวคิดต้นกำเนิดของ OKR มาจากแอนดี้ โกรฟ ซีอีโอของอินเทล OKR ย่อมาจากคำว่า Objectives and Key Results เป็นกรอบข่ายของวัตถุประสงค์และผลลัพธ์ที่สำคัญ OKR จะมีความเป็นมาที่ยาวนานที่อาจจะย้อนหลังกลับไปเมื่อ ค.ศ 1954 ระยะเวลาที่ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ได้คิดค้น MBO ขึ้นมา เมื่อ ค.ศ 1968 แอนดี้ โกรฟ ผู้ก่อตั้งอินเทล ได้พัฒนา MBO จนกลายเป็นโมเดล OKR ที่เราได้ใช้กันอยู่ปัจจุบันนี้
OKR ได้แพร่กระจายไปยังบริษัททั่วทั้งซิลิคอน แวลลี่ย์ กูเกิ้ล ได้ใช้ OKR เมื่อ ค.ศ 1999 ระหว่างปีแรกของบริษัทและ OKR ได้สนับสนุนการเจริญเติบโตของบริษัทจากบุคคล 40 คน จนกลายเป็น มากกว่า 60,000 คน ณ วันนี้นอกจากกูเกิ้ลแล้ว บริษัทอื่นที่ใช้ OKR ได้แก่ ทวิตเตอร์
แอร์บีเอ็นบี และลินเคอดิน แต่ OKR ไม่ได้ถูกใช้โดยบริษัทดิจิตอลเท่านั้น วอลมาร์ท ทาร์เก็ต และเดอะ กอร์เดียน กำลังใช้ OKR อยู่ด้วย
เมื่อ ค.ศ 1974 จอห์น ดอรร์ ได้เข้ามาร่วมกับอินเทล และได้เรียนรู้ OKR จากอินเทล ต่อมาเขาได้กลายเป็นที่ปรึกษาของกูเกิ้ล จอห์น ดอรร์ ได้แนะนำ OKR แก่แลร์รี่ย์ เพจ และเซอร์จีย์ บริน ผู้ก่อตั้งกูเกิ้ล และกู้เกิ้ลได้ใช้ OKR อยู่จนทุกว้นนี้
OKR เป็นกรอบข่ายของการบริหารเป้าหมายที่นิยมแพร่หลาย OKR จะประกอบด้วยวัตถุประสงค์ที่ระบุเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ และผลงานที่สำคัญที่วัดความคืบหน้าไปสู่วัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์อธิบายว่า เราต้องการไปที่ไหน และกำหนดทิศทางที่ชัดเจน เหมือนกับจุดหมายปลายทางบนแผนที่ ผลงานที่สำคัญจะแสดงว่าเรากำลังคืบหน้าไปสู่วัตถุประสงค์อย่างไร เหมือนกับเสาติดป้ายตามถนนที่บอกระยะทาง
High Output Management ของ แอนดี้ โกรฟ เป็นหนังสือเล่มแรกของแนวคิด OKR จนทำให้
แอนดี้ โกรฟถูกยกย่องว่าเป็น บิดาของ OKR เพียงไม่ถึงห้าหน้า เขาสามารถทำให้ MBO เรียบง่ายลง และอธิบายสาระสำคัญของ OKR ได้อย่างชัดเจเมื่อแอนดี โกรฟ ได้กล่าวถึง MBO ภายในหนังสือของเขา เขามักจะเรียกว่า Intel MBO และได้ใช้ชื่อใหม่ว่า OKR เขาได้อธิบายว่า ระบบ OKR ที่บรรลุความสำเร็จต้องตอบคำถามที่สำคัญสองข้อคือ
1 เราต้องการไปที่ไหน คำตอบจะให้วัตถุประสงค์ หมายถึงเป้าหมายที่กำหนดขึ้นมา
2 เราจะก้าวตัวเองอย่างไร ถ้าเรากำลังไปสู่ที่นั่น คำตอบจะให้หลักบอกระยะทางหรือผลลัพธ์ที่สำคัญ
ตามมุมมองของแอนดี้ โกรฟ ผลลัพธ์ที่สำคัญต้องเป็นหลักบอกระยะทางตามลำดับเวลา นำผู้บริหารไปสู่การบรรลุเป้าหมาย เป้าหมายหนึ่งปีอาจจะแตกผลลัพธ์ที่สำคัญเป็น 12 เดือน หรือผลลัพธ์ที่สำคัญเป็น 4 ไตรมาส เราได้ปฏิบัติต่อผลลัพธ์ที่สำคัญเป็นหลักบอกระยะทางทีใช้ปรับให้เหมาะสมกับความเป็นจริงของอินเทล
บริษัทใหญ่ได้อยู่บนจุดสูงสุดของการแข่งขันแล้ว
การมองหาที่จะถ่ายทอดการวางแผนกบยุทธ์ให้เป็นเป้าหมายที่สามารถกระทำได้และหลักบอกระยะทางแก่องค์การโดยส่วนรวม แอนดี้ โกรฟ ได้กล่าวว่า เป้าหมาย(วัตถุประสงค์) และผลลัพธ์ที่สำคัญต้องถูกกำหนดภายในกระบวนการจากล่างขึ้นบน ก่อนหน้านี้เราใช้การกำหนดเป้าหมายจากบนลงล่าง และเขายืนยันว่า OKR ต้องทะเยอทะยาน ยากที่จะบรรลุ ดังที่เขาเรียกว่า สุดเอื้อม
บริษัทได้ใช้ OKR เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของการบริหาร เพื่อที่จะเพิ่มระดับของการควบคุมเหนือบุคคล OKR เป็นเครื่องมือแก่บุคคลที่จะช่วยให้พวกเขามุ่งความสนใจ ปรับแนวทางความพยายามมุ่งไปสู่เป้าหมายร่วมกัน ที่ดีกว่านั้นคือการเรียนรู้ การสะท้อนให้เห็นคำอธิบาย OKR ของแอนดี้ โกรฟ
ซิลิคอน แวลลี่ย์ คือภูมิภาคทางตอนใต้ของอ่าวซานฟรานซิสโกของแคลิฟอร์เนียเหนือ การอ้างถึงหุบเขาซานต้า คลารา เป็นศูนย์กลางทั่วโลกชองไฮเทคโนโลยี นักลงทุน นวัตกรรม และสื่อทางสังคม ซาน โจเซ่ เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของหุบเขา คำว่า ซิลิคอน แวลลี่ย์ เริ่มแรกอ้างอิงถึงผู้สร้างนวัตกรรมและผู้ผลิตซิลิคอน ชิป จำนวนมากภายในภูมิภาค แต่ปัจจุบันพื้นที่แห่งนี้คือบ้านของบริษัทไฮเทคใหญ่ที่สุดของโลกหลายบริษัท รวมทั้งสำนักงานใหญ่ของ
39 ธุรกิจของวารสารฟอร์จูน 1000 บริษัท และบริษัทเริ่มต้นหลายพันบริษัท
ซิลิคอน แวลลี่ย์ เป็นชื่อคำพ้องกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี พื้นที้ขนาดเล็กแห่งนี้ของแคลิฟอร์เนียได้กลายเป็นศูนย์กลางของโลกเทคโนโลยี การปฏิรูปของพื้นที่ได้เกิดขึ้นทีละน้อยภายในช่วงเวลานานกว่า 100 ปี เพื่อนบ้านที่มีมูลค่ามากกว่า 3 ล้านล้านเหรียญ ซาน โจเซ่ เป็นศูนย์กลางของซิลิคอน แวลลี่ย์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชื่อเล่นนี้ได้กลายเป็นชื่อทีโด่งดังมากไปทั่วโลก แต่เดิมพื้นที่แห่งนี้จะทำการเกษตรและฟาร์มปศุสัตว์ เมื่อการเฟื่องฟูทางเทคโนโลยีได้เกิดขึ่นทำให้เกิดการเรียกชื่อเล่นว่า ซิลิคอน แวลลี่ยฺ์
ชื่อของซิลิคอน แวลลี่ย์ได้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ ค.ศ 1970 โดยดอน โฮฟเลอร์ นักข่าวหนังสือพิมพ์ เขาได้ยินถ้อยคำว่า ซิลิคอน แวลลี่ย ระหว่างกินข้าวกลางวันกับนักการตลาดคนหนึ่งที่ได้เรียกซานตา คลาร่า ว่า ซิลิคอน แวลลี่ย์ ดอน โอฟเลอร์ได้เขียนบทความใช้ชื่อว่า Silicon Valley USA เขาได้ถูกยกย่องว่าเป็นบุคคลแรกคนหนึ่งที่ได้เขียนเกี่ยวกับซิลิคอน แวลลี่ย์ ซิลิคอน ชิป เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ จน ณ วันนี้ ซิลิคอน ชิป ได้ถูกใช้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ เครื่องเล่นเกม หรือแม้แต่เครื่องคำนวณ
เฟดเดอริค เทอร์แมน นักวิชาการและผู้บริหารวิชาการ มหาวิทยาลัยสแตน
ฟอร์ด ได้ถูกยกย่องอย่างกว้างขวาง (ร่วมกับวิลเสี่ยม ชอคลี่ย์) ว่าเป็นบิดาแห่งซิลิคอน แวลลี่ย์ ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เขาได้กลับมาที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และได้ถูกแต่งตั้งเป็นคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์
เมื่อ ค.ศ 1930 เขาได้เริ่มต้นกระตุ้นให้นักศึกษาอยู่ภายในพื้นที่แทนที่จะออกไปจากแคลลิฟอร์เนีย และพัฒนาเป็นภูมิภาคไฮเทคโนโลยี วิลเลียม ฮิวเลตต์ และเดวิด แพคการ์ด ผู้ก่อตั้งฮิวเลตต์ – แพคการ์ด ได้ถูกมองว่าเป็นนักศึกษา
สแตนฟอร์ดสองคนแรกที่ได้ทำตามคำแนะนำของเฟดเดอริค เทอร์แมน สร้างบริษัทอีเล็คโทรนิคของตัวเองภายในพื้นที่แห่งนี้
สวนวิจัยสแตนฟอร์ด เป็นสวนทางเทคโนโลยี ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาภายในใจกลางของซิลิคอน แวลลี่ย์ ความคิดริเริ่มกันระหว่างมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและเมืองพาโลอัลโต สวนวิจัยสแตนฟอร์ดมีบริษัทมากกว่า 150 บริษัทตั้งอยู่ที่นี่ รวมทั้งฮิวเลตต์ – แพคการ์ด ด้วย
เมื่อ ค.ศ 1939 วิลเลียม ฮิวเลตต์ และเดวิด แพคการ์ด ได้ก่อตั้งบริษัทโดยใช้ชื่อจากการโยนเหรียญ ณ พาโล อัลโต แคลิฟอร์เนีย ผลิตภันฑ์อย่างแรกของบริษัทที่ผลิตภายในโรงรถคือ ออดิโอ้ ออสซิลเลเตอร์ ปัจจุบันโรงรถของเอชพีได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เอกชน สถานที่ก่อตั้งของฮิวเลตต์ แพคการ์ด โรงรถแห่งนี้ได้ถูกพิจารณว่าเป็น “บ้านเกิดของซิลิคอน แวลลี่ย์ ภูมิภาคไฮ
เทคโนโลยีแห่งแรกของโลก แนวคิดของการพัฒนาภูมิภาคนี้กำเนิดมาจาก ดร. เฟดเดอริค
แอนดี้ โกรฟ ได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่มที่มีชื่อเสียงคือ High Output Management และหนังสือเล่มไม่นานมานี้คือ Only the Paranoid Survive หนังสือทั้งสองเล่มแตกต่างจากกระแสของการเขียนหนังสือการบริหารปัจจุบันนี้ High Output Management มุ่งที่ผู้บริหารระดับกลางที่แอนดี้ โกรฟ มองว่าเป็นกระดูกสันหลังขององค์การ แต่มักจะถูกละเลยโดยนักวิชาการ ภายในยุคที่หนังสือการบริหารหลายเล่มมองโลกในแง่ดี การให้สูตรแห่งความสำเร็จที่ใครก็ตามสามารถดำเนินตามได้ แต่แอนดี้ โกรฟ ได้ใช้มุมมองด้านมืด การบริหารภายในยุคของความยุ่งเหยิง การเปลี่ยนแปลงจะยากและยิ่งยากขึ้น
แอนดี้ โกรฟ มี่คำขวัญที่ชอบมากที่สุดคือ “Only the Paranoid Survive” และได้กลายเป็นชื่อหนังสือการบริหารขายดีที่สุดของเขา ตามพจนานุกรมของอเมริกัน เฮอริเทจ แล้ว ความหมายของ Paranoid คือ ” การแสดงความไม่ไว้วางใจหรือความสงสัยอย่างไม่มีเหตุผล” แอนดี้ โกรฟ มักจะมีความไม่เชื่อใจความคิดของตัวเอง ความสงสัยว่าตัวเองผิด ณ อินเทล เขาจะออกไปจาก
วิถีทางของเขา พยายามพิสูจน์ตัวเองว่าผิด และได้ทำการทดสอบ มุมมองที่จะท้าทายความคิดในขณะนี้ของเขา ถ้าโมเดลทางความคิดมีปัญหา เขาจะต้องค้นหาปัญหา
แอนดี้ โกรฟได้สนับสนุนสภาพแแวดล้อมที่มุ่งนวัตกรรมภายในอินเทล และได้กลายเป็นพิมพ์เขียวแก่บริษัทที่ก่อตั้งขึ้นมา เขาได้กระตุ้นการไม่เห็นด้วย และยืนยันว่าบุคคลต้องระมัดระวังต่อการหยุดชะงักภายในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถเป็นอันตรายที่สำคัญ หรือโอกาสต่ออินเทลได้ เพื่อการ
กระทำ เขาจะเรียกร้องบุคคลที่เขามองว่ายังทำไม่เพียงพอ และเมื่อ ค.ศ 1991 เขาได้กำหนดให้บุคคลต้องทำงานเพิ่มขึ้นสองชั่วโมงต่อวันโดยไม่มีรายได้
แอนดี้ โกรฟ ได้ยกเครื่องธุรกิจของอินเทล การเปลี่ยนแปลงจากการผลิตชิปหน่วยความจำไปเป็นชิปไมโครโพรเซสเซอร์ เป็นตัวอย่างเริ่มแรกของการครอบงำของเขากับการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญภายในธุรกิจและเทคโนโลยี และต้องคล่องตัวเพียงพอที่จะก้าวไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อกอร์ดอน มัวร์ และโรเบิรต นอยซ์ ผู้ก่อตั้งอินเทล ได้นำเสนอชิป เทคโนโลยีที่จะช่ายสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ แอนดี้ โกรฟ เป็นผู้ยึดติดกับรายละเอียดที่ทำให้ความคิดกลายเป็นผลิตภัณฑ์อย่างแท้จริง เขาต้องรับผิดชอบต่อการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของกำไรและราคาหุ้นของอินเทลระหว่าง ค.ศ 1980 ถึง 1990
แอนดี้ โกรฟ ได้บริหารอินเทลจากคอกทำงาน ไม่ใช่่สำนักงานที่หรูหรา เขาเป็นบุคคลเริ่มแรกและรู้จักกันดีที่สุด เขาต้องการหลีกเลี่ยงห้องทำงานที่มีประตู เพื่อที่จะนั่งรวมกันกับบุคคลของเขา การกำจัดสิ่งกิดขวางระหว่างเขาและบุคคลของเขา เมื่อเขาอยู่ใกล้ ใครก็ตามสามารถแวะมาหาและเอียงหูฟัง แต่บอกเขาถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาด ไม่ต้องกลัวต่อการถูกไล่ออก แอนดี้ โกรฟ ได้กระตุ้นสิ่งที่เขาเรียกว่า การเผชิญหน้าอย่างสร้างสรรค์ เขานั่งอยู่ภายในคอกทำงาน เพื่อที่จะสร้างความประทับใจของวัฒนธรรมที่ไม่มีลำดับชั้นอำนาจหน้าที่ เขาได้เลี้ยงดูวัฒนธรรมความเสมอภาค ณ อินเทล เราทุกคนทำงานภายในบริษัทที่เป็นคอกทำงานของแอนดี้ โกรฟ สภาพแวดล้อมที่เปิดโล่งที่บุคคลทกคน การยอมให้บุคคลสื่อสารกันโดยตรงและแก้ปัญหาด้วยวิถีทางของความร่วมมือร่วมใจ อินเทลไม่มีสิทธิพิเศษแก่ผู้บริหาร ไม่มีหัองอาหาร ห้องน้ำ หรือที่จอดรถยนต์ของผู้บริหาร
เมื่อ ค.ศ 1990 แอนดี้ โกรฟ ซีอีโอของอินเทล ได้สร้างถ้อยคำว่า จุด
หักเหทางกลยุทธ์ขึ้นมาภายในหนังสือล่มหนึ่งของเขาชื่อ Only the Paranoid Survive ” ความสำเร็จทำให้เกิดความหลงพอใจ ความหลงพอใจทำให้เกิดความล้มเหลว ความหวาดระแวงเท่านั้นทำให้อยู่รอด” ผมเชื่อมั่นต่อคุณค่าของความหวาดระแวง แอนดี้ โกรฟ เชื่อมั่นต่อระดับของความกลัวที่ไม่มากจะดีต่อสุขภาพทางธุรกิจ
หนังสือ Only the Paranoid Survive เป็นหนังสือที่ได้กล่าวถึงวิกฤติภายในธุรกิจ และการจัดการกับวิกฤติ แอนดี้ โกรฟ ได้อธิบายปรัชญาของหนังสือเล่มนี้ว่า เราจะหาปรโยชน์จากจุดวิกฤติที่ท้าทายบริษัทได้อย่างไร ธุรกิจทุกอย่างต้องเผชิญกับวิกฤติ ณ เวลาหนึ่ง ที่คุกคามการอยู่ต่อเนื่องของธุรกิจ ถ้อยคำที่แอนดี้ โกรฟ ได้ใช้อธิบายวิกฤติทางธุรกิจนี้คือ จุดผกผันทางกลยุทธ์ และทำให้แพร่หลายด้วยการแสดงเป็นถ้อยคำทางธุรกิจ โดยทางคณิตศาสตร์ จุดผกผันทางกลยุทธ์ ได้อธิบายจุดที่เส้นโค้งโค้งออก(ขึ้นข้างบน)และโค้งเว้า(ลงข้างล่าง)
เพื่อที่จะขีดเส้นใต้ความสำคัญของจุดนี้ต่อผู้นำธุรกิจ ณ จุดผกผันทางกลยุทธ์ การเปลี่ยนแปลงไม่สามารถหลีกเลี่ยงไม่ว่าดีหรือไม่ดี ตามมุมมองของแอนดี้ โกรฟ ถ้าธุรกิจไม่มีกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพที่จะตอบสนองต่อจุดผกผันทางกลยุทธ์แล้วสามารถนำไปความล้มเหลวได้ จุดผกผันทางกลยุทธ์คือ ช่วงเวลาที่องค์การต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่ยุ่งเหยิงภายในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ หรือเผชิญกับการเสื่อมลง
แอนดี้ โกรฟ ได้อธิบายจุดผกผันทางธุรกิจว่า ช่วงเวลาภายในชีวิตของธุรกิจ เมื่อรากฐานทางธุรกิจได้เปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สามารถหมายถึงโอกาสที่จะขึ้นไปสู่จุดสูงสุดใหม่ แต่อาจจะหมายถีงเพียงแต่ส่งสัญญานของการเริ่มต้นของการสิ้นสุดแล้ว
แนวคิดของจุดผกผันทางกลยุทธ์ได้กลายเป็นพจนานุกรมทั้งทางวิชาการและการปฏิบัติ แอนดี้โกรฟ ได้นำทางด้วยจุดผกผันทางกลยุทธ์หลายครั้ง เช่น การเปลี่ยนแปลงจากธุรกิจชิปหน่วยความจำไปเป็นธุรกิจไมโครโพรเซสเซอร์ เมื่ออินเทล ได้ตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถตามทันการแข่งขันจากญี่ปุ่นได้ การสัมผัสของความหวาดระแวง – ความสงสัยว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงที่กระทบต่อเรา – คือสิ่งที่แอนดี้ โกรฟ ได้แนะนำ วารสารอีโคโนมิคส์ ได้อธิบายการประยุกต์ใช้ของสิ่งที่บุคคลอาจจะเรียกว่าหลักการของความหวาดระแวง แอนดี้ โกรฟ ยืนยันว่า บริษัททุกบริษัทต้องเผชิญกับการบรรจบกันของปัจจัยภายในและภายนอกที่มักจะไม่ได้คาดคะเนไว้ การรวมหัวกันทำให้ธุรกิจอยู่ไม่รอด
จุดผกผันทางกลยุทธ์เกิดขึ้นเพราะว่าธุรกิจชิปหน่วยความจำได้ถูกโจมตีจากคู่แข่งขันญี่ปุ่นรายใหม่ พวกเขาจะตัดราคาที่อินเทลได้นำเสนอ เราสามารถทำอะไรได้ อินเทลฝังรากลึกและกำไรส่วนใหญ่มาจากการผลิตชิปหน่วยความจำ ผู้ก่อตั้งสองคนของบริษัทและวิศวกรส่วนใหญ่จะยึดติดทางความรู้สึกเกินไปกับความสำเร็จในอดีต แต่แอนดี้ โกรฟ ได้ตัดสินใจวางเดิมพันอนาคตของบริษัทไว้กับไมโครโพรเซสเซอร์ การก้าวไปที่ได้ช่วยรักษาชีวิตบริษัทของเขาไว้และได้กลายเป็นการปฏิรูปอุตสาหกรรม
การตัดสินใจที่สำคัญอย่างที่สองของแอนดี้ โกรฟ คือ เมื่อ ค,ศ 1990 อินเทลไ้ด้ใช้กลยุทธ์ของการสร้างตราสินค้าแก่ชิปไมโครโพรเซสเซอร์ที่ลูกค้าต้องมองหา เมื่อพวกเขาต้องการซื้อคอมพิวเตอร์ ณ เวลานั้น บุคคลซื้อคอมพิวเตอร์เพราะว่าซอฟท์แวร์ พื้นทื่ หรือเพื่อนแนะนำ ใครจะไปสนใจเกี่ยวกับใครผลิตชิปเล็กมากภายในกล่องที่เราไม่เคยเห็นเลย แต่ด้วยการแพร่หลายของพีซี และลูกค้าได้พยายามจะเข้าใจอะไรทำให้คอมพิวเตอร์ของผู้ผลิตรายไหนดีกว่ากัน ดังนั้นอินเทลได้มองเห็นโอกาส และยอมรับความเสี่ยงภัยที่สูง ความเป็นผู้นำของอินเทลได้ชักจูงว่านี่คือวิถีทางของการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด อินเทลได้ลงทุนหลายร้อยเหรียญกับความพยายาม
เดนนิส คาร์เตอร์ ได้ถูกยกย่องจากการสร้างและการดำเนินการรณรงค์ “Intel Inside” การสร้างความความตระหนักทางตราลินค้าของไมโครโพรเซสเซอร์ว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การติดโลโก้ของอินเทลภายนอกพีซีส่วนใหญ่ของโลก และทำให้เพลงโฆษณาโน้ตห้าตัวเป็นทำนองที่จำได้มากที่สุดทางโทรทัศน์ เดนนิส คาร์เตอร์ ได้พัฒนาการรณรงค์การโฆษณาแบบร่วมมือกันที่สร้างสรรค์ อินเทลได้ร่วมต้นทุนกับผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ ส่งเสริมไมโครโพรเซสเซอร์เป็น “Computer inside the Computer” เดนนิส คาร์เตอร์ได้ทำงานกับแอนดี้ โกรฟ สร้างตราสินค้าเพนเทียมเป็นสัญลักษณ์ของอินเทล เขาได้ทำให้ไมโครโพรเซสเซอร์ชิปของอินเทลกลายเป็นตราสินค้าที่เชื่อถือได้และคุ้นเคย ไม่เพียงแต่ท่ามกลางวิศวกร แต่ท่ามกลางผู้บริโภคที่ซื้อคอมพิวเตอร์ทั่วโลกด้วย
แอนดี้ โกรฟ ได้เพิ่มแนวคิดที่สำคัญสองอย่างเข้ามากับโมเดลพลังห้าตัวของไมเคิล พอร์เตอร์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คือ จุดผกผันทางกลยุทธ์ และการเพิมพลังตัวที่หกเข้ามา
คือ ผลิตภัณฑ์ร่วม เช่น ไมโครซอฟท์ วินโดว์ คือผลิตภัณฑ์ร่วมกับชิปของอินเทล ไมโครซอฟท์เป็นอะไรกับอินเทล ไม่ใช่ลูกค้า ซัพพลายเออร์ หรือคู่แข่งขัน อินเทลและไมโครซอฟท์คือสิ่งที่เราใช้ถ้อยคำว่า ผู้สร้างผลิตภัณฑ์ร่วม
ซอฟท์แวร์วินโดว์ของไมโครซอฟท์จะเป็นส่วนประกอบกับเพนเทียมชิปของอินเทล การสร้างคุณค่ามากขึ้นแก่ผลิตภัณฑ์แต่ละอย่าง
แอนดี้ โกรฟได้เสนอแนะโมเดลของพลังหกตัวเพื่อการระบุจุดผกผันทางกลยุทธ์ เขาได้เริ่มต้นกับโมเดลพลังห้าตัวของไมเคิล พอร์เตอร์ ด้วยการเพิ่มพลังตัวที่หกเข้ามาคือ ผลิตภัณฑ์ร่วม ไมเคิล พอร์เตอร์ ได้กล่าวถึงโมเดลพลังห้าตัวของอุตสาหกรรมภายในบทความเรื่อง How Competitive Forces Shape Strategy วารสารของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พลังหกตัวของแอนดี้ โกรฟ ได้แก่ 1 การแข่งขัน การประเมินคู่แข่งขันที่มีอยู่ภายในอุตสาหกรรม 2 คู่แข่งขันรายใหม่ การประเมินการเข้ามาของคู่แข่งขันรายใหม่ และอุปสรรคของการเข้ามา 3 ลูกค้า การประเมินอำนาจการต่อรองของลูกค้า 4 ซัพพลายเออร์ การประเมินอำนาจการต่อรองของซัพพลายเออร์ 5 ผลิตภัณฑ์ทดแทน การประเมินผลิตภัณฑ์ทดแทน การใช้ทดแทนกันได้ดีแค่ไหน 6 ผลิตภัณฑ์ร่วม การประเมินผลิตภัณฑ์ร่วม การใช้ร่วมกันได้ดีแค่ไหน
การเพิ่มพลังตัวที่หกของแอนดี้ โกรฟ จะมีรากฐานที่เข้มแข็งทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ตำราเศรฐศาสตร์ยืนยันว่าทั้งผลิตภัณฑ์ร่วมและผลิตภัณฑ์ทดแทนจะมีอิทธิพลต่ออุปสงค์ภายในอุตสาหกรรม สุขภาพของอุตสาหกรรมย่อมจะขึ้นอยู่กับการมีอยู่ของอุปทานผลิตภัณฑ์ร่วมอย่างเพียงพอ เพื่อที่จะระบุจุดผกผันทางกลยุทธ์ แอนดี้ โกรฟได้เสนอแนะการตรวจสอบสภาพแวดล้อม เพื่อที่จะค้นหาการเปลี่ยนแปลง “10X” ของการเปลี่ยนแปลงพลังตัวใดของพลังหกตัวเหล่านี้ที่กระทบต่อโชคชะตาของธุรกิจ แอนดี้ โกรฟ ได้เรียกการเปลี่ยนแปลงใหญ่มากของพลังเหล่านี้ว่า 10 x Forces หมายถึงการเปลี่ยนแปลงสิบเท่า ดังนั้นเราต้องทำการวิเคราะห์พลังหกตัว และค้นพบว่า
บางสิ่งบางอย่างภายในโลกได้มีการเปลี่ยนแปลงทางรากฐาน เราจะอยู่ ณ จุดผกผันทางกลยุทธ์
แอนดี้ โกรฟ จะเป็นเสาหนึ่งของซิลิคอน แวลลี่ย์ และเป็นสัญลักษณ์ของ
วิวัฒนาการของพิวเตอร์ไปทั่วโลก หนังสือทางธุรกิจของเขาได้กลายเป็นลัทธิคลาสสิคภายในซิลิคอน แวลลี่ย์ อย่างไร เบรน เชสคี ซีอีโอของแอร์บีเอ็นบี ได้กล่าวถึงมันว่าเป็นหนังสืออ้างอิงของเทคนิคการบริหารของเขา อีแวน วิลเลียมส์ ผู้ก่อตั้งร่วม ทวิทเตอร์ ได้แนะนำมันแก่บุคคลทุกคนของเขา
หนังสือเล่มนี้คือ High Output Management หนังสือทางธุรกิจพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ 1983 ในขณะที่ซีอีโอของธุรกิจใหม่ปัจจุบันยังไม่ถอดผ้าอ้อม หรือแม้แต่เกิดเลย เมื่อเว็บไซต์ไม่ได้มีอยู่
และเมื่อสื่อทางสังคมหมายถึงกลุ่มของบุคคลนั่งรายรอบดูข่าวตอนเย็นด้วยกัน แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมีผู้เขียนหนังสือที่มีชื่อเสียง แต่ถ้าภายนอกซิลิคอน แวลลี่ย์ หนังสือเล่มนี้จะถูกรู้จักน้อยกว่าหนังสือทางการบริหารเล่มหนึ่งของเขาคือ Only the Paranoid Survive หนังสือลัทธิคลาสสิคภายในวงจรเทคโนโลยี และไม่เคยมีการรับรู้ชื่อเหมือนกับหนังสือทางธุรกิจเล่มอื่นเมื่อ ค.ศ 1980 เช่น In Search of Excellence, Build to Last และ The Innovator’s Dilema
แอนดี้ โกรฟ จะเป็นประธานบริษัทและซีิอีโอที่ยาวนานของอินเทล เขาคือผู้บุกเบิกของยุคดิจิตอล ผู้ช่วยชีวิตของอินเทล แต่ก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงทางธุรกิจ แอนดี้ โกรฟ ได้รอดชีวิตจากความโหดร้ายที่น่ากลัวมาแล้ว
มารค แอนเดรสเซ็น ที่ปรึกษาการลงทุน ได้กล่าวว่า ถ้าเราจะเลือกบุคคลหนึ่งที่สร้างซิลิคอน แวลลี่ย์แล้ว บุคคลนั้นคือแอนดี้ โกรฟ แอนดี้ โกรฟ เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของซิลิคอน แวลลี่ย์
แอนดี้ โกรฟ เขียนบทความทางเทคนิคมากกว่าสี่สิบเรื่อง แลเขาจะครอบครองสิทธิบัติทางเทคโนโลยีและอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำหลายใบ หนังสือหลายเล่มของเขาได้ถูกต้อนรับอย่างดี
ผลกระทบของแอนดี้ โกรฟ ต่ออุตสาหกรรม ได้เลยพ้นไปจากกำแพงของอินเทล ผู้ประกอบการและผู้บริหาร ได้มองเขาเป็นผู้ให้คำปรึกษาคนหนึ่ง เขาจะมีชื่อเสียงจากความเอื้อเฟื้อเวลาแก่ผู้นำทางเทคโนโลยีวัยหนุ่มสาว การให้คำปรึกษาแก่บิลล์ เกตส์ สตีฟ จ้อป แลรรี่ อัลลิสัน และมารค ซัก
เกอร์เบิรค เป็นต้น
แอนดี้ โกรฟ จะส่งเสริมวัฒนธรรมงานที่ถูกสร้างจากการเผชิญหน้าแบบสร้างสรรค์ ความคิดจะถูกท้าทายและถูกวิเคราะห์อย่างรุนแรง แม้แต่ความคิดของแอนดี้ โกรฟ เองจะไม่ถูกยกเว้น ผู้บริหารได้พูดตะโกนใส่เขาภายในการประชุม ความลับของความสำเร็จภายในการโต้เถียงกับแอนดี้ โกรฟ คือ การสนับสนุนข้อเสนอด้วยข้อมูลและสนับสนุนความคิดด้วยข้อเท็จจริง การมุ่งกลยุทธ์และความสำเร็จอย่างเข้มงวดได้กลายเป็นส่วนสำคัญทางมรดกของซิลิคอน แวลลี่ย์ของแอนดี้ โกรฟ
แอนดี้ โกรฟ ได้เชียนหนังสือที่ขายดีที่สุดรวมทั้ง High Output Management และ Only the Paranoid Survive ห่อหุ้มด้วยปรัชญาดาร์วินของเขา และได้ช่วยให้ซิลิคอน แวลลี่ย อยู่บนลู่วิ่งของการปรับปรุงตัวเองอย่างไม่ย่อท้อ
ซีอีโอในขณะนี้ของอินเทล ได้กล่าวถึงการสูญเสียชีวิตของแอนดี้ โกรฟ ไว้ว่า “เราเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของซีอีโออินเทลก่อนหน่านี้ แอนดี้ โกรฟ แอนดี้ได้ทำความเป็นไม่ได้ให้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า และได้บันดาลใจผูู้สร้างเทคโนโลยี ผู้ประกอบการ และผู้นำธุรกิจ”
แอนดี้ โกรฟ ได้เขียนบทความวิจารณ์ซิลิคอน
แวลลี่ย์ว่า ซิลิคอน แวลลี่ิ ได้สิ้นเปลืองกับข้อได้เปรียบทางการแข่งขันภายในนวัตกรรม แต่ได้ล้มเหลวกับการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของงานที่เข้มแข็งภายในอเมริกา เขายอมรับว่า บริษัทที่ว่าจ้างคนงานและสร้างโรงงานภายในเอเซียจะถูกกว่าและทำกำไรสูง
กว่าภายในอเมริกา แต่ตามมุมมองของเขาแล้ว ต้นทุนของเอเชียได้กำบังราคาที่สูงของการจ้าง
งานต่างประเทศ เมื่อวัดจากงานและความเชี่ยว
ชาญที่สูญเสียไป ซิลิคอน แวลลี่ย์ เข้าใจผิดถึงความรุนแรงของการสูญเสียเหล่านี้ ความเชื่อที่ผิดต่อพลังของธุรกิจใหม่ที่จะสร้างงานแก่ชาวอเมริกัน แอนดี้ โกรฟ ได้เปรียบเทียบระยะเริ่มต้นของธุรกิจกับระยะขยายขนาด เมื่อมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ เมื่อเทคโนโลยีผ่านจากต้นแบบไปสู่การผลิตจำนวนมาก ทั้งสองอย่างจะมีความสำคัญ แต่การขยายขนาดจะเป็นเครื่องยนต์เพื่อการเจริญเติบโตของงาน และการขยายขนาดไม่ได้เกิดขึ้นภายในอเมริการต่อไปอีกแล้ว ถ้าปราศการสร้างขนาด เราไม่เพียงแต่จะสูญเสียงาน เราจะสูญเสียการยึดครองเทคโนโลยีใหม่ของเราด้วย และในที่สุดจะทำลายความสามารถทางนวัตกรรมของเรา
ความผูกพันต่อการผลิตบนรากฐานของชาวอเมริกัน ยังไม่ได้เป็นแผนทางธุรกิจของซิลิคอน แวลลีย์ หรือแผนทางการเมืองของอเมริกา การละเลยนั้นจะเป็นผลลัพธ์จากความจริงที่ชัดเจนอย่างไม่มีข้อสงสัยว่า ตลาดเสรีนั้นดีที่สุดต่อระบบเศรษฐกิจ ยิ่งเสรีเท่าไรยิ่งดีขึ้นเท่านั้น แต่ตามมุมมองของแอนดี้ โกรฟ ความเชื่อนั้นจะมีข้อบกพรอง
ชัยชนะของหลักการตลาดเสรีต่อระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนเมื่อศตวรรษที่ 20 ไม่ได้ทำให้หลักการเหล่านั้นไม่มีข้อผิดพลาดหรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราจะมีโอกาสของการปรับปรุง เราจะเรียกว่าเศรษฐกิจและการเมืองที่งานเป็นศูนย์กลาง ภายในระบบที่งานเป็นศูนย์กลาง การสร้างงานจะเป็นเป้าหมายหมายเลข 1 ของชาติ รัฐบาลต้องกำหนดลำดับความสำคัญรวมพลังที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมาย และธุรกิจไม่เพียงแต่จะดำเนินงานเพื่อผลประโยชน์ของกำไรเท่านั้น แต่ต้องเป็นผลประโยชน์ของบุคคลที่ต้องถูกว่าจ้างด้วย
เมื่อแอนดี้ โกรฟ ได้เขียนข้อวิจารณ์ของเขา เขาจะห่วงใยต่อผละกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจที่สึกกร่อนของการว่างงาน 9.7% ทั่วประเทศ การว่างงานได้ลดลงมากนับแต่นั้นมา แต่ปํญหาจะยืนหยัดอยู่ งานที่ไม่มั่นคง งานไม่เต็มเวลาที่รายได้ต่ำ และงานที่ไม่ก้าวหน้าจะมีอยู่ทั่วไป ภายใต้การสะกดรอยทางการรณรงค์ ชาวอเมริกันจำนวนมากได้ถูกจูงใจบนรากฐานของของความไม่เสมอภาคทางสังคมและเศรษฐกิจที่แท้จริงและรับรู้
สภาวะได้เลวลงจากวิถีทางอื่น เมื่อ ค.ศ 2010 ข้อโต้แย้งต่อการวิจารณ์ของแอนดี้ โกรฟ คือ การส่งออกงานไม่เป็นไรตราบเท่าที่กำไรของบริษัทจะอยู่ภายในอเมริกา เพียงแต่บริษัทอเมริกันได้สนับสนุนกำไรของพวกเขาด้วยการส่งออกงานเท่านั้น
แอนดี้ โกรฟ ได้เขียนว่า เราทุกคนภายในธุรกิจมีความรับผิดชอบที่จะรักษารากฐานทางอุตสาหกรรมที่เราพึ่งพาอยู่ และสังคมสามารถปรับตัว – และเสถียรภาพ – เราอาจจะสมมุติว่าจริงไปเอง ซิลิคอน แวลลี่ย์และบริษัทอเมริกันยังมีชีวิตอยู่กับหลักการนั้น
คำแนะนำของแอนดี้ โกรฟ เราต้องกลัว กลัวไว้ให้มาก ความสำเร็จทางธุรกิจจะสร้างเมล็ดพันธู์การทำลายของตัวมันเอง ความสำเร็จทำให้เกิดความหลงพึงพอใจ ความหลงพึงพอใจทำให้เกิดความล้มเหลว ความหวาดระแวงเท่านั้นที่อยู่รอด
เรายิ่งบรรลุความสำเร็จมากเท่าไร บุคคลยิ่งมากขึ้นต้องการชิ้นของธุรกิจของเรา ชิ้นแล้วชิ้นเล่า จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย แอนดี้ โกรฟ เชื่อว่าความกลัวบางระดับจะทำให้ธุรกิจมีสุขภาพดี โดยเฉพาะถ้าธุรกิจบรรลุความสำเร็จ นักวิชาการจากคณะบริหารธุรกิจที่ได้ศึกษาแอนดี้ โกรฟ กล่าวว่า การสัมผ้สความหวาดระแวง – ความสงสัยว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงต่อต้านเรา – คือสิ่งที่แอนดี้ โกรฟ
ได้บัญญัติไว้ วารสารอีโคโนมิสท์ ได้อธิบายการประยุกต์ใช้ของสิ่งที่เรียกว่าหลักการความหวาดระแวงของแอนดี้ โกรฟ ไว้ต่อไปนี้ แอนดี้ โกรฟ ยืนยันว่าบริษัททุกบริษัทจะเผชิญกับการบรรจบกันของพลังภายนอกและภายในที่มักจะไม่ได้คาดคะเนไว้
ถ้อยคำของแอนดี้ โกรฟ ได้ถูกรำลึกไปทั่วโลกจากการปลุกให้ตื่น เนื่องจากการสูญเสียชีวิตของเขา ความสนใจได้กลับไปที่บทความการตกต่ำของโนเกีย ความหวาดระแวงที่มีชื่อเสียงของแอนดี้ โกรฟ ได้ช่วยเขานำทางอินเทลผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่จากชิ้ปหน่วยความจำไปสู่ไมโครโพรเซสเซอร์ แต่ความกลัวที่สร้างขึ้นจากความเป็นผู้นำของโนเกียได้ล้มเหลที่จะสร้างสมารทโฟนรุ่นต่อไป ตอบสนองต่อไอโฟนของแอปเปิ้ล
ด้วยเหตุนี้แอนดี้ โกรฟ จะกระตุ้นให้ผู้บริหารอาวุโสของอินเทลยอมให้บุคคลทดสอบเทคนิคใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่ ช่องทางการขายใหม่ และลูกค้าใหม่ พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้คาดหมายจากเทคโนโลยี
เขาจะเป็นบุคคลหนึ่งที่ไม่ยอมให้อินเทลตกเป็นเหยื่อของมัน แอนดี้ โกรฟ ได้ให้เหตุผลว่า
บริษัทจะเป็นสิ่งมีชิวิตอย่างหนึ่ง มันต้องลอกคาบอย่างต่อเนื่อง วิธีการต้องเปลี่ยนแปลง จุดมุ่งต้องเปลี่ยนแปลง ค่านิยมต้องเปลี่ยนแปลง ผลรวมของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คือ การปฏิรูป การรวมหัวกันทำให้กลยุทธ์ทางธุรกิจเดิมมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ณ อินเทล จุดผกผ้นทางกลยุทธ์นั้นได้เกิดขึ้นเพราะว่าธรุกิจหน่วยความจำได้ถูกลอบโจมตีอย่างรุนแรงด้วยคู่แข่งขันจากญี่ปุนที่ได้ตัดราคาจากทุกราคาของอินเทล นักวิชาการสองคนยืนยันว่า แอนดี้ โกรฟ ได้นำเสนอกรอบข่ายพลังหกตัวเพื่อที่จะระบุจุดผกผันทางกลยุทธ์ เขาได้เริ่มต้นจากโมเดลพลังห้าตัวของไมเคิล พอร์เตอร์ : ลูกค้า ซัพพลายเออร์ คู่แข่งขัน คู่แข่งขันรายใหม่ และผลิตภัณฑ์ทดแทน เขาได้เพิ่มพลังตัวที่หกคือ ผลิตภัณฑ์ร่วมกัน แอนดี้ โกรฟ ต้องการความมั่นใจว่า ถ้าเรามีโอกาสที่ผลลัพธ์โค้งออก อินเทลจะต้องวางตำ
แหน่งหาประโยชน์ และถ้าเรามีโอกาสที่ผลลัพธ์
โค้งเว้า อินเทลจะต้องวางตำแหน่งหลีกเลี่ยงอันตราย
แอนดี้ โกรฟ ได้สรุปบันทึกความทรงจำของเขา Swimming Across ว่า ผมยังคงว่ายอยู่ นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของชีวิตของการกระทำไม่เคยหยุดที่จะชนะอุปสรรค การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และมุ่งมั่นจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผู้บริหาร และประชาชนที่ดี เวทย์มนต์ของการว่ายอยู่ต่อไป
จะสำคัญต่อความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นงานหรือบทบาทอะไรภายในชีวิตของเรา มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ทุกอย่าง ความสมบูรณ์เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่สำคัญคือการมุ่งไปข้างหน้าอยู่ต่อไป การทำให้ดีขึ้น และไม่เคยหยุดการว่าย
หนังสือทางธุรกิจของแอนดี้ โกรฟ ได้เปลี่ยนแปลงโลกอย่างไร เขาได้เปลี่ยนแปลงวิถีทางที่เรามองเทคโนโลยี ธุรกิจ และการบริหาร…….. ตลอดไป
บุคคลหลายคนอาจจะคิดว่าแอนดี้ โกรฟ เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับผู้บุกเบิกเทคโนโลยีเหมือนเช่นบิลล์ เกตส์ และสตีฟ จ้อป ที่จริงแล้วแอนดี้ โกรฟ จะเป็นรุ่นก่อนหน้านี้ และเป็นผู้อำนวยการพัฒนา ณ แฟร์ไชด์ เซมิคอนดัคเตอร์ เขาได้บุกเบิกเทคโนโลยีพื้นฐานที่ต่อมาบิลล์ เกตส์ และสตีฟ จ้อป ได้มองข้ามคุณค่าไป เมื่อแอนดี้ โกรฟได้เขียนตำราคลาสสิคชื่อ Phisics and Technology of Semiconductor Devices วงจรรวมยังมีอายุไม่ถึงสิบปี และเมนเฟรม 360 ไอบีเอ็มมีอายุสองปีเท่านั้น ตำราเล่มนี้ได้อธิบายถึงเคมีของสารกึ่งตัวนำแก่นักบุกเบิกเทคโนโลยี
ชื่อของแอนดี้ โกรฟ จะมีความหมายทางปฏิบัติอย่างเดียวกับซิลิคอน ภายนอกซิลิคอน แวลลี่ย์ บุคคลจะรู้จักแอนดี้ โกรฟจากถ้อยคำพูดทีมีชื่อเสียงของเขา ความสำเร็จจะสร้างความหลงพึงพอใจ ความหลงพึงพอใจจะสร้างความล้มเหลว ชื่อหนังสือขายดีที่สุดของเขา Only the Paranoid Survive ค.ศ 1966 ได้กลายเป็นเวทมนตร์ภายในชุมชนทางธุรกิจ
สำนักงานของแอนดี้จะเป็นคอกทำงาน 8×9 ฟุต เหมือนกับบุคคลอื่น เขาได้กล่าวว่า ผมอยู่ภายในคอกทำงานตั้งแต่ ค.ศ 1978 และมันไม่ได้ทำร้ายจิตใจเลย ผมชอบบรรยากาศความเสมอภาค การทำให้พื้นที่การทำงานเข้าหาได้แก่ใครก็ตามที่เดินผ่าน เราจะไม่มีที่จอดรถยนต์ที่กันไว้ และแอนดี้ โกรฟจอดรถยนต์ที่ไหนก็ตามถ้ามีพื้นที่ บรรยากาศ ณ การทำงานนี้ส่วนหนึ่งได้สะท้อนชีวิตส่วนบุคคลของเขา เขาจะไม่วางตัวและไม่โอ้อวด เขาจะไม่ใช้รถยนต์ราคาแพงหรือเครื่องบิน
แอนดูว์ สตีเฟน (แอนดี้) โกรฟ เกิดที่ฮังการี พ่อแม่เป็นชาวยิว และได้ใช้ชื่อเกิดของผมว่า Andra’s Isva’n Gro’f เพื่อที่จะรอดชีวิตจากยึดครองของนาซี แอนดี้ โกรฟและแม่ของเขาต้องใช้ชื่อปลอม และอาศัยอยู่กับเพื่อน แอนดี้ โกรฟ ได้เขียนบันทึกความทรงจำของเขาไว้ว่า ณ เวลานั้น ผมมีอายุยี่สิบปี ผมมีชีวิตอยู่ภายใต้เผด็จการฟาสซิสท์ฮังการี การยึดครองของทหารเยอรมัน การแก้ปัญหาชาวยิวครั้งสุดท้ายของนาซี การโอบล้อมบูดาเพสท์ของกองทัพแดงรัสเซีย ช่วงเวลาของประชาธิบไตยที่วุ่นวายภายหลังสงคราม ระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ที่ปราบปราม และการลุกขึ้นต่อสู้ที่ใช้ปืนจ่อหัว…….. บุคคลวัยหน่มสาวหลายคนได้ถูกฆ่า บุคคลนับไม่ถ้วนถูกกักตัว ชาวฮังการีหลายคนหลบหนีไปตะวันตกรวมทั้งผม
รัสเซียได้ยึดครองประเทศของเขา และเมื่อ ค.ศ 1956 ชาวฮังการีได้
ลุกขึ้นต่อสู้ ทหารรัสเซียที่ยึดครองได้จับลุงของเขา นักหนังสือพิมพ์ และหนังสือพิมพ์ได้เริ่มต้นไม่ยอมพิมพ์บทความของแอนดี้ โกรฟ และอาชีพหนังสือพิมพ์ได้สูญเสียความดึงดูดแก่เขาไป ชื่อของหนังสือ Swimming Across ได้อ้างอิงเรื่องราวที่ครูสอนวิชาฟิสิคส์ คนหนึ้่งของแอนดี้ โกรฟ ได้บอกเล่า เขาได้กล่าวแก่พ่อแม่ของเขาว่าชีวิตจะคล้ายกับทะเลสาป และลูกทุกคนของพวกเขากำลังพยายามว่ายข้ามไป ไม่ใช่ว่าลูกทุกคนจะว่ายข้ามได้ แต่ลูกคนหนึ่ง ผมแน่ใจจะว่ายขัามได้ ลูกคนนั้นคือแอนดี้ โกรฟ
แอนดี้ โกรฟ จะมีชีวิตที่ได้ถูกสร้างเป็นหนังสือประวัติ เขาเกิดที่บูดาเพสท์ ฮังการี เมื่อ ค.ศ 1936 เขาเกือบจะถูกฆ่าเมืออายุสี่ปี เมื่อเขาได้ติดโรคไข้ดำแดง และทำให้เขาเกิดหูตึงตลอดชีวิต
เขาจะเป็นเด็กวัยหัดเดินเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองได้เริ่มต้น เมือเขาอายุแปดปี นาซีได้ยึดครองฮังการี และส่งชาวยิวเกือบ 500,000 คนไปยังค่ายกักกัน แอนดี้ โกรฟ และเพื่อนของเขาต้องติดดาวสีเหลืองของเดวิด แม่ของเขาต้องปลอมชื่อ และเพื่อนได้ช่วยชีวิตไว้ พ่อของเขาได้ถูกส่งไปที่ค่ายกักกันแรงงาน เพือนของเขาหลายคนได้เสียชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พ่อของเขารอดชีวิตจากค่ายกักกันแรงงานและได้กลับมาอย่างผ่ายผอม ตั้งแต่วัยรุ่นแอนดี้ โกรฟ ได้กล่าวว่าเขาต้องการเป็นนักหน้งสือพิมพ์ เขาได้เปิดเผยประวัติเริ่มแรกชีวิตของเขาภายในการสัมภาษณ์กับวารสารไทม์เมื่อ ค.ศ 1997 เมื่อเขาได้ถูกเรียกชื่อว่าบุคคลแห่งปี ต่อมาเขาได้เขียนบันทึกความทรงจำของเขามากขึ้นภายใน Swimming Across บันทึกความทรงจำส่วนตัวเล่มนี้ได้ถูกพิมพ์เมื่อ ค.ศ 2002 ภายในหนังสือเล่มนี้เขาได้เปิดเผยว่าแม่ของเขาได้ถูกข่มขืนจากทหารรัสเซีย
แอนดี้ โกรฟ จะมีชืวิตอยู่ภายในซิลิคอน แวลลี่ย์ แต่เขาได้เกิดไปไกลมากที่ฮังการี เขาได้มาที่อเมริกาประมาณห้าสิบปีแล้ว เขาได้เกิดด้านที่ผิดของประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ของเขาภายในฮังการี
ได้กลายเป็นอย่าทำบางสิ่งบางอย่างอย่างไร ณ มหาวิทยาลัย เราสามารถมองเห็นได้จากอินเทลและวัฒนธรรมอินเทล แอนดีิ้ โกรฟ จะตรงกันข้ามอย่างมากต่อสิ่งที่เป็นประสบการณ์ของเขาจากฮังการี เราควรจะยอมรับว่าสตีฟ จ้อป บิลล์ เกตส์ และแอนดี้ โกรฟ คือบุคคลสามคนที่วางคอมพิวเตอร์บนโต๊ะของบุคคลทุกคน
เขามาที่นี่อย่างไม่มีอะไรเลย เพียงแต่เสื้อเชิรตบนหลังของเขา เขาคลานออกมาจากฮังการี เขาได้ทิ้งพ่อแม่ไว้บนหัวมุมถนน เขาไม่รู้จะข้ามพรมแดนได้หรือไม่ เกือบห้าสิบปีแล้วจนถึงวันนี้ เขาได้เริ่มต้นศึกษาที่ซิตี้ คอลเลคทันที เนื่องจากไม่มีเงิน และไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิรคลรีย์ มหาวิทยาลัยของรัฐ เพราะว่าเขาไม่มีเงิน แอนดี้โกรฟ ในฐานะของผู้บำเพ็ญประโยชน์ได้มุ่งที่การชดใช้คืน
ภายใต้การเจริญเติบโตอย่างน่าทึ่งของอุตสาหกรรม ณ อินเทล แอนดี้ โกรฟ ได้
แสดงความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ที่ไม่ธรรมดา ความรับผิดชอบของเขาจะมีตั้งแต่การควบคุม
และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อที่จะนำทางความเชี่ยวชาญของอินเทลไปสู่ยุคใหม่ การทำให้อินเทลเป็นบริษัทหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและบรรลุความสำเร็จมากที่สุดภายในโลก เขาได้ถูกยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งของทั้งเทคโนโลยีและการบริหาร
แอนดี โกรฟ ได้ไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยทั่วโลก เขาจะเป็นผู้บรรยาย ณ การประชุมทางอีเล็คโทรนิคที่สำคัญทุกครั้ง เขาได้สอนวิชาฟิสิคส์อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
เบิรคลี่ย์ หกปี เขาจะเป็นผู้บรรยายที่คณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดด้วย หนังสือสี่เล่มของเขาได้ถูกต้อนรับอย่างดี เขาได้เขียนตำราชื่อ Physics and Technology of Semiconductors Devices ตำราเล่มนี้ได้ถูกใช้และ
ยกย่องอย่างกว้างขวาง แอนดี้ โกรฟ ได้เขียนหนังสือหกเล่ม หนังสือเล่มหนึ่งจะเป็นกรณีศึกษาเขียนร่วมกับโรเบิรต เบอร์เกิลแมน เพื่อนร่วมงานมายาวนานของเขา ณ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
โดยข้อเท็จจริงแอนดี้ โกรฟ ได้เขียนเอกสารไว้จำนวนมาก ไม่มีซีอีโอคนไหนภายในประวัติศาสตร์ทางธุรกิจของอเมริกาจะมีผลผลิตทางการเขียนเท่ากับเขา ไม่คิดว่าเขาอาจจะมีนักเขียนรับจ้าง
และหนังสือเล่มเดียวเท่านั้นจากหกเล่มที่เขาได้เขียนร่วมนั่นคือกรณีศึกษาชื่อ Strategic Dynamics
แอนดี้ โกรฟ ยืนยันว่าการมองความเป็นผู้นำสำคัญกว่าการบริหารจะไม่ถูกต้อง เขามองว่าเราต้องการความสามารถทั้งสองอย่าง แอนดี้ โกรฟ ได้แสดงมุมมองของเขาด้วยการเปรียบเทียบกับนักเทนนิส นักเทนนิสต้องมีทั้งตีลูกหน้ามือและหลังมือ และไม่มีนักเทนนิสคนไหนดีทั้งสองอย่างเท่าเทียมกัน แต่เราไม่ได้พูดเกี่ยวกับการตีลูกหน้ามือและหลังมือ ภายใต้มุมมองทางปฏิบัติของเขาแล้ว เราควรจะบริหารเมื่อการบริหารถูกต้องการ และเราควรนำเมื่อความเป็นผู้นำถูกต้องการ
ชื่อของหนังสือ Only The Paranoid Survive ได้สรุปการชอบต่อสู้ที่มีชื่่อ
เสียงของเขาและการบริหารวิกฤต หนังสือได้ให้ถ้อยคำหนึ่งที่มีอิทธิพล
แก่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีคือ จุดผกผันทางกลยุทธ์ ดังที่แอนดี้ โกรฟ ได้กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงวิถีทางที่เราคิดและกระทำ เวลาที่
ี่บริษัทต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงหรือตาย แอนดี้ โกรฟ ได้เขียนไว้ว่า
บ่อยครั้งบนเส้นทางของการข้ามจุดผกผันทางกลยุทธ์ บุคคลของเราอาจจะสูญเสียความเชื่อมั่นต่อเราและระหว่างกัน และที่เลวร้าย เราสูญเสียความเชื่อมั่นต่อตัวเราเอง ณ บางเวลาผู้นำอาจจะกำหนดทิศทางใหม่ที่คลุมเครือ
ปัจจุบันจุดผกผันทรงกลยุทธ์ได้ถูกใช้อย่างกว้างขวางเป็นสัญญานการเปลี่ยนแปลงรากฐานภายในเทคโนโลยี
แอนดี้ โกรฟ ไม่ได้เป็นนายที่ไม่เข้มงวดและเปลี่ยนใจง่าย เขาจะมีชื่อเสียงกับการร้องตะโกนอย่างโมโห และเขารู้สึกว่าบุคคลเป็นหนี้บริษัท และต้องทุ่มเทตามที่เขาต้องการ เรื่องราวเกี่ยวกับเขาเดินไปที่ลานจอดรถยนต์ของอินเทลตอนเช้า และตรวจดูว่าใครมาทำงานแล้ว บุคคลที่มาหลังแปดโมงจะต้องลงเวลาทำงานสาย เขาจะรักษาโครงสร้างการบริหารให้แบนและเข้าหาได้ การยกเลิกห้องทำงานผู้บริหาร แอนดี้ โกรฟจะทำงานอยู่ภายในคอกทำงานเหมือนกับบุคคลอื่นของอินเทล
แอนดี้ โกรฟ ได้กล่าวว่่า ถ้าเราจะขัามผ่านหุบเหวแห่งความตายได้สำเร็จ เราต้องสร้างภาพความคิดของสิ่งที่บริษัทควรจะดูคล้ายกับอะไร เมื่อเราได้ข้ามไปด้านหนึ่ง ภายใต้จุดหักเหทางvกลยุทธ์เมื่อ ค.ศ 1985 เมื่อญี่ปุ่นได้เข้ามาภายในธุรกิจชิัปหน่วยความจำคล้ายกับรถบดถนนกระแทกอินเทลและบริษัทอเมริกันอื่น เราต้องออกไปจากธุรกิจชิ้ปหน่วยความจำ วิสัยทัศน์ภายในใจของแอนดี้ โกรฟคือ อินเทลจะเป็นบริษัทไมโครโพรเซสเชอร์
ภายในปีเดียวกับที่อินเทลได้ก่อตั้ง ดักกลาส แองเจิลบารท นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเสียง และได้ถูกยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งกรุ็ปแวร์ เขาได้มีการสาธิตศักยภาพของคอมพิวเตอร์ ด้วยการใช้เม้าส์ วินโดว์ เวิรดโพรเซสซิ่ง และเทคโนโลยีอื่น แสดงอนาคตของคอมพิวเตอร์ ต่อหน้าผู้ฟังภายในซานฟรานซิสโก เขาได้เรียกการแสดงครั้งนี้ว่า “แม่ของทุกการสาธิต” ภายหลังสามปีของการก่อตั้งอินเทลและการสาธิตนี้ ชื่อของซิลิคอนิแวลลี่ย์ ได้ปรากฏขึ้นมาครั้งแรกเมื่อ ค.ศ 1971
มารค แอนเดรสเซ็น ได้ยกย่องแอนดี้ โกรฟ ว่า ผู้สร้างบริษัทที่ดีที่สุดเท่าซิลิคอน แวลลลี่ย์ ได้เคยเห็น
นับตั้งแต่บิลล์ ฮิวเลตต์ และเดวิด แพคการ์ด ผู้ก่อตั้งฮิวเลตต์-แพคการ์ด แล้ว ไม่มีผู้นำซิลิคอน แวลลี่ย์คนไหนจะมีอิทธิพลเทียบเท่าแอนดี้ โกรฟ ต่อยุคของบุคคลภายในโลกของเทคโนโลยี
ภายใต้แอนดี้ โกรฟ อินเทลได้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการแข่งขันที่รุนแรงมากของซิลิคอน แวลลี่ย์ โลกที่ความหวาดระแวงเท่านั้นที่อยู่รอด และเขาได้ใช้
เป็นชื่อหนังสือที่มีชื่อเสียงของเขา Only the Paranoid Survive แอนดี้ โกรฟ กลัวว่าซิลิคอน
แวลลีย์ กำลังสูญเสียความสามารถทางขนาด การเริ่มต้นธุรกิจใหม่อย่างขนาดเล็ก และทำให้เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ การแข่งขันจะเป็นเชื้อของการเจริญเติบโต และอเมริกาปัจจุบันจะนำโลกภายใน
เซมิคอนดัคเตอร์
อินเทล ได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อปลาย ค.ศ 1970 บริษัทเกือบจะล้มเหลวเนื่องจากคู่แข่งขันจากญี่ปุ่น พวกเขาจะผลิตชิ้ปหน่วยความจำ ณ ต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก และได้เริ่มต้นทุ่มตลาดภายในอเมริกาด้วยการลดราคาลง อินเทล กำลังเผชิญกับวิกฤต แอนดี้ โกรฟิ ได้ปรับปรุงโครงสร้างการผลิตของอินเทล การมุ่งการผลิตชิปหน่วยความจำน้อยลง และได้วางเดิมพันบริษัทกับการเป็นหุ้นส่วน
ทางธุรกิจไมโครโพรเซสเซอร์กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของไอบีเอ็ม
แทนการปลดบุคคลออกจากงานภายในการเผชิญกับการแข่งขันจากต่างประเทศ แอนดี้ โกรฟ ได้สั่งการบุคคลทำงานล่วงเวลา 25% โดยไม่ได้รับเงิน เขาได้ลดต้นทุนการผลิตลงอย่างมาก และเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น กลยุทธ์ของแอนดี้ โกรฟ ได้บรรลุความสำเร็จ และอินเทลจะเริ่มต้นชนะคู่แข่งขันจากญี่ปุน
แอนดี้ โกรฟ ได้พิมพ์หนังสือชื่อ High Output Management เมื่อ ค.ศ 1982 อธิบายการปรับปรุงโครงสร้างการผลิตของอินเทลอย่างไร และกลยุทธ์
ที่อเมริกาต้องการ เพื่อที่จะชนะคู่แข่งขันจากเอเชียภายในการผลิตไฮเทคโนโลยี และถูกแปลเป็น 11 ภาษา และยังคงเสนอขายจากอเมซอนด้วยระดับสี่จุดห้าดาวอยู่่
ณ อินเทล แอนดี้ โกรฟ ได้สร้างการเจริญเติบโตจากบริษัทไม่กี่พันเหรียญภายในปีแรกของเขา จนกลายเป็นบริษัทยี่สิบพันล้านเหรียญระหว่างปีสุดท้ายในฐานะซีอีโอของเขา ที่สำคัญมากขึ้น อินเทล จะเป็นเหตุผลพื้นฐานอย่างหนึ่งของการเจริญเติบโตของซิลิคอน แวลลี่ย์และยุคของคอมพิวเตอร์ สตีฟ จ้อป ได้มองแอนดี้ โกรฟ ว่าเป็นบุคคลที่เป็นไอดอลส่วนบุคคลของเขา นอกเหนือจากการเป็นผู้บริหารบริษัทแล้ว แอนดี้ โกรฟ จะเป็นผู้ใจบุญด้วยการสนับสนุนการศึกษาขั้นสูง และเป็นคณะกรรมการไออาร์ซี องค์การที่ก่อตั้งโดยผู้อพยพชื่อ อัลเบิรต ไอสไตน์ เขาต้องการสร้างโลกให้เป็นสถานที่ที่ดีขึ้น
Cr : รศ สมยศ นาวีการ