ทฤษฎีสมคบคิดอีกครั้ง

คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ทหารประชาธิปไตย
ทฤษฎีสมคบคิดอีกครั้ง
ความจริงในช่วงนี้ไม่อยากเขียนเรื่องในประเทศเท่าไร โดยเฉพาะการเมือง แต่มาวันนี้ไม่เขียนไม่ได้แล้ว เพราะมันใกล้ตัวเข้ามาทุกที
ด้วยเหตุนี้จึงต้องเขียนเรื่องเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยบางเรื่องบางสิ่งบางอย่าง แต่จะเป็นเรื่องที่จะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนส่วนใหญ่
เรื่องแรกคงหนีไม่พ้นเรื่องการที่ทหารอเมริกันเดินทางมาร่วมซ้อมรบในประเทศไทย โดยการยินยอมของกองทัพบกทั้งๆที่สบค.มีความเห็นขอให้เลื่อนไปก่อน เนื่องจากเกรงว่าทหารอเมริกันจะนำเชื้อโควิดมาแพร่ระบาดในประเทศไทย แต่กองทัพบกยืนยันไม่เลื่อน

ทั้งนี้ก็เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ในขณะนี้ไม่มีเชื้อโควิดระบาดภายในประเทศ ที่สำคัญทหารอเมริกันหลายคนเดินทางมาจากฐานทัพในโอกินาวา ที่กำลังมีการแพร่ระบาด โดยมีผู้ล้มป่วยถึง 600 กว่าคน ในจำนวนนี้มีทหารอเมริกันป่วยติดเชื้อถึง 200 กว่าคน ทำให้คนโอกินาวาไม่พอใจมาก
และก็เป็นที่ทราบดีว่า ทหารอเมริกันหรือคนอเมริกันนั้นมักถือตัวว่าเป็นพลเมืองของประเทศมหาอำนาจ จึงมักไม่ยอมอยู่ในหลักเกณฑ์ของประเทศอื่น ปล่อยตัวตามสบายไปเที่ยวเตร่ไม่ใส่หน้ากาก จนอาจแพร่เชื้อติดคนไทย จึงทำให้เกิดความวิกตกกังวลกันมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ๆทหารอเมริกันไปพักหรือไปปฏิบัติการ

แต่เรื่องแพร่เชื้อโควิดแม้จะทำให้ประชาชนคนไทยวิตกกังวลกันมาก ก็ไม่มีความร้ายแรง เท่ากับข้อสังเกตของหลายฝ่ายว่า จะมีการสมคบคิดกันมาปฏิบัติการติดตั้งขีปณาวุธพิสัยกลางในไทย ซึ่งเป็นแบบซุปเปอร์โซนิค แม้ว่าขีดความสามารถในการยิงขีปณาวุธของสหรัฐฯจากเรือบรรทุกเครื่องบินที่เข้ามาป้วนเปี้ยนในทะเลจีนใต้ถึง 2 ลำ คือนิมิตและเรแกน และกองเรือรบอีกร้อยกว่าลำจะมีอยู่อย่างเหลือเฟือก็ตาม
การทำอะไรที่มีลับลมคมใน และไม่สมเหตุสมผล คือการมาซ้อมรบกันในยามที่เกิดโรคระบาดอย่างนี้มันก็ทำให้คนสงสัยไม่ได้ ถ้าไม่ได้มาติดตั้งขีปนาวุธแล้วมาฝึกอะไรกันด้วยจำนวนคนแค่ร้อยสองร้อย และมีการฝึกร่วมแค่สหรัฐฯกับไทย ไม่มีชาติพันธมิตรอื่นมาร่วมทำให้สงสัย
อย่างไรก็ตามที่ชัดเจนคือสหรัฐฯคงไม่ยอมปล่อยให้ไทยไปอิงแอบแนบชิดกับจีนในภาวะที่มีการเผชิญหน้ากันอย่างตึงเครียดในทะเลจีนใต้
มองกลับกันถ้าจีนจะมาติดตั้งขีปนาวุธในไทยก็คงเป็นอันตรายกับไทยเช่นกัน

เรื่องที่สองก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกับเรื่องข้างต้น คือ เรื่องการชุมนุมประท้วงของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ในนามประชาชนปลดแอก และต่อมาก็มีการขยายวงโดยมีกลุ่มประชาชนปลดแอกเพิ่มขึ้นมาอีก
โดยผู้ประท้วงเรียกร้อง 3 ประการ คือให้มีการแก้ไขหรือยกเลิกและร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เพราะเป็นรัฐบาลที่หมกเม็ดเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการ ประการต่อมาคือให้นายกฯลาออกและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ และประการสุดท้ายให้หยุดคุกคามแกนนำหรือผู้เข้าร่วมชุมนุม

ในเรื่องนี้แม้รัฐบาลจะไม่ได้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่มาคุกคามอย่างรุนแรงและเปิดเผย แต่ก็มีการสมคบคิดกันจัดตั้งม็อบช่างกล(เทียม) และพยายามปลุกผีกปปส.ขึ้นมาเพื่อเอาม็อบชนม็อบโดยมีการข่มขู่ด้วยวถ้อยคำที่รุนแรงอาฆาตมาดร้าย
นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับการดำเนินการไอโอคือโฆษณาชวนเชื่อว่า นักเรียน นิสิตนักศึกษาเหล่านั้นเป็นขบวนการล้มเจ้า ถึงขนาดมีการเผยแพร่ผังออกมาโดยไม่มีหลักฐาน เพื่อจะใช้เป็นองค์ประกอบจุดชนวนในการเข้าทำร้ายเข่นฆ่าเยาวชนเหล่านั้น เหมือนเมื่อเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 โดยครั้งนั้นข้อกล่าวหาคือ “คอมมิวนิสต์” เพราะประเทศไทยถูกปลุกกระแสให้หวาดกลัวอย่างมาก และถือเป็นภัยคุกคามประเทศ
แต่บัดนี้เราไม่กลัวคอมมิวนิสต์แล้ว เพราะไปจูบปากกับจีน ซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ระดับหัวทีเดียว
การกล่าวหาแบบเหมาเข่งว่าเยาวชนปลดแอกเป็นขบวนการล้มเจ้า มีการยุยงหนุนหลังโดยคนบางกลุ่มทั้งๆที่ไม่มีข้อพิสูจน์อะไรเลย ถือเป็นการสมคบคิดกันทีเดียว
หากจะมีการหมิ่นสถาบันโดยผู้ร่วมชุมนุมบางคน หรืออาจมีใส้ศึกไปยกป้ายเพื่อป้ายสีก็ตาม ก็ให้ดำเนินการตามากฎหมายไปเลย ไปพิสูจน์กันในศาล ไม่ใช่ใช้ศาลเตี้ยเหมือน 6 ตุลาคม 19 ซึ่งทารุญโหดร้ายมาก และมีประชาชนถูกบังคับให้สูญหายไปจำนวนมาก
บ้านเมืองมีขื่อมีแปมีกฎหมาย แม้ตาชั่งจะเอียงไปเอียงมาก็ตามก็ยังดีกว่าปล่อยให้เป็นรัฐล้มเหลว
เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ก็ทำให้ต้องมองย้อนกลับไปที่เหตุการณ์ 14 ตุลา 16

ผู้เขียนได้เข้าไปเกี่ยวพันกับเหตุการณ์หนึ่งที่อาจมองได้ว่ามีการสมคบคิดหรือไม่อย่างไร กล่าวคือคณะเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ อยู่ๆก็มีดำริจะปลดรูปและป้ายสดุดีวีรชนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 คือนายสมเด็จ วิรุฬหผล ซึ่งเป็นนิสิตคณะเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ ในขณะนั้น และเป็นคนเดียวของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ซึ่งควรจะเป็นความภาคภูมิใจของชาวจุฬาฯทั้งหลาย
ทำให้เกิดความสงสัยกันมากว่าเกิดอะไรขึ้น จนเป็นข่าวลงนสพ.บางฉบับ และว๊อยทีวี รายการ wake up Thailand ก็นำมาวิพากษ์วิจารณ์

เมื่อได้มีการตรวจหาเหตุผลก็ได้รับคำตอบว่าที่คณะฯทำการปลดออกเพื่อส่งคืนครอบครัว และมีการเชื่อมโยงไปถึงพฤติกรรมของนิสิตว่ามีการไปกราบไหว้รูปของนายสมเด็จ วิรุฬหผล ซึ่งผู้บริหารคณะไม่ค่อยสบายใจ และอ้างว่าครอบครัว นายสมเด็จ ก็ไม่ค่อยสบายใจด้วย


ต่อเมื่อได้รับการทักท้วงต่อต้านจากผู้ที่ให้ความสนใจกรณีนี้และหลายท่านมีความเกี่ยวข้อง เช่น เป็นนักเรียนเก่ากรุงเทพคริสเตียนรุ่นเดียวกัน หรือนิสิตรเศรษฐศาสตร์รุ่นใกล้เคียง ตลอดจนอาจารย์บางท่านรวมทั้งคำท้วงติงจากครอบครัว คณะฯจึงได้ตกลงที่จะนำรูปและคำสดุดีของนายสมเด็จ วิรุฬหผล ในฐานะผู้สละชีวิตเพื่อรัฐธรรมนูญและเพื่อประชาธิปไตยไปติดคืนที่เดิม ขณะที่เขียนบทความนี้ยังไม่ทราบว่าได้นำไปติดคืนหรือยัง
เหตุผลของการคัดค้านการปลดรูปและการสดุดีวีรชนของนายสมเด็จ ก็มีหลายประการ แต่หลักๆคือการทำลายหรือลบล้างประวัติศาสตร์ แม้จะเป็นเศษเสี้ยวก็ตาม นอกจากนี้ยังมีข้อคิดว่าการปลดรูปและคำสดุดีไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง หากเห็นว่าการกราบไหว้รูปไม่เหมาะสมตามแนวคิดพุทธศาสนา ก็ควรสั่งสอนหรือสร้างความเข้าใจกับนิสิตจะดีกว่า ในฐานะที่คณะฯและครูบาอาจารย์มีหน้าที่ต้องอบรมสั่งสอนเยาวชนทั้งความรู้จริยธรรมและคุณธรรม

ส่วนทางครอบครัวเมื่อได้รับทราบว่าทางคณะฯจะนำรูปและคำสดุดีไปติดคืนก็ได้แสดงความขอบคุณท่านผู้มีความเกี่ยวข้องทั้งหลาย ทั้งผู้คัดค้านและคณะ และยืนยันว่าจะไม่มีการไปรับมอบรูปและคำสดุดีกลับมาโดยเด็ดขาด เนื่องจากจะเป็นการร่วมมือทำลายประวัติศาสตร์
อนึ่งรูปและคำสดุดีนี้ติดตั้งที่คณฯมาเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้วโดยท่านคณบดีท่านแรก ศ.ดร.ประชุม โฉมฉาย ตลอดจนคณาจารย์และนิสิตได้ร่วมมือกันดำเนินการ

นอกจากนี้ในพิธีฝังร่างของนายสมเด็จ วิรุฬหผล ในหลวง ร.9 ยังได้พระราชทานดินมาประกอบพิธีด้วย
อนึ่งในการละหมาดให้ผู้วายชนม์ ท่านจุฬาราชมนตรีต่วน สุวรรณศาสน์ ผู้ล่วงลับ ยังมานำการละหมาดให้อีกด้วย
ดังนั้นการกระทำอันใดที่เป็นความละเอียดอ่อน ตั้งแต่การซ้อมรบกับสหรัฐฯ ในขณะที่มีการแพร่ระบาดโควิด การปั้นแต่งเรื่องขบวนการล้มเจ้าทั้งๆที่เยาวชนและประชาชนผู้เข้าร่วมไม่มีทางทำได้เพราะไม่มีกำลังอาวุธ และตามประวัติศาสตร์ชาติไทยก็มีแต่ขุนนางผู้ใหญ่เท่านั้นทำได้
ส่วนเรื่องการปลดรูปและคำสดุดีของนายสมเด็จ วิรุฬหผล ก็ทำให้เกิดความเคลือบแคลงว่าจะเป็นการสมคบคิดหรือไม่ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป







