แนวคิดศัพท์เศรษฐศาสตร์ที่น่าสนใจ: ความไม่เท่าเทียมกัน(Inequality)(1)
แนวคิดศัพท์เศรษฐศาสตร์ที่น่าสนใจ: ความไม่เท่าเทียมกัน(Inequality)(1)
โดย รศ.ดร.สมศักดิ์ แต้มบุญเลิศชัย
ความหมายและการวัด
“ความไม่เท่าเทียม“เป็นคำทั่วไป อาจหมายถึงความไม่เท่าเทียมกัน หรือความไม่เสมอภาคในเรื่องใดก็ได้ ในทางเศรษฐศาสตร์ เมื่อกล่าวถึงความไม่เท่าเทียมกันมักหมายถึงความไม่เท่าเทียมกันในรายได้และทรัพย์สินระหว่างบุคคล ครัวเรือน ภูมิภาค ประเทศ และอาชีพการงานความไม่เท่าเทียมกัน วัดได้หลายวิธี เช่น วัดตามสัดส่วนของประชาชน อาทิ คนรวยร้อยละหนึ่งของคนทั้งประเทศ มีรายได้เกินกว่าครึ่ง และมีทรัพย์สินเกินกว่าสามในสี่ของทรัพย์สินทั้งหมดของประเทศ เป็นต้น
ดัชนีที่นิยมใช้วัดความไม่เท่าเทียมในรายได้หรือทรัพย์สิน คือ ดัชนีจีนี่ หรือสัมประสิทธิ์จีนี (Gini coefficient)ชื่อของนักสถิติชาวอิตาลีผู้คิดสูตรนี้ สัมประสิทธิ์จีนีมีค่าจากศูนย์ถึงหนึ่ง สัมประสิทธิ์ศูนย์แสดงว่า มีการกระจายรายได้หรือทรัพย์สินเท่าเทียมกันมาก ทุกคนในประเทศ มีรายได้เท่าเทียมกัน ค่าสัมประสิทธิ์หนึ่ง หมายถึงความไม่เสมอภาคขั้นสูงสุด คือ รายได้ หรือทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของคนๆเดียว คนอื่นๆไม่มีรายได้หรือทรัพย์สินใดๆเลย
สัมประสิทธิ์จีนี ใช้เปรียบเทียบความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ และทรัพย์สินระหว่างประเทศได้ เช่น ประเทศที่มีสัมประสิทธิ์ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป ถือว่าเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมาก ที่มีสัมประสิทธิ์ต่ำ เช่น 0.3 หรือต่ำกว่านั้นถือว่ามีการกระจายรายได้ที่เท่าเทียมกันมาก
สาเหตุของความไม่เท่าเทียมกันในรายได้และทรัพย์สิน
ความไม่เท่าเทียมกันในรายได้หรือทรัพย์สิน ระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆ มีสาเหตุหลายประการ เช่น คนในครอบครัวที่ยากจน ได้รับการศึกษาน้อย คนที่ไม่สามารถเข้าถึงข่าวสารข้อมูลและสวัสดิการที่ตนพึงได้รับ และคนที่มีการงานอาชีพได้ผลตอบแทนน้อย คนเหล่านี้ มักเป็นผู้มีรายได้ตํ่า ส่วนคนที่มีรายได้สูง มักมีทรัพย์สินมาก และใช้ทรัพย์สินที่เขามีอยู่สร้างรายได้เพิ่มได้อีก ทำให้มีรายได้และทรัพย์สินของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
ในหลายประเทศ คนรวยส่วนน้อย เป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมากขณะที่เกษตรกรที่ยากจน ต้องเช่าที่ดินทำกิน มีภาระต้องเสียค่าเช่าสูง คนที่มีทรัพย์สินเงินทองมาก จะปล่อยเงินกู้ให้คนยากจนโดยคิดดอกเบี้ยสูง คนยากจนนอกจากต้องเช่าที่ดินทำกิน ยังต้องพึ่งนายทุนเงินกู้ นายทุนที่ดินและนายทุนเงินกู้ จึงหารายได้จากการให้เช่าที่ดินและปล่อยกู้ได้มาก ผู้มีเงินเหลือกินเหลือใช้ ยังหารายได้เพิ่มเติมจากการลงทุนในลักษณะต่างๆได้อีก จึงเป็นสาเหตุของความไม่เท่าเทียมกัน คือ คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนยิ่งจนลง
ในสมัยนี้ เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า ผู้ที่มีความรู้ เทคโนโลยี สามารถใช้ความรู้สร้างความร่ำรวยแก่ตนเองได้ ในปัจจุบัน บริษัทที่มีทรัพย์สินมากระดับต้นๆของโลก ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี หรือสามารถใช้เทคโนโลยีใหม่ให้เกิดประโยชน์แก่ธุรกิจของตนได้ ความเหลื่อมล้ำของความมั่งคั่งในระดับประเทศ เหตุหนึ่งมาจากความไม่เท่าเทียมกันของระดับเทคโนโลยี ประเทศที่มีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับสูง มักเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ประเทศที่ยากจน การพัฒนาเทคโนโลยีมักอยู่ในระดับต่ำ
ความไม่สมบูรณ์ของตลาดสินค้าและ บริการ ก็ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันได้ ถ้าตลาดสินค้าบริการมีการผูกขาด ผู้ผลิตและผู้ค้าที่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค สามารถขายสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในราคาที่สูงกว่าต้นทุนมาก และผู้ผลิตผู้ค้ารายใหญ่มีหนทางกีดกันผู้ผลิตรายเล็กได้ การแข่งขันไม่เป็นธรรมจึงเป็นเหตุหนึ่งของความไม่เท่าเทียมกัน
ระบบเศรษฐกิจในการบริหารประเทศที่แตกต่างกัน ก็มีส่วนสร้าง ความเหลื่อมล้ำหรือความเสมอภาคระหว่างประชาชนได้ ประเทศในระบบเศรษฐกิจสังคมนิยม ความเหลื่อมล้ำของรายได้และทรัพย์สินระหว่างประชาชน จะมีน้อยกว่าประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม และไม่ใช้กลไกตลาดในการจัดสรรทรัพยากร การผลิตและการค้า การพัฒนาเศรษฐกิจทางด้านอื่นๆ ก็ไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ประเทศสังคมนิยมจำนวนมาก จึงมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย มีการปฏิรูปเศรษฐกิจ ใช้ระบบตลาดในการจัดการทรัพยากร ส่วนประเทศระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีที่ใช้กลไกตลาดในการจัดสรรทรัพยากรอยู่แล้ว แม้การผลิต การค้า และการประกอบธุรกิจทางด้านอื่นๆ จะมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่ก็มีปัญหาความไม่เสมอภาค หรือความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้มากกว่า ถ้ามีระบบตลาด แต่ไม่มีการควบคุม จะมีปัญหาการแสวงหาประโยชน์ ด้วยวิธีการต่างๆ เข้าทำนอง“มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ด้วยเหตุนี้ ระบบเศรษฐกิจ ที่ใช้ในประเทศต่างๆทั่วโลกส่วนมาก จึงเป็นระบบเศรษฐกิจผสม(mixed econimy) ที่มีการใช้กลไกตลาด แต่ก็มีการควบคุมโดยรัฐ และมีการจัดสวัสดิการให้แก่ผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
ความไม่เท่าเทียมกันในการกระจายรายได้และทรัพย์สิน ยังเกิดได้จากการกระทำของผู้บริหารประเทศ และจากนโยบายของรัฐบาล ในบางประเทศ ผู้บริหารในรัฐบาล สมรู้ร่วมคิดกับบุคคลบางกลุ่มแสวงผลประโยชน์ กำหนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อการสร้างความร่ำรวยและสามารถเอาเปรียบประชาชนส่วนใหญ่ ในบางประเทศรวม กลุ่มทุนธุรกิจ สามารถครอบงำการกำหนดนโยบายของรัฐบาลได้จากการจ่ายเงินสนับสนุนนักการเมือง การเมืองเหล่านี้ได้รับการเลือกตั้ง ขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็จะกำหนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มนายทุนที่สนับสนุนเขา นอกจากนั้น การทุจริตคอรัปชั่น ของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งของความไม่เท่าเทียมกันในรายได้และทรัพย์สิน การละเลยไม่บังคับใช้กฎหมายลงโทษนักการเมืองและข้าราชการที่ทุจริตคอรัปชั่นอย่างจริงจัง จึงเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความไม่เท่าเทียมกันด้วย
ทางเศรษฐศาสตร์ มีแนวคิด เรื่องการเชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่หรือเป็นวงจร เช่น วงจรชั่วร้ายของความยากจน(Vicious circle of poverty) ที่อธิบายสาเหตุที่ประเทศยากจน ต้องติดกับดักความยากจนเป็นเวลานาน ดังนี้ คือ เมื่อคนในประเทศยากจนทำให้มีเงินออมน้อย จึงมีการลงทุนน้อย ทำให้ผลิตสินค้าและบริการได้น้อย เมื่อคนมีรายได้น้อย จึงมีการใช้จ่ายน้อย สินค้าและบริการขายไม่ออก ผู้ประกอบการธุรกิจ ก็ไม่มีรายได้ จึงไม่สามารถทำการลงทุนได้ อีกประการหนึ่ง ประชาชนส่วนใหญ่มีการศึกษาต่ำ ไม่สามารถผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ เมื่อเปิดค้าขายกับต่างประเทศ ก็ส่งสินค้าออกต่างประเทศไม่ได้มาก ทั้งยังต้องนำสินค้าเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ธุรกิจในประเทศที่ผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน ไม่สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าได้ ในที่สุดก็ต้องปิดกิจการไป
ในทางตรงกันข้าม ก็มีวงจรที่ดีของความรุ่งเรือง(vircious circle of prosperity)ในการพัฒนาเศรษฐกิจ กล่าวคือ สิ่งที่ดีอย่างหนึ่ง นำไปสู่สิ่งที่ดีอีกอย่างหนึ่ง เชื่อมโยงกันเป็นวงจร เช่น ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น มีการออมมากขึ้น นำไปสู่การลงทุนเพิ่ม ทำให้เศรษฐกิจเติบโต มีการจ้างงานมากขึ้น การผลิตสินค้าบริการต้องใช้ปัจจัยการผลิต ทั้งวัตถุดิบเครื่องจักร และสินค้าขั้นกลาง เมื่อผลิตสินค้าและบริการมากขึ้น ต้องใช้ปัจจัยการผลิตมาก ผู้ผลิตวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง ก็มีรายได้สูงขึ้น และใช้จ่ายในการบริโภคและการลงทุนมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตมากขึ้น ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น เมื่อประเทศมีรายได้มากขึ้น ก็มีเงินลงทุนพัฒนาสิ่งสาธารณูปโภค กำลังคน เทคโนโลยีได้มากขึ้น ทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นกว่าเดิม
นโยบายในการบริหารประเทศ มีส่วนในการสร้างวงจรรุ่งเรือง หรือทำให้ประเทศติดอยู่ในกับดักความยากจนได้ ช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ในทวีปเอเชีย มีประเทศและเขตเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตมาก คือ เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ และฮ่องกง ที่ประสบผลสำเร็จจากนโยบายส่งเสริมการส่งออกสินค้าที่สอดคล้องกับความได้เปรียบของตน ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ประเทศจีนก็ผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจชั้นนำของโลก จากนโยบายการปฏิรูปและการเปิดประเทศ แต่เราก็ได้เห็นตัวอย่างประเทศที่ติดอยู่ในวงจรความยากจนและที่ติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลางจำนวนมาก จากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด
แนวคิดวงจรชั่วร้ายและวงจรความดีนี้ ใช้ได้ทั้งระดับประเทศ องค์กร สถานประกอบการ และบุคคล ในที่นี้ จะไม่กล่าวถึง ผู้ที่สนใจ อาจอ่านบทความ “ วงจรชั่วร้าย และ วงจรความดี”ในบล็อกนี้ได้
ผลกระทบของความไม่เสมอภาคในรายได้และทรัพย์สิน
ความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้และทรัพย์สิน ถ้ามีมาก สร้างความเสียหายได้มาก ในประเทศที่คนส่วนน้อยร่ำรวยมาก แต่คนส่วนมากยากจน มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ และบางคนถึงกับต้องอดอยากล้มตาย ถ้าชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศ แตกต่างกันมาก สังคมย่อมไม่มีความสงบสุข มีคดีอาชญากรรมมาก การเมืองการปกครอง ไม่มีเสถียรภาพ ความไม่พอใจ อิจฉา และเคียดแค้น ของคนจนต่อคนรวยย่อมมีมาก คดีจี้ปล้น ทำร้าย ต่อสู้ หรือการสร้างความวุ่นวายในรูปอื่นก็เกิดขึ้นได้ การบ่อนทำลาย การรุกรานของประเทศคู่แข่ง หรือคู่อริ ก็ทำได้ง่าย
ลัทธิคอมมิวนิสต์ ก็เกิดจากความคิด ที่เห็นสังคมมีความเหลื่อมล้ำกันมาก หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม นายทุนอุตสาหกรรมกดขี่ ขูดรีดคนงาน ชนชั้นกรรมาชีพใช้แรงงานของตนในการผลิต เพิ่มมูลค่าสินค้าจากวัตถุดิบ ในแต่ละวันต้องทำงานเป็นเวลานาน แต่รับค่าจ้างต่ำมาก ต้องทำงานหนัก แต่มีชีวิตความเป็นอยู่ไม่ดี ขณะที่นายทุนที่เป็นเจ้าของโรงงาน กลับมีรายได้ดี ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย กลุ่มคนที่เชื่อในลัทธิคอมมิวนิสต์จึงเรียกร้องให้คนงานรวมกลุ่ม ต่อต้านนายทุน ยึดอำนาจรัฐ และปลดแอกชนชั้นคนงาน แต่การยึดอำนาจรัฐของคอมมิวนิสต์ กลับเกิดขึ้นในประเทศเกษตรกรรม ที่มีชาวไร่ชาวนาผู้ยากไร้จำนวนมาก ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของที่ดินและนายทุนเงินกู้ เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ยึดอำนาจรัฐได้แล้ว จึงยุยงให้ชาวไร่ชาวนาแก้แค้นกลุ่มนายทุนที่ดินและนายทุนเงินกู้ ยึดทรัพย์สมบัติของเขา นายทุนจำนวนมากถูกทำร้าย และถูกฆ่า สังคมของประเทศที่ถูกคอมมิวนิสต์ยึดครอง จึงมีความแตกแยกกันมาก และไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
สรุปได้ว่า หากในประเทศมีความไม่เสมอภาคกันมาก การพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ก็จะประสบผลสำเร็จได้ยาก นโยบายลดความไม่เสมอภาคในการกระจายรายได้และทรัพย์สินระหว่างประชาชน ทั้งในระดับบุคค ครอบครัว ภูมิภาค และระหว่างตัวเมืองกับชนบท จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ
นโยบายและมาตรการในการขจัดหรือลดความไม่เสมอภาค
นโยบายการลดความเหลื่อมล้ำหรือความไม่เสมอภาคในรายได้ และทรัพย์สิน เกี่ยวโยงกับนโยบายขจัดความยากจน และลดความไม่เสมอภาคทางด้านอื่น เช่น ความไม่เสมอภาคในโอกาสการเรียน การทำงาน การเข้าถึงสวัสดิการ เงินทุน และทรัพยากร
ในประเทศที่มีคนยากจนสัมบูรณ์(absolute poverty)คือมีบุคคลหรือครอบครัวที่ไม่สามารถหารายได้เพื่อตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานของชีวิต เช่น ขาดแคลนอาหารประทังชีวิต เครื่องนุ่งห่มไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีโอกาสได้รับการศึกษา ในกรณีนี้ การลดความความเหลื่อมล้ำในรายได้และทรัพย์สิน อาจมีความสำคัญน้อยกว่าการขจัดความยากจนสัมบูรณ์ และการช่วยเหลือผู้ยากจนสัมบูรณ์ที่มีอยู่มาก อย่างไรก็ตาม นโยบายขจัดความยากจน หากประสบผล อาจมีส่วนในการลดความเหลื่อมล้ำหรือความไม่เสมอภาคในการกระจายรายได้และทรัพย์สินได้ในระดับหนึ่ง
นโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจที่ขจัดความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในรายได้และทรัพย์สิน มีหลายประการ สรุปตามหัวข้อเหล่านี้ คือ: ก. การพัฒนาเศรษฐกิจ ข. การเก็บภาษีอากร และให้สวัสดิการ ค. การเข้าถึงแหล่งเงินทุนและทรัพยากรอื่นๆ ง. การค้าและการลงทุนกับต่างประเทศ จ. การศึกษาและการพัฒนาเทคโนโลยี ฉ. การพัฒนาชนบทและพัฒนาพื้นที่ ช. กฎหมายและกฎระเบียบ
การพัฒนาเศรษฐกิจ
ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ มีผลทำให้เศรษฐกิจขยายตัว การพัฒนาเศรษฐกิจทำให้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมและภาคเศรษฐกิจต่างๆ เจริญเติบโต โดยทั่วไป ประชาชนทั้งประเทศ จะมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แม้คนบางกลุ่ม จะได้ประโยชน์มากกว่าคนกลุ่มอื่น แต่เมื่อเศรษฐกิจเจริญเติบโต ประชาชนส่วนใหญ่จะได้รับประโยชน์ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ไม่รับประกันว่าทุกคนในประเทศจะมีรายได้สูงขึ้น คือ แม้เศรษฐกิจโดยรวมมีการขยายตัว แต่ความเหลื่อมลํ้าในการกระจายรายได้และทรัพย์สินของประชาชนอาจมากขึ้นกว่าเดิม
ประเทศที่มีรายได้ตํ่ามาก ย่อมต้องพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศมีรายได้สูงขึ้น เมื่อเศรษฐกิจโตขึ้น คนส่วนใหญ่ของประเทศ จะมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แม้บางคนจะได้รับผลประโยชน์ไม่มาก และเป็นไปได้ว่า อาจยากจนลงกว่าเดิม ก็ตาม
โดยท้่วไป ในประเทศที่มีเศรษฐกิจระบบตลาด ในระยะแรกของการพัฒนาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำในรายได้ ทรัพย์สินระหว่างประชาชนจะเพิ่มสูงขึ้น แต่เมื่อรายได้ของประเทศโดยรวมสูงถึงระดับหนึ่งแล้ว ความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้และทรัพย์สิน จึงค่อยๆลดลง คุสเน็ตส์ (Simon Kuznets)ได้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการกระจายรายได้กับรายได้เฉลี่ยต่อหัว ด้วยกร๊าฟเส้นโค้งที่เรียกกันว่า“เส้นโค้งของคุสเน็ตส์” (Kuznets curve) เมื่อหลายทศวรรษก่อน โดยชี้ให้เห็นว่า ในระยะแรกของการพัฒนา ประเทศมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเพิ่มขึ้น แต่ความเหลื่อมลํ้าการกระจายรายได้จะเพิ่มขึ้น ต่อมา เมื่อพัฒนามาถึงจุดหนึ่งแล้ว ความเหลื่อมล้ำจึงจะลดลง เส้นคุสเน็ตส์ จึงเป็นรูประฆังควํ่า คำอธิบายเบื้องต้นของปรากฏการณ์นี้ คือ ในระยะแรกของการพัฒนา เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม เกษตรกรจากภาคชนบท จะหลั่งไหลเข้ามาทำงานในเมือง แต่ได้รับค่าจ้างในระดับต่ำ ส่วนนายทุนอุตสาหกรรม และพ่อค้า มีรายได้สูงขึ้นกว่าเดิม เกษตรกรและคนงาน แม้หลุดพ้นจากความยากจน มีรายได้สูงขึ้นกว่าเดิม แต่จะมีส่วนแบ่งรายได้น้อยกว่านายทุนและพ่อค้า ความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ระหว่างกลุ่มประชาชน จึงเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ส่วนการลดลงของความเหลื่อมล้ำในรายได้ เมื่อเศรษฐกิจมีการพัฒนาดีขึ้นนั้น บางคนอธิบายว่า เกิดจากการศึกษาที่ดีขึ้นของคนในประเทศ การดำเนินนโยบายด้านภาษี และการให้สวัสดิการของรัฐต่อกลุ่มคนรายได้ตํ่า แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ถ้าประเทศพัฒนามากขึ้น มีผลิตภัณฑ์มวลรวมเพิ่มขึ้น แต่ไม่ขจัดการผูกขาดของธุรกิจ ไม่เก็บภาษีคนรวย ไม่มีนโยบายช่วยเหลือผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาส แล้ว ความไม่เสมอภาคในรายได้และทรัพย์สิน ก็จะไม่ลดน้อยลง แม้ประเทศมีการพัฒนามากขึ้นก็ตาม
ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้เฉลี่ยกับระดับความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ ยังเป็นที่ถกเถียงกัน ข้อมูลเชิงประจักษ์ในประเทศต่างๆ ก็ไม่ชัดเจน แต่สรุปได้ว่า การพัฒนาเศรษฐกิจ มีผลทำให้ความยากจนสัมบูรณ์ลดลง ประชาชนทั่วไปมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ผลกระทบของการพัฒนาเศรษฐกิจต่อความไม่เสมอภาคในการกระจายรายได้ ยังไม่แน่ชัด การที่ความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ลดลง หลังจากพัฒนาเศรษฐกิจได้ระยะหนึ่งแล้วส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากนโยบาย ของรัฐบาล
การเก็บภาษีและการให้สวัสดิการ
นโยบายการคลังในการเก็บภาษีอากร และการใช้จ่ายของรัฐบาลเป็นเครื่องมือหนึ่งในการลดความไม่เท่าเทียมหรือความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆ การเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า การช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้ ด้วยการใช้จ่ายสวัสดิการ และการใช้จ่ายด้านอื่นของรัฐบาล มีผลทำให้การกระจายรายได้และทรัพย์สินมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น
ระบบภาษีก้าวหน้า เป็นระบบที่มีการเก็บภาษีอัตราสูงจากผู้มีรายได้สูงและอัตราต่ำจากผู้มีรายได้ตํ่า ระบบภาษีนี้ นอกจากเพิ่มรายได้ของรัฐจากภาษีอากรแล้ว ยังมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ด้วย ภาษีก้าวหน้า คือ การกำหนดอัตราภาษีตามฐานรายได้ของผู้เสียภาษีให้สูงขึ้นตามลำดับขั้นของรายได้ คนรายได้สูงเสียภาษีในอัตราสูงกว่าคนรายได้น้อย ในปัจจุบัน มีหลายประเทศที่ใช้ระบบนี้ ในบางประเทศ อัตราภาษีที่จัดเก็บจากช่วงเงินได้สูงสุด สูงกว่าร้อยละ 60 คือ กว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ต้องตกเป็นของรัฐบาล เพราะรายได้ของมหาเศรษฐีที่มีรายได้ส่วนใหญ่ตกอยู่ในช่วงฐานภาษีสูงสุดนี้ ต้องจ่ายภาษีในอัตราสูงมาก ส่วนช่วงภาษีต่ำสุด มีอัตราภาษีเป็นศูนย์ คือ รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี คนยากจนที่มีรายได้อยู่ในเกณฑ์นี้ ก็ไม่ต้องเสียภาษีเลย
ในบางประเทศ นอกจากจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าแล้ว ยังมีอัตราภาษีรายได้ในเชิงลบ (negative income tax) คือ ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนด จะได้รับเงินจากรัฐบาล ตามช่วงรายได้ที่ตํ่ากว่ารายได้ขั้นตํ่าที่รัฐกำหนดไว้ ภาษีเชิงลบ เป็นมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่มีรายได้ต่ำมาก จากส่วนเพิ่มจากสวัสดิการอื่นๆ ที่รัฐบาลจัดให้แล้ว
นอกจากภาษีเงินได้และภาษีทรัพย์สินแล้ว ยังมีภาษีในลักษณะอื่น เช่น ภาษีกำไรจากการขายสินทรัพย์(capital gains tax) ที่เก็บจากการขายอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน อาคาร และหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่นหุ้น พันธบัตร หรือหลักทรัพย์อื่น และมีการเก็บภาษีมรดก ที่เก็บจากผู้ได้รับมรดกตกทอด ซึ่งอาจการเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า หรือในอัตราเดียวก็ได้ โดยทั่วไป ภาษีมรดก มักจัดเก็บในอัตราก้าวหน้า เช่นเดียวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในประเทศที่มีการเก็บภาษีมรดก ความร่ำรวยมากที่เป็นลูกหลานตระกูลมหาเศรษฐี จึงลดลง
ในหลายประเทศ มีการเก็บภาษีจากการขายสินค้าและบริการต่างๆ (sales tax) ซึ่งอาจมีอัตราและรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่โดยทั่วไป จะเก็บภาษีจากมูลค่าสินค้าหรือบริการ ที่ผู้ซื้อสินค้าหรือรับบริการเท่ากัน ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน เมื่อซื้อสินค้าหรือบริการอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีราคาเท่ากัน ก็ต้องจ่ายภาษีในอัตราเดียวกัน ดังนั้นคนยากจนจึงต้องจ่ายภาษี (เมื่อเทียบกับรายได้) ในสัดส่วนที่สูงกว่าคนรวย การเก็บภาษีการขายจึงไม่ได้ สร้างความเป็นธรรม หรือลดความเหลื่อมล้ำ ในการกระจายรายได้และทรัพย์สิน
เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการเสียภาษี บางประเทศ จึงมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (value-added tax) หรือที่เรียกกันว่า“แวท”คือ แทนที่จะเก็บภาษีตามมูลค่าของสินค้าหรือบริการ แต่เก็บภาษีตามมูลค่าเพิ่ม (value added) เพื่อป้องกันการเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อนกัน จากกระบวนการผลิต สินค้าหรือบริการบางชนิดอาจต้องใช้วัตถุดิบและส่วนประกอบ หลายอย่างในการผลิต ถ้ามีการเก็บภาษีในแต่ละขั้นตอนของการขาย ไม่ว่าเป็นวัตถุดิบ ชิ้นส่วน หรือส่วนประกอบอื่นๆ เมื่อผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป ผู้ผลิตสินค้าสำเร็จรูปขั้นสุดท้ายจะต้องรับภาระภาษี จากการซื้อสินค้าที่เป็นวัตถุดิบ และชิ้นส่วนอุปกรณ์ ซึ่งเสียภาษีมาแล้วหลายขั้น ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่จัดเก็บจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการซื้อขาย จึงมีความเป็นธรรมมากกว่า
นอกจากภาษีที่มีผลกระทบต่อการกระจายรายได้แล้ว ยังมีภาษีที่จัดเก็บเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น ภาษีสรรพสามิต(excise tax) และภาษีศุลกากร(tariff) ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีที่เก็บจากสินค้าและบริการบางประเภท ที่รัฐบาลต้องการจำกัดปริมาณการบริโภค เนื่องจากมีลักษณะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เมื่อเทียบกับรายได้ของคนส่วนใหญ่ในประเทศ เช่น รถยนต์ หรือต้องการจำกัดการใช้ เพื่อลดการนำเข้า เช่น น้ำมันเบนซิน และสินค้าบางอย่างที่เมื่อบริโภคในปริมาณมากแล้ว มีอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ยาสูบ เหล้า และบุหรี่ ภาษีศุลกากร (tariff) เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากการนำเข้าและส่งออกสินค้า การเก็บภาษีศุลกากรนำเข้า นอกจากสร้างรายได้ให้แก่รัฐแล้ว ยังใช้เป็นเครื่องมือในการจำกัดหรือส่งเสริมการใช้สินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น มีการเก็บภาษีศุลกากรขาเข้าจากสินค้าฟุ่มเฟือย เพื่อจำกัดปริมาณการใช้ เก็บภาษีศุลกากรนำเข้าในสินค้าที่มีความจำเป็น ต่อการบริโภคของประชาชน หรือยกเว้นภาษีนำเข้าในวัตถุดิบ เครื่องจักร และชิ้นส่วนอุปกรณ์บางอย่างที่จำเป็นต้องมีการนำเข้าเพื่อการผลิตในประเทศ หรือเก็บภาษีศุลกากรนำเข้าอัตราสูงจากสินค้าที่มีการผลิตในประเทศ เพื่อคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศที่ผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน ในด้านสินค้าขาออก ส่วนใหญ่ไม่มีการเก็บภาษีเพื่อส่งเสริมการส่งออก นอกจากสินค้าบางอย่างที่ต้องการจำกัดการส่งออกเพื่อป้องกันการขาดแคลนภายในประเทศ เช่นในทศวรรษ 1950 มีการยกเลิกระบบอัตราแลกเปลี่ยนหลายอัตรา ประเทศไทยมีการจัดเก็บค่าพรีเมี่ยมข้าว ในเวลานั้น ประเทศไทยสามารถผลิตข้าวได้ในต้นทุนต่ำกว่าประเทศอื่นมาก ถ้าไม่เก็บค่าพรีเมียม เกรงว่า จะมีการส่งออกข้าวมากเกินไป ทำให้ข้าวในประเทศมีราคาแพง (ก่อนหน้านี้ รัฐบาลกำหนดให้ผู้ส่งออกข้าว ต้องแลกเงินตราต่างประเทศที่ได้รับมา ในอัตราแลกเปลี่ยนที่ตํ่ากว่าอัตราตลาดมาก รัฐบาลเกรงว่าถ้าใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนอัตราเดียว ผู้ส่งออกข้าวจะได้เงินจากการส่งออกคิดเป็นเงินไทยที่สูงมาก จึงมีการเก็บพรีเมี่ยมข้าว) แต่การเก็บค่าพรีเมี่ยมข้าว ถือว่า เป็นภาษีส่งออกที่มีผลกดราคาข้าวในประเทศ กลุ่มคนที่รับภาระ จากการเก็บค่าพรีเมียม(หรือภาษีส่งออก) คือ ชาวนาผู้ปลูกข้าว ที่ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน และจำต้องได้แบกรับภาระภาษี ต่อมา เมื่อประเทศอื่นๆ มีการส่งออกข้าวมากขึ้น และความได้เปรียบในราคาการส่งออกข้าวของไทยลดน้อยลง จึงยกเลิกการเก็บพรีเมียมข้าว
การให้สวัสดิการช่วยเหลือกลุ่มคนยากไร้ ที่ขัดสนปัจจัยการดำรงชีวิต ถ้าทำอย่างเป็นระบบ มีผลขจัดความทุกข์ยากของคนยากจน และมีผลในการลดความไม่เสมอภาคในการกระจายรายได้และทรัพย์สินได้ โดยทั่วไป ประเทศต่างๆ มักจะมีระบบสวัสดิการช่วยเหลือคนจน มีการแจกเงิน และสิ่งของเป็นประจำ แต่บางประเทศ ให้ความช่วยเหลือแก่คนยากไร้เป็นครั้งคราว เช่น เมื่อประสบภัยธรรมชาติ หรือได้รับผลกระทบจากโรคระบาด รัฐบาลจะแจกจ่ายอาหาร สิ่งของ แก่ผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบ
ในปัจจุบัน ประเทศรายได้สูง มักมีระบบสวัสดิการช่วยเหลือกลุ่มคนยากจน เช่น แจกคูปองซื้ออาหารและสิ่งของที่จำเป็น เรียนฟรีในระดับหนึ่ง เช่น ระดับประถมและมัธยม คนในท้องถิ่น เข้าเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐโดยจ่ายค่าเรียนต่ำกว่านักศึกษาที่มาจากท้องถิ่นอื่น และมีทุนการศึกษาให้แก่คนยากจน
ในประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการ มีการจัดสวัสดิการให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง ประชาชนทุกคน ได้รับบริการขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตที่เท่าเทียมกัน รายได้และทรัพย์สินของประชาชนในประเทศเหล่านี้จึงมีความเท่าเทียมกันมากกว่าประเทศอื่นๆ สวัสดิการที่รัฐจัดให้ในประเทศเหล่านี้ ครอบคลุม ตั้งแต่การศึกษา การรักษาพยาบาล ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ประชาชนทุกคนไม่ว่ายากดีมีจน สามารถเข้าถึงบริการการศึกษา และการรักษาพยาบาลได้ นอกจากนี้ ครอบครัวที่ยากจนมาก เด็กๆยังได้รับการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเรียนในด้านอื่นด้วย ลูกหลานของทุกคนมีโอกาสรับการศึกษา จนถึงขั้นมหาวิทยาลัย เรียนจบปริญญาตรี โท เอกได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ โอกาสในการทำงานของประชาชนกลุ่มต่างๆ ก็มีความเท่าเทียมกัน ภาวะการว่างงานในประเทศเหล่านี้จึงมีน้อยมาก กลุ่มคนยากจน ยังได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลในด้านที่อยู่อาศัย ทุกครอบครัวมีบ้านของตนเองได้ โดยไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ ค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงบริการสาธารณะต่างๆ เช่น การขนส่ง คมนาคม การสื่อสาร และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ก็ต่ำมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐต้องจ่ายเงินค่าสวัสดิการจำนวนมาก ก็ต้องเก็บภาษีในอัตราสูงโดยมีระบบภาษีก้าวหน้า ผู้มีรายได้สูงจึงต้องเสียภาษีจำนวนมาก
นอกจากการให้สวัสดิการโดยรัฐแล้ว การบริจาคเงิน สิ่งของ หรือการให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มคนยากจน และผู้ขัดสนในลักษณะต่างๆ ก็มีส่วนช่วยให้มีการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมได้ในระดับหนึ่ง การบริจาคนี้ จัดทำโดยปัจเจกบุคคล มูลนิธิ หรือสถานประกอบการธุรกิจ ซึ่งรัฐบาลมีการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีแก่ผู้บริจาคด้วย และมีการรณรงค์ให้ผู้มีฐานะการเงินดี มีจิตสำนึกช่วยเหลือสังคม และบริจาคเงินแก่กลุ่มคนผู้ยากไร้ เพื่อสร้างความเป็นธรรม นอกจากนี้ หน่วยธุรกิจในภาคเอกชน ยังมีกิจกรรม ที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม(corporate social resposibility) ทำโครงการที่มีส่วนในการที่ช่วยเหลือผู้ยากไร้ในสังคมอีกด้วย
ระบบภาษีและสวัสดิการ มีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมในสังคมได้ แต่ก็ยังมีนโยบายและมาตรการอื่น ที่ช่วยบรรเทาความไม่เสมอภาคในสังคมได้อีกหลายอย่าง ซึ่งจะกล่าวถึงในช่วงต่อไป