ความเจริญและความเสื่อมของประเทศ(2)
ความเจริญและความเสื่อมของประเทศ(2)
โดย รศ.ดร สมศักดิ์ แต้มบุญเลิศชัย
ความเจริญและความเสื่อมของสหรัฐอเมริกา(ต่อ)
นอกจากความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ มีคนยากจนและคนว่างานที่เพิ่มขึ้นแล้ว อเมริกายังมีปัญหาหนักหน่วงทางสังคมอีกหลายประการ เช่น ความแตกแยกในสังคม การเหยียดผิวและเหยียดเชื้อชาติ(racism) ความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงบริการการศึกษาและการรักษาพยาบาล ปัญหาอาชญากรรม การเผยแพร่ข่าวลือและข่าวเท็จ และการเสื่อมลงของจริยธรรมของคนในสังคม
แต่ก่อนนี้ คนในประเทศอื่นจำนวนมากเชื่อว่า อเมริกาเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพและโอกาส คนที่มีความรู้ความสามารถและมีความขยันหมั่นเพียร มีโอกาสที่จะขยับฐานะในสังคมได้ มหาเศรษฐีอย่างคาร์เนกี้(Andrew Carnegie) ร็อกกี้เฟลเล่อร์(John D. Rocefeller) และฟอร์ด(Henry Ford) ที่มาจากครอบครัวยากจน ก็สามารถสร้างธุรกิจใหญ่โตจนประสบความร่ำรวยได้
แต่เมื่อมีธุรกิจขนาดใหญ่ ก็เกิดปัญหาการผูกขาด ในปีค.ศ. 1890
รัฐบาลได้ออกกฏหมายจำกัดการผูกขาด (Sherman Antitrust Act) ในสมัยที่ธีโอโด รูสเวลท์(Theordor Roosevelt)เป็นประธานาธิบดี ก็มีกฏหมายให้บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น บริษัทสแตนดาร์ดออยที่ควบคุมโดยตระกูลร็อกกี้เฟลเล่อร์ ต้องแยกออกเป็นหลายส่วน และอนุญาตให้ผู้ประกอบการตระกูลอื่นเข้ามาแข่งขันในอุตสาหกรรมค้าน้ำมันได้
ในระหว่างค.ศ.1929 ถึง 1933 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจตกตำ่ครั้งใหญ่ทั่วโลก(great depression)ซึ่งเริ่มต้นในอเมริกา รุสเวลท์(Franklin D. Roosevelt) ที่ได้รับการเลือกตั้งขึ้นเป็นประธานาธิบดีในช่วงนั้น มีนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เรียกกันว่า”การจัดการใหม่”(new deal) ซึ่งมีสามองค์ประกอบ(3Rs)คือ บรรเทาทุกข์แก่ผู้ที่ได้รับความเสียหาย(relief) ฟื้นฟู(recovery) และปฏิรูป(reform) เพื่อให้เศรษฐกิจกลับเข้าสู่สภาพปกติ รัฐบาลอัดฉีดเงินจำนวนมาก เพื่อช่วยเหลือผู้ว่างงานและผู้ยากจน ตั้งบริษัทหุบเขาเทนเนสซี(Tennssee Valley Authority)เป็นรัฐวิสาหกิจสร้างสิ่งสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนชลประทาน พัฒนาแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้า ส่งเสริมอุตสาหกรรมปุ๋ยเคมี และยังมีนโยบายปฎิรูประบบภาษีอากร เก็บภาษีเงินได้ในอัตราก้าวหน้า และเก็บภาษีมรดกในอัตราสูง
นโยบายภาษีเงินได้ ภาษีมรดก การประกันสังคม และโครงการช่วยเหลือผู้ว่างงาน มีผลทำให้ลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ลง ในสองทศวรรษแรกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การกระจายรายได้และทรัพย์สินระหว่างประชาชนในอเมริกา มีความเท่าเทียมกันพอควร ตระกูลมหาเศรษฐีถูกเก็บภาษีเงินได้และภาษีมรดกอัตราสูง มาถึงรุ่นลูกหลานจึงมีความร่ำรวยลดลง คนงานและเกษตรกรมีรายได้สูงขึ้นชนชั้นกลางมีมากขึ้น จึงมีการใช้จ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น ครอบครัวคนงานและเกษตรกรก็มีเงินซื้อรถยนต์ได้ การบริโภคที่เพิ่มขึ้นมีส่วนในการกระตุ้นการผลิต ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมสูงขึ้น
จนถึงค.ศ. 1970 ในอเมริกามีกฎหมายคุ้มครองแรงงาน คุ้มครองผู้บริโภค คุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม แรงงานก็มีสิทธิ์ต่อรองกับนายจ้างได้ เศรษฐกิจอเมริกามีสภาวะที่ดีพอควร แต่หลังจากนั้น ก็เริ่มเสื่อมถอยลง รัฐบาลต้องใช้เงินในการทำสงครามเย็น และทำสงครามในต่างประเทศมากขึ้น ในปีค.ศ. 1973 เกิดวิกฤติการณ์น้ำมันราคาแพง ในช่วงทศวรรษนี้ เศรษฐกิจอเมริกาต้องประสบกับภาวะเงินเฟ้อและชงักงัน(stagflation) รัฐบาลก็ละเลยการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้
ในสมัยที่เรแกน(Ronald Reagan)เป็นประธานาธิบดีในทศวรรษที่ 1980 มีนโยบายที่เรียกกันว่า”เศรษฐศาสตร์ด้านอุปทาน(suuply-side economics) ลดอัตราภาษีและลดกฎระเบียบควบคุมธุรกิจ ลดอิทธิพลสหภาพแรงงาน โดยเชื่อว่า การลดภาษีทำให้ประชาชนและบริษัทเสียภาษีน้อยลง มีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น และผลิตสินค้ามากขึ้น เมื่อมีอุปทานในสินค้าและบริการมากขึ้น เงินเฟ้อก็จะลดลงมา แต่ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลก็มีการใช้จ่ายมากโดยเฉพาะในการซื้ออาวุธยุทธโทรปกรณ์เพื่อการทำสงคราม เมื่อเก็บภาษีได้น้อยแแต่ต้องใช้จ่ายมาก รัฐบาลก็มีการขาดดุลมากขึ้น ต้องกู้เงินจากตลาดเงินมาอุดช่องโหว่ในงบประมาณ ทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นมาก เมื่ออัตราดอกเบี้ยในอเมริกาสูงขึ้น ก็มีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ดอลล่าร์แข็งค่าขึ้น และมีผลกระทบความสามารถการแข่งขันของสินค้าอเมริกา ในสมัยนั้น อเมริกาจึงเกิดการขาดดุลคู่ขนาน(twin deficits) คือขาดดุลทั้งงบประมาณและการค้าต่างประเทศ แม้เงินทุนไหลเข้าส่งผลให้มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง
ในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา ความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ในอเมริกาทวีความรุนแรงมากขึ้น บริษัทขนาดใหญ่และผู้ผู้บริหารระดับสูงในบริษัทเหล่านี้ มีรายได้และทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาก ในขณะเดียวกันประชาชนยากจนก็มีมากขึ้น โดยเฉพาะคนผิวสีมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ต่ำต้อยกว่ามาก แต่ผู้ยากไร้ที่เป็นคนผิวขาวก็เพิ่มมากขึ้น
หากพิจารณาจากรายได้เฉลี่ยของประชาชน อเมริกาถือได้ว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยในอันดับต้นๆของโลก แต่การกระจายรายได้ทรัพย์สินมีการกระจุกตัวมาก คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนก็จนลงมาก มหาเศรษฐีที่มีไม่ถึงร้อยละหนึ่งของประชากรทั้งหมดครอบครองรายได้และทรัพย์สินในสัดส่วนที่สูงมาก ในขณะที่ที่คนยากจนที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การดำรงชีวิตมีอยู่หลายล้านครัวเรือน คนเหล่านี้อยู่ได้ด้วยการรับสวัสดิการจากรัฐ แต่ก็มีคนที่ไม่สามารถเข้าถึงการช่วยเหลือของรัฐอยู่เป็นจำนวนมาก ตามที่ต่างๆ มีคนเร่ร่อน คนไร้บ้านจำนวนมาก ไม่มีสถิติชัดเจนว่า คนไร้บ้านในอเมริกามีอยู่เท่าไร แต่ก็มีการประเมินว่า คงมีเป็นเรือนล้านแล้ว ในเมืองใหญ่ ก็มีแหล่งเสื่อมโทรมและชุมชนแออัดที่มีผู้ยากไร้อยู่เป็นจำนวนมาก
ตั้งแต่ปีค.ศ. 2000 ถึงปัจจุบัน อเมริกาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่สองครั้ง คือวิกฤติดอทคอม(dotcom crisis)ในค.ศ. 2001 และวิกฤติการล่มสลายของบริษัทการเงินที่เกิดจากการปล่อยกู้ในหลักทรัพย์ด้อยคุณภาพ(subprime crisis)ในปีค.ศ.2008 วิกฤติดอทคอม เกิดจากการปั่นหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีและการล่มสลายของหุ้นเหล่านี้ บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งล้มละลายลง ผู้ซื้อหุ้นประสบกับการขาดทุนจนสิ้นเนื้อประดาตัว เศรษฐกิจถดถอยไปมาก ในกรณีวิกฤตซับไพรม์ หรือที่เรียกกันว่า”วิกฤตแฮมเบอเกอร์” นอกจากกระทบต่อเศรษฐกิจอเมริกาแล้ว ยังกระทบไปถึงประเทศอื่นๆ สถาบันการเงินต้องขาดทุนและล้มละลาย เศรษฐกิจอเมริกาเกิดความปั่นป่วน จนรัฐบาลต้องทุ่มเงินกอบกู้ธนาคารและบริษัทการเงินอื่นๆจำนวนมาก
วิกฤตเศรษฐกิจทั้งสองครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก รัฐบาลอเมริกาทุ่มเงินช่วยเหลือบริษัทการเงินและบริษัทขนาดใหญ่เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทเหล่านี้ต้องล้มละลายลงจนมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ แต่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนส่วนใหญ่กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลแต่อย่างใด ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากเกิดความไม่พอใจ จนมีในการชุมนุมประท้วงในศูนย์กลางการเงินที่นครนิวยอร์ก ที่เรียกว่า”การยึดครองวอลสตรีท”(occupy Wall Street)ในค.ศ. 2011 และมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นในระหว่างนั้น
ความไม่พอใจของประชาชนต่อชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองที่มีอยู่จำนวนมาก คดีอาชญากรรมเพิ่มขึ้นรวดเร็ว สถิติการจี้ปล้น การทำลายข้าวของ การทำร้ายร่างกาย ฯลฯ พุ่งสูงขึ้นมาก การเสพยา เมาเหล้า และฆ่าตัวตาย ก็เพิ่มมากขึ้น ปัญหาสังคมเหล่านี้ทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงโรคปอดอักเสบโควิด(covid-19)ระบาด ตั้งแต่ปีค.ศ.2020 จนถึงปัจจุบัน โดยอเมริกาเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโรคโควิดมากที่สุดในโลก การระบาดของโรคโควิดยังมีผลกระทบต่อการผลิตและการจ้างงาน สภาวะเศรษฐกิจสังคมเลวร้ายลง
ประมาณสามในสี่ของคนอเมริกันเป็นชาวผิวขาว คนฮิสแปนนิกหรือคนมีเชื้อสายสเปน(Hispanic) และคนผิวดำที่มีบรรพบุรุษมาจากทวีปอาฟริกาเป็นชนกลุ่มน้อยที่สำคัญ คนที่มีเชื้อสายเอเชีย ซึ่งมีคนเชื้อชาติจีนเป็นส่วนใหญ่ แม้มีจำนวนน้อยกว่าสองกล่มแรก แต่ก็เพิ่มขึ้นมามากในบรรดาชนกลุ่มน้อย คนผิวดำเป็นกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมต่ำกว่าคนกลุ่มอื่นโดยเฉลี่ย
การเหยียดสีผิวเหยียดเชื้อชาติ(racism)เป็นปัญหาสังคมในอเมริกามาเป็นเวลาช้านาน คนที่ไม่ใช่อเมริกันผิวขาวมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต่ำต้อยกว่า และมีความไม่เท่าเทียมกันเมื่อเทียบกับคนผิวขาวในด้านต่างๆ เช่น การศึกษา สาธารณสุข การปฏิบัติตามกฏหมายและการตัดสินคดี กฎหมายรัฐธรรมนูญอเมริกาเขียนไว้ว่า “มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน(all men are created equal) แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น
บรรพบุรุษของคนอเมริกันผิวดำหรือคนเชื้อสายแอฟริกา(African American)เป็นทาสที่ถูกซื้อมาเป็นแรงงานในไร่นาหรือเหมืองแร่ในช่วงเวลาที่อเมริกายังเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ คนผิวดำส่วนใหญ่อยู่ในมลรัฐทางใต้ คนเหล่านี้เดิมมีฐานะเป็นทาส ลูกหลานที่เกิดมาก็ต้องเป็นทาส หรือถูกซื้อขายเป็นทาสได้ ในปีค.ศ. 1863 ประธานาธิบดีลินคอล์น(Abraham Lincoln)ได้ออกกฎหมายเลิกทาส แต่นโยบายการปลดปล่อยทาสให้เป็นเสรีชน ทำให้รัฐทางเหนือกับรัฐทางใต้ต้องทำสงครามที่เรียกกันว่าสงครามกลางเมือง(civil war)อยู่หลายปี โดยรัฐทางเหนือที่สนับสนุนการเลิกทาสได้รับชัยชนะ และอเมริการวมเป็นปึกแผ่นได้ แต่ลินคอล์นก็ต้องถูกลอบฆ่าและเสียชีวิตไปหลังยุตติสงครามกลางเมือง
ในยุคตื่นทองที่รัฐแคลิฟอร์เนีย(California)ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 มีคนจีนอพยพเข้ามาในอเมริกาจำนวนหนึ่ง ต่อมา ก็มีผู้อพยพตามเข้ามาเพิ่ม คนจีนที่เข้ามาในยุคแรกๆส่วนมากเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาไม่มาก เข้ามารับจ้างเป็นกรรมกร ผู้มีฐานะดีหน่อยก็เปิดร้านขายของ ร้านซักรีด และร้านอาหาร ในช่วงที่สร้างทางรถไฟข้ามทวีปเชื่อมต่อภาคตะวันออกและตะวันตก(transcontinental railroad) มีคนจีนรับจ้างเป็นแรงงานจำนวนมาก และบางส่วนต้องเสียชีวิตจากการทำงานสร้างทางรถไฟนี้
ชนกลุ่มน้อยในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นคนผิวดำหรือคนเชื้อสายเอเชีย มีส่วนในการสร้างความเจริญแก่เศรษฐกิจและสังคมอเมริกาไม่น้อย ทั้งคนผิวดำที่ถูกใช้เป็นทาสในไร่นา และคนจีนที่ช่วยสร้างทางรถไฟ ต่างมีส่วนสร้างความร่ำรวยให้อเมริกา คนผิวดำปัจจุบันได้กระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้าง แต่ก็มีคนผิวดำบางคนที่มีความโดดเด่น เป็นนักดนตรี กีฬา หรือประกอบอาชีพอื่น และมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี คนเชื้อสายเอเชียที่อพยพมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยทั่วไป เป็นพวกที่มีการศึกษาสูงกว่าคนที่อพยพมาก่อนหน้านั้น คนเอเชียจำนวนหนึ่งเข้ามาเรียนหนังสือในอเมริกา เมื่อเรียนจบแล้ว ก็อยู่ทำงานต่อ ในปัจจุบัน ในมหาวิทยาลัยและสถาบันต่างๆ มีคนเอเชียทำงานอยู่ด้วย บริษัทเทคโนโลยีในซิลิคอนแวลลี่(Silicon Valley) ก็มีผู้ชำนาญการที่มีเชื้อสายเอเชีย เช่น คนจีน คนอินเดีย ทำงานอยู่ไม่น้อย
แม้คนต่างชาติหรือคนที่มีสัญชาติอเมริกันที่ไม่ใช่คนผิวขาว มีส่วนในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่เศรษฐกิจและสังคมของอเมริกา แต่คนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต่ำต้อยกว่าคนผิวขาว ทั้งยังได้รับเหยียดหยาม และการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม แม้คนกลุ่มน้อยเหล่านี้ พยายามเรียกร้องสิทธิ์ของตนเอง แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
แม้คนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาได้รับการปลดปล่อยเป็นเสรีชนตามกฎหมายการเลิกทาส แต่ก็ยังไม่มีฐานะที่เท่าเทียมกันกับคนผิวขาว มลรัฐต่างๆทางใต้ ยังไม่ยอมรับสิทธิ์ตามกฏหมายของคนผิวดำ มีการกีดกันและแบ่งแยกในลักษณะต่างๆ เช่น การเข้าโบสถ์ เข้าโรงเรียน บนรถเมล์ก็มีการแยกที่นั่งกันคนละส่วน จนถึงต้นทศวรรษ 1970 คนผิวดำก็ยังไม่มีฐานะเท่าเทียมกันกับคนผิวขาว เหตุการณ์คนผิวดำถูกตำรวจผิวขาวทำร้ายเกิดขึ้นเนืองๆ เมื่อมีความขัดแย้งกัน ต้องขึ้นศาล คณะลูกขุนและอัยการซึ่งเป็นคนผิวขาว ก็มักไม่ลงโทษผู้ทำผิดที่เป็นคนผิวขาวรุนแรงนัก แต่ถ้าคนผิวดำเป็นฝ่ายผิด ก็มักจะถูกลงโทษหนัก
การเหยียดสีผิวเหยียดเชื้อชาติในอเมริกาได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2020 เกิดเหตุการณ์คนผิวดำถูกตำรวจผิวขาวทำร้ายด้วยความทารุณจนเสียชีวิตในมลรัฐมิเนโซตา(Minesota) ทำให้ผู้คนจำนวนมากลุกฮือประท้วงในหลายเมือง จนกลายเป็นเหตุจราจล ในการชุมนุมประท้วง มีการถือป้ายเขียนว่า”ชีวิตของคนผิวดำก็มีความหมาย”(black lives matter) นอกจากอเมริกาแล้ว ก็ยังมีการชุมนุมประท้วงในประเทศอื่นด้วย
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีการระบาดของโรคโควิด(covid-19) ในอเมริกามีคนติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ในช่วงที่โควิดระบาดหนัก ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวหาว่า โรคนี้แพร่เข้ามาจากประเทศจีน ซึ่งเป็นต้นกำเนิด มีคนจำนวนหนึ่งที่เชื่อเขา จึงมีการทำร้ายคนจีนและคนเชื้อสายเอเซียอื่นๆ มีคนที่มีหน้าตาเป็นคนเอเชียถูกตี ถูกแทง และถูกยิงตาย คนหนึ่งถูกผลักลงทางรถไฟใต้ดินจนเสียชีวิต
ในช่วงเวลาสองสามปีที่ผ่านมา ในอเมริกา มีคดีอาชญากรรม การลักขโมย การทำลายข้าวของ การจี้ปล้น การวางเพลิง และการใช้ปืนยิงจนบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก การถือปืนเป็นสิ่งถูกกฎหมายในอเมริกา ในปีหนึ่งๆ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการถูกปืนยิงเป็นเรือนหมื่น แม้มีการชุมนุมประท้วงการใช้ปืนหลายครั้ง แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถควบคุมการใช้ปืนได้ การออกกฏหมายห้ามถือปืนหรือจำกัดการใช้ปืนต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่นอกจากการปรับแก้เงื่อนไขบางข้อในการซื้อปืนแล้ว กฎหมายจำกัดการใช้ปืนก็ไม่สามารถผ่านออกมาได้สักที เหตุผลที่สมาชิกรัฐสภากล่าวอ้างก็คือ สิทธิ์การถือปืนเป็นสิทธิ์เสรีภาพที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญตั้งแต่สมัยการก่อตั้งประเทศ แต่เหตุผลที่กฎหมายจำกัดการใช้ปืนผ่านออกมาไม่ได้ อาจเป็นเพราะว่าสมาคมปืนไรเฟิล(National Rifle Association:NFA) เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินที่สำคัญของพรรคการเมืองและนักการเมือง สมาชิกรัฐสภาจึงเลือกที่จะปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิตและผู้ค้าปืนมากกว่าการปกป้องชีวิตคน
ปัญหาสังคมอีกประการหนึ่งคือ ความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงบริการการศึกษาและสาธารณสุข อเมริกามีมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพดีและมีชื่อเสียงในระดับต้นๆของโลกหลายแห่ง สถาบันการศึกษาทั่วไปก็มีจำนวนมาก แต่ประชาชนที่ได้รับการศึกษาในระดับตำ่มีสัดส่วนสูง ผู้ไร้การศึกษาหรือผู้มีการศึกษาตำ่เหล่านี้ ประกอบขึ้นเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ และเป็นผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง จึงส่งผลทำให้เลือกคนที่พูดเก่ง โกหกเก่ง แต่ไม่มีความรู้ความสามารถขึ้นมาบริหารประเทศ ทางด้านสาธารณสุขก็เช่นกัน คนจำนวนมากโดยเฉพาะผู้มีฐานะยากจนไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขและการรักษาพยาบาล ในช่วงที่โควิดระบาดหนัก ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการการตรวจโรคและรักษาพยาบาล จนต้องติดเชื้อและเสียชีวิตไป
ในสังคมอเมริกา มีข่าวลือข่าวเท็จแพร่กระจายเป็นจำนวนมาก ประชาชนทั่วไปและแก๊งอาชญากรรมที่มีความมุ่งหวังทำลายคู่ต่อสู้สามารถเผยแพร่ข่าวเท็จในสื่อมวลชนต่างๆได้ ข่าวเท็จบางอย่างผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงมาก แต่ก็ยังมีคนเชื่อ
นักการเมืองบางคน แม้พูดเท็จบ่อยๆ ก็ยังมีคนนิยมเป็นจำนวนมาก อเมริกามักอวดอ้างว่า ประเทศตนเป็นตัวอย่างของการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม แม้นักการเมืองอาจมีการกล่าวร้ายป้ายสีกันอย่างดุเดือดในระหว่างหาเสียงบ้าง แต่เมื่อการเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว ผู้สมัครรับเลือกตั้งและประชาชนที่สนับสนุนเขา ก็ยอมรับในผลการเลือกตั้งโดยดุษฎี เมื่อประมาณร้อยปีก่อน ดร.หูซื่อ(胡适) นักวิชาการจีนที่มีชื่อเสียง ตอนที่เรียนหนังสือที่อเมริกา มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี เขารู้สึกประทับใจมาก เมื่อเห็นผู้แพ้ยอมรับความพ่ายแพ้ และกล่าวแสดงความยินดีต่อผู้ชนะ โดยไม่แสดงความเสียใจหรือไม่พอใจใดๆ
แต่ ในปัจจุบัน สถานการณ์การเมืองและสังคมของอเมริกาเปลี่ยนไปมากแล้ว ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีคร้งที่แล้ว ไบเดน (Joseph Biden)ได้รับชัยชนะ และทรัมป์(Donald Trump)เป็นผู้แพ้ แต่เขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ มีการฟ้องร้องให้นับคะแนนใหม่ในหลายพื้นที่ แม้ผลการนับคะแนนใหม่ยืนยันว่าทรัมป์ได้คะแนนเสียงน้อยกว่า แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับ กล่าวหาว่า ฝ่ายไบเดนโกงการเลือกตั้งโดยไม่มีหลักฐานอะไรเลย ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทรัมป์ได้คะแนนเสียงน้อยกว่าไบเดน ทั้งคะแนนรวมจากประชาชน(popular vote) และคะแนนผู้เลือกตั้ง(electoral vote) ซึ่งต่างกับการเลือกตั้งครั้งก่อน ที่ทรัมป์ได้คะแนนผู้เลือกตั้งมากกว่าคลินตัน(Hilary Clinton) แต่ได้คะแนนเสียงประชาชนรวมน้อยกว่า ทรัมป์จึงได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีตามกฏหมาย โดยคลินตันยอมรับความพ่ายแพ้ตามกติกา แม้ได้คะแนนประชาชนมากกว่า มาคร้งนี้ ทรัมป์แพ้ทั้งคะแนนประชาชนและคะแนนผู้เลือกตั้ง แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับ และกล่าวหาว่าเขาถูกโกง ทั้งที่ไม่มีหลักฐานอะไรเลย ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้สนับสนุนเขาจำนวนมากก็ยังเชื่อว่าเขาถูกโกง ในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 ในเวลาที่กำลังจะรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ประชาชนผู้สนับสนุนทรัมป์กลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปในรัฐสภา ทำลายข้าวของ ทำร้ายสมาชิกและเจ้าหน้าที่รัฐสภาเพื่อขัดขวางการประชุมรับรองผลการเลือกตั้ง แม้ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่เหตุการณ์การบุกรัฐสภาครั้งนี้ ได้สร้างความอัปยศให้แก่อเมริกา และทำให้ประเทศต่างๆตกตะลึงกันมาก
กล่าวโดยสรุป สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โต ถึงปัจจุบันได้อ่อนแอลงมาก สังคมก็มีความแตกแยกและเสื่อมถอย แต่นอกจากปัญหาเศรษฐกิจและสังคมแล้ว สิ่งที่ฉุดรั้งความเจริญของอเมริกา ยังมีปัญหาการเมืองและปัญหานโยบายต่างประเทศ ซึ่งจะพูดถึงต่อไป