การโจมตีซีเรียเพื่อมนุษยธรรม
คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ทหารประชาธิปไตย
www.INEWHORIZON.NET
การโจมตีซีเรียเพื่อมนุษยธรรม
สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส 3 ชาติมหาอำนาจที่มีที่นั่งถาวรอยู่ในคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ อันมีหน้าที่ดูแลความขัดแย้ง และสร้างความมั่นคงระหว่างประเทศ ด้วยกรอบของกฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งประเด็นสำคัญคือการเคารพในอธิปไตย และบูรณภาพของประเทศต่างๆ
แต่แล้วทั้ง 3 ชาติ มหาอำนาจดังกล่าวก็ได้ละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยการยิงถล่มประเทศที่มีอธิปไตยของตนเอง ด้วยจรวด 103 ลูก ไม่ว่าจะเป็นจรวดร่อนโทมาฮ๊อก GBU-38 ที่เป็นระเบิดที่มีระบบชี้เป้าจากเครื่องบิน B-1B,F-15 และ F-16 รวมทั้งยิงจรวด Scalp EG ของอังกฤษ ซึ่งทั้ง 3 ชาติอ้างว่ากระทำเพื่อระงับยับยั้งการใช้อาวุธเคมีของรัฐบาลซีเรียต่อประชาชนของตนเอง
อย่างไรก็ตามข้อกล่าวหาดังกล่าวนั้นขัดแย้งกับรายงานของคณะทำงานที่มีหน้าที่ควบคุมตรวจสอบการใช้อาวุธดังกล่าว ที่รายงานว่าการใช้อาวุธเคมีน่าจะมาจากฝ่ายกบฎ และมีการปั้นแต่งเพื่อกล่าวโทษรัฐบาลซีเรีย ด้วยการสนับสนุนของหน่วยงานหมวกขาว (WHITE HELMET) ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่าได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯและอังกฤษ ไม่เพียงแค่นั้นเพื่อให้เกิดความกระจ่างในเรื่องนี้ คณะทำงานดังกล่าวก็เตรียมตัวที่จะมาตรวจสอบในพื้นที่ แต่สามชาติมหาอำนาจกลับชิงลงมือเสียก่อน
ด้วยข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอยและยังไม่มีการพิสูจน์ ที่อ้างกันว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชนที่เมืองดูมาในวันที่ 7 เมษายน 2018 และหน่วยงานของสหประชาชาติ The Organization For Prohibition of Chemical Weapons เตรียมลงพื้นที่วันที่ 16 เมษายน 2018 แต่การโจมตีเกิดขึ้นวันที่ 14 เมษายน 2018 โดยเป้าหมายอยู่ที่ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ซีเรียที่กรุงดามัสกัส และพื้นที่เมืองดูมาที่เป็นสถานที่เกิดเหตุ
แม้ว่าการโจมตีครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จในแง่มุมทางทหาร เพราะระบบป้องกันภัยทางอากาศของซีเรีย สามารถป้องกันและยิงจรวดเหล่านี้ก่อนตกพื้นถึง 71 ลูก ทั้งๆที่ระบบป้องกันภัยทางอากาศเหล่านี้ของซีเรียเป็นอาวุธรุ่นเก่าจากรัสเซีย AD Systems ยังไม่ถึงขั้น S-200 ด้วยซ้ำ ขณะที่รัฐบาลก็กำลังรอรุ่นใหม่ๆ S-200, S-300 และ S-400 ของรัสเซียอยู่เพื่อการติดตั้งต่อไป
อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือกองกำลังของรัสเซียที่มาตั้งฐานในซีเรีย ตลอดจนฐานทัพเรือไม่ได้รับการแตะต้องเลยแม้แต่น้อย ส่วนความสูญเสียของฝ่ายรัฐบาลซีเรียก็มีน้อยมาก คือมีตึกที่เป็นที่ตั้งเครื่องจักร 1 ตึก ของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ถูกถล่ม ซึ่งไม่ใช่ตึกสำคัญ ที่เมืองดูมาก็เช่นกันไม่ถูกเป้าหมายอะไร นอกจากทำให้คนตาย 3 คน
จากข้อมูลการทางทหารพบว่าได้มีการสื่อสารกันระหว่างกองทัพของทั้งสองฝ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดสงครามใหญ่ จึงมีการระบุพิกัดชัดเจน และเป็นการตั้งใจที่จะโจมตีเฉพาะเขตและจำกัดการโจมตีแบบเพลงเดียวจบ การเตือนกันล่วงหน้าแบบนี้ทำให้ฝ่ายรัสเซียแจ้งเตือนรัฐบาลซีเรียให้โยกย้ายระบอบป้องกันภัยทางอากาศมากระจุกตัวตามเป้าหมาย ซึ่งต่างจากการโจมตีด้วยโทมาฮ๊อกครั้งที่แล้วที่กระจายจุดทำให้ยากจะป้องกัน แต่ก็ไร้จุดหมายสำคัญทางทหาร ไปตกในที่ว่างเปล่าจำนวนมาก
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าการโจมตีในครั้งนี้ของ 3 มหาอำนาจถูกต่อต้านจนไม่บังเกิดผลในทางทหาร เรียกว่าไม่คุ้มค่าการลงทุนเลย
ถ้าอย่างนั้น 3 มหาอำนาจทำไปเพื่ออะไร เริ่มจากสหรัฐฯการยิงถล่มด้วยโทมาฮ๊อกอย่างตำน้ำพริกละลายน้ำนี้ ก็เพื่อที่ฝ่ายบริหารจะได้สั่งอาวุธใหม่จากอุตสาหกรรมอาวุธ ซึ่งเป็นการโล๊ะทิ้งสต๊อกเก่าเหมือนที่บุชได้ทำมาแล้วเมื่อคราวถล่มอิรัก การสั่งอาวุธใหม่ต้องใช้ เงินมากแล้วจะไม่มีผลประโยชน์แฝงเร้นมันก็ผิดไปละ
ส่วนอังกฤษกับฝรั่งเศสนั่นก็ทำเพื่อให้เข้าตาเศรษฐกิจน้ำมันอย่างซาอุดิอารเบีย และยูเออี จะได้สั่งอาวุธจากตนเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายทางการเมือง กล่าวคือจากคำพูดของทรัมป์ต้องการที่จะข่มขวัญรัสเซียและอิหร่าน ส่วนเทเรซ่าเมย์ ก็ต้องการสร้างความประทับใจจากชาวโลก ด้วยการประกาศว่าการโจมตีนี้ต้องการจะหยุดความก้าวร้าวของซีเรีย ในการทำร้ายประชาชนของตนเอง โดยนางเทเรซ่า เมย์ กล่าวว่าปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ใช่การไปแทรกแซงสงครามกลางเมืองของซีเรีย ไม่ใช่การไปเปลี่ยนรัฐบาลซีเรีย แต่เป็นการโจมตีที่จำกัดเป้าหมาย อันจะไม่เป็นการไปเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาค แต่เป็นการทำทุกอย่างเพื่อลดความเสียหายของพลเรือน
ยิ่งไปกว่านั้นสหรัฐฯที่ครอบครองอาวุธเคมีใหญ่ที่สุดในโลก ไม่มีความชอบธรรมอะไรเลยที่จะไปกล่าวหาประเทศอื่น โดยเฉพาะในอดีตตนเองก็เคยใช้อาวุธเคมีมาแล้วในสงครามเวียดนาม
อนึ่งการโจมตีในครั้งนี้มิได้สร้างให้เกิดเสถียรภาพในซีเรีย แต่ประชาชนซีเรียนั่นแหละกลายเป็นผู้ได้รับเคราะห์กรรมจากภัยสงคราม ซึ่งสหรัฐฯก็ทราบดีก่อนการโจมตี
และนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่นางแองเกลล่า มาเกล นายกรัฐมนตรีเยอรมันปฏิเสธที่จะร่วมสังฆกรรมในครั้งนี้ เพราะเยอรมันต้องรับภาระจากผู้อพยพจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางเป็นจำนวนหลายแสน จนเกิดวิกฤติผู้อพยพไปทั่วยุโรปในปี 2015 ยุโรปเผชิญกับผู้ลี้ภัยจำนวนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านถึง 1.8 ล้านคน ทำให้เกิดปัญหาภายในมากมาย ในขณะที่สหรัฐฯจำกัดจำนวนเหลือไม่กี่พันคน และห้ามเข้าในที่สุด
ในเรื่องสถานภาพของกฎหมายระหว่างประเทศนั้นยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากในช่วง 50 ปีมานี้ โดยผู้ที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศรายใหญ่ก็คือสหรัฐอเมริกา เช่นปี 1983 สหรัฐฯบุกกรานาดา ประเทศเล็กๆมีประชากร 91,000 คน และอ้างว่าเป็นกองกำลังนานาชาติ แต่เอาประเทศเล็กๆ 2-3 ประเทศมาเป็นหุ่น โดยทหารทั้งหมดเป็นของสหรัฐฯ ปี 1999 สหรัฐฯก็ถล่มยูโกสลาเวีย และอ้างภายหลังว่าเป็นกองกำลังนาโต้ ที่ยังไม่นับการถล่มอิรัก และลิเบีย ทั้งนี้สหรัฐฯไม่เคยถามประชาคมนานาชาติเลย และทำผิดกฎบัตรสหประชาชาติอย่างร้ายแรงตลอด
สำหรับงานนี้ทรัมป์และเมย์จะต้องถูกตั้งคำถามจากประชาชนและรัฐสภาที่จะต้องเข้ามาตรวจสอบ แต่อย่างว่าละครับความสูญเสียของชาวซีเรียจะไม่มีวันที่จะได้รับการเยียวยา เหมือนคนอิรักหรือคนลิเบียก็เช่นกัน
ส่วนรัสเซียนั้นได้ผลประโยชน์ทางการเมืองระหว่างประเทศเต็มๆ เพราะได้นำเรื่องเข้าสู่คณะมนตรีความมั่นคง สหประชาชาติ ทั้งที่รู้ว่าจะต้องถูกบล็อกหรือวีโต้ แต่ก็เป็นการใช้ขั้นตอนนี้เพื่อพิสูจน์อีกครั้งว่า สหรัฐฯและพันธมิตรไม่เคยมององค์การสหประชาชาติอยู่ในสายตาเลย หากแต่จะใช้อำนาจเป็นใหญ่ “The Might is Right” อยู่ตลอดเวลา
ในกรณีการถล่มซีเรียนี้นอกจากผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่ทรัมป์และผู้มีส่วนได้เสียแล้ว ทรัมป์ยังต้องการที่จะกลบข่าวที่ตนเองมีเพศสัมพันธ์กับดาราหนังโป๊ แต่ในแง่มนุษยธรรมแล้วทรัมป์ เมย์ และมาครง ต่างใช้ชีวิตและทรัพย์สินของประเทศเล็กๆอย่างซีเรียเป็นเครื่องสังเวยความบ้าคลั่งของตนเอง
การทำลายกฎหมายระหว่างประเทศ และองค์การสหประชาชาติ ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อรักษาความสงบสันติสุขของนานาชาติ โดยประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส จะทำให้โลกเข้าสู่ยุคความป่าเถื่อน และล่อแหลมต่อการเกิดสงครามโลกไปทุกที่ การล่มสลายขององค์การสหประชาชาติก็จะทำให้เกิดชะตากรรมเช่นเดียวกับการล่มสลายขององค์การสันนิบาตชาติ อันทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ครั้งนี้สงครามที่เกิดขึ้นจะเป็นสงครามนิวเคลียร์ แล้วโลกจะเหลืออะไร
“Humanitarian” missile strike on Syria
United States, United Kingdom and France April 14, 2018 year launched a missile strike on Syria. This is the second act of large-scale aerial attacks on a sovereign Middle Eastern State over the last two years.
As evident by the available data, 103 cruise missiles have been launched, including Tomahawk naval-based missiles as well as GBU-38 guided air bombs fired from the B-1B; the F-15 and F-16 aircraft launched air-to-surface missiles. The Tornado airplanes of the UK RAF launched eight Scalp EG missiles.
The Syrian air defence systems, which are primarily the USSR-made AD systems, have successfully countered the air and naval strikes. In total, 71 cruise missiles have been intercepted. But somehow this fact carefully hidden in Washington and London.
As a far-fetched pretext, Washington and London called the Syrian Government’s application of chemical weapons against civilians in the city Duma on April 7. While observers the Organization for the Prohibition of Chemical Weapons were supposed to start its investigation on the alleged incident only April 16. All this shows the futility of the chosen cause.
In the words of Donald Trump, the United States should seriously punish Russia and Iran.
British Prime Minister Theresa May generally impressed the World with her vision for the purpose of aggression against Syria, calling it operation to save Syrian people. Mrs. May said: “This is not about intervening in a civil war. It is not about regime change. It is about a limited and targeted strike that does not further escalate tensions in the region and that does everything possible to prevent civilian casualties.”
Moreover the US, as a holder of chemical weapons, has no moral right to blame other countries.
The attack does not create a climate of stability in Syria. Americans give a clear message that the Syrian population is hostage to their political ambitions. During a press conference at the Pentagon before hitting, the U.S. military was asked about possible civilian casualties. The reply was standard — the United States doing everything. But if there are civilians around, then they are obviously suffer.
I do not exclude that the refusal by German Chancellor Angela Merkel from participating in this universal “holiday cruise” for democracy is based on the desire to avoid a new immigration crisis. She perfectly remembers the consequence of uncontrolled migration caused by conflict in the Middle East. Germany got this tutorial.
I would like to remind the European migration crisis erupted at the beginning of the year 2015 due to the repeated increase in the flow of refugees and illegal migrants to the countries of the European Union from North Africa, the Middle East and South Asia. Therefore, from January to September 2015 year in European countries, there were more than 700 thousand asylum-seekers. Total for year 2015 in the EU had arrived, according to various estimates, from 1 to 1,8 million refugees.
The situation of international law has changed little since the bombing of Yugoslavia in 1999 year. When “strong Americans” need it, they don’t ask the views of the international community. There was a period when the world began to take it as a rule. We remember the aggression against Iraq, Libya, etc.
In addition, here Russia still tries to make earn UN mechanisms, which has formally employed. The UN Security Council is one of the few opportunities to widely communicate their views to the world community.
With regard to the missile strike on Syria, it seems to me that was more imitation than actually attempt to weaken and punish Bashar Al-Assad. Donald Trump cynically decided to multiple tasks: public attention distracted attention from the scandal, supported around its relationship with the porno-star, showed his “determination” to punish Russia and “salvage” hundred outdated missiles on the territory of the unfriendly States. He did everything to even do not accidentally cross the red line, do not touch any Russian troops during the missile attacks.
In any case, the strike in Syria was simultaneously and yet another blow to the international law, which now weakens and disintegrates. And there are fears that even the UN formally cease to exist. It will be extremely dangerous moment for modern civilization. Russia, as we can see, is trying to make every effort to this mechanism. Even in circumstances where the largest and strongest State in flagrant violation of international norms.