รำลึกถึงวันครู : รำลึกถึงครู
คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
ทหารประชาธิปไตย
www.INEWHORIZON.NET
รำลึกถึงวันครู : รำลึกถึงครู
กำเนิดของวันครูในประเทศไทยนั้น เริ่มจากดำริของจอมพล.ป.พิบูลย์สงคราม ในฐานะนายกกิติมศักดิ์ของคุรุสภา ได้กล่าวในการประชุมคุรุสภา ว่าควรจะมีวันที่เป็นที่รำลึกถึงบรรดาครูบาอาจารย์ ซึ่งถือว่ามีคุณูปการในการสร้างบุคลากรของชาติ ดังนั้นในวันที่ 21 พ.ย.2499 ครม.จึงได้มีมติกำหนดให้วันที่ 16 ม.ค.ของทุกปีเป็นวันครูของประเทศไทย โดยยึดเอาวันที่ประกาศพ.ร.บ.ครูในราชกิจจานุเบกษา 16 ม.ค.2488 ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการได้สั่งการให้โรงเรียนปิดการเรียน และจัดกิจกรรมวันครู ซึ่งมี 3 ประเภทหลักดังนี้
1.กิจกรรมทางศาสนา
2.พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
3.กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น
ทั้งนี้ให้ใช้สถานที่ราชการเป็นที่จัดงาน อย่างไรก็ตามการจัดงานในสถานที่ราชการก็มีแต่ครูไปร่วมงาน หามีลูกศิษย์คือนักเรียนในขณะนั้นไปร่วมไม่ และต่อมาก็ไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไร จนไม่ค่อยมีการจัดงานในสถานที่ต่างๆ นอกจากที่คุรุสภา ในขณะที่กิจกรรม เช่น พิธีปฏิญาณตนกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ซึ่งเราเรียกว่าวันไหว้ครู กลับมิได้จัดในวันที่ 16 ม.ค.เพราะตามคติพราหมณ์/ไทยถือว่าวันพฤหัสบดีเป็นวันครู จึงมีการไหว้ครูในวันพฤหัสฯตามแต่ละโรงเรียนจะกำหนด
การรำลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์นั้นความจริงในทุกชนชาติและในทุกศาสนาต่างก็ตระหนักถึงความมีคุณูประการ คือ มีคุณประโยชน์ด้วยประการต่างๆต่อการสร้างคน สร้างชาติ
อย่างในศาสนาพุทธ พระพุทธองค์ได้กำหนดทิศ 6 คือ ทิศเบื้องหน้า คือพ่อแม่ ทิศเบื้องหลังคือบุตร ภรรยา สามี ทิศเบื้องขวาคือครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องซ้ายคือมิตรสหาย ทิศเบื้องล่างคือลูกน้องบริวาร และทิศเบื้องบนคือผู้ทรงศีล ผู้เคร่งครัดในศาสนาจะเห็นได้ว่าเกิดความเข้าใจผิดกันว่าเราต้องไหว้ทิศทั้งหก แต่ความจริงพระพุทธเจ้าสอนว่าเรามีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อทิศทั้งหกอย่างไร ไม่ใช่การไปนั่งกราบไหว้ เช่น เราไม่ไปกราบไหว้ลูกน้องทั้งๆที่เราทำธุรกิจและร่ำรวยมาได้ส่วนหนึ่งก็มาจากการมีลูกน้อง ข้าทาสบริวารที่ดี
อย่างไรก็ตามพิธีไหว้ครูของไทยได้มีการประยุกต์รูปแบบจนเสมือนเป็นภาคบังคับ คือ การจัดดอกไม้ ธูปเทียน หญ้าแพรก ดอกมะเขือ ดอกเข็ม มาทำพิธีปฏิญาณและมีตัวแทนนำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบครูบาอาจารย์ ซึ่งทำให้นักเรียนที่นับถือศาสนาอิสลามไม่สามารถกระทำได้ และทำให้เกิดความขัดแย้ง หรือมองว่าแปลกแยก แต่เท่าที่ผู้เขียนทราบตามหลักการอิสลามนั้นห้ามมิให้มีการกราบใคร หรืออะไรนอกจากพระเจ้า ในขณะเดียวกันศาสนาอิสลามก็ได้มีแนวคิดในการเคารพบูชาบุคคลในลักษณะเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั่นคือ แสดงออกด้วยการกระทำในการประพฤติปฏิบัติต่อบุคคลในลักษณะต่างๆ เช่น ศาสดามูฮัมมัด(ซล) ได้มีวจนะว่า “สวรรค์อยู่ใต้ฝ่าเท้ามารดา” คือให้เคารถเทิดทูนมารดา แต่ก็มิได้ให้กราบเท้ามารดา หรือท่านกล่าวว่า “จงจ่ายค่าแรงงานก่อนที่เหงื่อเขาจะแห้ง” นั่นคือการปฏิบัติต่อลูกน้องด้วยความเห็นอกเห็นใจ เขาทำงานเสร็จก็ให้รีบจ่ายเงินเพราะเขาผู้ใช้แรงงานมีความจำเป็นต้องใช้เงินอยู่เสมอ เพื่อการครองชีพ
ด้วยประการฉะนี้การเคารพบูชาครูบาอาจารย์ย่อมไม่จำเป็นจะต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้ แต่ต้องประพฤติปฏิบัติบูชาครูอาจารย์ด้วยการนอบน้อม มีมารยาทที่ดีงามกับท่าน ตั้งใจฟังคำสอน สอบถามด้วยการให้เกียรติเป็นต้น และต้องทำทุกวันไม่ใช่เฉพาะวันครูหรือวันไหว้ครู แต่ต้องทำแม้พ้นการศึกษาแล้วด้วยการแสดงความกตัญญูต่อท่าน
ตรงนี้ผมมีเรื่องเล่าจากเพื่อนฝูงเพื่อเป็นตัวอย่างเช่น มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งเรียกว่ารุ่นเดียวกันได้มีพฤติกรรมที่น่าเอาเป็นตัวอย่างกล่าวคือ เมื่อนักเรียนรุ่นนี้สำเร็จการศึกษาและมีการงานทำเป็นหลักฐานแล้ว ก็ยังคงเรียนเชิญครูบาอาจารย์มารับประทานอาหาร มอบของขวัญ และในบางโอกาสก็พาไปทัศนาจรต่างจังหวัด จนปัจจุบันนี้ลูกศิษย์รุ่นนี้อายุปาเข้าไป 70 ปีเศษแล้ว ก็ยังเรียนเชิญครูบาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่และพอมาได้มารับประทาน อาหารร่วมกัน มอบของขวัญและอื่นๆ หรือ เมื่อครูท่านใดป่วยก็จะส่งตัวแทนไปเยี่ยม หากท่านมีปัญหาเรื่องเงินก็จะรวบรวมเงินไปมอบกับท่าน ทั้งนี้ศิษย์รุ่นนี้ได้ทำให้เกิดแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์รุ่นน้องๆที่จะประพฤติปฏิบัติกับครูในรุ่นต่อๆมา นี่ก็เป็นแบบอย่างหนึ่งซึ่งไม่ได้หมายถึงต้องไปกราบกรานครูบาอาจารย์
มีอีกตัวอย่างอันนี้ค่อนข้างแปลกแต่ก็อาจจะนำมาเป็นข้อคิดได้ คือ มีเพื่อนคนหนึ่งเป็นครูอาจารย์ อยู่ในโรงเรียนทหารแห่งหนึ่ง เขาเล่าให้ฟังว่าเขาเคยไปร่วมงานไหว้ครูในสถาบันนั้นครั้งหนึ่ง เพราะเพื่อนครูชวนไป แต่พอไปถึงก็หน้าแตก เพราะเขาบอกอดีตครูคนนั้นว่าท่านไม่ได้เกษียณจากครูสถาบันนั้น (ทั้งๆที่เขาสอนมากว่า 20 ปี) จึงไม่มีสิทธิขึ้นไปนั่งบนเวทีให้ลูกศิษย์ไหว้ เพื่อนก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่พอถึงเวลาไหว้ครูปรากฏว่ามีอดีตผู้อำนวยการกองที่ไม่เคยสอนหนังสือเลย แต่โอนย้ายมาจากฝ่ายประกอบเลี้ยง เพราะตำแหน่งตันขึ้นไปนั่งร่วมกับครูคนอื่นๆนี่ก็เป็นตัวอย่างของความเข้าใจของสถาบันว่าใครคือครู หรือใครมิใช่ครู และมีอาจารย์อีกท่านที่ได้นั่งฟังอยู่ด้วยท่านก็เล่าว่า สมัยท่าน(ท่านสอนมากว่า 30 ปี) ขนาดครูพละเป็นแค่จ่ายังถูกเชิญไปนั่งให้ลูกศิษย์ไหว้ ครั้นท่านลาออกก่อนเกษียณทางโรงเรียนไม่เคยเชิญท่านไปร่วมงานพิธีไหว้ครูเลย
นี่ก็เป็นความเข้าใจผิดและรวมไปถึงความไม่สมควรในการประพฤติปฏิบัติกับครูบาอาจารย์ ไม่ว่าเขาจะสอนมานานแค่ไหน ขงจื้อเคยกล่าวว่า “เป็นครูวันเดียวก็เหมือนเป็นครูตลอดชีวิต”
ในทางกลับกันครูก็ต้องประพฤติปฏิบัติตนให้สมกับการเป็นครูบาอาจารย์ คือ ขนขวายหาความรู้ทุ่มเทสั่งสอนให้ลูกศิษย์มีความรู้ ความสามารถ และมีความประพฤติที่ดีมีคุณธรรมเพื่อเป็นแบบอย่างกับลูกศิษย์ แต่ก็มิได้หมายความว่าลูกศิษย์จะมาแบ่งแยกตัดสินครู เพราะครูก็คือครู
ทีนี้มาพูดถึงคำขวัญในวันครูปีนี้ที่ พล.อ.ประยุทธ์มอบให้คือ “ศิษย์ดีก็ด้วยครูดี มีศรัทธา” นั่นคือ ครูต้องมีศรัทธาในอาชีพแห่งตน โดยไม่มีข้ออ้างอื่นใด แต่ก็มีการเผยแพร่คำขวัญปลอมว่า “ศิษย์นั้นต้องไปได้ไกลกว่าอาจารย์ นี่คือหน้าที่ที่แท้จริงของเหล่าอาจารย์” แม้เป็นของปลอมและลอกมาจากหนังเรื่องสตาร์วอร์ ที่อาจารย์เจไดสอนลูกศิษย์ แต่มันก็สะท้อนความจริงบางอย่างคือ ลูกศิษย์บางคนพอมียศมีตำแหน่งสูงก็จะมีความรู้สึกที่คิดว่าตนนั้นใหญ่กว่าครู ครูต้องเคารพเขา นี่มักเกิดกับพวกที่มีเครื่องแบบหลายคนทีเดียว และถ้าคิดกันแบบนี้ย่อมจะมีปัญหาในบั้นปลายเพราะไม่บูชาทิศหกนั่นเอง