ทางออกของ”ระบอบฮุน”มีไม่มาก

สบาย สบาย สไตล์เกษม
เกษม อัชฌาสัย
ทางออกของ”ระบอบฮุน”มีไม่มาก
ผมบอกท่านผู้อ่านตรงนี้ได้เลยว่า การรายงานของสื่อสารมวลชนสากลกระแสหลักนั้น ไม่ว่าในเรื่องใดๆ จะเชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไม่ได้
โดยเฉพาะจากค่ายเสรีประชาธิปไตยที่ส่งเสริมสื่อเสรีเพราะมักจะ”เข้าข้างชาติ”ที่สื่อนั้นสังกัดหรือหลงสนับสนุนอย่างผิดๆ
ซึ่งก็จะเห็นแล้วว่าสื่อสากลส่วนใหญ่เอนเอียงไปทางกัมพูชา ในการนำเสนอข้อเท็จจริง เอนเอียงไปทิศทางว่ากัมพูชาเป็นชาติที่ถูกรังแกเพราะเป็นชาติที่เล็กกว่า
แม้แต่บีบีซี. ที่ว่ากันว่ามีจรรยาบรรณยอดเยี่ยมก็เถอะ มิวายจะเอนเองเข้าข้าง
ถ้าไม่เชื่อไปลองอ่านบีบีซีไทยทุกๆ วัน แล้วก็ลองประเมินดูก็ได้ครับ
โดยเฉพาะสถานการณ์การสู้รบไทย-กัมพูชา หลังการประชุม(สมัยประชุมพิเศษ)รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่กัวลาลัมเปอร์(เมื่อ ๒๒ ธค.๖๘) ก็ยังเอนเอียงเข้าข้างกัมพูชา
ที่ชาติอภิมหาอำนาจเช่นจีนและสหรัฐจะพยายามวิงวอน(ปนการกดดัน)ให้หยุดยิงให้ได้อีกครั้ง
หยุดยิงแล้วจะเป็นอย่างไร นี่คือคำตอบของ”สีหศักด์ พวงเกตแก้ว”รัฐมนตรีต่างประเทศครับ
“กัมพูชาไปพูดกับทุกฝ่ายว่าจะหยุดยิง แต่กลับไม่พูดกับเราเลย” ท่านยืนยันตามที่เป็นจริง
โดยสื่อสากลมักไม่ใส่ใจเอ่ยถึงในแง่นี้
สะท้อนให้เห็นชัดๆ ถึงการไม่รักษาคำพูดของกัมพูชา มาตั้งแต่การประกาศหยุดยิงครั้งแรก ๒๘ กค.๖๘ ซึ่งไม่ปฏิบัติตามเลย
แต่สื่อสากลไปบอกชาวโลกว่า ไทยรุกรานไม่เลิก ให้ดูเหมือนว่าไทยรังแก ซึ่งไม่จริง
เพราะที่ผ่านมานั้น ก็พยายามช่วยกัมพูชามาตลอด จะรังแกทำไม มีแต่ช่วยให้สามารถกลับมาเป็นชาติได้อีกครั้ง หลังสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างเขมรสามฝ่าย จนประเทศแยกเป็นเสี่ยงๆ
ยอมให้ใช้แผ่นดินไทยช่วยผู้อพยพหนีสงครามมาจากกัมพูชา แต่ต่อมากัมพูชากลับอ้างว่าแผ่นดินนั้นเป็นของตน
จนในที่สุดได้รัฐบาลกัมพูชา”ระบอบฮุน”กลับเนรคุณ ใช้ไทยเป็นเครื่องมือในการ
โฆษณาชวนเชื่อ ใช้สงครามเป็นเครื่องมือ เพื่อปลุกความนิยมที่ตกต่ำให้ต่อรัฐบาล”ฮุน มาเนต”
แต่สวนทางต่อการถูกเปิดเผยความไม่ถูกต้องให้ชัดขึ้น เมื่อปรากฏต่อโลกว่า”ระบอบฮุน”คือศูนย์กลางความหลอกลวงระดับโลก หาเงินทางลัดผ่านทาง”สแกมเมอร์”ที่ใช้ไทยเป็นเครื่องมือฟอกเงิน ด้วยความร่วมมือของนักการเมืองไทยเป็นที่ประจักษ์
การปะทะกันครั้งหลังสุดที่เริ่มแต่ ๘ ธค.๖๘ ปรากฏว่า
๑.ไทยได้เปรียบสามารถยึดคืนดินแดนที่เป็นของไทยซึ่งกัมพูชารุกเงียบเข้ามายึดครอง(แล้วตีขลุมว่าเป็นของตน)ได้เกือบจะหมดสิ้นแล้ว
๒. กัมพูชาอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ไทยก็ไม่ตีโต้จนเกินขอบเขตตามที่กฎหมายระหว่างประเทศกำหนด ในขณะที่”ระบอบฮุน”ร่อนจดหมายเปิดผนึกไปทั่วโลกตีบทเหยื่อผู้น่าสงสาร อ่อนน้อม ถ่อมตน รายงานโดย Amarin News ว่า:-
๒.๑กัมพูชาไม่ได้เป็นฝ่ายรุกรานก่อน ประเทศเล็กๆไม่มีความทะเยอะทะยาน ศักยภาพไม่ถึงที่จะโจมตีไทย ที่มีอำนาจมากกว่าถึงสามเท่า เรียกร้องมาตลอดให้แก้ปัญหาโดยสันติ หลังปะทะก็เรียกร้องหยุดยิง
๒.๒ กฎหมายอยู่ข้างกัมพูชาเรื่องแผนที่ กัมพูชาอาศัยแผนที่และสนธิสัญญาเขตแดนที่จัดขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายและได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่าง ประเทศ ซึ่งรวมถึงสนธิสัญญาฝรั่งเศส–สยามปีค.ศ. ๑๙๐๔และ ปีค.ศ. ๑๙๐๗ ตลอดจนบันทึกความเข้าใจปี ๒๐๐๐ (ปีพ.ศ.๒๕๔๓) แต่ของไทยโมเมฝ่ายเดียว จึงอ้างไม่ได้ว่ากัมพูชาละเมิดดินแดน
๒.๓ กัมพูชาเลือกใช้กฎหมาย แต่ไทยเลือกใช้อาวุธ
๒.๔ กัมพูชาเจ็บปวดกับสงคราม จึงให้ความสำคัญสันติภาพ
๒.๕ ไทยลากยาวสงคราม ใช้เครื่องบินรบถล่มไม่ใช่เป้าหมายทหาร ลามไปถึงชุมชน วัด โรงเรียน โบราณสถาน ฯลฯ เป็นฝ่ายรุกรานชัดเจน
ดังนั้นไม่ว่า”ระบอบฮุน”จะพยายามหลอกลวงโลกเช่นที่ว่าอย่างไร
ไทยก็ยืนกรานเงื่อนไขว่าจะยอมลดความตึงเครียดด้วยเพื่อนำสู่สันติภาพได้ก็ต่อเมื่อ :-
– กัมพูชาต้องเป็นฝ่ายประกาศหยุดยิงก่อน ในฐานะคู่กรณีที่มีการปฏิบัติการทางทหาร
– การหยุดยิงต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง โดยต้องสามารถตรวจสอบได้จากข้อเท็จจริงในพื้นที่ผ่านกลไกฝ่ายทหาร
– กัมพูชาต้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างจริงจัง เพื่อยุติภัยคุกคามต่อชีวิตของทหารและประชาชน
ทั้งหมดนี้นั้น ก็จะต้องดูว่าการเจรจาที่ไทยเสนอให้กลับสู่โต๊ะเจรจาภายใต้คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ในวันที่ ๒๔ ธค.๖๘ ที่จันทบุรีจะเกิดขึ้นได้หรือไม่และอย่างไร
หากเป็นไปตามที่ไทยตั้งเงื่อนไข ทุกอย่างก็จะราบรื่น พอที่จะนำไปสู่สันติภาพและอยู่ร่วมกันได้ต่อไปในอนาคต ที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาด้วยกัน โดยไม่ต้องมีมือที่ ๓ โดยเฉพาะชาติอภิมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง
ถ้ากัมพูชาไม่มาประชุม ต้องการทำสงครามต่อ “ระบอบฮุน”ก็จะต้องมั่นใจว่า จะมีชาติอภิมหาอำนาจใดสนับสนุนให้ทำสงครามต่อ เพื่อหวังว่าการแทรกแซง หมายดึงเรื่องเข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งกัมพูชาเสี่ยงมากว่า ใครจะสนับสนุนระหว่างจีนกับสหรัฐ ซึ่งเท่ากับการทำตัวเป็นชาติสงครามตัวแทนที่จะรบกับไทย ซึ่งเสี่ยงว่าจะคุ้มค่าหรือไม่
แต่ดูไปแล้วจีนไม่น่าจะสนับสนุนด้วยไม่ชอบใจใน”ระบอบฮุน”ในปัจจุบันเท่าใดนัก
และสหรัฐก็ไม่น่าจะเสี่ยงมาเปิดฉากทำสงครามตัวแทนโดยใช้กัมพูชาเป็นเครื่องมือในเวลานี้ เพราะเจอศึกหลายด้านอยู่แล้วไม่จะกรณียูเครน กรณีเวเนซุเอลาและกรณีฉนวนกาซา
ทำได้อย่างมาก ก็ช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เพื่อรักษาสิทธิ ที่เข้ามาใช่ท่าเรือเรียมของกัมพูชาตามข้อตกลง”อินโด-แปซิฟิก”
ซึ่งถ้าเข้ามาใช้อย่างถาวร ด้วยท่าทีพร้อมรบ จีนก็จะต้องไม่ยอมแน่ๆ เนื่องจากลงทุนลงแรงช่วยกัมพูชาไปมากมายทางเศรษฐกิจในอดีต
จึงมีความเป็นไปได้ว่าจีนจะเลิกหนุน”ระบอบฮุน”แล้วสถาปนาประธานพรรคฟุนซินเปกคือ”นโรดม จักราวุธ”(ลูกของ”นโรดม รณฤทธิ์)ขึ้นเป็นผู้นำแทน
และก็จะไม่หนุน”สม รังสี”ซึ่งเป็นหุ่นเชิดของสหรัฐ
แต่เรื่องเช่นนี้ ก็จะต้องดูท่าทีของ”ระบอบฮุน”ว่าจะยอมเชื่อฟังจีนหรือไม่ในเรื่อง”สแกมเมอร์”ที่จะหยุดหรือต้องเลิกไป ตามมติของมี่ประชุมเรื่องนี้ในไทยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
ทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าทางออกของ”ระบอบฮุน”มีไม่มากนัก
ก็จะต้องชมรัฐบาลไทย ที่กำหนดจุดยืนและท่าที ในกรณีความขัดแย้งกับกัมพูชาได้ดีที่สุดแล้ว ในเวลานี้
ดีกว่ารัฐบาลก่อนๆ หลายเท่านัก







