วิเคราะห์ค่าเงินบาทแข็งค่าผิดปกติ?
คอลัมน์ช่วยกันคิดช่วยทำ
วิเคราะห์ค่าเงินบาทแข็งค่าผิดปกติ?
เงินบาทแข็งค่า 3.55% ในรอบ 12 เดือน และแข็งค่าถึงระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี แต่ถ้าพิจารณาเงินสกุลอื่นๆ ในปี 2025 (2568) ในเอเชียพบว่า เงินดีนาร์คูเวต ดีนาร์บาเรน และดอลลาร์สิงคโปร์อยู่ในระดับ Top โดยเงินบาทไม่ได้อยู่ในระดับ Top Tier
หากเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านอาเซียนในเดือนกันยายน 2025 เงินริงกิตมาเลเซียมีการเคลื่อนไหวแตกต่างกับสกุลเงินอาเซียนอื่นๆ โดยอ่อนค่าต่อดอลลาร์สิงคโปร์ (3.2800 MYR/SGD) แต่แข็งค่าต่อเงินบาทไทย (13.2092 MYR/1,000 THB)
ในขณะที่เราพิจารณาปัจจัยภายในของเงินสกุลในอาเซียน เริ่มจากเงินสิงคโปร์ (SGD) เป็นเงินที่มีเสถียรภาพสูงและการแข็งค่าที่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน นอกจากนี้สิงคโปร์ยังเป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาคที่มั่นคง
ด้านเงินริงกิตมาเลเซีย (MYR) แข็งค่าต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯแต่อ่อนค่าต่อดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวสอดคล้องกับปัจจัยเศรษฐกิจ
ส่วนเปโซฟิลิปปินส์ (PHP) ค่อนข้างคงที่เทียบกับริงกิตมาเลเซีย (7.35 PHP/MYR)
ด้านรูเปียห์อินโดนีเซีย (IDR) อ่อนค่าลงเทียบกับริงกิต (254.4 IDR/MYR) ซึ่งก็สอดรับกับปัจจัยพื้นฐาน แม้จะเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในอาเซียน
สำหรับเงินบาทดังกล่าวมาแล้วว่า แข็งค่าสูงสุดในรอบ 4 ปี แต่ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน โดยพิจารณาจากยอดการส่งออกที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ด้านการท่องเที่ยวก็ยังไม่ฟื้นตัวมากเมื่อเทียบกับก่อนโควิด หากจะมีการพิจาราณาถึงการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ทุนสำรองของไทยก็มีเงินดอลลาร์สำรองอยู่ประมาณ 50 % จึงน่าจะเป็นปัจจัยลบต่อค่าเงินบาท
ด้านเงินทุนไหลเข้าที่อ้างว่า เข้ามาซื้อพันธบัตรไทยก็พอจะยอมรับได้เพราะพันธบัตรไทยค่อนข้างมั่นคง และให้ดอกเบี้ยในอัตราที่สูงโดยเปรียบเทียบ ในขณะที่พันธบัตรสหรัฐฯมีสภาพที่เสี่ยงสูง เนื่องจากหนี้สาธารณะของสหรัฐฯพุ่งสูงถึงประมาณ 37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากการขาดดุลงบประมาณถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้มีความจำเป็นในการออกพันธบัตรใหม่จำนวนมหาศาลเพื่อค้ำประกันธนบัตรดอลลาร์ที่ต้องพิมพ์เพิ่มเพื่อใช้หนี้ หรืออย่างน้อยจ่ายดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้าน ทั้งนี้หนี้สหรัฐฯเกือบ 3 ล้านล้านดอลลาร์จะครบกำหนดในปีนี้ โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะสั้น
ดังนั้นราคาพันธบัตรสหรัฐฯ จึงตกต่ำลงมาก เนื่องจากนักลงทุนขาดความไว้วางใจในสถานะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทั้งนี้ญี่ปุ่นและจีน ซึ่งเป็นผู้ถือพันธบัตรรายใหญ่กับนักลงทุนภาคเอกชนต่างเทขาย ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Scott Bessent เรียกว่า “การสั่นสะเทือนจากการลดการใช้เลเวอเรจ (Deleveraging Convulsions ) ซึ่งการที่ราคาพันธบัตรลดลง ทำให้อัตราผลตอบแทน 10 ปี พุ่งสูงสุดถึง 4.58%
ดังนั้นจึงเป็นไปได้อย่างมากที่พันธบัตรใหม่ของสหรัฐฯที่จะออกมาค้ำประกันธนบัตรดอลลาร์ที่เฟดต้องพิมพ์ขึ้นใหม่เพื่อใช้หนี้ และค้ำประกันโดยพันธบัตรของรัฐบาลจะหาผู้ซื้อได้ลำบากจนเฟดต้องรับซื้อเสียเอง
นี่ก็เป็นการยืนยันว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีนักลงทุนโอนเงินเข้ามาซื้อพันธบัตรไทย และการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มของสหรัฐฯก็จะทำให้ค่าดอลลาร์ลดต่ำลง ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
แต่ปัญหาคือการแข็งค่าของเงินบาทมันดูไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทย และไม่มีเหตุอันใดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้าแทรกแซงเพื่อให้เงินบาทแข็งค่า แม้ว่าจะมีการยืนยันว่าเงินไหลเข้าเป็นเงินลงทุนระยะยาว แต่ดูการไหลเข้าที่ผิดปกติก็เป็นเหตุให้ชวนสงสัย ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อตลาดพันธบัตรไทย
นอกจากนี้การไหลเข้าของทองคำแท่ง และการไหลออกของทองรูปพรรณและทองแท่งที่ส่งไปกัมพูชายังมีข้อน่าเคลือบแคลงว่า อาจจะเกิดจากการฟอกเงินของธุรกิจสีเทาในกัมพูชาที่มีปริมาณเงินมหาศาล ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการแข็งค่าของเงินบาท
ดังนั้นเราจึงควรพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกทองคำที่ผิดปกติไปกัมพูชาดังนี้
ปี 2021 มูลค่า 8.6 พันล้านบาท
ปี 2022 มูลค่า 55.8 พันล้านบาท
ปี 2023 มูลค่า 12.6 พันล้านบาท
ปี 2024 มูลค่า 106.0 พันล้านบาท
ปี 2025 มูลค่า 71.3 พันล้านบาท (เพียง 7 เดือน)
จากสถิติการส่งทองไปกัมพูชาทำให้กัมพูชากลายเป็นปลายทางส่งออกทองคำอันดับ 2 ของไทย รองจากสวิสเซอร์แลนด์ ทั้งที่เศรษฐกิจค่อนข้างเล็ก
พิจารณาจากสาเหตุการแข็งค่าของเงินบาทนั้น มีปัจจัยที่จะต้องพิจารณา 2 ประการ คือ การแข็งค่าเงินบาทเกิดจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการไหลเข้าของเงินจากการขายทองให้กัมพูชากับการที่เงินไหลเข้าเพื่อมาซื้อพันธบัตรไทย ซึ่งมีวิธีการแก้ไขที่แตกต่างกัน นั่นคือ
1.เงินดอลลาร์อ่อนค่าทำให้บาทแข็ง ธนาคารแห่งประเทศไทย อาจแนะนำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งจะทำให้เงินไหลออกและเงินบาทจะอ่อนค่าลง
2.เงินไหลเข้ามาซื้อพันธบัตรและการขายทองไปกัมพูชา หากมองได้ว่าเป็นการฟอกเงินและการเก็งกำไรในการซื้อพันธบัตร ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย
ดังนั้นกระทรวงคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องออกมาตรการในการควบคุม และตรวจสอบการได้มา หรือพฤติกรรมการถือครองเงินในประเทศไทย เพราะมันจะเป็นอันตรายที่ทำให้เกิดการผันผวนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการส่งออก และการท่องเที่ยวของไทยในที่สุด