jos55 instaslot88 Pusat Togel Online ความผูกพันของบุคคลคือ วิถีทางของอเล็กซานเดอร์ มหาราช - INEWHORIZON

INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ความผูกพันของบุคคลคือ วิถีทางของอเล็กซานเดอร์ มหาราช

ความผูกพันของบุคคลคือ วิถีทางของอเล็กซานเดอร์ มหาราช

ถ้าเราส่วนใหญ่ใช้ตอนอายุยี่สิบปีของเราเจริญเติบโตและค้นหาความมุ่ง
หมายภายในชีวิตของเรา อเล็กซานเดอร์ มหาราชได้ใช้ตอนอายุยี่สิบของ
เขายึดครองโลก ตอนอายุสามสิบปี อเล็กซานเดอร์ ได้สร้างอาณาจักร
ใหญ่ที่สุดภายในประวัติศาสตร์ เขาไม่เคยพ่ายแพ้การสู้รบ โชคไม่ดี
การเสียชีวตก่อนวัยอันควรของเขา ณ ตอนอายุสามสิบสองปีเท่านั้น ได้
หยุดการขยายอาณาจักรของเขาต่อไปอีก
อเล็กซานเดอร์ กลายเป็นผู้ปกครองยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์โบราณ เขายึดครองโลกเกือบทั้งหมดตอนอายุเพียงแค่ 32 ปี เเม้ว่า
เป็นกษัตรย์ของมาซีโดเนียไม่ถึง 13 ปี เขาได้เปลี่ยนแปลงเส้นทาง
ของประวัติศาสตร์ เขาเป็นนายพลทหารยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งขยาย
อาณาจักรของเขาไปจนสุด
เขาได้ถูกสอนโดยนักปรัชญายิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล อริสโตเติล มัน
ได้ช่วยให้เขามีคุณลักษณะพื้นฐานของผู้บัญชาการทหารที่ทะเยอทะ
ยานและผู้นำที่บรรลุความสำเร็จ เขาไม่ได้เป็นบุคคลธรรมดา เมื่อเขา
ไม่เคยแพ้การสู้รบเลย ความสามารถวางยุทธศาสตร์ของเขาช่วยให้
เขาชนะการสู้รบ แม้ว่ากองทัพของเขามีจำนวนน้อยกว่า เขาจูงใจกอง
ทัพของเขาเป็นส่วนหนึ่งของการยึดครองยิ่งใหญ่ที่สุดภายในประวัติ
ศาสตร์ เขาสง่างาม บันดาลใจ และกล้าหาญ
ตอนที่เราเป็นเด็ก เราประหลาดใจว่า บุคคลที่สามารถชนะการรบที่สำคัญสี่ครั้ง สู้รบภายในช่วงเวลาชีวิตที่สั้น 33 ปี อย่างไร ดังนั้นชื่อ
ของเขาได้ถูกเรียกว่า มหาราช ใช่ เรากำลังพูดเกี่ยวกับอเล็กซานเดอร์ มหาราช ลูกชายของกษัตรย์ฟิลลิปที่สองแห่งมาซีโดเนีย เขาศึกษากับ
อริสโตเติล เขาเกิดภายในเพลลาเมื่อ 356 บีซี เเละสืบทอดบิดาของเขา
สู่บัลลังก์ ณ อายุ 20 ปี ภายหลังบิดาของเขาได้ถูกลอบสังหาร
อเล็กซานเดอร์เก็บสำเนาของมหากาพย์อีเลียดของโฮเมอร์ อธิบายประ
กอบโดยอริสโตเติล กับกริชของเขาใต้หมอนของเขา ประกาศว่าเขาเคารพมันเป็นสมบัติติดตัวของคุณธรรม และความรู้ทางทหาร
อเล็กซานเดอร์ ใช้เวลาส่วนใหญ่ของปีการปกครองของเขากับการรบทางทหารอย่างไม่เคยมีมาก่อนตลอดเอเซียตะวันตก และอัฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือ เเละเมื่ออายุสามสิบปี เขาได้สร้างอาณาจักรใหญ่ที่สุดของโลกโบราณ ยื่นจากกรีกไปสู่อินเดียตะวันตกเฉียงเหนือ เขาไม่เคย
แพ้การสู้รบ และได้ถูกมองอย่างกว้างขวางเป็นผู้บัญชาการทหารที่บรรลุความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของประวัติศาสตร์
อเล็กซานเดอร์ได้ชื่อ “มหาราช” เพราะว่าเขาไม่เคยแพ้การสู้รบทั้งที่
มีจำนวนทหารน้อยกว่า มันเนื่องจากการใช้ขัอมูลพื้นดิน และยุทธวิธี
ทหารม้า ยุทธศาสตร์ที่กล้าหาญ และใช้กองกำลังที่ผูกพันเป็นความฝันเพื่อกองทัพของพวกเขา
ประวัติศาสตร์โลกได้บันทึกว่าประมาณ 2,300 ปีที่แล้ว อเล็กซานเดอร์
สามารถเดินทัพไปข้างหน้าและยึดครองแผ่นดินที่ไม่รู้จัก ด้วยการสู้รบหลายปีข้ามทวีป ไกลไปจากบ้าน เพราะว่าเขามีกองทัพที่ผูกพันเต็มใจที่จะยึดถือผู้บัญชาการของพวกเขา อเล็กซานเดอร์สร้างกองกำลังที่ผูกพันสูงมาก ด้วยความมั่นใจว่าเขาได้เผชิญหน้ากับทหารของเขา รับฟังและจัดการข้อร้องทุกข์ ยืนยันการให้ค่าตอบแทนตรงเวลา แต่งกายเหมือนกับกองทัพของเขา และสำคัญที่สุดด้วยการนำจากแนวหน้า
ทำไมกองกำลังไว้วางใจเขาอย่างมากด้วยชีวิตของพวกเขา ณ สนามรบ
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ อเล็กซานเดอร์ ยืนอยู่ที่ระหว่างการสู้รบแต่ละครั้ง ตรงที่เขาสามารถถูกมองเห็นได้ง่ายจากแถวหน้า เขานำจากเเนว
หน้า และทหารของเขาถูกบันดาลใจด้วยความเป็นผู้นำที่มีบารมีของเขา
เขาบาดเจ็บหลายครั้งภายในการสู้รบ
เขาทำงานอย่างหนักภายในวิถีทางอื่นที่จะรักษาความจงรักภักดีและ
แรงจูงใจของทหารของเขา โดยทั่วไปเขาแต่งตัวคล้ายกับทหารของ
เขา และใช้เวลากับพวกเขา และมักจะพบเดินผ่านค่ายทหารอยู่เสมอ
หยุดคุยและรับฟังกลุ่มทหาร การปรากฏตัวภายนอกนี้ของความรักและความห่วงใย รวมทั้งความกล้าหาญและความมุ่งมั่นของเขา กระตุ้นความชื่นชอบที่ยิ่งใหญ่จากทหารของเขา
อเล็กซานเดอร์เป็นผู้นำทหารนำโดยตัวอย่าง และนำจากแนวหน้ากอง
ทัพของเขาอยู่เสมอ โดบปรกติเขากล้าหาญและบ้าบิ่นชีวิตและความ
ปลอดภัยของเขาเอง เขาบันดาลใจความจงรักภักดีภายในทหารของเขา
ครั้งเดียวเท่านั้นที่เคยไม่ยอมเดินตามเขา อเล็กซานเดอร์ทำให้ทหาร
ธรรมดารู้สึกว่าเขาเเสดงตัวกับพวกเขา แต่การแสดงตัวเขาเองเป็นผู้นำ
วีรบุรุษ เขาเพิ่มขวัญภายหลังการสู้รบด้วยการให้รางวัลแก่ทหารที่รบดี
และการมีงานพิธีศพทหาร
ตอนอายุ 12 ปี อเล็กซานเดอร์ ได้แสดงความกล้าหาญอย่างน่าประทับใจด้วยการทำให้ม้าป่าบูเซฟาลัสเชื่อง ม้าตัวผู้ด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ม้าได้กลายเป็นเพื่อนสู้รบเพื่อชีวิตส่วนใหญ่ของอเล็กซานเดอร์ เมื่ออเล็กซาน
เดอร์ อายุ 13 ปี กษัตรย์ฟิลิป ได้ให้อริสโตเติล นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นครูแก่ลูกชายของเขา อริสโตเติล ได้จุดเชื้อและสนับสนุนความสนใจของ
อเล็กซานเดอร์ ภายในวรรณคดี วิทยาศาตร์ แพทย์ และปรัชญา
แม้แต่ภายหลัง 2300 ปีของอเล็กซานเดอร์ เรายังคงมองเห็นความคล้าย
คลึงกันอย่างมากภายในกรณีของความผูกพันของบุคคล ดังนั้นผู้นำที่ยิ่ง
ใหญ่สร้างบุคคลที่ผูกพันสูงอย่างไร อะไรที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องราว
ของความยิ่งใหญโบราณของอเลกซานเดอร์ เขาได้ทำให้กองกำลัง
ของเขายึดติด จงรักภักดี และผูกพันอย่างไร นักประวัติศาสตร์ ได้อธิบายทำไมพวกเขาเชื่อว่าอเลกซานเดอร์ เป็นผู้นำยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
“เด็กน้อยของฉัน เจ้าต้องค้นหาอาณาจักรยิ่งใหญ่เพียงพอต่อความทะเยอทะยานของเจ้า มาซีดอนเล็กเกินไปสำหรับเจ้า” ถ้อยคำของ
กษัตรย์ฟิลลิปที่สองของมาซีดอนทำนายได้ถูกต้อง เมื่อเขาได้กล่าวแก่ลูกชายของเขา อเล็กซานเดอร์ ภายหลังจากที่เขาได้ปราบม้าที่น่ากลัว
เมื่ออายุเพียงสิบปี
เมื่ออเล็กซานเดอร์ เดินทางผ่านเปอร์เซียและเอเชียกลาง เขามีวิสัยทัศน์
อย่างเดียวภายในใจ รวมเป็นหนึ่งเดียวของหลายวัฒนธรรมที่เขาได้พบ
ภายในการสู้รบอย่างไม่ลดละที่จะยึดครองโลก มันเป็นพลังขับเคลื่อน
ที่นำไปสู่ความยิ่งใหญ่ของอเล็กซานเดอร์ พลังอย่างเดียวกันที่เขาใช้
จูงใจและบันดาลใจกองทัพของเขา
แม้ว่าอเล็กซานเดอร์ มหาราช คิดถึงตัวเขาเองเป็นทหารคนหนึ่ง เขาคือนายพลที่นำจากข้างหน้า อยู่ภายในกองหน้าอยู่เสมอ บุคคลแรกภายในการโจมตี บิดาของเขา กษัตรฟิลลิป ได้ฝึกอบรมเขาตั้งแต่กำเนิดภายในศิลปการทหาร และมีเขาอยู่ภายในการสู้รบก่อนอายุ 15 ปี อเล็กซานเดอร์ มหาราช ได้ถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะทางทหารที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกโบราณ เขาสามารถยึดครองเกือบทั้งโลกโบราณ เมื่ออาณาจักรของเขาได้กระจายออกไปถึงอินเดีย อียิปจ์ อิหร่าน และปากีสถาน เขาได้ใช้เวลา 13 ปีพยายามที่จะรวมโลกตะวันออกและตะวันตกด้วยกำลังทางทหาร แต่ด้วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาด้วย
บุคลิกภาพของอเล็กซานเดอร์ มหาราชอาจจะขัดแย้งภายในตัวเอง เขาจะมีบารมีและพลังยิ่งใหญ่ของบุคลิกภาพ เขามีความสามารถที่จะจูงใจกองทัพของเขาทำสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ เขาจะเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ความสามารถของเขาที่จะมีความฝันและวางแผนขนาดใหญ่ทำให้เขาชนะการรบหลายครั้ง อเล็กซานเดอร์ จะบันดาลใจและกล้าหาญ เขาได้ทุ่มเทที่จะฝึกอบรมบุคคลของเขา การให้รางวัลพวกเขาด้วยการยกย่อง และเข้าสู่การรบเคียงข้างพวกเขา
ข้อเท็จจริงคือ อเล็กซานเดอร์จะวัยหนุ่ม สง่างาม และเห็นอกเห็นใจ ที่เพิ่มอิทธิพลของเขาต่อทหาร
อเล็กซานเดอร์ มีควาเมตตา แต่เขาได้ใช้กองกำลังทำลายและข่มขวัญที่จะบรรลุเป้าหมายของเขาด้วย เขาได้สั่งการทำลายล้างเมืองธีบส์ ป้องกัน
และขัดขวางการกบฏในอนาคตใดก็ตาม การทำลายล้างได้ถูกมองโดย
อเล็กซานเดอร์เป็นการลงโทษอย่างเหมาะสมต่อบุคคลที่ต่อต้าน และขัด
ขวางความทะเยอทะยานของเขา
ภายหลังการยึดครองอาณาจักรจำนวนมาก อเล็กซานเดอร์ ได้มุ่งหน้า
กลับบ้าน บนเส้นทางกลับของเขา อเล็กซานเดอร์ ได้ล้มเจ็บป่วยอย่าง
รุนเเรง ในขณะที่นอนอยู่บนสู่เตียงของเขา เขาได้รับรู้ว่าไม่มีอะไรคุ้มค่าเลย ด้วยความตายที่จ้องมองเขาภายในใบหน้าของเขา อเล็กซานเดอร์
รับรู้ว่าการยึดครองของเขา กองทัพที่ยิ่งใหญ่ของเขา ดาบที่คมของเขา
เเละความมั่งคั่งของเขาไม่มีคุณค่าอย่างไร ในขณะนี้เขาไกลเกินไปที่จะ
ไปถึงบ้าน มองเห็นใบหน้ามารดาของเขา และบอกกล่าวการอำลาครั้ง
สุดท้ายของเขา แต่เขาต้องยอมรับความจริงว่าสุขภาพที่ทรุดลง ไม่ยอม
ให้เขาไปสู่บ้านเกิดที่ห่างไกลได้
ภายหลังจากการมีชีวิตที่บรรลุความสำเร็จยึดครองเกือบทั้งโลก วันสุดท้ายของอเล็กซานเดอร์บนเตียง ได้ให้บทเรียนศีลธรรมแก่เราทุกคน เขาต้องการกลับบ้าน และพบแม่ของเขา ก่อนที่ วิญญานของเขาจากโลกนี้ไป เเต่เขารู้ว่าเขาอยู่ได้ไม่นาน
ดังนั้น เขาได้รวบรวมนายพลที่จงรักภักดีของเขาและบอกพวกเขาว่า ข้าจะไปจากโลกนี้อีกไม่นาน ข้ามีความปราถนาสุดท้ายสามอย่าง โปรดำเนินการมัน อย่าให้พลาด
อเล็กซานเดอร์ ได้ขอให้นายพลของเขา ยึดถือความปราถนาสุดท้ายเหล่านี้


1 ความปราถนาอย่างเเรกของข้าคือ อเล็กซานเดอร์ กล่าว แพทย์ของข้าตัองแบกร่างกายของข้าคนเดียว
2 ภายหลังหยุดชั่วขณะ เขาได้กล่าวต่อไปว่า ข้อสอง ข้าต้องการเส้นทางนำไปสู่สุสานของข้าโปรยด้วยทอง เงิน และหินมีค่า มันเป็นสมบัติของข้า ในขณะที่ร่างกายของข้ากำลังถูกแบกไปเผา
3 อเล็กซานเดอร์รู้สึกเหนื่อย เขาหยุดพัก และกล่าวต่อไปว่า ความ
ปราถนาอย่างที่สามและสุดท้ายของข้าคือ มือทั้งสองของข้าควรจะปล่อยห้อยข้างนอกโลงเพื่อให้มองเห็น
นายพลเห็นด้วยที่จะยึดถือความปราถนาสุดท้ายของกษัตรย์ของพวกเขา
แต่พวกเขาประหลาดใจต่อความปราถนาของกษัตรย์ของพวกเขา แต่ไม่
มีใครกล้าที่จะถามเขา แต่นายพลคนหนึ่งของเขาได้จูบเเขนของเขาและ
กล่าวว่า พวกเราสัญญาว่าความปราถนาทุกอย่างของพระองค์จะบรรลุผล
แต่พระองค์จะบอกพวกเราว่าทำไมพระองค์มีความปราถนาที่น่าประหลาด
เหล่านี้
ข้าต้องการให้บุคคลทุกคนเรียนรู้บทเรียนสามข้อที่ข้าได้เรียนรู้ภายใน
ชีวิตของข้า อเล็กซานเดอร์ตอบภายหลังหายใจลึกครั้งหนึ่ง อเล็กซาน
เดอร์ ได้อธิบายทำไมเขามีความปราถนาเหล่านี้
ข้าต้องการให้แพทย์ของข้าแบกร่างกายของข้าคนเดียว เพราะว่าข้าต้องการให้บุคคลรู้ว่าไม่มีแพทย์คนไหนสามารถรักษาความเจ็บป่วยของบุคคล เมื่อพวกเขาเผชิญกับความตายได้ ไม่มีเเพทย์คนไหนมีพลังที่จะช่วยชีวิตบุคคลจากการเกาะแน่นความตาย ดังนั้นอย่ายอมให้บุคคลมองข้ามคุณค่าของชีวิต ภายในการเผชิญกับความตาย แม้แต่เเพทย์ที่ดีที่สุดภายในโลกไม่มีอำนาจที่จะรักษาได้ พวกเขาช่วยอะไรไม่ได้ต่อหน้าความตาย
อเล็กซานเดอร์ ได้อธิบายความปราถนาข้อสองของเขา ข้าต้องการให้
เส้นทางนำไปสู่สุสานของข้าโปรยด้วยทอง เงิน และอัญมนี ในขณะที่
ร่างกายของข้าถูกแบกไปเผา ข้าต้องการให้บุคคลรู้ว่าแม้แต่เศษของ
ทองจะไม่มากับข้า ข้าใช้ตลอดชีวิตของข้าไล่ล่าอำนาจและความมั่งคั่ง แต่ไม่สามารถนำอะไรก็ตามไปกับข้าได้ จงให้บุคคลรับรู้ว่า มันเสียเวลา
อย่างแท้จริงที่จะไล่ล่าความมั่งคั่ง
ข้าต้องการให้ถนนปกคลุมด้วยสมบัติของข้า ดังนั้นบุคคลมองเห็นว่าความมั่งคั่งทางวัตถุหามาได้บนโลก ยังคงอยู่บนโลก ข้าใช้ตลอดชีวิตของข้าได้รับความร่ำรวย แต่ไม่สามารถนำอะไรก็ตามไปกับข้าได้ จงให้บุคคลรู้ว่าความมั่งคั่งเป็นเพียงแค่ฝุ่น
ข้อสาม ข้าต้องการให้มือของข้าแกว่งภายในสายลม ดังนั้นบุคคลได้เข้าใจว่า เรามาสู่โลกนี้ด้วยมือเปล่า เเละเราไปจากโลกนี้ด้วยมือเปล่า
ภายหลังสมบัติล้ำค่าที่สุดของบุคคลทุกคนหมดสิ้นลง และมันคือเวลา
เวลาเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของเรา เพราะว่าเวลามีจำกัด
คำพูดสุดท้ายของเขาคือ เมื่อเจ้าเผาร่างกายของข้า อย่าสร้างแรงกระ
ตุ้นใดก็ตาม เเละทำให้มือของข้าอยู่ข้างนอก ดังนั้นโลกรู้ว่าบุคคลที่ชนะ
ทั้งโลกไม่มีอะไรภายในมือของเขาในขณะที่ตาย ด้วยถ้อยคำที่ทรงพลัง
เหล่านี้ กษัตรย์ ได้หลับตาของเขาลง และยอมให้ความตายยึดครองเขา
และหายใจครั้งสุดท้ายของเขา


ก่อนที่เรามีความผูกพันของบุคคล เรามีความพอใจงานมาก่อน ความพอใจงานจำกัดอยู่ที่ความพอใจของบุคคลกับงานของพวกเขา บริษัทสามารถมีบุคคลที่มีความพอใจสูง แต่ความพอใจไม่ได้ถ่่ายทอดอัตโมมัติไปสู่ความผูกพันใดก็ตามภายในบริษัท
ความผูกพันของบุคคลมองเลยพ้นไป ถ้าบุคคลของเราเพียงแค่มีความสุขกับงาน แต่ความผูกพันของบุคคลเป็นวิถีทางเข้าหาและวัดบุคคลของเราบรรลุและเชื่อมโยงต่อธุรกิจของเรา และความสำเร็จของมันอย่างไร มันเกี่ยวกับการค้นหาวิถีทางที่จะสร้างสภาวะที่เหมาะสม และให้การสนับสนุนที่ถูกต้อง ดังนั้นบุคคลได้ผูกพันต่อการเจริญเติบโตของบริษัทของเรา
ความผูกพันของบุคคลเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากสภาวะทำให้บุคคลรู้สึกสมหวัง คุณค่า พอใจ และลงทุน เพื่อการเจริญเติบโตขององค์การ ความผูกพันของบุคคลไม่ได้เป็นเพียงแค่เกี่ยวกับความรู้สึก มันไม่ได้เป็น
เพียงแค่ความรู้สึกของความสุขหรือความพอใจ หรือแม้แต่ชอบบริษัท บุคคลสามารถชอบงาน เพราะว่าพวกเขาได้รายได้ดี แต่มันไม่ได้จำเป็นต้องหมายความพวกเขาผูกพันสูงภายในงานของพวกเขา และทุ่มเทที่จะช่วยให้บริษัทเจริญเติบโต
ความผูกพันของบุคคลวันนี้ ได้กลายเป็นความหมายเดียวกับถ้อยคำเหมือนเข่นประสบการณ์ของบุคคลและความพอใจของบุคคล ถ้อยคำ
ความผูกพันของบุคคลได้ถูกสร้างครั้งแรกโดยวิลเลียม คาห์น อาจารย์
จิตวิทยาองค์การ มหาวิทยาลัยบอสตันภายในบทความ 1990 ของเขา “Psychological Condictions of Personnel Engagement and Disengatement at Work”
ก่อนวิลเลียม คาห์น จุดมุ่งของ ค.ศ 1980 อยู่ที่สภาะหมดไฟการทำงาน และลดการเข้าออกจากงานที่สมัครใจอย่างไร ถ้อยคำหมดไฟการทำงาน ได้ถูกสร้างเมื่อ ค.ศ 1970 โดยนักจิตวิทยาอเมริกัน เฮอร์เบิรต เฟรอเดน
เบอร์เกอร์ เขาได้ใช้มันอธิบายผลตามมาความเครียดอย่างรุนแรงและอุดมการณ์ที่สูงภายในการช่วยเหลือทางวิชาชีพ เช่น แพทย์และพยาบาล
เสียสละตัวพวกเขาเองเพื่อบุคคลอื่น มักจะจบลงด้วยหมดไฟการทำงาน
– เหนื่อย หมดอาลัย และไม่สามารถแก้ไขได้
วิลเลียม คาห์น บิดาของความผูกพันของบุคคลได้อธิบายเขาสังเกตุบุคคลนำตัวพวกเขาเองมาสู่และออกไปช่วงเวลากับงานของพวกเขาอย่างไร เขาได้เสนอแนะว่า
เรามีสภาวะทางจิตวิทยาสามอย่างที่ต้องมีอยู่เหมือนดินที่ความผูกพัน
ต้องหยั่งราก สภาะทางจิตวิทยาที่ควบคุมเรารู้สึกผูกพันหรือไม่ผูกพัน
อย่างไร – ความหมาย ความปลอดภัย และการหามาได้ ภายในหลาย
ปีนับแต่นั้นมา แนวคิดสามอย่างเหล่านี้ได้เข้ามาสู่การคิดกระเเสหลัก
บนพื้นผิว ความพอใจงาน และความผูกพันของบุคคลดูเหมือนใช้เเทน
กันได้
*ความหมาย อ้างถึงบุคคลเข้าใจความหมายของงานของพวกเขามาก
แค่ไหน บุคคลยิ่งเข้าใจประโยชน์ของงานของพวกเขามากเท่าไร พวก
เขายิ่งลงทุนภายในกระบวนการมากขึ้นเท่านั้น ความหมายเป็นความ
มุ่งหมายเบื้องหลังงาน บุคคลได้พบงานของพวกเขามีความหมายเพียง
พอต่อองค์การและสังคมที่จะรับประกันพวกเขาผูกพันตัวเองเต็มที่หรือไม่
*ความปลอดภัย อ้างถึงบุคคลรู้สึกปลอดภัยภายในสถานที่ทำงานอย่างไร
ทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการปฏิบัติที่พวกเขาได้รับจากผู้บริหาร
และเพื่อนร่วมงาน บุคคลรู้สึกปลอดภัยนำตัวเองเต็มที่มาทำงานโดยไม่
เสี่ยงภัยของผลตามมาทางลบหรือไม่
*ความพร้อม อ้างถึงความสามารถของบุคคลที่จะกระทำบทบาททั้ง
ทางร่างกายและความคิด มนุษย์ทุกคนมีข้อจำกัด แม้ว่าความท้าทาย
สำคัญต่อการเจริญเติบโตและความพอใจ บุคคลควรจะรู้สึกว่าความ
ต้องการของงานมีเหตุผลและบรรลุได้ ความสมดุลของงานและชีวิต
เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งภายใต้ร่มของความพร้อม บุคคลรู้สึก
สามารถทางความคิดและร่างกายนำมาใช้ประโยชน์ตัวเองเต็มที่ ณ
ช่วงเวลานี้หรือไม่
ที่จริงแล้วเรามีความคล้ายคลึงกันระหว่างการค้นพบของการวิจัย
ของวิลเลียม คาห์น และการวิจัยการจูงใจมนุษย์โดยนักจิตวิทยา
เช่น เฟรดเดอริค เฮอร์เบิรก แต่กระนั้นมันไม่ได้เป็นความมุ่งหมายของ
วิลเลียม คาห์น สร้างบนทฤษฎีการจูงใจเหล่านี้ ณ เวลานั้น แต่เขาพยายามจะดำเนินการวิจัยของเองด้วยการสังเกตุ และการวิเคราะห์พฤติกรรมสถานที่ทำงาน

ก่อนสภาวะหมดไฟการทำงาน เมื่อ ค.ศ 1975 นักจิตวิทยาองค์การ
เกรก โอลแฮม และริชาร์ด แฮคแมน ได้พิมพ์ผลงานที่รวมศูนย์อยู่ที่คุณลักษณะของงาน พวกเขาเรียกชื่อว่า โมเดลลักษณะงาน : เจซีเอ็ม ความคิดเบื้องหลังเจซีเอ็มคือสภาวะทางจิตใจในขณะที่ทำงาน ถูกกระทบโดยคุณลักษณะงานตัวมันเอง
เกรก โอลแฮม และริชาร์ด แฮคแมนต้องการที่จะค้นหาทำไมบุคคลสูญเสียความสนใจภายในงานของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาได้ศึกษาบุคคลและงานของพวกเขา และค้นพบโมเดลโดยทั่วไปที่เรายังคงใช้ต่อมานานกว่า 40 ปี เรียกว่า โมเดลคุณลักษณะงาน เราสามารถประยุกตใช้โมเดลนี้ต่องานใดก็ตาม และทำให้งานสร้างความผูกพันของบุคคลได้มากขึ้น
พวกเขาได้มองที่จะลดความน่าเบื่อและความซ้ำซากมาจากการทำงานภายในสภาพเเวดล้อมของโรงงาน พวกเขาพบว่าบุคคลกลายเป็นเบื่อหน่ายและไม่ผูกพัน และประสิทธิการผลิตของพวกเขาลดลง เรา สามารถใช้โมเดลนี้่ช่วยฟื้นฟูงานได้
บริษัทได้ลงทุนเวลาและเงินอย่างมากไปสู่การวัดความพอใจของบุคคล โดไม่เข้าใจอย่างเต็มที่อะไรจูงใจบุคคลทำงาน เมื่อ ค.ศ 1976 โมเดลคุณลักษณะงาน – เจซีเอ็ม ได้ถูกสร้างที่จะระบุอย่างชัดเจนเงื่อนไขที่จะจูงใจบุคคลให้ทำงานของพวกเขาอย่างมีประสิทธิภาพ เจซีเอ็มได้ใช้
เป็นรากฐานเพื่อธุรกิจและบริษัท เพิ่มความผูกพันของบุคคล มั่นใจความพอใจงาน และปรับปรุงการปฏิบัติงานโดยส่วนรวม
ริชาร์ด แฮคแมน และเกรก โอลเเฮม ได้พิมพ์โมเดลของพวกเขาภายใน
วารสาร พวกเขาได้พัฒนาเจซีเอ็มภายในหนังสือของพวกเขา Work
Design ด้วย เจซีเอ็ม ได้เสนอแนะความคิดที่แรงจูงใจของบุคคลตกต่ำภายในงานที่พวกเขาพบความน่าเบื่อหรือไม่กระตุ้น แต่แรงจูงใจของพวกเขาสูงขึ้นภายในงานที่พวกเขามีความท้าทายและความตื่นเต้น
พวกเขาต้องการที่จะพัฒนาทฤษฎีคุณลักษณะงาน เพื่อที่จะช่วยผู้บริหารเข้าใจการออกแบบงานภายในวิถีทางที่สามารถกระตุ้นความผูกพันของบุคคลอย่างไร ผลลัพธ์คือ คุณลักษณะงานห้าอย่างเพื่อการออกแบบงานที่มีคุณค่า : ความหลากหลายของทักษะ เอกลักษณ์ของงาน ความสำคัญของงาน ความเป็นอิสระ และการป้อนกลับ คุณลักษณะงานห้าอย่างเหล่านี้กระตุ้นสภาวะทางจิตใจสามอย่างคือประสบการณ์ความหมาย ประสบการณ์ความรับผิดชอบ และการรู้ถึงผลลัพธ์
ตามหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นักจิตวิทยา เฟรดเดอริค เฮิรซเบิรกได้ นำเสนอ ทฤษฎีสองปัจจัย แสดงว่าความพอใจและความไม่พอใจ ณ การ
ทำงาน เกิดขึ้นจากปัจจัยแตกต่างกันสองอย่าง : ปัจจัยอนามัย และปัจจัยจูงใจ เขาได้ใช้ปัจจัยเหล่านี้อธิบายทำไมบุคคลบางคนทำงานหนัก และ
บุคคลอื่นไม่ทำงานหนัก
เฟดเดอริค เฮิรซเบิรก ได้ระบุว่าเรามีปัจจัยบางอย่างภายในองค์การทำให้พอใจงาน ในขณะที่ปัจจัยบางอย่างทำให้ไม่พอใจงาน ปัจจัยสองกลุ่มนี้เป็นอิสระจากกัน ตามมุมมองของเฟดเดอริค เฮิรซเบิรก เรามีแนวต่อเนื่องสองเส้นไม่ใช่เส้นเดียวตามรูป
ตรงข้ามของ “ความพอใจ” เป็น “ไม่มีความพอใจ” และตรงข้ามของ “ความไม่พอใจ” เป็น “ไม่มีความไม่พอใจ” เขาได้แยกปัจจัยเหล่านี้เป็นสองประเภท : ปัจจัยอนามัย และปัจจัยจูงใจ “อนามัย อ้างถึงปัจจัยภายนอก – เช่น เงินเดือน สวัสดิการ สภาวะการทำงาน ความมั่นคง – สามารถลดแรงจูงใจ และทำให้เกิดความไม่พอใจงาน แต่ไม่ได้สร้างความพอใจงาน
“ตัวจูงใจ” เป็นปัจจัยภายใน – เช่น ความสำเร็จ การยกย่อง ความรับผิดชอบ สามารถเพิ่มแรงจูงใจ และทำให้เกิดความพอใจงาน
ตามรูป ปัจจัยอนามัยสูงสุดหกตัวได้แก่ นโยบายบริษัท การบังคับบัญชา ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เงืนเดือน สถานภาพ สภาวะการทำงาน ความมั่นคงของงาน และชีวิตส่วนบุคคล ปัจจัยทางสภาพแวดล้อมของงานที่สร้างความไม่พอใจงาน
ปัจจัยจูงใจสูงสุดหกตัวได้แก่ ความสำเร็จ ความก้าวหน้า การยกย่อง ความรับผิดชอบ ความท้าทายของงาน และการเจริญเติบโต ปัจจัยทางเนื้อหาของงานที่สร้างความพอใจงาน
จุดสำคัญคือ ปัจจัยอนามัยถูกต้องการที่จะรับรองว่าบุคคลไม่มีความไม่พอใจ ปัจจัยจูงใจถูกต้องการที่จะจูงใจบุคคลมีการปฏิบัติงานที่สูง
เฟดเดอริค เฮิรสเบิรก ยืนยันว่าการเพิ่มคุณค่างานถูกต้องการเพื่อการจูงใจจากภายใน การเพิ่มคุณค่างานคือ การเพิ่มหน้าที่และความรับผิดชอบ งานควรจะมีความท้าทายเพียงพอที่จะใช้ความสามารถเต็มที่ของบุคคล บุคคลที่มีความสามารถเพิ่มขึ้นควรจะได้รับความรับผิดชอบมากขึ้น
เรามีทฤษฎีการจูงใจหลายทฤษฎีที่ผู้บริหารได้พยายามดำเนินการสร้างความผูกพันของบุคคลทฤษฎีสองปัจจัยของเฟรดเดอริค เฮอรเบิรค ได้ถูกเคารพและใช้กันอย่างกว้างขวาง เราสามารถประยุกต์ใช้ทฤษฎีของเขากระตุ้นความผูกพันของบุคคล เพิ่มประสิทธิภาพ และลดการเข้าออกจากงานได้

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *