โปรดเลิกอคติต่อ “อังคณา นีละไพจิตร”
สบาย สบาย สไตล์เกษม
เกษม อัชฌาสัย
โปรดเลิกอคติต่อ “อังคณา นีละไพจิตร”
เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๒ ”อังคณา นีละไพจิตร”สตรีไทยวัย ๖๓ ปี นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ไปเดินทางไปรับรางวัล”รามอน แมกไซไซ”ณ ที่ศูนย์ประชุมวัฒนธรรม ในกรุงมะนิลา ในสาขาที่ไม่สังกัดในหมวดหมู่ใด ตามที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Uncategorized แต่ชัดเจนว่าเพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
นับเป็นรางวัลนอกหมวดหมู่ นอกเหนือไปจากหกสาขาที่มีอยู่เดิมคือ ๑ บริการรัฐกิจ (Government Service) ๒ บริการสาธาณะ (Public Service) ๓ ผู้นำชุมชน (Community Leadership) ๔ วารสารศาสตร์ วรรณกรรมและศิลปะการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์(Journalism, Literature and Creative Communication Arts) ๕ สันติภาพและความเข้าใจระหว่างประเทศ(Peace and International Understanding) ๖ ผู้นำในภาวะฉุกเฉิน (Emergent Leadership) ซึ่งในแต่ละหมวดหมู่ มีคนไทยในฐานะปัจเจกบุคคลและองค์กร ได้รับรางวัลไปแล้วในอดีต ๒๓ รายด้วยกัน(ถ้าจำนวนผิดพลาด หากข้อมูลไม่ทันสมัยพอ ก็ขออภัยด้วยครับ)
แต่สำหรับคราวนี้ ไม่ปรากฏว่าสื่อสารมวลชนกระแสหลักของไทย โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ แสดงความตื่นเต้นยินดีกับ “อังคณา นีละไพจิตร” เท่าไรนัก ระหว่างที่ผมเขียนเรื่องนี้ มีแค่สื่อโทรทัศน์ รายการ “ข่าว ๓ มิติ” จัดโดย “กิตติ สิงหาปัด”เท่านั้น ที่นำมาแพร่เสียงแพร่ภาพ
หรือคลับคล้ายกับว่า สื่อไทยทั่วไป มีอคติต่อต้านเธอ ก็อาจจะเป็นได้ เพราะตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นข่าวดีข่าวไม่ดี หากเกิดขึ้นกับคนไทย ก็มักจะไม่พลาดที่จะติดตามนำเสนอ
แต่เอ…อาจจะเป็นไปได้ว่า เดี๋ยวนี้ สื่อไทยเลือกข้างกันมาก จนถึงขั้นนี้แล้ว เช่นเลือกสีเหลือง เลือกสีแดงหรือ เลือกสีแสด
ผมอยากจะบอกว่า การที่ใครจะได้รับเลือกเป็นผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย จะต้องมีการคัดสรรอย่างพิถีพิถันและเป็นธรรมในทุกๆ ขั้นตอน
ปีไหนผมก็จำไม่ได้แล้ว มีอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับผม โทรมาติดต่อมาที่”สยามรัฐ”ว่า”อยากจะให้คุณเกษม รับปาก” เป็นผู้เสนอชื่อนักหนังสือพิมพ์ไทยคนหนึ่ง เพียงคนเดียว เป็นตัวแทนสื่อมวลชนไทย เข้ารับรางวัลแมกไซไซ ในปีต่อไป(จำไม่ได้ว่าปีไหน) แล้วจะได้บอกให้ทางมูลนิธิรางวัลแมกไซไซ ติดต่อมาในรายละเอียด ผมก็รับปาก
จากนั้น ผมได้รับจดหมายติดต่อแจ้งมาในรายละเอียดว่า จะต้องทำอย่างไร ในการคัดเลือก พร้อมกำชับว่าโปรดดำเนินการลับๆ อย่าให้เจ้าตัว หรือคนอื่นรู้ ซึ่งในตอนนั้น ผมเล็งเอาไว้สองคน ขออนุญาตที่จะไม่บอกว่าใคร เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ทำงานเพื่อสาธารณชน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีรอยด่างพร้อยในหลักจริยธรรม ใจซื่อมือสะอาด ไม่เกี่ยวข้องกับ”วงการ ๑๘ อรหันต์”
ผมต้องสืบเสาะหาประวัติอย่างละเอียด รวบรวมผลงานที่พวกเขาทำไว้มากที่สุด เพื่อที่จะส่งไป แต่ในที่สุดแล้ว ก็ต้องเทียบผลงานและความสามารถกัน จำเป็นต้องคัดเหลือเพียงคนเดียว ที่คิดว่าดีที่สุด เหมาะสมที่สุด
แต่ชวดครับ คนที่ได้รับรางวัลปีนั้นกลับกลายเป็นนักข่าวท้องถิ่นฟิลิปปินส์ ซึ่งทำงานสะท้อนปัญหาการทำมาหากินในของชาวชนบทของฟิลิปินส์ ชาติเจ้าของรางวัลแมกไซไซนั่นเอง
แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่า กรรมการตัดสินชี้ขาดของมูลนิธิจะลำเอียง เมื่ออ่านพบว่านักข่าวฟิลิปปินส์คนนั้นทำงานเพื่อรักษาผลประโยชน์ของคนระดับรากหญ้าส่วนรวมจริงๆ ส่วนจะมีความเหนือชั้นกว่านักหนังสือพิมพ์คนที่ผมส่งชื่อไป แค่ไหนและอย่างไร ผมก็ไม่รู้ได้
ถามว่า การตัดสินเป็นธรรมหรือไม่ ผมขอตอบว่า เป็นธรรมในระดับหนึ่ง
อย่างปีที่ “ประยูร จรรยาวงษ์”นักเขียนการ์ตูนล้อเลียนการเมืองในสังกัด”สยามรัฐ”ได้รางวัลแมกไซไซ สาขาหนังสือพิมพ์ หรือในหมวดหมู่วารสารศาสตร์ วรรณกรรมและศิลปะการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์
ผมก็ว่าสมศักดิ์ศรีแล้ว ในฐานะที่เป็น”การ์ตูนิสต์”ระดับโลก ด้วยผลงานชื่อว่า The Last Nuclear( เป็นภาพโลกระเบิดแตกแยก มีควันระเบิดรูปดอกเห็ดยักษ์ ลอยอยู่ข้างบน ) ซึ่งชนะการประกวดเขียนการ์ตูนโลกที่สหรัฐในปี ๒๕๐๓
กรณี”อังคณา นีละไพจิตร”ได้รับรางวัลแมกไซไซ ก็เช่นกัน หลายคนอาจจะมีอคติว่าเธอ ได้รางวัลไม่สมศักดิ์ศรี เพราะไม่เห็นว่าเธอจะทำอะไรเพื่อรักษาสิทธิมนุษยชนของคนในชาติด้วยกันสักเท่าไร นอกจากจะเรียกร้องให้รื้อฟื้นการสอบสวนคดีหายสาบสูญของสามีเธอ”สมชาย นีละไพจิตร”ขึ้นมาใหม่ หรือต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของมุสลิม(ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามเช่นเดียวกันกับเธอ)ในภาคใต้เท่านั้น โดยอาจลืมไปว่าในขณะเดียวกันเธอก็ถูกคุกคามด้วย
ผมเห็นว่า การที่เธอถูกมองอย่างนี้ เป็นเพราะกระแส”คลั่งชาติ”มากกว่า เพราะเธอมักจะออกมาปกป้องสิทธิมนุษย์ของกลุ่ม”ชังชาติ” ยกตัวอย่าง เธอถามว่า”ทำไมเหตุทำร้าย เอกชัย-จ่านิว ไม่เคยนำตัวคนร้ายมาลงโทษได้แม้แต่คนเดียว”(พาดหัวข่าว”มติชน” วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๒)
(“เอกชัย”คือ”เอกชัย หงส์กังวาล”ผู้มักแสดง”ความเห็นต่าง”จากรัฐ ถูกทำร้ายหลายมาครั้งในที่สาธารณะ ถูกเผารถ แต่จับตัวคนร้ายไม่ได้ / ส่วน”จ่านิว”คือ”สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์” นักเคลื่อนไหวทางการเมืองในกลุ่ม”คนอยากเลือกตั้ง”ถูกทำร้ายหลายหนและไม่เคยรู้เลยว่า คนร้ายเป็นใคร)
จะว่าไปแล้ว”อังคณา นีละไพจิตร”ในฐานะหนึ่งในกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)ก็ทำหน้าที่ตามปกติ เพราะใช้ความพยายามปกป้องสิทธิมนุษยชนในสังคมไทยทั่วไป พร้อมกับทำในระดับที่กว้างกว่า คือกระทำในด้านสากลด้วย
เช่นกรณีปกป้องสิทธิชาว”โรฮีนจา”ตามหลักสากล ซึ่งก็ถูกมองว่า ไม่รักชาติ แถมถูกประณามเช่นเดียวกันกับที่ตัวแทนองค์กรนิรโทษกรรมสากลในไทย ถูกประณาม โดยถูกถามว่าเป็นคนไทย แต่ทำไมจึงออกหน้าแทนต่างชาติ
ยกตัวอย่างการที่เธอออกมาแถลงในนามกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)ชี้แจงกรณีเด็กสาวชาว”โรฮีนจา”รายหนึ่งวัย ๑๖ ปี ถูกควบคุมตัวไว้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองในภาคใต้แห่งหนึ่งตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ แต่มาล้มป่วยและเสียชีวิตลง เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ซึ่งหนังสือพิมพ์แนวหน้า(๓๑ ตค.๖๑) พาดหัวข่าวว่า”กสม.จี้เร่งแก้ไข ปมกักตัวเด็กสาว”โรฮีนจา”จนเสียชีวิต ละเมิดสิทธิ-ขัดหลักสากล”
ก็ปรากฏว่า ถูกมองผิดๆว่า ทำไมจะต้องออกมาแถลงด้วยเล่า ต้องการจะมีผลงานหรือ
ทั้งๆเรื่องของเรื่องจริงๆ นั้นมีอยู่ว่า เมื่อมีงานผ่านเข้ามา ก็จะต้องแถลงความคืบหน้าผ่านไปถึงสื่อมวลชนเท่านั้นเอง
ทีนี้เรามาดูกันสิว่า ในการมอบรางวัลแมกไซไซให้เธอนั้น มูลนิธิฯยกย่องเธอและให้เกียรติเธออย่างไร
ต่อไปนี้ คือถ้อยแถลงของคณะกรรมการผู้มอบรางวัล ในวันที่ออกประกาศว่า เธอได้รับรางวัลนี้เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๒
“คณะกรรมการได้ตระหนักถึงความกล้าหาญอย่างแน่วแน่ ในการแสวงหาความยุติธรรมให้กับสามีของเธอ และเหยื่อของความรุนแรงและความขัดแย้งในภาคใต้ เธอทำงานอย่างเป็นระบบและไม่บิดเบือนเพื่อปฏิรูประบบกฎหมายที่มีข้อบกพร่องและไม่เป็นธรรม ถือเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าเธอคือคนธรรมดาที่ถ่อมตน แต่สามารถส่งผลกระทบระดับชาติ ต่อการยับยั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชน”
แต่เป้าหมายจริงๆ ในการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนของ”อังคณา นีละไพจิตร”มิได้อยู่ตรงที่คณะกรรมการรางวัลแมกไซไซระบุเท่านั้น
อยู่ที่ ความปราถนาของเธอ ที่จะเห็น การตรากฎหมายออกมาบังคับใช้ในรูป ”พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาณและการการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ…..”(ยังคาเติ่งอยู่) ซึ่งมิใช่เพื่อรื้อฟื้นคดีฆ่าสามีเธอ แต่ยังจะเป็นการป้องปรามเหตุที่จะเกิดขึ้นกับผู้อื่นในอนาคตด้วย รวมทั้งเพื่อคดี “บิลลี”นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชาวกะเหรี่ยงที่สูญหายไป ในข้อกล่าวหา มีน้ำผึ้งป่าในครอบครอง
ดังนั้น จึงขอให้สาธารณชนทั้งหลายพีงมีสติสัมปชัญญะ อย่าด่วนสรุปและมีอคติต่อ”อังคณา นีละไพจิตร” ซึ่งบัดนี้ได้ลาออกจากกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)ไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ด้วยความคับข้องใจต่างๆที่รุมเร้าและบีบคั้น
ส่วนเธอจะทำอะไรต่อและอย่างไรนั้น ก็อยู่ที่ตัวเธอเอง ครับ