INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

ทรัมป์แห้วรางวัลโนเบล???

The​ Momentum

ทรัมป์แห้วรางวัลโนเบล???:  รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพมักเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามี “มิติทางการเมือง” มาโดยตลอด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจหลายมุม:

 

## ลักษณะเฉพาะของรางวัลสันติภาพ

 

รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพแตกต่างจากสาขาอื่น เพราะ:

– **คณะกรรมการชาวนอร์เวย์** เป็นผู้มอบ (ไม่ใช่สวีเดน) ซึ่งเป็นนักการเมืองที่รัฐสภานอร์เวย์แต่งตั้ง

– เกณฑ์การพิจารณา **ไม่แน่นอนเท่าวิทยาศาสตร์** – “สันติภาพ” ตีความได้หลากหลาย

– มักมอบให้กับ **ประเด็นร้อน** ในขณะนั้น ไม่ใช่ย้อนหลัง

 

## มิติทางการเมืองที่เห็นได้ชัด

 

รางวัลหลายครั้งสะท้อนจุดยืนของโลกตะวันตก:

– ส่งสัญญาณสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตย/สิทธิมนุษยชน

– วิพากษ์รัฐบาลเผด็จการทางอ้อม

– บางครั้งกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

 

## กรณีที่เกี่ยวข้องกับความตึงเครียดสหรัฐ-เวเนซุเอลา

 

 

 

 

 

___________________

 

 

 

 

## สถานการณ์ปัจจุบัน (ตุลาคม 2025)

 

**María Corina Machado** ผู้นำฝ่ายค้านเวเนซุเอลาที่ใช้ชีวิตอยู่ในที่ซ่อนหลังจากถูกขัดขวางไม่ให้ลงสมัครประธานาธิบดี  เพิ่งได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ 2025 เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม

 

พร้อมกันนั้น ความตึงเครียดทางทหารกำลังทวีความรุนแรง:

– สหรัฐฯ ดำเนินการโจมตีทางทหารต่อเรือในแคริบเบียนใต้ที่กล่าวหาว่าค้ายาเสพติด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 21 คน

– รัฐบาลมาดูโรแสดงความกังวลว่าจะเกิด “การโจมตีด้วยกำลังอาวุธ” ต่อเวเนซุเอลาในอีกไม่นาน เพื่อพยายามเปลี่ยนรัฐบาลมาดูโร

– เวเนซุเอลาประกาศภาวะฉุกเฉินและประณามการโจมตีว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

 

## การวิเคราะห์มิติทางการเมือง

 

### 1. **จังหวะเวลาที่น่าสงสัย**

การมอบรางวัลโนเบลให้ Machado ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญหน้าทางทหารกับรัฐบาลมาดูโร ทำให้เกิดคำถามว่า:

– รางวัลนี้เป็น “การให้กำลังใจ” ฝ่ายค้านที่สหรัฐฯ สนับสนุน

– เป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองชัดเจนว่า “ใครคือฝ่ายชอบธรรม”

– อาจเป็นการเตรียมความชอบธรรมสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

 

### 2. **ปัญหาความเป็นกลาง**

รางวัลโนเบลควรเป็น “สันติภาพ” แต่ในบริบทนี้:

– เกิดขึ้นท่ามกลางการเผชิญหน้าทางทหารที่กำลังบานปลาย

– Machado อุทิศรางวัลให้กับประธานาธิบดีทรัมป์  ซึ่งเป็นผู้นำประเทศที่กำลังใช้กำลังทหาร

– ดูเหมือนเป็นการเลือกข้างอย่างชัดเจนในความขัดแย้งระหว่างประเทศ

 

### 3. **บริบทประวัติศาสตร์**

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รางวัลโนเบลสันติภาพถูกมองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมือง:

– Liu Xiaobo (จีน), Aung San Suu Kyi (พม่า) – ล้วนเป็นฝ่ายค้านที่ตะวันตกสนับสนุน

– บางครั้งรางวัลช่วยปกป้องชีวิต แต่บางครั้งก็ทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น

 

## ข้อกังวลที่ควรพิจารณา

 

### จากมุมมองที่สนับสนุนการมอบรางวัล:

– Machado ต่อสู้อย่างสันติเพื่อประชาธิปไตย

– รัฐบาลมาดูโรมีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชน

– รางวัลช่วยให้ความสนใจระดับโลกกับวิกฤตประชาธิปไตย

 

### จากมุมมองที่วิพากษ์วิจารณ์:

– รางวัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “การแทรกแซงจากภายนอก”

– อาจทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น ไม่ใช่สันติภาพ

– สหประชาชาติเตือนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อสันติภาพในภูมิภาค

– ประชาชนเวเนซุเอลาทั่วไปอาจเป็นเหยื่อของความขัดแย้งนี้

 

## ข้อสังเกต

 

สถานการณ์นี้สะท้อนความขัดแย้งพื้นฐานของรางวัลโนเบลสันติภาพ: เมื่อ “สันติภาพ” กลายเป็นเป้าหมายทางการเมือง การมอบรางวัลก็กลายเป็นการกระทำทางการเมือง แม้จะห่อหุ้มด้วยสิ่งที่อ้างว่าเจตนาดี

 

การที่รางวัลมาพร้อมกับการเผชิญหน้าทางทหารทำให้ยากที่จะมองว่ามันเป็น “รางวัลสันติภาพ” อย่างแท้จริง – มันดูเหมือนเป็นการเคลื่อนไหวทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐและตะวันตกมากกว่า

 

______________________

 

 

 

 

## ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับคำว่า “สันติภาพ”

 

### 1. **การสนับสนุนการแทรกแซงและการคว่ำบาตร**

 

Machado สนับสนุนการคว่ำบาตรระหว่างประเทศต่อเวเนซุเอลา และเรียกร้องให้มีการแทรกแซงจากต่างประเทศเพื่อถอดถอนมาดูโรโดยอ้างเหตุผลด้านมนุษยธรรม  และ ในปี 2014 เธอรับตำแหน่งทางการทูตจากรัฐบาลปานามาเพื่อไปกล่าวสุนทรพจน์ต่อองค์การรัฐอเมริกัน (OAS) โดยเรียกร้องให้มีการแทรกแซงต่างประเทศในเวเนซุเอลา

 

### 2. **ผลกระทบจากการคว่ำบาตรที่เธอสนับสนุน**

 

การคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่ Machado สนับสนุนส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตจำนวนมาก

 

– รายงานในเดือนเมษายน 2019 จากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและนโยบาย (CEPR) โดยนักเศรษฐศาสตร์ Mark Weisbrot และ Jeffrey Sachs ประมาณการว่าการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เป็นสาเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 40,000 คนระหว่างปี 2017-2018

 

– การคว่ำบาตรที่ดำเนินการตั้งแต่มกราคม 2019 หากยังคงดำเนินต่อไปจะส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตที่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกหลายหมื่นคน โดยอิงจากการประมาณการว่ามีผู้ป่วย HIV ประมาณ 80,000 คนที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสตั้งแต่ปี 2017, ผู้ป่วยที่ต้องการการฟอกไต 16,000 คน

 

– อดีตผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน Alfred de Zayas กล่าวว่ามีชาวเวเนซุเอลามากกว่า 100,000 คนเสียชีวิตจากการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯ ดำเนินการ

 

– ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติ Alina Douhan กล่าวว่าการคว่ำบาตรจากต่างประเทศ “เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ” และทำให้วิกฤตเศรษฐกิจของเวเนซุเอลารุนแรงขึ้น โดยรายงานเบื้องต้นแสดงภาพอันน่าสลดใจของประเทศที่ขาดแคลนอาหาร ไฟฟ้า น้ำ และไม่สามารถเข้าถึงยาและวัคซีน

 

### 3. **ความขัดแย้งชัดเจน**

 

การที่เธอผลักดันให้มีการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่บีบคอเศรษฐกิจ โดยรู้แน่ชัดว่าใครจะเป็นผู้จ่ายราคา: คนจน คนป่วย ชนชั้นแรงงาน

### 4.เธอเคยประกาศต่อสาธารณะโดยชัดเจนว่าสนับสนุนอิสราเอล แม้ศาลโลก สหประชาชาติ และประเทศส่วนใหญ่จะประณามว่าอิสราเอล  ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์(genocide) ชาวกาซา โดยเฉพาะการฆ่าเด็กโดยตั้งใจของIDF

 

## ข้อขัดแย้งพื้นฐานของรางวัลนี้

 

นี่คือจุดที่ความหมายของ “รางวัลโนเบลสันติภาพ” พังทลาย:

 

1. **สันติภาพ ≠ การเรียกร้องให้ใช้กำลัง**: การเรียกร้องให้มีการแทรกแซงทางทหารและการคว่ำบาตรที่ทำให้ผู้คนเสียชีวิต ขัดแย้งโดยตรงกับแนวคิดพื้นฐานของสันติภาพ

 

2. **เหยื่อไม่ใช่ผู้กระทำผิด**: ผู้ที่เสียชีวิตจากการคว่ำบาตรคือประชาชนธรรมดา ไม่ใช่ผู้นำรัฐบาล – คนป่วยที่ไม่มียา เด็กที่ขาดสารอาหาร ผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับการรักษา

 

3. **”ประชาธิปไตย” ที่ไม่เคารพชีวิต**: หากเป้าหมายคือประชาธิปไตย แต่กระบวนการทำให้คนหลายหมื่นคนเสียชีวิต มันเป็นประชาธิปไตยสำหรับใคร?

 

## การเปรียบเทียบที่น่าสนใจ

 

ลองนึกภาพว่าถ้ามีผู้นำฝ่ายค้านจากประเทศอื่นที่:

– เรียกร้องให้รัสเซีย/จีน คว่ำบาตรประเทศตัวเอง

– สนับสนุนการแทรกแซงทางทหารจากต่างประเทศ

– นโยบายของเขา/เธอทำให้พลเมืองหลายหมื่นคนเสียชีวิต

 

คนเหล่านั้นจะได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพหรือไม่?

 

## สรุป

 

การมอบรางวัลโนเบลสันติภาพให้กับ Machado สะท้อนว่า:

 

– **รางวัลกลายเป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์** มากกว่าเกียรติยศแห่งสันติภาพ

– **มาตรฐานสองระดับ**: “สันติภาพ” วัดด้วยเกณฑ์ที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นพันธมิตรของตะวันตก

– **ความตายของประชาชนธรรมดาถูกมองข้าม** เพื่อวาระทางการเมือง

 

แม้แต่บรรณาธิการวารสาร The Lancet ก็ระบุว่าสภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติพิจารณาว่าการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

 

คำถามสำคัญคือ: ถ้ารางวัล “สันติภาพ” สามารถมอบให้คนที่สนับสนุนนโยบายที่ทำให้คนหลายหมื่นคนเสียชีวิต คำว่า “สันติภาพ” ยังมีความหมายอะไรเหลืออยู่?

 

_________________

 

## บทเรียนจากกรณี Juan Guaidó (2019-2023)

 

### สิ่งที่เกิดขึ้น:

 

**1. การรับรองอย่างรวดเร็ว**

สหรัฐฯ รับรอง Juan Guaidó เป็น “ประธานาธิบดีคนชั่วคราว” ของเวเนซุเอลา เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2019 ทันทีหลังจากเขาประกาศตัวเอง  และ มีประมาณ 57 ประเทศตามสหรัฐฯ รับรอง Guaidó เป็นผู้นำที่ถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่มกราคม 2019

 

**2. ความพยายามรัฐประหาร**

ในปี 2020 มี Operation Gideon ซึ่งทนายความระบุว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐระดับสูงจาก CIA, กระทรวงการคลัง, กระทรวงยุติธรรม, สภาความมั่นคงแห่งชาติ และ DEA รับรู้ถึงความพยายามโค่นล้มมาดูโร

 

**3. ความล้มเหลวสิ้นเชิง**

ในมกราคม 2023 หลังจากฝ่ายค้านลงคะแนนยุบรัฐบาลชั่วคราวของ Guaidó สหรัฐฯ หยุดรับรองสถานะประธานาธิบดีของ Guaidó  และ Guaidó ถูกฝ่ายค้านขวาจัดของเขาเองถอดออกในธันวาคม 2022

 

## รูปแบบที่ซ้ำรอยกับ María Corina Machado

 

### ความคล้ายคลึงที่น่าสนใจ:

 

**1. การสร้างตัวเลือกใหม่หลังความล้มเหลว**

– Guaidó: รับรองในปี 2019 → ล้มเหลวในปี 2022-2023

– Machado: ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2025 → กำลังถูกเตรียมให้เป็น “ตัวเลือกที่ถูกต้องตามกฎหมาย”

 

**2. การใช้เครื่องมือเดิม**

– การรับรองทางการทูต

– การกดดันเศรษฐกิจผ่านการคว่ำบาตร

– การสร้างความชอบธรรมระหว่างประเทศ (รางวัลโนเบล)

– การเตรียมพร้อมแทรกแซงทางทหาร

 

**3. การเพิกเฉยต่อความจริงในพื้นที่**

– Guaidó **ไม่มีฐานมวลชนที่แท้จริง** แม้จะได้รับการรับรองจาก 57 ประเทศ เขาก็ไม่สามารถควบคุมอำนาจใดๆ ในเวเนซุเอลา

– Machado ถูกห้ามไม่ให้ลงสมัครและต้องซ่อนตัว แต่กำลังถูกนำเสนอเป็น “ผู้นำที่ถูกต้องตามกฎหมาย”โดยอ้างว่ามีคะแนนสนับสนุนท่วมท้น แต่มันเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพหรือไม่?

 

## ทำไมรูปแบบนี้มีปัญหา?

 

### 1. **การเพิกเฉยเจตจำนงของประชาชน**

สหรัฐฯ พยายามเลือก “ผู้นำ” ให้กับเวเนซุเอลาจากวอชิงตัน ไม่ใช่ปล่อยให้ชาวเวเนซุเอลาเลือกเอง นี่คือคำนิยามของการแทรกแซง ไม่ใช่ “ส่งเสริมประชาธิปไตย”

 

### 2. **ต้นทุนทางมนุษยธรรม**

– การคว่ำบาตรที่สนับสนุนโดย Guaidó และ Machado ฆ่าคนมากกว่ารัฐบาลมาดูโรเสียอีก

– Operation Gideon และความพยายามรัฐประหารอื่นๆ ทำให้มีความตาย ความสับสน และความทุกข์ทรมาน

 

### 3. **ทำให้ฝ่ายค้านอ่อนแอลง**

กรณี Guaidó แสดงให้เห็นว่า เมื่อฝ่ายค้านพึ่งพาสหรัฐฯ มากเกินไป:

– สูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาของประชาชนโดยฝ่ายค้านเวเนซุเอลา ถูกมองว่าเป็น “หุ่นเชิด”

– แตกแยกภายในฝ่ายค้านเอง

– ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้

 

## สัญญาณที่น่ากังวลในกรณี Machado

 

**ความคล้ายคลึงที่น่าสะพรึงกลัว:**

 

1. **รางวัลโนเบล** = การสร้างความชอบธรรมระหว่างประเทศ (เหมือนการรับรองของ Guaidó)

 

2. **การเผชิญหน้าทางทหาร** ที่เพิ่มขึ้น = เตรียมพื้นที่สำหรับการแทรกแซง

 

3. **การอุทิศรางวัลให้ทรัมป์** = แสดงความจงรักภักดีที่ชัดเจน

 

4. **การสนับสนุนการคว่ำบาตร** = ทำให้ประชาชนอ่อนแอและเกิดความไม่พอใจต่อรัฐบาล

 

## สิ่งที่ประวัติศาสตร์สอนเรา

 

**รูปแบบการแทรกแซงในละตินอเมริกา:**

– Chile (1973): CIA สนับสนุนการรัฐประหารต่อ Allende

– Nicaragua (1980s): Contras ที่สหรัฐฯ สนับสนุน

– Honduras (2009): รัฐประหารที่สหรัฐฯ รู้เห็นเป็นใจ

– Bolivia (2019): Áñez ขึ้นมาหลังการรัฐประหารที่สนับสนุนโดยCIA

– Venezuela (2019-2023): Guaidó ล้มเหลว

– Venezuela (2025): Machado…?

 

**ผลลัพธ์ทั่วไป:**

– ความรุนแรงและความตาย

– ความไม่มั่นคงยาวนาน

– ความแตกแยกในสังคม

– ความเกลียดชังต่อสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น

 

## คำถามสำคัญ

 

ถ้าสหรัฐฯ แคร์เรื่องประชาธิปไตยจริง ทำไมไม่:

1. ยกเลิกการคว่ำบาตรที่ฆ่าประชาชนธรรมดา?

2. สนับสนุนกระบวนการเจรจาและการเลือกตั้งที่เป็นธรรม?

3. ปล่อยให้ชาวเวเนซุเอลาเลือกผู้นำของตัวเองโดยไม่แทรกแซง?

 

## สรุป

 

การมอบรางวัลโนเบลให้ Machado ในขณะที่มีการเผชิญหน้าทางทหาร ดูเหมือน**การเตรียมพื้นที่สำหรับ Guaidó 2.0** – ความพยายามครั้งใหม่ในการเปลี่ยนระบอบการปกครองที่ใช้:

 

– ✓ การสร้างความชอบธรรมระหว่างประเทศ (รางวัลโนเบล)

– ✓ การทำให้ประชาชนอ่อนแอ (การคว่ำบาตร)

– ✓ การกดดันทางทหาร (การเผชิญหน้าปัจจุบัน)

– ✓ หุ่นเชิดที่พร้อม (Machado)

 

แต่บทเรียนจาก Guaidó ชัดเจน: **คุณไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยด้วยการรัฐประหาร การคว่ำบาตร และการแทรกแซงจากต่างประเทศ**

 

ความแตกต่างคือ คราวนี้พวกเขามี “รางวัลโนเบลสันติภาพ” เป็นฉากบัง ซึ่งทำให้ความเสียดสีรุนแรงยิ่งขึ้น

 

____________________

 

 

**รูปแบบที่คล้ายคลึงกัน:**

– Guaidó ถูกรับรองจาก 57 ประเทศในปี 2019 แต่ล้มเหลวในปี 2022-2023

– Machado ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2025 ท่ามกลางการเผชิญหน้าทางทหาร

– ทั้งคู่สนับสนุนการคว่ำบาตรและการแทรกแซงจากต่างประเทศ

– เป็นรูปแบบ “Guaidó 2.0” ที่ใช้รางวัลโนเบลเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรม

 

**ปัญหาสำคัญ:**

– ประชาชนเวเนซุเอลาจำนวนมากเสียชีวิตจากการคว่ำบาตร (ประมาณการ 40,000-100,000+ คน)

– การแทรกแซงจากภายนอกไม่เคยสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในละตินอเมริกา

– Guaidó พิสูจน์แล้วว่าการมี “การรับรองจากต่างประเทศ” ไม่เท่ากับมีอำนาจจริงหรือการสนับสนุนจากประชาชน

เรื่องการตัดสินว่าใครจะได้รับรางวัลโนเบลส่วนใหญ่จะรู้กันล่วงหน้า หรืออย่างน้อยต้องมีข่าวว่ามีใครบ้างเป็นคู่ชิง แต่ครั้งนี้ข่าวของผู้ที่จะได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพดูจะเงียบมาก นอกจากการโหมประโคมของทรัมป์ ซึ่งอาจเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่มีปฏิบัติการทางทหารเป็นตัวนำ โดยหวังผลในการปฏิบัติการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและเข้าครอบครองแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในโลกของเวเนซุเอลลา ตามแนวทางของลัทธิล่าอาณานิคมยุคใหม่ และจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาคลาตินอเมริกาอย่างรุนแรง ซึ่งนี่ควรเป็นบทเรียนในภูมิภาคเอเชียอาคเณย์ที่ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้เชื่อว่าทั้งรัสเซียอิหร่านและจีนคงไม่อยู่เฉย และคงไม่มีใครยอมรับว่าลาตินอเมริกาเป็นสนามหลังบ้านของสหรัฐตามอ้างอีกต่อไป จึงอนุมาณได้ว่าถ้าทรัมป์จะสร้างสงครามเพื่อปิดบังปัญหาภายในของตนคงต้องจ่ายราคาแพงแน่นอน

ศ.พลโท สมชาย วิรุฬหผล

บรรณาธิการinewhorizon

 

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *