ม้าที่วิ่งเร็วขึ้น…………นวัตกรรมแบบลบล้าง

ม้าที่วิ่งเร็วขึ้น…………นวัตกรรมแบบลบล้าง
ปรากฏการณ์ทางธุรกิจโดยทั่วไปและยุ่งยากมากที่สุดอย่างหนึ่ง : เมื่อบริษัทที่บรรลุความสำเร็จเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ภายในสภาพแวดล้อมของพวกเขา พวกเขามักจะล้มเหลวที่จะตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สามารถระบุตัวพวกเขาเองต่อสู้คู่แข่งขันติดอาวุธด้วยผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และกลยุทธ์ใหม่ บริษัทเหมือนเช่น เจ็นเนอรัล มอเตอร์ โกดัก โพลารอยด์
บอลคบัสเตอร์ โทมัส คุก โนเกีย แบลคเบอร์รี ไครสเล่อร์ ยาฮู และซีรอกซ์
เป็นตัวอย่างของยริษัทที่ได้ลดขนาดอย่างมาก ตกต่ำลงจากตำแหน่งความเป็นผู้นา หรือแม้แต่การประกาศล้มละลาย โดยส่วนรวมบริษัทใหญ่เหล่านี้มักจะล้มเหลวเพราะว่าพวกเขาไม่ได้ความสนใจต่อเทคโนโลยีลบล้าง และมุ่งฐานลูกค้าของพวกเขาเท่านั้น การนำไปสู่การลดลงของยอดขาย
ครั้งหนึ่ง เฮนรี่ ฟอร์ด ผู้ก่อตั้งฟอร์ด มอเตอร์ มีคำพูดอ้างอิงที่มีชื่อเสียง “ถ้าผมได้ถามบุคคลพวกเขาต้องการอะไร พวกเขาได้กล่าวถึงม้าที่วิ่งเร็วขึ้น” ถ้าเขาได้ฟังลูกค้าของเขา ฟอร์ด มอเตอร์อาจจะไม่เคยมีอยู่ หรืออาจจะถูกเรียกว่า
ฟอร์ด ฟาสเตอร์ ฮอส คอมพานี ลูกค้าสามารถอธิบายได้อย่างง่ายปัญหาที่พวกเขามีอยู่ ภายในกรณีนี้พวกเขาต้องการจะไปบางที่ให้รวดขึ้น การระบุ
คำตอบดีที่สุดต่อปัญหาเป็นความท้าทายที่สำคัญต่อผู้ลบล้าง เฮนรี่ ฟอร์ด ได้พยายามวิถีทางที่แตกต่างกัน และในที่สุดเขาบรรลุความสำเร็จด้วยการออกแบบรถยนต์ โมเดลที ลบล้างธุรกิจการขี่ม้า และนี่ได้ถูกเรียกว่า นวัตกรรมแบบลบล้าง แน่นอนเราทุกคนรู้ว่าฟอร์ดไม่ได้นำเสนอม้าที่วิ่งเร็วขึ้น เขาได้คิดค้นรถยนต์ราคาถูกที่ชาวอเมริกันรับภาระได้
ภายในหนังสือ The Innovator’s Dilemma 1977 ผู้เขียนเคลย์ตัน คริสเตนเซน อาจารย์ฮาร์วาร์ด ได้อธิบายว่าเรามีนวัตกรรมสองประเภทภายในธุรกิจ : นวัตกรรมแบบยั่งยืน และนวัตกรรมแบบลบล้าง หนังสือเล่มนี้ได้สร้างผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อนักนวัตกรรมคิดเกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างไร ภายในหนังสือของเขา ผู้เขียนได้อภิปรายทำไมบริษัทใหญ่ล้มเหลวภายใต้สภาวะของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
1 นวัตกรรมแบบยั่งยืนเป็นนวัตกรรมปรับปรุงเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์เดิมบนช่วงเวลาที่คาดคะเนได้ โดยทั่วไปนวัตกรรมแบบยั่งยืนเดินตามวิถีทางที่บริษัทไดัถูกก่อตั้งเป็นธุรกิจ นักนวัตกรรมแบบยั่งยืนมุ่งความต้องการของลูกค้ากระเเสหลักเท่านั้น ถ้าลูกค้าต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น พวกเขาจะค่อยพัฒนาผลิตภัณฑ์
2 นวัตกรรมแบบลบล้างเป็นนวัตกรรมใหม่ การประยุกต์ใช้สามารถมีผลกระทบอย่างสำคัญต่อตลาด มันสร้างตลาดและคุณค่าใหม่ ในที่สุดลบล้างตลาดเดิม การทดแทนผลิตภัณฑ์แนวหน้าตลาด
เฮนรี ฟอร์ด ไม่ได้คิดค้นรถยนต์ แต่เขาได้แนะนำนวัตกรรมลบล้าง เขาได้สร้างรถยนต์ราคาไม่แพงคันแรก รถยนต์ได้กลายเป็นนวัตกรรมลบล้าง หมายความว่า การทดแทนเทคโนลีที่ดำรงอยู่ – ม้าและรถลาก ด้วยการไม่รับฟังต่อความต้องการของลูกค้ากระแสหลัก แต่พยายามค้นหาความต้องการที่แท้จริงของพวกเขา บริษัทส่วนใหญ่
ไม่เอานวัตกรรมแบบลบล้าง พวกเขาชอบนวัตกรรมแบบยั่งยืน การปรับปรุงเพิ่มขึ้นต่อผลิตภัณฑ์เดิม นวัตกรรมแบบยั่งยืนจะน่ากลัวน้อย ตรงไปตรงมา
ง่ายที่จะทำ และส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ลูกค้าขอ ถ้าผมถามอะไรที่พวกเขาต้องการ
พวกเขาจะพูดถึงม้าที่วิ่งเร็วขึ้น ดังที่เฮนรี ฟอรด ได้พูดไว้
ปีเตอร์ ธีล ผู้เขียนหนังสือ Zero to One : Notes on Startups or How to Build the Future เป็นผู้ประกอบการและนักลงทุน เขาเป็นผู้ก่อตั้งร่ามเพย์พาล และนักลงทุนเฟชบุคเริ่มแรก
ปีเตอร์ ธีล มีการบรรยายประจำ ณ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเมื่อ ค.ศ 2012 ภายในความร่วมมือกับนักศึกษาของห้องเรียนนี้ เบลค มาสเตอร์
ปีเตอร์ ธีล ได้ใช้การจดคำบรรยายของห้องเรียนและพิมพ์มันเป็นหนังสือเล่มนี้
Zero to One เป็นการมองข้างในที่ปรัชญาและกลยุทธ์ของปีเตอร์ ธีล เพื่อที่จะสร้างสตารทอัพของเราให้บรรลุความสำเร็จ ด้วยการดูบทเรียนที่เขาเรียนรู้จากการก่อตั้งเพย์พาล การลงทุนภายในเฟชบุค และกลายเป็นมหาเศรษฐีภายในกระบวนการ หนังสือเล่มนี้สอนเราวิถีทางที่เขาคิด เขามีวิถึทางธุรกิจอย่างไร และเราสามารถทำอะไรสร้างอนาคตสตาร์ทอัพของเราเอง และกำหนดอนาคตของโลกภายในกระบวนการ เรามีสามบทเรียนของเขาจากหนังสือเล่มนี้
1 การกระโดยิ่งใหญ่ที่สุดภายในความก้าวหน้าเป็นแนวดิ่งไม่ใช่แนวนอน
2 การผูกขาดภายในธุรกิจเป็นสิ่งที่ดีต่อทั้งธุรกิจและสังคม
3 ผู้ก่อตั้งต้องการวิสัยทัศน์ที่จะนำธุรกิจของพวกเขาจากศูนย์เป็นหนึ่ง
ซิลิคอน แวลลี่ย์ ได้กลายเป็นหลงใหลกับ “การลบล้าง” ต้นกำเนิดการลบล้างเป็นถ้อยคำของศิลป อธิบายบริษัทสามารถใช้เทคโนโลยีใหม่อย่างไรที่จะแนะนำผลิตภัณฑ์ระดับล่าง ณ ราคาต่ำ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ตลอดเวลา และ
ในที่สุดยึดครองผลิตภัณฑ์พรีเมียมนนำเสนอโดยบริษัทเดิมที่ใช้เทคโนโลยีเก่า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อความก้าวหน้าขอคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลลบล้างตลาดเมนเฟรม คอมพิวเตอร์ แนวคิดได้ถูกสร้างที่จะอธิบายการคุกคามต่อบริษัทเดิม
ดังนั้นความลุ่มหลงของสตาร์ทอัพหมายความว่าพวกเขามองตัวเองผ่านทางสายตาของบริษัทแก่กว่า แต่ถ้าเราต้องการอย่างแท้จริงที่จะทำบางสิ่งบางอย่างใหม่ การกระทำของการสร้างจะไปไกลกว่าอุตสาหกรรมเดิม
ที่อาจจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เราสร้าง
Zero to One ตามคำนำของหนังสือ ทุกโอกาสภายในธุรกิจเกิดขึ้นครั้งเดียวเท่านั้น ต่อไปจากบิลล์ เกตส์ จะไม่สร้างระบบปฏิบ้ติการ ต่อไปจากแลร์รี เพจ และเซอร์จีย์ บริน ไม่สร้างโปรแกรมค้นหา และต่อไปจากมาร์ค ซัคเกอร์เบิรก ไม่สร้างเครือข่ายทางสังคม ถ้าเราลอกเลียนแบบบุคคลเหล่านี้ เรากำลังไม่ได้เรียนรู้จากพวกเขา
ภายในหนังสือเล่มนี้ เราไม่ได้สนใจภายในการระรานทางกฏหมายหรือความชื่นชอบของรัฐบาล : โดยการผูกขาด เราหมายถึงประเภทของบริษัทที่ดีเหลือเกิน ณ สิ่งที่พวกเขา ไม่มีบริษัทอื่นสามารถเสนอการทดแทนได้ กูเกิ้ลเป็นตัวอย่างที่ดีจากศูนย์ไปหนึ่ง พวกเขาไม่ต้องแข่งขันภายในการค้นหานับตั้งแต่ต้น ค.ศ 2000 เมื่อพวกเขาได้ห่างไกลตัวพวกเขาเองอย่างชัดเจนจากไมโครซอฟท์และยาฮู ปีเตอร์ ธีล ได้กล่าวว่าความลุ่มหลงของซิลิคอน แวลลี่ย์กับการลบล้างเป็นการนำทางที่ผิดทั้งหมด ความลุ่มหลงของสตาร์ทอัพกับการลบล้างหมายความว่า พวกเขาไม่ได้มุ่งต่อการทำบางสิ่งบางอย่างใหม่
มันยากที่จะค้นหาคำศัพท์ธุรกิจที่ร้อนแรงกว่า การลบล้าง ถ้อยคำนี้ได้ถูกสร้างและทำให้นิยมแพร่หลาย โดยอาจารย์คณะบริหารธุรกิจฮาร์วาร์ด เคลย์ตัน คริสเตนซัน อ้างถึงกลยุทธ์ที่ชอบต่อสู้ บริษัทวัยหนุ่มสาวโค่นล้มบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น เนตฟลิกซ์ทำกับบอลคบัสเตอร์
เราสร้างสิ่งที่เคลื่อนสังคมของเราไปข้างหน้าอย่างไร นั่นคือคำถามแกนของหนังสื่อเล่มนี้ แน่นอนมันง่ายที่จะลอกเลียนแบบโมเดลไม่ใช่สร้างบางสิ่งบางอย่างที่ใหม่ การทำอะไรที่เรารู้ทำอย่่างไรนำโลกจากหนึ่งไปสู่เอ็น การเพิ่มมากขึ้นของบางสิ่งบางอย่างที่คุ้นเคย แต่ทุกครั้งที่เราสร้างบางสิ่งบางอย่างใหม่ เรากำลังจากศูนย์ไปหนึ่ง และผลลัพธ์เป็นบางสิ่งบางอย่างที่สดใสและแปลก มันช่วยที่จะคิดเกี่ยวกับการนำเสนอคุณค่า คุณค่าที่แท้จริงที่เราสามารถเสนอแก่ผู้ที่อาจจะเป็นลูกค้า เรามีจำนวนไม่สิ้นสุดของความคิดที่ไม่เหมือนใคร แต่ไม่กี่ความคิดเท่านั้นมีคุณค่าเพียงพอที่จะสร้างเป็นธุรกิจ
ปีเตอร์ ธีล ได้ย้ำจุดสำคัญว่าสตาร์ทอัพที่มุ่งหมายความสำเร็จต้องสร้างการผูกขาดเพื่อที่จะนำหน้าให้ไกลการแข่งขัน นี่คือจุดสำคัญแรกของการไม่เหมือนใครการแข่งขันที่เราเผชิญยิ่งน้อยเท่าไร เราน่าจะมุ่งการพัฒนาไม่ใช่สงครามการตลาดได้มากขึ้นเท่านั้น
เขาได้โต้แย้งว่านวัตกรรมแบบลบล้างเป็นนวัตกรรมไม่ดี เพราะว่ามันไม่ค่อยมีกำไร การลบล้างตลาดเดิมด้วยผลิตภัณฑ์ดีกว่า ถูกกว่า ง่ายกว่า หรือรวดเร็วกว่า เพิ่มการแข่งขัน การแข่งขันแบบลบล้างฆ่าการทำกำไร ดังนั้นแทนที่จะลบล้างตลาด นักนวัตกรรมควรจะมุ่งการสร้างตลาดที่ป้องกันใหม่ การเป็นผู้เข้ามารายแรกภายในตลาดศูนย์เป็นหนึ่ง และใช้ข้อได้เปรียบผู้เข้ามารายแรกของพวกเขาวางกับดักและอุปสรรคต่อคู่แข่งขันที่จะทำลาย จากศูนย์ไปหนึ่งหมายถึงอะไร ปีเตอร์ ธีล ได้ระบุความท้าทายของอนาคตมีสองรูปแบบ : ความก้าวหน้าตามแนวนอน : หนึ่งเป็นเอ็น การลอกเลียนแบบสิ่งที่ได้ทำมาก่อน การขยายตัวนวัตกรรมเดิม แรงขับเคลื่อนอย่างหนึ่งเบื้องหลังความก้าวหน้าตามแนวนอนคือ โลกาภิวัฒน์ โลกาภิวัฒน์ทำให้นวัตกรรมกระจายไปสู่บุคคลมากขึ้น ความก้าวหน้าตามแนวดิ่ง : ศูนย์เป็นหนึ่ง การทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีใครทำมาก่อน ความก้าวหน้าตามแนวดิ่งเกี่ยวพันกับนวัตกรรมใหม่อย่างสิ้นเชิง เช่น เทคโนโลยีใหม่อย่างสมบูรณ์
ปีเตอร์ ธีล ได้สรุปปัจจัยสำคัญที่สุดที่มีอิทธิพลต่ออนาคต แม้ว่าโลกาภิวัฒน์นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เขาเชื่อว่าเทคโนโลยีมีผลกระทบต่อชีวืตของเราอย่างมีความหมายมากกว่า เขาได้อธิบายความก้าวหน้าของมนุษย์และเทคโนโลยีตามแกนที่แตกต่างกันสองแกน เขาได้กำหนดแกนเอ็กซ์ เขาเรียกว่าความก้าวหน้าตามแนวนอน นี่คือการทำบางสิ่งบางอย่างจากหนึ่งถึงเอ็น การลอกเลียนแบบบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่แล้ว และยกระดับมัน ความก้าวหน้าตามแนวนอนเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับแกนวาย เขาเรียกว่าความก้าวหน้าตามแนวดิ่ง นี่คือการทำบางสิ่งบางอย่างจากศูนย์เป็นหนึ่ง การสร้างบางสิ่งบางอย่างใหม่ทั้งหมดจากไม่มีอะไรเลย การสร้างบางสิ่งบางอย่างจากไม่มีอะไรเลยยากกว่าการสร้างการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น
เมื่อเราพิจารณาตัวอย่างของรถยนต์ เฮนรี่ ฟอร์ด ได้แนะนำยานพาหนะเครื่องยนต์ภายในช่วงเวลาของม้าและรถม้า นั่นเป็นบางสิ่งบางอย่างใหม่ทั้งหมด ดังคำพูดอ้างอิงของเฮนรี่ ฟอร์ด เขาอ้างว่าถ้าเขาถามลูกค้าของเขาพวกเขาต้องการอะไร พวกเขาต้องพูดถึง ม้าวิ่งเร็วขึ้น – การเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น แต่เขาได้ให้พวกเขารถยนต์ – เทคโนโลยี
ปีเตอร์ ธีล ได้สนับสนุนว่าผู้ประกอบการสร้างบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนใคร
บางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงตลาดอย่างสิ้นเชิง ข้อแก้ปัญหาที่ยังไม่มี – จากศูนย์เป็นหนึ่ง ไม่ใช่การสร้างบางสิ่งบางอย่างดีเพิ่มขึ้นกว่าข้อแก้ปัญหาเดิม – จากหนึ่งเป็นเอ็น เขายืนยันว่าอะไรก็ตามมีคุณค่าต่อการสร้างต้องอย่างน้อยที่สุดดีกว่าทางเลือกเดิม 10X


บริษัทที่บรรลุความสำเร็จได้ตกต่ำลงจากความยิ่งใหญ่ไปสู่ความธรรมดาได้อย่างไร จิม คอลลินส์ภายในหนังสือเล่มลาสุดของเขา How the Mighty Fall
: And Why Some Companies Never Give In ค.ศ 2009 ได้อธิบายขั้นตอนห้าขั้นเดินตามโดยบริษัทบางบริษัทบนวิถีทางของพวกเขาไปสู่ความธรรมดา
แม้ว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ป็นที่นิยมแพร่หลายเท่ากับหนังสือก่อนหน้านี้ แต่เป็นหนังสือที่บริษัทยักษ์ใหญ่ควรจะให้ความสนใจ หนังสือที่จะตอบคำถามว่าเรารู้ว่าบริษัทกำลังตกต่ำได้อย่างไร การตกต่ำสามารถหลีกเลี่ยงได้ การตกตกต่ำสามารถค้นพบได้ การตกต่ำสามารถพลิกผ้นได้ ท่ามกลางลักษณะความอ้างว้างของบริษัทใหญ่ที่กำลังตกต่ำ จิม คอลลินส์ ได้เริ่มต้นประหลาดใจว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ตกต่ำได้อย่างไร การตกต่ำสามารถถูกค้นพบแต่เริ่มแรกและหลีกเลี่ยงได้หรือไม่
ทำไมครั้งหนึ่งบริษัทยิ่งใหญ่บางบริษัทได้เกิดการทำลายตัวเองอย่างไร้ความรู้สึกของพวกเขาเอง ทำไมครั้งหนึ่งบริษัทยิ่งใหญ่ได้ตกต่ำลง จิม คอลลินส์ ยอมรับว่ามันไม่ได้เป็นบางสิ่งบาอย่างที่บันดาลใจมากให้ศึกษาหรือแม้แต่มองมัน ผู้นำคนหนึ่งไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ไม่สามารถสร้างบริษัทให้ยิ่งใหญ่และยืนยงได้ตลอดไป ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เข้าใจมันว่าจะไม่เป็นเพียงแต่พวกเขา แต่ผู้นำที่ไม่ดีอย่างแท้จริงคนหนึ่งสามารถทำให้บริษัทตกต่ำได้ จิม คอลลินส์ มองว่าปัญหาที่สำคัญจะเกิดขึ้นจากความเป็นผู้นำ เขาได้เตือนว่าบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบางบริษัทภายในประวัติศาสตร์ ได้สร้างการทำลายตัวเองที่ไร้ความรู้สึกของพวกเขาเอง และถ้ามันสามารถเกิดขึ้นกับพวกเขาได้ ไม่มีใครที่จะมีภูมิคุ้มกันได้ ภ้าเราคิดว่าเรามีภูมิคุ้มกัน เราจะอยู่บนเส้นทางไปสู่การตกต่ำแล้ว โดยสรุปการวิจัยของจิม คอลลินส์ ภายในหนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นว่าเรามีขั้นตอนห้าขั้นของการตกต่ำของบริษัทคือ 1 การเกิดความสำเร็จอย่างหยิ่งยะโส 2 การแสวงหามากขึ้นอย่างไร้ระเบียบวินัย 3 การไม่ยอมรับความเสี่ยงภัยและอันตราย 4 การคว้าอะไรก็ตามเพื่อความอยู่รอด และ 5 การยอมแพ้หรือตาย


โทมัส คุก เป็นชายที่ลุ่มหลง กำเนิดภายในโลกที่บุคคลชนชั้นทำงานส่วนใหญ่
ทำงานหกวันต่อสัปดาห์ และไม่เคยเดินทางมากกว่า 20 ไมล์จากเมืองบ้านของพวกเขา โทมัส คุกเริ่มต้นทำงาน ณ อายุ 10 ปี เป็นแรงงานภายในสวนผักวันละ 1 เพนนี แต่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างมากและการทำงานหนัก ชายชนชั้นทำงานคนนี้ได้สร้างบริษัทท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดของโลก โทมัส คุก เกิดเมื่อ ค.ศ 1808 ภายในเมืองเล็กของเมลเบิร์น อังกฤษ เขาจบการเข้าโรงเรียนของเขา ณ อายุสิบปี เริ่มต้นทำงาน บ่อยครั้งวันละหนึ่งเพนนีเท่านั้น ที่จะช่วยสนับสนุนครอบครัวของเขา
ตลอดชีวิตของเขา โทมัส คุก เป็นนักเทศน์ ช่างทำตู้ ช่างพิมพ์ และนักจัดท่องเที่ยว ตอนเป็นนักเทศน์ เขาต้องเดินหลายพันไมล์ เขามักจะทำงานภายในความมืดที่จะประหยัดเทียนไขและน้ำมัน ภายหลังจากการมองเห็นผล
กระทบของการเมาสุราตอนอายุน้อย โทมัส คุก เชื่อว่าการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นต้นกำเนิดที่สำคัญอย่างหนึ่งของปัญหาสังคมหลายอย่างภายในยุควิคตอเรีย
เมื่อ ค.ศ 1841 เขาได้จัดรถไฟเที่ยวพิเศษนำบุคคล 500 คนจากเลสเตอร์ไปเข้าร่วมการประชุมไม่เสพของเมา ด้วยค่าโดยสารหนึ่งชิลลิง ผู้โดยสารได้ท่องเที่ยวทางรถไฟไปกลับ ความบันเทิง น้ำชาตอนเที่ยง และอาหาร ข้อตกลงที่
ไม่เลวเลย ต่อจากนั้นภายใน ค.ศ 1845 เขาได้จัดการท่องเที่ยวระยะสั้นทางรถไฟเพื่อกำไร และปีต่อมาเขาได้นำเสนอการท่องเที่ยวนอกอังกฤษไปสก็อตแลนด์ ประเทศที่น่ารักของโทมัส คุก และยังคงเป็นจุดหมายที่ชื่นชอบแห่งหนึ่งของเขา ผู้โดยสารเริ่มแรกหลายคนของเขาขึ้นรถไฟครั้งแรก และเดินทางไปไกลสุดที่พวกเขาเคยเดินทางจากบ้านของพวกเขา การท่องเที่ยวของเขาใหญ่ขึ้น และเมื่อ ค.ศ 1851 โทมัส คุก ได้มีโอกาสที่จะจัดการท่องเที่ยวทางรถไฟไปลอนดอนที่จะเข้าร่วมนิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ของเจ้าชายอัลเบิรต เขาได้ขนส่งบุคคลมากกว่า 15,000 คนไปลอนดอลระหว่างหกเดือนของนิทรรศการครั้งนี้ นี่เป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดภายในอังกฤษ และการเคลื่อนย้ายบุคคลใหญ่ที่สุดภายในอังกฤษ
โทมัส คุกได้ขยายการดำเนินงานอย่างรวดเร็ว การคุ้มครองการท่องเที่ยวทั่ว
ยุโรบ อเมริกาเหนือ และแม้แต่นำการท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์รอบโลก
บริษัทท่องเที่ยวเก่าแก่ที่สุดของโลก ได้ประกาศการล้มละลายเมื่อวันจันทร์ 23 กันยายน 2019 ภายหลังจาก 178 ปีของการเป็นชื่ออังกฤษยิ่งใหญ่ที่สุดภายในการจองวันหยุดพักผ่อน และการคิดค้นการนำเที่ยว โทมัส คุก ผู้ก่อตั้ง เป็นผู้บุกเบิกภายในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเมื่อศตวรรษที่ 19 การรับรู้ว่าบุคคลกระหายที่จะมองเห็นโลก โทมัส คุก ต้นกำเนิดย้อนหลังไปเมื่อ ค.ศ 1841 เมื่อนักธุรกิจ โทมัส คุก ได้เริ่มต้นการท่องเที่ยวทางรถไฟว้นเดียวจากเลสเตอร์ไปลัฟบะระ
ทำไมโทมัส คุก ล้มเหลวภายหลังจาก 178 ปี ภายในธุรกิจ คำตอบทันทีคือ พวกเขาไม่สามารถได้เส้นต่อชีวิต 200 ล้านปอนด์จากธนาคาร แต่ภายในข้อเท็จจริงความเสียหายของโทมัส คุกย้อนหลังไปไกลมาก เหยื่อของการรวมบริัษัทที่หายนะเมื่อ ค.ศ 2007 หนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ การปฏิรูปอินเตอร์เนตของการจองวันหยุดพักผ่อน และความไม่แน่นอนของเบรกซิต
โทม้ส คุก เป็นบริษัทท่องเที่ยวมีชื่อเสียงต่อการนำเสนอความสะดวกที่แตกต่างอย่างชัดเจนแก่นักท่องเที่ยว ความสามารถที่จะมีทุกส่วนของวันหยุดพักผ่อนของพวกเขาเชื่อมโยงกัน จากเที่ยวบิน ไปห้องพักโรงแรม ไปการเดินทางท้องที่ ไปการท่องเที่ยว และแม้แต่อาหาร โทมัส คุก นำเสนอการซื้อจุดเดียวแก่บุคคลที่ต้องการทางผ่าน : วันหยุดพักผ่อนจองโทมัส คุก สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราต้องทำคือบรรจุกระเป๋าและไป โทมัส คุก ดำเนินงานโรงแรมและสายการบินของพวกเขาเองด้วย
ในฐานะของบริษัทท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดของโลกด้วยสำนักงานภายในจุดหมายปลายทางที่สำคัญทั่วโลก โทมัส คุก ได้สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับบริษัทเรือและโรงแรม การทำให้พวกเขาสามารถนำเสนอบริการอย่างสร้างสรรค์ เครือข่ายที่โทมัส คุกสร้างสามรถเปรียบเทียบได้กับความโดดเด่นของอาลีบาบาและเทนเซนต์ภายในอุตสาหกรรมของจีนปัจจุบัน พวกเขาได้สร้าง “ใบเงินฝาก” ทางเลือก และเครื่อข่ายการชำระเงิน หนุนหลังโดยตำแหน่งทางตลาดแนวหน้าของพวกเขา มันคล้ายกับสิ่งยักษ์อินเตอร์เน็ตทำวันนี้ที่จะก้าวไปสู่การสร้างเงินตราดิจิตอลของพวกเขาเอง และเครือข่ายการชำระเงินดิจิตอล
แต่กระนั้นปัญหาได้เริ่มต้นเมื่อโทมัส คุกตามไม่ทันกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลกที่วิวัฒนาการ การถูกลบล้างโดยอินเตอร์เนต เทคโนโลยี ปัจจุบันนี้นักท่องเที่ยวสามารถจองโรงแรมได้ง่าย และซื้อบัตรโดยสารออนไลน์ ด้วยข้อมูลและรายละเอียดบริการทุกอย่างหามาได้จากอินเตอร์เนต พวกเขาไม่ต้องการบริการจากบริษัทท่องเที่ยว เมื่อพวกเขาสามารถตระเตรียมการท่องเที่ยวของพวกเขาเองด้วยข้อมูลมากมายหามาได้ทางออนไลน์
“อย่าสักแต่ว่าจอง ลองโทมัส คุกสิ” เป็นถ้อยคำสลักอยู่ภายในความทรงจำของชาวอังกฤษ บุคคลที่คิดค้นด้วยสโลแกนไอคอนนี้ 35 ปีที่แล้ว ได้กล่าวถึงการพังทลายของบริษัทเป็น “ความละอายใจเหลือเกิน” ไมเคิล เฮนเนสซี อายุ 70 ปี ได้คิดค้นสโลแกนเมื่อ ค.ศ 1984 ในขณะทำงานอยู่กับบริษัทโฆษณาว่าจ้างโดยโทมัส คุก นักโฆษณาที่เกษียณแล้วได้กล่าวถึงการสูญเสียบริษัทอายุ 178 ปีเป็น “การตกตะลึง” ผมค่อนข้างตกตะลึงเมื่อตื่นเช้าวันนี้ และมองเห็นบริษัทหายไปแล้ว การรู้ว่าวันนี้เป็นการจบลงของสถาบัน 178 ปีเป็นความเศร้าสลดและความละอายใจอย่างใหญ่หลวง ผมรู้สึกเสียใจอย่างมากต่อบุคคลที่ทำงานอยู่กับบริษัทที่ต้องสูญเสียงานอย่างน่ากลัว

โทมัส คุก บริษัทท่องเที่ยวเก่าแก่ที่สุดของโลก ได้พังทลายลงภายหลังการเจรจาต่อรองนาทีสุดท้ายมุ่งที่การช่วยชีวิตบริษัทท่องเที่ยวอายุ 178 ปีที่ล้มเหลว การสร้างผลกระทบอย่างมากต่อนักท่องเที่ยวประมาณ 600,000 คนทั่วโลก ความล้มเหลวของโทมัส คุก นับเป็นการจบลงด้วยความพยายามของพวกเขาที่จะปรับตัวเมื่อลูกค้ามากขึ้นได้ซื้อออนไลน์ การชำระบัญชีของโทมัส คุก
ภายในชั่วโมงแรกของตอนเช้านี้เป็นการสิ้นสุดลงของบริษัทท่องเที่ยวที่บุกเบิกวันหยุดแบบแพคเกจ และภายในปีที่ผ่านมาได้ถูกท้าทายที่จะเปลี่ยนแปลงกับลูกค้าของพวกเขา เมื่อลูกค้าได้พบวิถีทางที่สะดวกมากขึ้นของการจองการท่องเที่ยวของพวกเขาออนไลน์
เพื่อการอยู่รอดภายในภาคการท่องเที่ยวที่แข่งขันสูง สายการบินและบริษัทท่องเที่ยวต้องคิดค้นนวัตกรรม ใช้ประโยชน์ความสามารถเทคโนโลยีใน
ขณะนี้เอื้ออำนวยอยู่ที่จะสนับสนุนการท่องเที่ยวของลูกค้า พวกเขาต้องสามารถให้ความเข้าใจขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเวลาจริง ปรับปรุงความเกี่ยวพันระหว่างกันกับลูกค้า และมั่นใจว่าพวกเขายังคงสอดคล้องกับอุปสงค์ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอภายในยุคการปฏิรูปทางดิจิตอล
การเปิดตัวโดยช่างทำตู้ โทมัส คุก ภายในเลสเตอร์ เมื่อ ค.ศ 1841 ธุรกิจเริ่มแรกมุ่งที่การท่องเเที่ยวทางรถไพระยะสั้นวันเดียว โทมัส คุก เป็นนักนวัตกรรมชาวอังกฤษของการท่องเที่ยว และผู้ก่อตั้งของโทมัส คุก แอนด์ ซัน บริษัทท่องเที่ยวทั่วโลก เขาได้ถูกยกย่องเป็นผู้คิดค้นการเดินทางสมัยใหม่ ถ้อยคำสองคำได้กลายเป็นความหมายเดียวกับแนวคิดสมัยใหม่ของการท่องเที่ยวแบบเเพคเกจ แต่มันตามด้วยมรดกมากมาย เขาได้นำเสนอวันหยุดพักผ่อนที่ครบถ้วน
“แพคเกจ” – ประกอบด้วยการท่องเที่ยว ที่พัก และอาหาร – เป็นครั้งแรก
การนำเสนอที่สร้างสรรค์อย่างหนึ่งคือ โทมัส คุก ได้ออกเช็คเดินทางเมื่อ ค.ศ 1874 การยอมให้ลูกค้าแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศภายในประเทศอื่น
ย้อนหลังก่อนหน้านั้นนักท่องเที่ยวต้องดิ้นรนที่จะเเลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และมันไม่ปลอดภัยที่จะนำเงินสดติดตัวมากเกินไป ท่ามกลางสถานการณ์นี้ โทมัส คุก ได้นำเสนอข้อแก้ปัญหาที้ได้กลายเป็นนิยมแพร่หลาย
ภายหลังการซื้อเช็คเดินทางก่อนที่พวกเขาเริ่มต้นการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวสามารถใช้เช็คเดินทางที่จะแลกเปลี่ยนเงินตราท้องที่ ณ จุดหมายปลางทางและจ่ายค่าโดยสารและโรงแรม ภายในช่วงเวลาเมื่อเราไม่มีอินเตอร์เนต หรือเครดิต การ์ด เช็คเดินทางเป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ และให้ความสะดวกอย่างมากแก่นักท่องเที่ยว
โทมัส คุก ได้พัฒนาการท่องเที่ยวทางรถไฟเป็นอุตสาหกรรมอย่างเด็ดเดี่ยว
การเช่ารถไฟนำผู้โดยสาร 500 คนประมาณ 10 ไมล์จากเลสเตอร์ไปสู่เมืองเพื่อนบ้านของลัฟบะระเมื่อวันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม ค่าโดยสารไปกลับ 7.5 เพนนี แต่การท่องเที่ยวระยะสั้นของช่างทำตู้ โทมัส คุก ได้วางรากฐานของธุรกิจที่ทำให้เขาเป็นบิดาของการท่องเที่ยวสมัยใหม่ นักเทศน์ก่อนหน้านี้เชื่อว่าความเจ็ปป่วยของสังคมวิคตอเรียส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากแอลกอฮอล์ และมองเห็นโอกาสที่จะแพร่หลายคำพูดผ่านทางเครือข่ายรถไฟที่เจริญรุ่งเรืองของอังกฤษ
ทำไมโทม้ส คุก ผู้ดำเนินการท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ล้มเหลวภายหลัง 178 ปีภายในธุรกิจ ตราสินค้าท่องเที่ยวเก่าแก่ที่สุดของโลก ด้วยลูกค้า 19 ล้านคนต่อปี บริษัทได้ประกาศว่าพวกเขาได้ชำระบัญชีทรัพย์สินและล้มละลาย ทั้งที่ได้พยายยามจะช่วยชีวิตตราสินค้า ณ เวลาของการพังทลาย โทมัส คุก มีหนี้สิน 1.7 พันล้านปอนด์ ประมาณ 2.1 พันล้านเหรียญ จำนวนที่ซีอีโอ ปีเตอร์ แฟรงค์ฮาวเซอร์ เรียกว่า “เอาชนะไม่ได้”
มันเป็นการเจรจาต่อรองที่จะได้รับ 250 ล้านเหรียญภายในการจัดหาเงินทุนฉุกเฉินจากธนาคารล้มเหลว เมื่อมันได้ประการการล้มละลาย การปล่อยทิ้งนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ได้จ่ายเงินเพื่อการหยุดพักผ่อนกับบริษัทโดยไม่ได้คืนค่าตั๋วที่บ้าน งานที่ประมาณไว้ 21,000 งานทั่วโลกได้หายไป รวมทั้ง 9,000 งานภายในอังกฤษจากการล้มละลาย
“เราเสียใจที่จะแจ้งคุณว่าวันหยุดพักผ่อนและเที่ยวบินทุกอย่างที่จัดหาให้โดยบริษัทเหล่านี้ได้ถูกยกเลิกและไม่ได้ดำเนินงานต่อไปอีกแล้ว” โทมัส คุก กล่าว
และร้านค้าปลีกโทมัส คุก ทุกแห่งได้ปิดไปด้วย โทม้ส คุก เป็นบริษัทอังกฤษ แต่พวกเขาได้ดึงดูดลูกค้าจากทั่วโลก โดยเฉพาะยุโรป
ภายในถ้อยแถลง ซีอีโอของโทมัส คุก ปีเตอร์ แฟรงค์ฮาวเซอร์ ได้กล่าวขอโทษว่า
” ผมขอโทษต่อลูกค้าหลายล้านคนของเรา และบุคคลหลายพันคนของเรา
ซัพพลายเออร์ และหุ้นส่วนที่ได้สนับสนุนเรานานหลายปี ทั้งที่ความไม่แน่นอนสูงมากตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทีมของเราได้ต่อเนื่องที่จะให้ลูกค้าเป็นลำดับแรก การแสดงทำไมโทมัส คุก เป็นตราสินค้าถูกรักที่สุดภายในการท่องเที่ยว
นี่เป็นวันที่เศร้าสลดอย่างมากต่อบริษัทที่บุกเบิกวันหยุดพักผ่อนแพคเกจ และทำให้การท่องเที่ยวเป็นไปได้ต่อบุคคลหลายล้านคนทั่วโลก”
“ยุคของลูกค้ามอบความไว้วางใจวันหยุดพักผ่อนของครอบครัวของพวกเขาแก่โทมัส คุก เพราะว่าบุคคลของเรารักษาลูกค้าของเรา ณ หัวใจของธุรกิจ และรักษาจิตวิญญานของนวัตกรรมของผู้ก่อตั้งของเรา” ครั้งหนึ่งปีเตอร์ ได้กล่าวถึงสุภาษิตของเขาว่า เขาเดินบนรองเท้าแตะของลูกค้า
โชคชะตาของบริษัทได้ถูกปิดผนึกด้วยสาเหตุหลายอย่าง : การเงิน สังคม และแม้แต่ฝนฟ้าอากาศ โมเดลธุรกิจการท่องเที่ยวเเพคเกจของพวกเขาบรรลุความสำเร็จ 178 ปี แต่เมื่ออุปสงค์ของลูกค้าได้เปลี่ยนแปลงและก้าวไปสู่ออนไลน์ การแข่งขันที่รุนแรงจากบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ และสายการบินต้นทุนต่ำ รวมทั้งความไม่สงบทางการเมืองทั่วโลก การพังทลายของโทมัส คุก ได้ถูกกล่าวหาบนความล้มเหลวที่จะลงทุนภายในเทคโนโลยีลบล้าง
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเหมือนเช่นอี คอมเมิรช บิก ดาต้า และปัญญาประดิษฐ์
ผู้บริหารได้ล้มเหลวที่จะเข้าใจผลกระทบของการร่วมที่พักและการท่องเที่ยวออนไลน์ที่มีต่อพวกเขา
ถ้าพวกเขาได้ลงทุนเริ่มแรกภายในเทคโนโลยีลบล้างเหล่านี้ มันจะเป็นเรื่องราวที่แตกต่างกันอย่างมาก เมื่อ ค.ศ 2010 มูลค่าตลาดของโทมัส คุก ประมาณ 3.2 พันล้านเหรียญ และภายในปีเดียวกัน แอร์บีเอ็นบี ประมาณ 100 ล้านเหรียญ ถ้าโทมัส คุกสายตาไกลที่จะลงทุนภายในแอร์บีเอ็นบี เมื่อเศรษฐกิจแบ่งปันกำลังอยู่วัยเริ่มแรก พวกเขาจะไมอยู่ภายในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างนี้ ปัจจุบันแอร์บีเอ็นบีมีมูลค่าประมาณ 30 พันล้านเหรียญ ในขณะที่โทมัส คุก ได้พังทลายลง
โทมัส คุกเป็นผู้คิดค้นของการท่องเที่ยวสมัยใหม่ด้วยการท่องเที่ยวระยะสั้นทางรถไฟครั้งแรกของเขาเมื่อ ค.ศ 1845 ทำนองเดียวกับสายการบินต้นทุนต่ำวันนี้ โทมัส คุกและบริษัทของเขาได้นำการท่องเที่ยวมาสู่บุคคลธรรมดา ไม่ว่าผจญภัยไปสก็อตแลนด์โดยรถไฟ หรือไปอียิปจ์โดยเรือใบจักรไม้ บริษัทที่สร้างบนความคิดการปฏิรูปของการท่องเที่ยวระยะสั้นได้ถูกทำลายโดยนวัตกรรมที่กระตุ้นการท่องเที่ยวทำด้วยตัวเองอย่างไร เช่น อินเตอร์เนต การจองออนไลน์ แอปส์สมาร์ทโฟน และ “เศรษฐกิจแบ่งปัน”
Cr : รศ สมยศ นาวีการ







