บทเรียนจากผู้ฝักใฝ่ “ไอเอส”

เกษม อัชฌาสัย
บทเรียนจากผู้ฝักใฝ่ “ไอเอส”
ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เองครับ ที่ประธานาธิดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมพ์”ยอมรับว่า ยังคงมีกลุ่ม “ไอเอส”ที่ยังไม่สามารถขจัดได้หมด หลงเหลืออยู่ ณ แหล่งที่มั่นสุดท้ายในพื้นที่ของซีเรีย เรียกว่า“บากุส”(Baghus) ติดพรมแดนอิรัก
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้หลายเดือน เขาเคยประกาสว่า “ไอเอส”พ่ายแพ้ราบคาบไปแล้ว แต่ฝ่ายข่าวกรองทหารสหรัฐยังคงยืนกรานสวนทางว่า ยังไม่ราบคา ยังคงมีอยู่
ล่าสุดนายทหารอเมริกันระดับผู้บัญชาการรบในซีเรีย(พล.อ.โจเซฟ โวเทล) ออกมาแถลง โดยไม่เกรงกลัวถูกไล่ออกว่า สหรัฐจะยังถอนตัวไม่ได้จากซีเรีย อย่างเด็ดขาด ตามที่“ทรัมพ์”ลั่นวาจาไว้ เพราะแม้จะพ่ายแพ้ แต่“ไอเอส”ที่หนีไปหลบซ่อนตัวแอบแฝงในดินแดนอิรัก ก็จะเปิดฉากทำสงครามกองโจรต่อ จึงขอให้ตระหนักไว้ด้วยว่าจะละเลยไม่ได้ กองกำลังท้องถิ่นซึ่งสหรัฐหนุนหลังจะรับมือไม่ไหว จึงควรจะหนุนต่อไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง
ถ้อยคำของ“ทรัมพ์”ที่กลับไป-กลับมา อย่างนี้ แม้จะเป็นที่คุ้นเคยกันในสื่อสารมวลชน แต่วิธีที่จะตรวจสอบว่า เขาพูดจริง หรือพูดเท็จ หรือกึ่งจริงกึ่งเท็จ ให้พิจารณาได้จาก“คำพูดท้ายสุดของเขา”(ที่อาจจริงหรือเท็จก็ได้)
เอาเป็นว่า การพูดล่าสุด น่าเชื่อถือ เพราะ“ทรัมพ์”เอง ออกแถลงในที่สุดว่า“สมาชิก”ไอเอส”ที่ถูกนักรบฝ่ายที่สหรัฐสนับสนุนจับขังคุกอยู่ในซีเรียราว ๘๐๐ นายในขณะนี้นั้น ทางประเทศต้นสังกัดสัญชาติในยุโรป จะต้องรับผิดชอบ นำตัวไปดำเนินคดีเองตามความเหมาะสม มิเช่นนั้น ก็จะต้องปล่อยตัวให้เป็นอิสระไป ซึ่งน่าจะเป็นภัยในแง่การแทรกซึมไม่รู้จบจาก“ไอเอส”ในอนาคต
“ทรัมพ์ให้เหตุผลว่า”เราทำไปมาก ใช้จ่ายไปมาก ถึงเวลาแล้วที่คนอื่นจะต้องก้าวเข้ามาทำในสิ่งที่พอจะทำได้ เพราะเรากำลังจะถอนตัว หลังจากมีชัยชนะเหนือ“คอลิเฟต”(รัฐของ”ไอเอส”) ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์”
ซึ่งถ้าเป็นไปตามที่ว่า ภาระรับผิดขอบ ก็จะต้องตกเป็นของพันธมิตรร่วมรบ(ของสหรัฐ) คือ กลุ่มชาวเคิร์ดและตุรกี ในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย
แต่มีบางประเทศที่ไม่รับผิดชอบที่จะรับตัวนักโทษเหล่านี้ไปดำเนินคดี เช่น อินโดนีเซีย
สหรัฐจึงพยายามสะท้อนปัญหาที่จะเกิดจากสมาชิก”ไอเอส”ที่ถูกจับขังไว้ ด้วยการเปิดให้สื่อมวลชนอเมริกันเข้าไปพบปะกับนักโทษ”ไอเอส”บางคนในคุก หรือไม่ก็เปิดค่ายผู้อพยพหนีภัยสงครามในซีเรีย อนุญาตให้สื่อไปพบ เพื่อหาข่าวจากสตรีจากชาติตะวันตกที่หลบหนีไปอยู่กินแต่งงานกับนักรบ”ไอเอส”ในซีเรีย เพื่อสะท้อนเหตุผลว่า ชาติต้นสังกัด สมควรจะรับตัวกลับไปจัดการอย่างไร
เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์”สเตรตส์ ไทมส์”ของสิงคโปร์ตีพิมพ์รายงานของ”นิวยอร์ค ไทมส์”ว่า
เมื่อสี่ปีที่แล้ว สำนักงานสอบสวนกลาง เอฟบีไอ ของสหรัฐได้ขอร้องให้ใครก็ได้ช่วยระบุว่าเสียงบรรยายประกอบในวิดีโอ แพร่ภาพทหารซีเรียหลายนายกำลังขุดหลุมศพฝังตัวเองแล้วถูกยิงศีรษะทีละคนตกลงหลุมนั้นเป็นเสียงใคร เพราะมีสำเนียงแบบชาวอเมริกันภาคเหนือ และต่อมาเสียงนี้ก็ใช้ในการบรรยายอีกหลายครั้ง ผ่านผ่านวิดีโอและวิทยุของกลุ่ม”ไอเอส”ในการโฆษณาชวนเชื่อและทำสงครามจิตวิทยา
ในที่สุด ความลับนี้ ก็ถูกเปิดเผยว่าคือ “มูฮัมเม็ด คอลีฟะห์”วัย ๓๕ ปี ชาวแคนาดา ที่หลบไปเป็นพลพรรคของ”ไอเอส”เข้ารับหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ในกระทรวงสื่อสารของ”ไอเอส”ซึ่งเป็นหน่วยงานเผยแพร่คลิป ตัดคอนักข่าวอเมริกัน”จอห์น โฟเลย์”และเผาสดนักบินจอร์แดน อย่างสยองขวัญนั่นเอง
“มูฮัมเม็ด คอลีฟะห์”ผู้อพยพจากซาอุดีอาระเบียไปอยู่”โทรอนโต”เมืองใหญที่สุดของแคนาดา ตั้งแต่ยังเด็กเล็ก ถูกจับขังคุกเมื่อเดือนที่แล้ว(มกราคม) ให้สัมภาษณ์นักข่าว”นิวยอร์ก ไทมส์”ว่า”ไม่เสียใจในสิ่งที่กระทำไป”
เขาได้เรียนรู้การพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันภาคเหนือ(แบบ”แคนาดา”)จากที่ๆ เขาเติบโตมา ได้เข้าเรียนในวิชาว่าด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ก่อนจะเดินทางไปซีเรีย และได้รับแรงบรรดาลใจจากภาพการสู้รบในซีเรียผ่านทาง”ยูทูบ” ซึ่งสามารถสร้างแรงศรัทธาที่มีต่อกลุ่ม”ไอเอส”เป็นอย่างมากกับตัวเขา
อีกรายหนึ่งที่ใคร่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างในที่นี้ก็คือ“ชามิมา เบกุม”วัย ๑๙ ปี บิดามารดาเดิมทีเป็นชาวบังกลาเทศ ถูกสำนักงานมหาไทยสั่งถอนสัญชาติอังกฤษ หลังจากที่วิงวอนจากค่ายอพยพในซีเรียว่า อยากกลับมาคลอดลูกที่บ้านในอังกฤษ ซึ่งสร้างความผิดหวังแก่เธอมาก ทั้งๆ ที่เธอจะมีสิทธิอุทธรณ์ และก็ยังมีสิทธิ์ถืออีกสัญชาติหนึ่ง คือบังกลาเทศ แต่เธอไม่อยากจะไปอยู่ เพราะไม่มีหนังสือดินทางและไม่คุ้นเคยรู้จัก
“ชามิมา เบกุม”หนีไปกับเพื่อนสตรีวัยรุ่นอีกสองคน ไปร่วมขบวนการ”ไอเอส”ในซีเรียเมื่อสี่ปีที่แล้ว ตอนนั้นเธอมีอายุได้แค่ ๑๕ ปีและยังเป็นนักเรียนอยู่เลย
อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้ เธอมีเอส”ลูกมาแล้วสองคน จากการแต่งงานกับนักรบ”ไอเอส”สองคนที่ล้มหายตายจากและก็เพิ่งคลอดลูกชายคนที่ ๓ ในค่ายผู้อพยพ สามีคนปัจจุบันของเธอ คือนักรบ”ไอเอส”ชาวดัตช์ถูกจับกุมไปแล้วก่อนหน้า
เธอเคยให้สัมภาษณ์นักข่าวอังกฤษว่า ไม่เคยทำอะไรผิด หรือเป็นอันตรายต่อใครๆ ตลอดเวลาอยู่ในซีเรียเป็นเพียงแม่บ้าน อยากกลับบ้านเพื่อเลี้ยงดูลูกเพราะสะดวกกว่าและปลอดภัยกว่า
แต่ข้อเท็จริงที่เกิดขึ้นก็คือ มีอยู่ ๑๐๐ รายแล้ว ที่ถูกถอนสัญชาติอังกฤษเพราะมีหลักฐานว่ามีโยงใยกับกลุ่มก่อการร้าย
ขณะที่เขียนเรื่องนี้(๒๐กพ.)รายงานจากบีบีซีแจ้งว่า มาวบ้านติดอยู่ในหมู่บ้าน”บากุส”ราว ๒๐๐ ครอบครัวพร้อมกับกองกำลัง”ไอเอส”ไม่รู้จำนวนที่แน่ชัด
กองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย(เอสดีเอฟ)ด้วยการสนับสนุนจากการทิ้งระเบิดของสหรัฐ ขยับเข้าไปใกล้เพื่อเข้ายึดเต็มทีแล้ว
แม่ทัพ เอสดีเอฟ บอกว่านักรบ”ไอเอส”ที่นั่น ซึ่งใช้พลเรือนเป็น”โล่มนุษย์”มีสองทางเลือกจากนี้ไป คือจะยอมจำนน หรือจะยอมตายในสงคราม
ฟังแล้วสยดสยองครับ
ที่ผ่านมา มีพลเรือนอพยพหนีออกจาก”บากุส”ไปแล้วราว ๒๐,๐๐๐ คนและในจำนวนนนี้มีนักรบ”ไอเอส”ที่เป็นชาวต่างชาติแอบแฝงไปด้วย แต่มักจะถูกจับ
เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ ก็คงไม่ต้องอธิบายนะครับ ว่าการนับถือศาสนาอย่างไร้เหตุผล ไม่ศึกษาทำความเข้าใจให้ถ่องแท้นั้น นำหายนะมาสู่ชีวิตได้อย่างไร
ส่วนในบ้านเรานั้น ก็เรียนรู้มาบ้างแล้ว จากกรณี”ธรรมกาย”ที่หวัง”กินรวบ”ครอบงำพุทธศาสนาในแนวทางที่ผิดหลัก”พุทธแท้” แต่ก็ไม่น่าเชื่อ ที่มีคนหลงผิดมากมาย มากเสียจน ไม่กล้าเอา”ตัวการ”มาลงโทษ กลับปล่อยให้หนีไปเสียอย่างนั้น
ดีที่ชาวไทยนับถือศาสนาอิสลามส่วนใหญ่ ไม่คลั่งไคล้หลงเชื่อ”ไอเอส”อย่างบางกลุ่มในอินโดนีเซียครับ แต่ก็ช่วยกันระมัดระวังให้ดี ๆ ก็แล้วกัน
เช่นนี้ละครับ บทเรียน







