INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

สงครามนิวเคลียร์ในตะวันออกกลาง

คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ

ทหารประชาธิปไตย

สงครามนิวเคลียร์ในตะวันออกกลาง

นับจากวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน ที่อิสราเอลได้ลอบโจมตีอิหร่านโดยไม่ทันตั้งตัว นับเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศ แต่อิสราเอลก็อ้างว่าเป็นการโจมตีเพื่อปกป้องตนเอง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศสและเยอรมนี โดยไม่ยอมพูดถึงการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศเลย ทำให้หลักการขององค์การสหประชาชาติที่จะยึดถือเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี เพื่อผดุงไว้เพื่อสันติภาพโลกต้องพังทะลายลง แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯ และตะวันตกยึดแนวทาง 2 มาตรฐานอันทำให้เกิดความขัดแย้งในหลายภูมิภาค

ทว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน โดยการที่อิสราเอลเปิดฉากการโจมตีอิหร่าน นับเป็นการเริ่มต้นของสงครามที่มีโอกาสสูงในการขยายตัวของสงครามในภูมิภาค และนี่อาจปูทางไปสู่การเกิดสงครามนิวเคลียร์ได้ไม่ยาก

นอกจากนี้หากเกิดสงครามนิวเคลียร์ในภูมิภาค ก็มีโอกาสที่จะขยายตัวไปเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ เมื่อมีตัวเล่นเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้าแทรกแซงของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯที่เป็นผู้สนับสนุนที่สำคัญของอิสราเอล ในขณะที่อิหร่านก็มีหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรัสเซีย และเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับจีน

ปัญหาความขัดแย้งที่อิสราเอลกล่าวอ้าง คือ การกล่าวหาว่าอิหร่านกำลังจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งอิหร่านก็ยืนยันเสมอมาว่าตนเองพัฒนานิวเคลียร์เพื่อสันติ เช่น พลังงานไฟฟ้า หรือการแพทย์ และยังยอมให้องค์กรระหว่างประเทศ IAEA เข้ามาตรวจสอบ และสหรัฐฯก็ได้นำเสนอแนวทางการเจรจากับอิหร่านในเรื่องโครงการนิวเคลียร์ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว 5 ครั้ง ครั้งที่ 6 กำหนดประชุมวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2025 แต่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีก่อนในวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2025 อิหร่านจึงทำการตอบโต้ และทำสงครามกันจนถึงวันนี้ย่างเข้าวันที่ 6 โดยยังไม่มีทีท่าจะมีการผ่อนปรน หรือแนวโน้มของการหยุดยิง นอกจากการขยายตัวในการโจมตีซึ่งกันและกัน

ในขณะที่ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในอิสราเอลรวมทั้งชาวอเมริกัน ทยอยอพยพออกจากอิสราเอล รวมทั้งชาวอิสราเอลจำนวนหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ในอิสราเอลเริ่มเข้าสู่ความคับขัน เสียหายจำนวนมาก จากการโจมตีด้วยขีปนาวุธจากอิหร่านที่ยังโจมตีอย่างต่อเนื่อง ด้วยขีปนาวุธที่ทันสมัยเพิ่มมากขึ้น

ขณะเดียวกันท่ามกลางการโจมตีด้วยฝูงบิน F-35I ของอิสราเอลที่เริ่มกระจุกตัวในเทหะราน แทนการกระจายการโจมตีที่กระจายไปในภูมิภาคต่างๆ แสดงให้เห็นข้อจำกัดของอิสราเอล ในกำลังรบที่อาจถูกทำลายลงจากการโจมตีของอิหร่าน

ต่อมาประธานาธิบดีทรัมป์ก็โพสต์ใน Social Media ของตนว่าให้ประชาชนชาวอิหร่านอพยพออกจากเทหะรานให้หมด ทำให้เกิดประเด็นคำถามว่าทรัมป์มีวัตถุประสงค์อะไร บ้างก็ตีความว่าสหรัฐฯจะร่วมกับอิสราเอลโจมตีอิหร่าน หรือทรัมป์รู้มาว่าอิสราเอลจะเปิดฉากโจมตีใหญ่ต่อเทหะราน ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะมีการใช้ระเบิดนิวเคลียร์

นอกจากนี้ทางฝ่ายเนทันยาฮู ของอิสราเอล ยังประกาศว่าหนทางเดียวที่จะยุติสงครามได้คือการสังหารผู้นำสูงสุดของอิหร่าน คือ อยาตุลลอฮ์ อาลี คามาเนอี ซึ่งอาจมีช่องทาง 2 ช่องทาง คือ ลอบสังหารโดยตรงจากหน่วยมอดสาด หรือการใช้ระเบิดบังเกอร์และ/หรือ ระเบิดนิวเคลียร์ทำลายเทหะรานก็ได้

ส่วนสหรัฐฯก็ได้ส่งกองกำลังทางเรือไปเสริมในตะวันออกกลาง เช่น ส่งกองเรือนำขบวนโดยเรือบรรทุกเครื่องบินนิมิต ไปสมทบกับกองเรือที่นำโดยเรือบรรทุกเครื่องบินคาร์ล วินสันพร้อมเครื่องบินบี2 ที่อยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางอยู่แล้ว ทำให้มองได้ว่าสหรัฐฯอาจร่วมกับอิสราเอลโจมตีอิหร่าน

ในแง่มุมที่อิสราเอลอ้างว่าการโจมตีอิหร่าน โดยเฉพาะการเน้นการโจมตีโครงการนิวเคลียร์เพื่อสันติของอิหร่าน เป็นการป้องกันตนเอง เพื่อมิให้อิหร่านมีการพัฒนาไปสู่การผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ก็นับว่าเป็นเรื่องไร้เหตุผลสิ้นดี ในเมื่ออิสราเอลนั้นมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่จำนวนมาก และพร้อมใช้อาวุธเหล่านั้น

จากข้อมูลปัจจุบันอิสราเอลมีอาวุธนิวเคลียร์ประมาณ 90-200 ลูก และมีการพัฒนาแร่พลูโตเนียมเพียงพอที่จะทำอาวุธนิวเคลียร์อีก 100-200 ลูก และยังมีหลักฐานยืนยันว่าอิสราเอลมีความสามารถในการปล่อยอาวุธนิวเคลียร์ ด้วยขีปนาวุธใต้น้ำหรือขีปนาวุธเจอริโกตลอดจนเครื่องบินทิ้งระเบิด

อนึ่งอิสราเอลมีเงื่อนไขสำหรับการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ในกรณีที่การรบด้วยอาวุธธรรมดาเพลี่ยงพล้ำ เช่น การถูกรุกขนาดใหญ่จนอาจพ่ายแพ้ หรือมีความเสี่ยงต่อความล่มสลาย ตามหลักการที่เรียกว่า “Samson Option”

ตามการประเมินสถานการณ์หากสงครามยังคงยืดเยื้อต่อไป ก็มีแนวโน้มว่าอิสราเอลมีโอกาสพ่ายแพ้สูง เพราะที่ผ่านมาอิสราเอลไม่สามารถทำลายคลังขีปนาวุธ และโดรนของอิหร่านได้อย่างเป็นนัยสำคัญ และอิหร่านยังคงดำเนินการโจมตีอิสราเอลอย่างต่อเนื่องแม้จะลดจำนวนลง

อนึ่งอิสราเอลมีพื้นที่เล็กและจำกัด จึงไม่อาจแบกรับการโจมตีแบบปูพรมของอิหร่านได้ ในขณะที่อิหร่านมีพื้นที่กว้างใหญ่ยากที่อิสราเอลจะโจมตีได้ทั่วถึง

ที่สำคัญสถานะทางเศรษฐกิจของอิสราเอล กำลังย่ำแย่ ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือของสหรัฐฯเป็นหลัก ซึ่งค่อนข้างเสี่ยงเพราะสภาพภายในของสหรัฐฯ แม้สภาทั้ง 2 จะสนับสนุน แต่ประชาชนอาจลุกฮือประท้วงรัฐบาล เพราะปัญหาเศรษฐกิจและไม่พอใจการเผด็จการของทรัมป์ที่กำลังก่อตัวสูงขึ้นทุกขณะประกอบกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็กำลังง่อนแง่น จากการเป็นหนี้สาธารณะจำนวนมาก และยังคงทำงบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้นอีกมากจาก “BIG BEAUTIFUL BILL” ของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ต้องขายพันธบัตรมาใช้จ่ายจำนวนมาก ร่วมกับการเกิดภาระเงินเฟ้อจน FED ต้องขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งนั่นคือปัญหาใหญ่ทางเศรษฐกิจจนประชาชนต้องลุกฮือต่อต้าน

ในด้านอิหร่าน แม้ยังไม่ปรากฏว่าอิหร่านจะมีอาวุธนิวเคลียร์ แต่อิหร่านก็มีศักยภาพในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ในเวลาไม่นาน

ทว่าเฉพาะหน้าปากีสถานประกาศว่าหากอิหร่านถูกโจมตีโดยอาวุธนิวเคลียร์ ปากีสถานที่มีอาวุธนิวเคลียร์จะโจมตีอิสราเอล นอกจากนี้เกาหลีเหนือก็ประกาศสนับสนุนอิหร่าน ซึ่งต้องไม่ลืมว่าปากีสถานมีจีนหนุนหลัง และเกาหลีเหนือมีรัสเซียหนุนหลังแต่ก็อย่าหวังมากนัก

ส่วนชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และอินเดีย ก็มีอาวุธนิวเคลียร์ และเบื้องต้นก็มีท่าทีสนับสนุนอิสราเอล

ที่สำคัญอิหร่านนอกจากจะเป็นปราการสุดท้าย ที่จะขัดขวางการรุกรานของอิสราเอล และสหรัฐฯในตะวันออกกลางแล้ว ยังเป็นปราการด่านหน้าในการช่วยรัสเซีย และจีนในการป้องกันการรุกของสหรัฐฯ และตะวันตกเข้าไปในยูเรเชีย อันจะทำให้ความมั่นคงของทั้งจีน-รัสเซีย ต้องสั่นคลอน ตามทฤษฎีภูมิรัฐศาสตร์ของแมคคินเดอร์ที่ว่าใครครองพื้นที่นี้จะเป็นผู้ครองโลก

ในขณะที่ทฤษฎี Rim Land ของสไปด์ ที่กล่าวว่าใครครองทะเลก็จะครองโลก ที่ทำให้ในปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นเจ้าโลกอยู่แต่เริ่มถูกท้าทายจึงต้องการครองทั้งบนบกและทะเล เพื่อรักษาความเป็นเจ้าโลกต่อไป

นี่คือเป้าหมาย Make America Great Again แต่เบื้องลึกคือนำไปสู่การสร้างสงครามเพื่อล้างหนี้นั่นเอง

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *