สบาย สบาย สไตล์เกษม: เมื่อไรผู้นำไทยจะมองปัญหาได้อย่าง“ทรัมพ์”

สบาย สบาย สไตล์เกษม
เมื่อไรผู้นำไทยจะมองปัญหาได้อย่าง“ทรัมพ์”
เกษม อัชฌาสัย
ดีจริงๆ ครับสำหรับสหรัฐ กรณีศาลสูง ชี้ขาดด้วยเสียง ๕ ต่อ ๔ ให้คำสั่งบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐ(“โดนัลด์ ทรัมพ์”)ห้ามชาวมุสลิมจากห้าชาติกับจากชาติที่มิใช่มุสลิมอีกสองชาติเข้าประเทศ โดยจะนำคำสั่งนี้มาบังคับใช้ได้ราวเดือนธันวาคม เป็นต้นไป
ขาวมุสลิมจากชาติที่นับถือศาสนาอิสลามที่ว่า ได้แก่ ซีเรีย อิหร่าน ลิเบีย เยเมนและโซมาเลียและก็มีอีกสองชาติที่มิใช่อิสลามถูกห้ามไปด้วยคือเกาหลีเหนือและเวเนซูเอลา ซึ่งไม่เข้าใจ ณ บัดเดี๋ยวนี้ว่า ทำไมจึงต้องโดนด้วย เพราะสองประเทศนี้ไม่น่าจะมีมุสลิมอาศัยอยู่
หรือว่า”ทรัมพ์”มีเหตุผลอื่นๆ ที่ต้องออกคำสั่งห้ามสองชาติ ซึ่งจะพยายามจะหาคำตอบ มาอธิบายให้ทราบ ในโอกาสต่อไป
ที่ว่าดีสำหรับคนอเมริกันนั้น ก็เพราะคำสั่งนี้เป็นไปตามหนึ่งในนโยบายหาเสียงของ”ทรัมพ์”ซึ่งชนะเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศได้ สะท้อนถึงความพยายามปฏิบัติตามผู้มีสิทธิออกเสียงส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยของชาวอเมริกัน ว่า”ชิงชัง”มุสลิมเพียงไร นับตั้งแต่ถูกโจมตีด้วยการก่อการร้ายซึ่งสหรัฐอ้างว่าเป็นฝีมือของกลุ่ม”อัล กออิดะห์” ซึ่งมี”อูซามะ บิน ลาดิน”เป็นหัวหน้า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๔
แต่การที่ศาลสูงมีคำสั่งล่าสุด ก็ถูกผู้อพยพและนักสิทธิมนุษยชนโจมตีว่า ขัดกับหลักรัฐธรรมนูญ ไม่เช่นนั้น ๔ ใน ๙ ของเสียงในคณะตุลาการศาลสูงคงไม่โหวตค้าน
คงจะจำกันได้นะครับว่า“ทรัมพ์”ได้ลงนามใช้คำสั่งของฝ่ายบริหารเมื่อเดือนเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้วและอีกคำสั่งหนึ่ง(ที่ใช้แทนคำสั่งแรก)เมื่อเดือนมีนาคมปีเดียวกัน ห้ามมุสลิมจากหลายชาติในตะวันออกกลางและอาฟริกาตะวันออก เข้าประเทศชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่า ชาติเหล่านั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิก่อการร้าย
ถือเป็นการท้าทายศาลที่ใช้อำนาจตุลาการ ระงับการปฏิบัติตามคำสั่งฝ่ายบริหารดังกล่าว ซึ่งสร้างความปั่นปวนไปทั่ว(ในระดับผู้ปฏิบัติการ) เพราะถือว่าคำสั่ง”ทรัมพ์”ละเมิดรัฐธรรมนูญ แถมยังทำให้ชาวอเมริกันที่นับถืออิสลามเองและมีญาติพี่น้องอยู่ในประเทศที่เกี่ยวข้อง ต้องพากันเดือดร้อน เพราะญาติพี่น้องไม่สามารถเข้าอเมริกาได้ นักเดินทางหลายรายไปติดค้างอยู่ตามท่าอากาศยานของสหรัฐและอีกหลายรายต้องเดินทางกลับชาติต้นทาง
ขณะที่เสียงต่อต้านมาตรการนี้ ก็ดังระงมไปทั่วโลกและถูกประณาม ฐานทำลายสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
คำตัดสินของศาลสูงครั้งล่าสุด เมื่อวันอังคาร(๒๖มิย.)ที่ผ่านมา ทำให้”ทรัมพ์”ดีใจมาก เขาแถลงว่า นี่คือ”ชัยชนะ”อันยิ่งใหญ่ของคนอเมริกันและรัฐธรรมนูญสหรัฐ และว่าสหรัฐต้องเข้มแข็งต่อความมั่นคงปลอดภัย แม้ทางสมาคมมุสลิมและรัฐฮาวาย ร้องเรียนว่านั่นเป็นการกระทำที่ขัดกับมาตรา ๑ แห่งรัฐธรรมนูญอเมริกัน
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดในการปฏิบัตินั้น บ่งชี้ว่าคำสั่งนี้ไม่ใช่การ”เหวี่ยงแห”แบบส่งเดช แต่บังคับใช้เฉพาะในแต่ละราย โดยผู้ที่ถูกบังคับใช้ระเบียบไม่ให้เข้าประเทศ สามารถอุทธรณ์ยกเลิกการบังคับใช้ได้ ด้วยการร้องเรียนผ่านทนายความ ซึ่งจะต้องมีการว่าจ้าง ซึ่งหมายความว่า ผู้อพยพที่ไม่มีเงินว่าจ้างทนาย ก็จะไม่มีทางเดินทางเข้าสหรัฐ เท่ากับเป็นการป้องกันการอพยพลี้ภัยด้วย
วิธีการเช่นนี้ เท่ากับเป็นการสกัดกั้น ผู้อพยพที่ไม่สหรัฐปราถนา ไม่ให้เข้าไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐโดยตรง ในขณะที่ทางการกำลังขะมักเขม้น”ส่งกลับ”ผู้อพยพ ซึ่งหลบหนีเข้าเมือง โดยเฉพาะผู้คนจากชาติละตินอเมริกากลับบ้านเกิด แม้จะสร้างปัญหาการ”พรากครอบครัว”ส่งให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน จน”ทรัมพ์” ต้องแก้ไขใช้วิธีการใหม่ ให้นุ่มนวลกว่าเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงเสียงตำหนิติเตียน
วิธีการของรัฐบาล”ทรัมพ์”เพื่อแก้ไขปัญหาก่อการร้ายและปัญหาการหลบหนีเข้าเมืองคราวนี้แล้ว หากพิจารณาโดยไร้อคติ ก็จะเห็นว่า”กระทำอย่างถูกต้อง” ในแง่ของการบริหาร การปกครองและการักษาความมั่นคงของชาติ
เพราะถ้าไม่เอาจริงและไม่เด็ดขาด ก็จะแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้เลย โดยเฉพาะปัญหาการแย่งตำแหน่งงานในประเทศ
ยกเว้นแต่ปัญหาเดียวคือ การต่อต้านมุสลิมซึ่งกระทำอย่างโจ๋งครึ่ม โดยอ้างความมั่นคงปลอดภัยของชาติซึ่งพบว่า กระทำด้วยอคติ ด้วยความเกลียดชัง
มากกว่าการกระทำเพื่อป้องกัน ความมั่นคงจริงๆ
เพราะจะพบว่า ความรุนแรงในลักษณะการก่อการร้าย มาจากภายใน มากกว่าจากภายนอก โดยเฉพาะตามสถาบันการศึกษา
ในฐานะที่ไทยเอง มีแรงงานอพยพเข้ามาทำงานอย่างถูกต้องและไม่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่ในเวลานี้ ด้วยจำนวนที่น่าตระหนก
ถามว่าจะทำอย่างไร หาก”ในวันหนึ่ง”คนไทยถูกแย่งแหน่งงานมาก ๆ จนไม่มีอะไรจะทำ ขณะที่มีแรงงานต่างชาติจำนวนมาก เข้ามาใช้บริการสาธารณะต่างๆ เช่นเดียวกับคนไทยเจ้าของประเทศเพิ่มขึ้น โดยเวลานี้มีแรงงานต่างชาติและครอบครัวอยู่ในไทยราว ๔-๕ ล้านคน (ตัวเลขที่ไม่เป็นทางการ)
ซึ่งทำให้ภาครัฐ ต้องเพิ่มงบประมาณและในการบริหาร ไปมากน้อยแค่ไหน ไม่มีใครรู้
ถามว่ามีใคร เคยคำนวณตัวเลขค่าใช้จ่ายส่วนเกิน ในกรณีเช่นนี้ ได้อย่างถูกต้องบ้าง
พร้อมกับเคยมองหรือไม่ว่าว่า สภาวะแรงงานอพยพในไทยในปัจจุบัน สามารถคุกคามความมั่นคงของชาติได้หรือไม่เพียงไร ทั้งๆที่เคยส่งสัญญานอันตรายมาครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งนปช.เรืองอิทธิพลในสมัยรัฐบาล”ยิ่งลักษณ์”
แต่ดูเหมือนจะลืมๆ กันไปหมดแล้ว
หากผู้นำไทยในตอนนั้น พยายามแก้ไขปัญหาคนงานอพยพ ล้นประเทศ โดยเอา”ทรัมพ์”มาเป็นต้นแบบ ก็คงจะไม่มีเวลาแก้ไขได้ทัน ไม่ว่าจะในแง่ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความมั่นคง
เพราะในเวลานี้ รัฐบาลไม่เคย ได้รับคำเตือนจากฝ่ายไหนเลย







