มาพูดเรื่องประชาธิปไตย-เผด็จการ (ที่บางคนติดใจ) กันหน่อย
ที่มาของเรื่องนี้ก็เริ่มจากการที่ ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ได้เข้าร่วมงานประชุมทางวิชาการ กับการจัดโปรแกรม “เติมชีวิตคืนชีวาให้ประชาธิปไตย” ของสถาบันพระปกเกล้า และมีสื่อหลายฉบับได้นำเนื้อความมาลงใน นสพ.ของตน และในที่สุดก็มีคอลัมน์นิสต์ท่านหนึ่งที่ถือว่าเป็นกระบี่มือหนึ่งในขณะนี้ คือคุณเปลว สีเงิน ได้เขียนบทความวิจารณ์เนื้อความที่ ศ.ดร.สุรชาติ บรรยาย ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะขอร่วมเสวนาด้วยคน ทั้งนี้โดยจะเริ่มจากเนื้อความบางตอนของอาจารย์สุรชาติ ดังต่อไปนี้
“วันนี้โจทย์ใหญ่คือทำไมชนชั้นกลางไม่เอาประชาธิปไตยวันนี้อย่าฝันเกินจริง ด้วยอุดมคติที่สุดโต่งและเชื่อว่าจะสามารถสร้างประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบได้ ผมเรียกร้องให้เป็นช่างซ่อมถ้าซ่อมได้จะช่วยสร้างอนาคตให้ประเทศได้” อาจารย์สุรชาติยังมองต่อไปว่าท่านไม่เชื่อว่าการรัฐประหารเป็นการเปลี่ยนผ่านและจะนำไปสู่การสร้างประชาธิปไตย เพราะรัฐประหารโดยทหารก็จะสร้างรัฐบาลทหารและเป็นเผด็จการทหาร”
นอกจากนี้อาจารย์ยังมองว่าสถานการณ์ของเมืองไทยที่ผ่านมาคือ มีเลือกตั้ง แล้วก็มีประชาธิปไตย แล้วก็ยึดอำนาจเป็นอย่างนี้สลับกันไปมา การเมืองไทยจึงมีลักษณะก้าวหน้าถอยหลัง นอกจากนี้อาจารย์สุรชาติ ยังระบุว่าชนชั้นกลางไม่เอาประชาธิปไตย แต่ก็มองว่าเป็นการแสดงออกที่ต่อต้านประเทศตะวันตก
ในขณะที่คอลัมนิสต์ระดับพระกาฬมองว่า “คนชั้นกลางเอาประชาธิปไตย แต่ต้องเปลี่ยนคนสอนใหม่ ไม่ใช่อาจารย์แบบเดียวกับ ดร.สุรชาติ ส่วนในประเด็นที่อาจารย์สุรชาติบอกว่าสังคมโลกเปลี่ยน สังคมไทยก็เปลี่ยนและกำลังจะสร้างระบอบลูกผสม (ประชาธิปไตยแบบไทยๆ) อาจารย์มองว่าตรงนี้ให้ช่วยกันซ่อมให้มีน้ำหนักประชาธิปไตยมากขึ้น
ประเด็นนี้คุณเปลว มองว่าสังคมไทยยังเหมือนเดิม ละครน้ำเน่า เรื่องเอาแล้วหย่า เรื่องดราม่าการเมือง กระทั่งเรื่องมึงกราบรถกู ยังถูกจริต ฮิตง่าย ขายได้ ในสังคมตายตัวท่ามกลางสังคมโลกที่หมุนจี๋ พร้อมกันนี้ก็อ้างว่า ประชาธิปไตยเป็นตัวสร้างรัฐประหารมาตลอด คุณเปลวยังเชื่อว่าเผด็จการเข้ามาเพื่อสกัดโกงล้างชั่ว ส่วนประชาธิปไตยนั้นมีแต่โกงกิน
อนึ่งคุณเปลวยังมองว่า ประชาธิปไตยเลือกตั้งนั้นปกครองประเทศมามากกว่า แต่ทำประเทศล่มจมเสียหาย ที่สำคัญประชาชนอ่อนแอลง ทั้งด้านวิสัยทัศน์และโลกทัศน์ ไม่ว่าวิถีชีวิตความเป็นอยู่รวมถึงทัศนคติ-ความคิดต่อรากฐานมนุษย์ ซึ่งแต่เดิมเคยพึ่งพาตนเองได้ และเป็นชาติมีศีลมีสัตย์
ดังนั้นคุณเปลวจึงมองว่าระบอบอะไรก็ไม่สำคัญ แต่มันอยู่ที่ผู้บริหารที่มีความซื่อสัตย์จริงใจ แล้วจะทำให้ประชาชนมีความสุข-ด้วยพอใจ ทุกข์-ด้วยเข้าใจ บนฐานเหตุ-ปัจจัย
นับว่าความเห็นเป็นขั้วตรงข้าม ซึ่งมีที่มาจากการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่ตรงกันข้าม เพราะคุณเปลวไม่เอาทักษิณ แต่อาจารย์สุรชาติเคยไปช่วยงานทักษิณ จนรัฐบาลถูกรัฐประหารเมื่อปี 2549 และก่อนจะเขียนต่อไปขอยืนยันว่าประเทศไทยไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตยเลยตั้งแต่พ.ศ.2475 จนปัจจุบัน ดังนั้นถ้าฐานความคิดที่ขัดแย้งเพราะเลือกข้างอย่างนี้ เมืองไทยก็ยากที่จะสามัคคีปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ เพราะสังคมไทยไม่ได้เรียนรู้ถึงความคิดที่แตกต่าง แต่จะไปปนเปกันในทางอารมณ์และถือเป็นความแตกแยก แบ่งแยกกันสุดขั้ว ถ้าเป็นอยู่อย่างนี้ สะสมความรู้สึกกันอย่างนี้สุดท้ายต้องจลาจล ฆ่ากันตายเป็นเบือ เพื่อกำจัดอีกฝ่ายให้สิ้นซาก ทั้งๆที่ส่วนใหญ่ที่ล้มตายก็คือคนระดับล่างและบางส่วนของระดับกลาง ไม่ใช่คนชั้นปกครอง หรือนายทุนใหญ่ แต่ก็เป็นคนไทยด้วยกัน
ในเรื่องประชาธิปไตยผู้เขียนมองว่าทั้งสองท่านอาจจะมองแบบผิวเผิน เพราะไปโยงประชาธิปไตยกับการเลือกตั้งว่าเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ในความเป็นจริง แม้ว่าระบอบประชาธิปไตยต้องมีการเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งไม่อาจเป็นหลักประกันได้ว่า การปกครองจะเป็นประชาธิปไตย ตัวอย่างมีในหลายประเทศ เช่น ในกลุ่มประเทศในอเมริกาใต้ หรือแม้แต่ประเทศจีนที่ใช้ระบอบคอมมิวนิสต์ก็มีการเลือกตั้ง การผสมปนเปอย่างนี้ทำให้คนชั้นกลางปฏิเสธระบอบประชาธิปไตย ประกอบกับชนชั้นกลาง เจนฯเอ็กซ์และเจนฯวาย ส่วนหนึ่งยังนิยมชมชอบละครน้ำเน่า การใช้อารมณ์ตัดสินใจ ทำให้ง่ายต่อการมอมเมาของผู้ปกครองไม่ว่าจะมีที่มาอย่างไร เลือกตั้ง หรือรัฐประหาร
อีกประการหนึ่งก็คือเลือกตั้งหรือรัฐประหารก็ไม่มีหลักประกันว่าจะไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ประเด็นเพิ่มเติมก็คือประชาชนส่วนใหญ่ถูกทำให้เชื่อว่าถ้ามีรัฐธรรมนูญ นั่นคือมีประชาธิปไตย แต่ความเป็นจริงรัฐธรรมนูญนั้นทำให้เป็นได้ทั้งเผด็จการหรือประชาธิปไตย มันขึ้นกับจิตวิญญาณของผู้ปกครอง
พลเรือนที่เข้ามาปกครองผ่านการเลือกตั้ง โดยใช้เงินตราซื้อสิทธิ-ขายเสียง สร้างระบอบประชานิยมเพื่อสร้างระบบทาสให้ประชาชน มอมเมาในลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งเอื้อประโยชน์แก่นายทุน ย่อมสร้างระบอบเผด็จการรัฐสภา ที่มีนายทุนหนุนหลัง หรือออกหน้าก็แล้วแต่ ระบบเศรษฐกิจจึงเป็นระบบทุนนิยมผูกขาด และเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่นกระจัดกระจาย
ทหารที่ขึ้นมาจากการรัฐประการก็ถูกอบรมมาตั้งแต่น้อยสู่ใหญ่ให้ซึมซับในระบบอำนาจนิยม และเผด็จการที่สอดรับกับการประกอบอาชีพทหาร เมื่อมามีอำนาจปกครองก็จะยึดมั่นในเบื้องลึกของความเป็นเผด็จการ และที่สำคัญไม่เข้าใจ และไม่อาจยอมรับระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นการยากมากๆที่การรัฐประการจะสร้างระบอบประชาธิปไตย ผู้เขียนบอกว่ายาก แต่มิได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ทั้งนี้มันจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อกองทัพได้ถูกปลูกฝังจิตวิญญาณประชาธิปไตย และเข้าใจบริบทของกองทัพ ในการเป็น INPUT ไม่ใช่ OUTPUT นั่นคือ กองทัพต้องเป็นหลักในการค้ำจุนระบอบประชาธิปไตย และต้องไม่ขึ้นมาเป็นผู้ปกครองเสียเอง เพราะนั่นคือการทำลายระบอบประชาธิปไตย โดยที่ไม่อาจอ้างได้ว่าเพื่อมาสร้างประชาธิปไตย นอกจากนี้ระบอบเผด็จการทหารมีแนวโน้มของการคอร์รัปชั่นแบบรวมศูนย์อยู่มาก
อย่างไรก็ตามการที่กองทัพมีหน้าที่ในการคุ้มครองระบอบประชาธิปไตย หากรัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตย กองทัพก็ต้องเชิญรับบาลนั้นออก โดยการรัฐประหาร แล้วร่วมกับประชาชนสถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่
ประการสุดท้ายการสร้างประชาธิปไตยต้องใช้เวลาและต้องมีการให้ความรู้ การอบรมบ่มนิสัย โดยเฉพาะมุ่งเน้นที่ชนชั้นกลาง เพราะเขาเหล่านี้คือรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ถ้าคนชั้นกลางรู้จักหน้าที่ มีความรับผิดชอบทั้งต่อตัวเองและต่อสังคมโดยรวม ไม่งมงาย ใช้เหตุ-ผล เข้าใจถึงเหตุ-ปัจจัย มีจริยธรรม ศีลธรรมสูงขึ้น เราจะได้ระบอบประชาธิปไตยที่มีคุณธรรม ไม่เบียดเบียนตนเอง และไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ทำไมต้องเน้นชนชั้นกลาง เพราะเขาเหล่านั้นมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ไม่รวย ไม่จน จึงพอเข้าใจสภาพของคนทั้งสองสถานะ คือคนรวยและคนจน ด้วยคนรวยก็จะสนใจแต่การแสวงหาความมั่งคั่ง และยึดติดกับวัตถุนิยม จนอาจละเลยถึงศีลธรรม ความถูกต้อง และความยุติธรรม ส่วนคนจนนั้นวันๆก็เป็นห่วงใยแต่เรื่องจะหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องจนไม่ได้สนใจอะไร แม้แต่สภาพความเป็นไปของสังคม คือ หากินจนไม่มีเวลาคิด จึงมักถูกใช้เป็นเครื่องมือ
อนึ่งชนชั้นกลางโดยปกติจะมีการศึกษาในระดับดีพอควร จึงไม่ยากต่อการให้การอบรมบ่มนิสัยให้เข้าใจถึงสิทธิและหน้าที่ มีวินัยตลอดจนคุณธรรม จริยธรรม และเราก็จะให้ชนชั้นกลางนี่แหละเป็นหัวหอก สถาปนาระบอบประชาธิปไตย ที่มีธรรมาภิบาล แต่ถ้าคนชั้นกลางยังเป็นอยู่อย่างในปัจจุบัน เพลินกับละครน้ำเน่า เม้าท์กันแต่เรื่องความผิดของคนอื่น โดยไม่สนใจหรือพยายามเข้าใจแก่นแท้ของประชาธิปไตย เราก็ไม่มีวันจะได้ประชาธิปไตยและหากมีการเลือกตั้ง เกรงว่ามันจะเกิดระบอบโจราธิปไตย คือมือใครยาวสาวได้สาวเอา คนชั้นล่างก็จะขายเสียงหรือรับสิ่งตอบแทนจากการออกเสียง เพราะมันคือสิ่งใกล้ตัวที่เขาจะได้
ดังนั้นหากรัฐบาลจริงใจ และจริงจังที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตยก็ต้องให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน โดยเฉพาะคนชั้นกลาง และถ้าไม่ทำในขณะที่โลกเปลี่ยนแปลง มันจะเกิดแรงกระทบรุนแรงจากแรงเหวี่ยงของโลก เพราะขณะนี้สังคมมันเปิดเราอยู่ในยุคโลกาภิวัตน์ และระบบดิจิตอล
Facebook Comments










