คุณูปการลัทธิซูฟี (Sufism)ที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึง

คุณูปการลัทธิซูฟี (Sufism)ที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึง
ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน
ศูนย์อิสลามศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
มีบางมุมที่นักเขียนโลกตะวันตกและรวมไปถึงโลกอิสลามเองไม่ค่อยจะกล่าวถึงหรือค่อนข้างจะพูดถึงบทบาทของลัทธิซูฟีน้อยมาก นั่นคือบทบาทของนักซูฟีต่อการเผยแผ่อิสลามและการอยู่ร่วมกับศาสนิกอื่นได้อย่างน่าทึ่งและน่าสนใจ ทั้งๆที่พลังดึงดูดของลัทธิซูฟีถึงกับทำให้ผู้คนจำนวนมากทั้งในอดีตและปัจจุบันหันมาศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับอิสลามหรือบางคนถึงกับยอมเปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาอิสลามเลยทีเดียว เนื่องจากวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของซูฟีชน รวมไปถึงคำสอนที่น่าสนใจและน่าสืบค้น นั่นก็คือเป็นคำสอนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง สอนให้รู้จักตัวเอง สอนให้เข้าใจตัวตน และมีเป้าหมายสูงสุดคือพระเจ้า โดยปรารถนามุ่งเน้นให้ตัวเองบรรลุสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ โดยการผ่านกระบวนการแห่งการปฏิบัติธรรม
บทบาทซูฟีชนได้เคยสร้างตำนานไว้น่าสนใจในอินเดียโดยการทำหน้าที่เผยแผ่อิสลามแก่ชาวฮินดู ประวัติศาสตร์ได้บับทึกว่าการยอมรับอิสลามของชาวอินเดีย(ที่เป็นชาวฮินดู) โดยเหตุผลของการยอมรับอิสลามของพวกเขาไม่ใช่ได้มาจากการเป็นเชลยหรือมุสลิมมีอำนาจเหนือทางการเมืองอะไรทำนองนั้น แต่ทว่าด้วยกับความงดงามและคุณค่าทางคำสอนของสำนักซูฟีที่เข้าไปมีบทบาทต่อชาวฮินดู ไม่ว่าจากบทบาทของสำนักญัชนียะฮ สำนักกุบรอวียะฮ์ หรือสำนักนักชะบันดียะฮ นักซูฟีในอินเดียยังได้สร้างภาพลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างประนีประนอมและสมานฉันท์และยอมรับหลักความเป็นพหุวัฒนธรรม และด้วยกับความละเอียดอ่อนของคำสอนและรูปแบบที่เป็นอัตลักษณ์ของสำนักซูฟี ทำให้ศาสนาสิกข์เกิดความนิยมในลัทธิซูฟี ถึงกับมีบางคนกล่าวว่าบางคำสอนในศาสนาสิกข์ ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิซูฟีมุสลิมเลยทีเดียว( ตารีกตะซัววุฟอิสลาม ดร. อับดุรเราะฮบัดวี หน้า 46)
หรืออีกบทบาทหนึ่งของซูฟีมุสลิม คือการปกป้องมาตุภูมิจากการรุกรานของจักรวรรดินิยมตะวันตก พวกเขาได้จับดาบจับปืน หรือเดินเข้าสู่สมรภูมิรบเหมือนดั่งนักรบผู้กล้า เช่นบทบาทของนักซูฟีในประเทศตูนีเซีย ที่อาสาในการปกป้องประเทศชาติโดยการออกไปสู่สมรภูมิรบ หรือในประเทศซีเรีย นูรุดดีน ซันกี ปี ค.ศ. 1148 หรืออิบนุอะรอบี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในทางการเมืองและการต่อสู้ในสงครามครูเสดมาแล้ว
อิมามฆอซาลีหลังจากที่ได้ละทิ้งตำแหน่งทางการเมือง แล้วมุ่งสู่การพัฒนาจิตเข้าหาความเป็นซูฟี เขาได้กล่าวประโยคหนึ่งที่น่าทึ่งว่า…
“ในขณะที่ฉันได้ปลีกวิเวกอยู่อย่างโดเดี่ยวนั้น ฉันได้เห็นและประจักษ์สิ่งต่าง ๆ มากมายที่เป็นความรู้ ซึ่งสิ่งที่ฉันเห็นนั้น จะอาศัยการร่ำเรียนหรือใช้เหตุผลนั้นย่อมไม่มีทางเกิด และการที่จะให้บุคคลอื่นรับรู้สิ่งที่ฉันเห็นนั้น ได้แค่เพียงเตือนหรือบอกกล่าวเขาแค่นั้น ซึ่งฉันจะบอกว่า แท้จริงฉันได้มั่นใจแล้วในทางแห่งสัจธรรมในการค้นหาความจริง คือการดำเนินตามแนวทางแห่งซูฟี แบบฉบับของพวกเขาดีที่สุด และทางของพวกเขาเร็วกว่าหนทางอื่น ๆ มารยาทพวกเขาที่ดีกว่ามารยาทของกลุ่มอื่น ๆ ดังนั้นต่อให้นักปรัชญา นักเทววิทยาจะพยายามสักเท่าไหร่ในการจะไปถึงความจริงแท้เหมือนกับพวกเขา ก็ไม่มีทางจะเหมือนกับพวกเขาได้เลย และจากคำสอน การเป็นอยู่ วิถีแห่งธรรมะของพวกซูฟีได้รับจากรัศมีแห่งศาสดา ดังนั้นจึงไม่มีหนทางใดมาเปรียบกับพวกเขาได้เลย”
มุลลาศ็อดรอ(นักปรัชญามุสลิมชื่อดังนิกายชีอะฮ์ ) กล่าวว่า…
“หนทางการประจักษ์แจ้ง(อาริฟ)ต่อพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นองค์สัมบูรณ์สูงสุด นั่นคือการมอบให้รับรู้ความจริงด้วยการเห็นแจ้งแห่งจิตเทวา ซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธสิ่งนั้นได้เลย และถือว่าไม่มีคุณค่าใดๆอื่นอีกจะเทียบเท่ากับการได้รับพรอันประเสริฐนั้นจากพระเจ้าในการเข้าถึงความจริงด้วยกับการเห็นแจ้งทางจิต ซึ่งทำให้ฉันรู้แจ้งเห็นจริง ได้ประจักษ์เห็นความลี้ลับต่าง ๆ และรัศมีต่าง ๆ ซึ่งในขณะที่บุคคลอื่นยังไม่ได้รับรู้รับเห็นสิ่งนั้นมาก่อนเลย” (มุก๊อดดีมะฮ อิกมะตุลมุตะอาลียะฮ เล่ม 1 หน้า
ลัทธิซูฟีกับกระแสโลกปัจจุบัน
ความน่าสนใจต่อลัทธิซูฟีหรือกลุ่มนิยมความลี้ลับในโลกอิสลามวันนี้ได้กลายเป็นกระแสพลังดึงดูดต่อนักวิชาการมากทีเดียว เพราะว่ามรดกที่พวกเขาทิ้งไว้นั้นคือการแสวงหาการชำระตนเอง นักวิชาการบางคนได้นิยามลัทธิซูฟี ว่าคือบุคคลที่บรรลุธรรมและเข้าถึงภาวะการรู้แจ้งเห็นจริงทางจิตวิญญาณ คือการเข้าถึงสัจธรรมด้วยรหัสยะนัย กอร์ปกับยึดหลักปรัชญาที่สามารถอธิบายต่อปรากฏการณ์ที่พวกเขาได้พบเจอได้ ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านั้นถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของผู้มีอารยธรรมและถือว่ามีอยู่ในทุกๆศาสนา
แนวคิดลัทธิซูฟีตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแสวงหาการรู้จักองค์สัมบูรณ์เจ้า แสวงหาความรัก แสวงหาความเอื้ออาทรสูงสุดจากพระเจ้าเพียงผู้เดียว เป็นการแสดงออกที่งดงามตามวิถีแห่งรัก โดยปราศจากการคำนวณหรือการต่อรองใดๆ แต่เป็นการให้เข้าถึงพระเจ้าโดยแท้ที่ปรากฏขึ้นทางในและทางจิตวิญญาณ
แนวคิดแบบซูฟีได้ปรากฏเกิดขึ้นหลายพื้นที่และความเป็นซูฟีไม่ได้ถูกนิยามไว้ ณ สถานที่หนึ่งสถานที่ใด และประวัติศาสตร์ได้บันทึกถึงกลุ่มลัทธิซูฟีไว้น่าสนใจหลายแหล่ง เช่นในดินแดนเปอร์เซีย เราจะพบว่าแนวคิดแบบอิหร่านและนักซูฟีชาวอิหร่านมีจำนวนมากที่ทรงอิทธิพลต่อชาวโลก เป็นผู้มีบทบาทในการสร้างสรรค์ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและอารยธรรมของโลกอิสลาม ซึ่งสิ่งนั้นเป็นตัวบ่งชี้ถึงหลักฐานและเครื่องหมายสำคัญที่แสดงออกถึง อำนาจ อิทธิพล และความสามารถอันยิ่งใหญ่ในการโน้มนำเข้าสู่อารยธรรมอิสลาม และยังได้ผลิตนักซูฟี ระดับแนวหน้าของวงการออกสู่สังคมภายนอก ดังที่เราได้รู้จักนามอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา เช่น เมาลานา ญะลาลุดดีน รูมี ฮาฟีซ ชัมซุดดีน บายาซีฎ บัสตอมี อิมามฆอซซาลี อัลลาจญ์ มุลลาศ๊อดรอ และคนอื่นๆอีกจำนวนมาก พวกเขาเหล่านั้นเปรียบเสมือนดาวจรัสแสงแห่งวิชาการ ด้านรหัสยะนัย ด้านปรัชญา และหนึ่งจากเหตุผลของการใหลบ่าอารยธรรมด้านรหัสยะนัยสู่โลกภายนอกอย่างน่าชื่นชม เป็นเพราะว่าวัฒนธรรมอิสลามในแบบอิหร่านได้เปิดกว้างและรับฟังความคิดเห็นต่างพร้อมกับมีการยืดหยุ่น
ต่อมาได้มีนักบูรพคดีหลายท่านอย่างเช่น ศาตราจารย์นิโคลสัน ชาวอังกฤษและมาสซินอง ชาวฝรั่งเศสซึ่งได้ทำการศึกษาค้นคว้าอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับลัทธิซูฟีและรหัสยวิทยาแบบอิสลามและได้ทำให้พวกเขารู้จักลัทธิซูฟีอย่างลึกซึ้งต่างก็ได้ยอมรับอย่างเปิดเผยว่า อัลกุรอานและจริยวัตรแห่งศาสดามุฮัมมัดคือแหล่งที่มาพื้นฐานดุจหัวน้ำพุของรหัสยวิทยาแบบอิสลาม
นิโคลสันกล่าวว่า
“เราพบในคัมภีร์อัลกุรอานว่าอัลลอฮทรงตรัสว่า อัลลอฮคือแสงสว่างแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายในโลกนี้ พระองค์คือแรกเริ่มสุดและพระองค์คือสุดท้าย ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ทุกสรรพสิ่งนอกจากอัลลอฮคือความสูญสิ้น ฉันได้เป่าเข้าไปในมนุษย์ด้วยวิญญาณของฉัน เราได้สร้างมนุษย์และเรารู้ในสิ่งที่วิญญาณของเขากล่าวเพราะว่าเราใกล้ชิดเขามากกว่าเส้นเลือดที่คอหอยของเขา ไม่ว่าเจ้าหันหน้าไปทางทิศใด พระพักตร์ของอัลลอฮทรงอยู่ที่นั้น เขาผู้ซึ่งที่อัลลอฮไม่ทรงประทานแสงสว่างให้ไม่มีแสงสว่าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า รากเหง้าอันเป็นแหล่งที่มาของรหัสยะนัย(อิรฟาน)วางอยู่อย่างลึกซึ้งในโองการเหล่านี้ และสำหรับบรรดานักรหัสยะนัย(นักอาริฟ)ในยุคต้นๆนั้นอัลกุรอานมิใช่เป็นเพียงแต่พจนารถของอัลลอฮ์เท่านั้น แต่มันยังเป็นวิถีทางที่จะให้บรรลุสู่ความใกล้ชิดต่อพระองค์ โดยการเคารพภักดีและการใคร่ครวญพิจารณาโองการในสว่นต่างๆของอัลกุรอานโดยเฉพาะโองการต่างๆที่ชี้แนะถึงการเดินทางขึ้นสู่เบื้องบน(อิสเราะห์เมียะร็อจญ์)ของท่านศาสนทูตนั้น บรรดานักรหัสยะนัยมุสลิมได้พยายามที่จะซึมซาบและสร้างคุณสมบัติทางด้านจิตวิญญาณแบบรหัสยะนัยของท่านศาสนทูต(ศ็อล)ให้เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง”
อัลลามะฮฎะบะฎอบาอีย์ ปราชญ์เรืองนามโลกชีอะฮ์กล่าวว่า..
..”ความน่าสนใจและพลังแห่งการดึงดูดของแนวทางรหัสยะนัยอิสลาม(Islamic Mysticism) ทำให้คนที่ถวิลหาการรู้จักในพระเจ้า มีความสนใจต่อโลกแห่งความสูงส่งและจิตใจอันน่าพิศวง และพวกเขา(ผู้ประจักษ์แจ้งแห่งพระเจ้า อาริฟ)จะบรรจุไว้ซึ่งความรักที่มีต่ออัลลอฮเท่านั้น โดยปล่อยวางจากทุกสิ่ง พวกเขาจะออกห่างจากสิ่งที่เป็นโมฆะธรรม และนำตัวเขาเข้าสู่การภัคดีและการสรรเสริญต่อพระองค์ เป็นวิธีคิดและนำหลักปฏิบัติธรรมสู่การเป็นบ่าวที่แท้จริงต่อพระผู้เป็นเจ้า และทำลายกิเลสตัณหา ความอยากความต้องการ และยังได้ยกระดับจิตใจของตนเองให้หลุดพ้นจากโลกแห่งวัตถุ ไม่ลุ่มหลงต่อสิ่งใด ดังนั้นนักรหัสยะนัย(อาริฟ) หมายถึงบุคคลที่เคารพภัคดีต่อพระเจ้า ผ่านความรู้และเพราะความรักต่อพระองค์ ไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อรางวัลตอบแทน หรือหวาดกลัวต่อบทลงโทษ เป็นผู้มีความสัมผัสพิเศษที่เข้าถึงรหัสยะภาวะ จิตของพวกเขาเกิดความรู้แจ่มแจ้งชัดเจน โดยไม่ต้องอาศัยการอ้างเหตุผล
ลัทธิซูฟีกับมรดกทางจิตวิญญาณที่ไม่มีวันตาย
“ความงดงามของพระองค์ คือลมหายใจของข้า ความโอ่อ่าสง่าของพระองค์ คือความตายของข้าอย่างภาคภูมิแห่งรักนั้น
ไม่ว่าพระองค์อยู่หนใด ณ ที่นั่นช่างงดงามที่สุด ทุกความสุขและความปิติแห่งชีวิตอยู่ที่นั่น” ( The Divan of Hafez)
เราได้เห็นอัตลักษณ์น่าทึ่งหนึ่งของลัทธิซูฟีและน่าสนใจมาก นั่นคือการให้คุณค่าของการปฎิบัติธรรมและการจาริกทางจิตวิญญาณ เป็นความงามที่สำแดงออกทางจิตภิรมย์ น่าค้นหา พวกเขาได้ถูกอ้างถึงในฐานะที่เป็นเหตุผลของการภักดีเชื่อฟังต่อพระเจ้าอีกทั้งเป็นบันไดของการเข้าถึงความเป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์โดยถือว่าการสำแดงออกด้วยการปฎิบัติทางจริยธรรมและการเก็บเกี่ยวผลจากจริยะนั้นเป็นการเข้าใจตัวตนมนุษย์ในจุดเริ่มต้น
ดังนั้นบรรดานักซูฟีได้เน้นประเด็นที่ว่า ถ้าจุดมุ่งหมาย ในชีวิตของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งอื่นนอกจากพระเจ้าแล้วไซร้ พวกเขาก็จะเกิดความรู้สึกผิดและถือเป็นอุปสรรคในการบรรลุความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงเลยทีเดียว
ซูฟีชนได้ยืนอยู่บนแนวทางการทำให้จิตใจสะอาดบริสุทธิ์ การขจัดอัตตา กิเลสตัณหา และยังถือว่าเป็นวิธีที่ดีเลิศทีเดียวของการสร้างตนเองให้มีจิตใจบริสุทธิ์ และจากความมุ่งมั่นของพระสาวกของศาสดามูฮัมมัด ต่อการสร้างจิตใจให้มีความบริสุทธิ์ ทำให้เป็นบ่อเกิดแห่งจุดสนใจของอนุชนรุ่นต่อมา ทำให้เห็นถึงความสำเร็จของพวกเขาในการจะใช้ชีวิตอย่างสมถะ ค้นคว้าหาแก่นแท้ของชีวิต จนในที่สุดเป็นที่ขานรับอย่างสูงในโลกอิสลามต่อการฝึกฝนจิตใจให้สู่ชั้นสูงสุด เพื่อสยบมารร้ายที่จะมายุแหย่เป็นที่ถูกรู้จัก ในนามของ “ลัทธิซูฟี”(Sufism)
กระแสตอบรับในช่วงแรก ๆ นั้นค่อนข้างจะเบาบาง เพราะว่าภาพภายนอกที่ได้แสดงออกมาค่อนข้างจะแปลกประหลาดทีเดียว การดำเนินชีวิต การอิบาดะฮ์(การปฎิบัติธรรม)หรือแม้แต่ การกิน การดื่มของพวกเขา ดูแล้วสวนกระแสของคนหมู่มากที่ถือปฏิบัติกันมา จนทำให้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อลัทธิซูฟี หรือที่รุนแรงไปกว่านั้นถึงกับกล่าวว่า ลัทธิซูฟีเป็นพวกนอกรีตบ้าง เป็นผู้นอกศาสนาบ้าง หรือไปกว่านั้นโดยกล่าวว่า พวกซูฟีเป็นผู้ปฏิเสธและทำลายโครงสร้างอิสลาม
แต่ทว่าเหล่าซูฟีชนนั้นไม่ท้อถอยและยังยึดมั่นต่อวิธีการสร้างความบริสุทธิ์ใจ และทำจิตใจให้สะอาดของพวกเขาโดยได้เดินหน้าต่อไป ถึงแม้ว่าบางตอนของประวัติศาสตร์ถึงกับต้องรักษามันไว้ด้วยการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน หรือต้องหลั่งเลือดเสียชีวิตก็ตาม อย่างเช่นมันซูร ฮัลลาจ นักซูฟีผู้ยิ่งใหญ่ถูกนำไปประหารชีวิต และอีกหลายคนที่ได้ดำรงรักษาแนวทางนั้นไว้ จนในที่สุดเป็นที่ยอมรับว่า แนวทางหนึ่งที่สามารถเข้าถึงความจริงสูงสุด และสร้างความใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าได้ดี คือแนวทางแห่งรหัสยะนิยม(Mysticism)
หมุดหมายลัทธิซูฟีคืออะไร?
ลัทธิซูฟีมีมุมมองต่อพระเจ้า โลกและมนุษย์ค่อนข้างที่แตกต่างกับนักปรัชญาและนักเทววิทยาแต่ก็มีบางเรื่องที่ยังคิดเห็นตรงกันบ้าง ส่วนสำนักนิติศาสตร์อิสลามมีมุมมองเป็นลบต่อซูฟีชนค่อนข้างมากทีเดียว จนทำให้นักซูฟีในอดีตเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากคำวินิจฉัยของ ฟุกอฮาห์ มาแล้ว
แต่ที่น่าสนอกสนใจต่อลัทธิซูฟี คือมุมมองต่อมนุษย์ด้วยกันที่กลายเป็นมรดกของลัทธิซูฟีจนถึงวันนี้ ว่ากันว่าลัทธิซูฟีเองได้เพียรพยายามจะสร้างคุณค่าของคนและการเข้าใจมนุษย์ให้มากยิ่งขึ้น โดยไม่ตัดสินผู้ใดจากภาพลักษณ์ภายนอก หรือการมองคนอื่นในแง่ร้ายอะไรทำนองนั้น พวกเขาได้พยายามสอนสังคมและพยายามให้ปวงปราชญ์มองความเป็นจริงต่อวิถีของมนุษย์ ซึ่งเขารู้สึกว่าการประหัตประหารกันหรือการให้ร้ายต่อกันและกันไม่ใช่วิถีแห่งธรรมะและไม่ใช่ผู้บรรลุธรรม บรรดาซูฟีได้กล่าวตำหนิการให้ร้ายป้ายสี แต่ให้การสนับสนุนการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ด้วยความเข้าใจว่ามนุษย์มีวัฒนธรรมหลากหลาย มีเป้าหมายเดียวกันคือการบรรลุธรรมเข้าถึงพระเจ้า พระผู้เปี่ยมล้นด้วยความเมตตา
ลัทธิซูฟีได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องมนุษย์เป็นอย่างมากและมีมุมมองว่ามนุษย์สามารถก้าวพัฒนาไปสู่จุดสูงสุดในการเป็นอารยบุคคล เข้าถึงภาวะ”อินซาน อัล กามิล”(Perfect Man) “ภาวะมนุษย์ที่สมบูรณ์” หรือถ้าจะกล่าวในนิยามของพุทธศาสนาคือ ความเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นภาวะของมนุษย์ที่บรรลุธรรมที่สามารถเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองโลก คือโลกแห่งวัตถุและโลกแห่งจิตวิญญาณได้อย่างสมดุล ในหลักความเชื่อเรื่อง”มนุษย์สมบูรณ์”ถือว่าเป็นหมุดหมายขอวพวกเขา และในพุทธศาสนาเองก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้น่าสนใจ
ความน่าสนใจของกระบวนทัศน์ลัทธิซูฟีคือพวกเขาได้เข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ในการแสวงหาตัวตนมากกว่ามิติอื่นๆ โดยมุ่งเน้นภาวะการไปถึงมนุษย์สมบูรณ์ที่สามารถสำแดงออกถึงจิตวิญญาณกับพระผู้เป็นเจ้า เป็นภาวะของความสมบูรณ์ด้านจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นอยู่ในฐานะบุคคลที่บรรลุถึงฐานะแห่งความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์หรือเรียกว่า”อินซาน อัลกามิล”
อะบูอะลี อิบนิ สิน่า(นักปรัชญาชื่อดังโลกมุสลิม) กล่าวว่า”ผู้ประจักษ์แจ้งแห่งพระเจ้า(อาริฟ) พวกเขาจะแสวงหาพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาไม่สนใจเกี่ยวข้องกับสิ่งใดๆ เพราะในสายตาพวกเขาไม่มีสิ่งใดสำคัญมากไปกว่าและไม่มีสิ่งใดๆมีคุณค่ามากไปกว่า การรู้แจ้งทางจิตวิญญาณ พวกเขาจะภักดีต่อพระอัลลอฮ์ด้วยความรัก เพราะว่าการภักดีเป็นสิทธิที่จะต้องปฏิบัติเพราะว่ามันเป็นการเหมาะสมสำหรับพระองค์เท่านั้น“
ความรักในแบบลัทธิซูฟี
ความรัก (Love عشق =เอชค์)ในมุมลัทธิซูฟีและการถ่ายทอดบทกวีความรักในวรรณกรรมเปอร์เซียหรือวรรณคดีอื่นๆทั่วโลกเรามักจะคุ้นหูคุ้นตาและถือว่ามีเสน่ห์มากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลัทธิซูฟี(Sufism)เปอร์เซียหรือสำนักซูฟีอาหรับเราจะเห็นบทกวีแห่งความรักอันน่าภิรมย์ยิ่ง เป็นการใช้มโนคติเกี่ยวกับความรักในการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าและเป็นการแสดงออกถึงภาวะทางจิตวิญญาณที่ผูกติดและร้อยเรียงเป็นลูกโซ่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างผู้รักกับคนรัก โดยมุ่งเน้นความงดงามทางจิตวิญญาณที่ถ่ายทอดออกมา เพื่อจะสื่อถึงความรักที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร้เงื่อนไขและไร้ขอบเขต
ถ้าเราย้อนดูพระคัมภีร์อัลกุรอานหรือพระวจนะของศาสดาอิสลาม หรือจากนักซูฟีระดับแนวหน้าจากอัครสาวกของพระศาสดาเองจากคนที่อยู่ในบ้านของศาสดา จากคนครอบครัวของศาสดา(อะลุลบัยต์)จากบทดุอาอ์(บทภาวนา) จะพบว่าโองการอัลกุรอานหรือบทดุอาอ์อันทรงพลังนั้นได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของความรักและพลานุภาพแห่งรักระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าได้อย่างล้ำลึกทีเดียว ในบทสวด(ดุอา)เหล่านั้น อาจจะเริ่มต้นด้วยกับคำว่า”ฮุบบ์”(الحب=อัลฮุบบุ)ความรักที่ถูกนำเสนอในลักษณะที่สร้างมิตรภาพ เป็นการไว้วางใจเป็นอันดับแรก แต่สำหรับลัทธิซูฟี จะใช้คำว่า”อิชค์”عشق ซึ่งด้วยปกติแล้วคำๆนี้มักจะใช้ในรูปของความรักที่แสดงออกถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ต่อบุคคลอื่น หรือที่รู้จักเป็นความรักที่ใช้ระหว่างชายกับหญิงที่มีความรักต่อกัน ซึ่งจะเรียกผู้รักว่า”อาชิก”عاشق ส่วนคนรักเรียกว่า”มะชูก” معشوق แต่ทว่าในวรรณคดีลัทธิซูฟีและวรรณคดีเปอร์เซียคำสองคำนี้เป็นการใช้สำหรับมนุษย์กับพระเจ้า และพระเจ้าอยู่ในฐานะ”อาชิก”عاشقและมนุษย์ อยู่ในระดับ”มะชูก” معشوق เราอาจจะพบเจอในบทกวีของ เมาลานาญะลาลุดดีน รูมี (Rumi)บางบทเกี่ยวกับความรักว่า..
“รัก คือเปลวไฟอันลุกโชน มันเกิดขึ้นระหว่างผู้รักและคนรักอยู่ตลอดเวลา และแสงแห่งรักนั้น มิมีวันดับลงไป จากคนรักได้เลย”
รูมีได้ถ่ายทอดความรักเป็นเสมือนเส้นด้ายที่สอดแทรกในบทกวีอยู่ทุกมุม ทั้งโดยตรงหรือโดยนัย ความลึกซึ้งของภาษาและจินตภาพอันเร่งเร้าอารมณ์ที่รูมีใช้แสดงออกความรักนั้นมิค่อยได้พบเห็นในกวีอื่นๆ ความรักในบทกวีของรูมีมิใช่ความรักฉันชู้สาว แต่เป็นความรักอันงอกงามมาจากการตระหนักในความรักของพระเจ้าที่แผ่ขยายมาสู่โลกและชีวิตของมนุษย์ รูมีกล่าวว่า
“ เมื่อใดที่เราจัดให้รักนั้น ปราศจากความคาดหวังใดๆ ไร้การคำนวณ มิได้มีการต่อรอง แน่แท้เราทั้งผองล้วนอยู่ในสวรรค์อย่างแท้จริง”







