INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

โทนี่ เชย์ ซีอีโอของแซปโป้ส์ ได้กล่าวว่า “หยุดไล่ล่าเงิน เริ่มต้นไล่ล่าวิสัยทัศน์”

โทนี่ เชย์ ซีอีโอของแซปโป้ส์ ได้กล่าวว่า “หยุดไล่ล่าเงิน เริ่มต้นไล่ล่าวิสัยทัศน์”

บริษัทที่วางการผลิตแบบลีนบนแผนที่คือ โตโยต้า มอเตอร์ ตามมาจากที่เฟรดเดอร์ริค เทย์เล่อร์ ได้บุกเบิกการบริหารแบบวิทยาศาสตร์นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม ส่วนที่สำคัญของปรัชญาแบบลีนของบริษัทญี่ปุ่นคือ ความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะกำจัด “ความสูญเสีย” ภายในการออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต และการขนส่ง ตามการบริหารแบบญี่ปุ่น ความสูญเสียจะเป็นอะไรก็ตามที่ลูกค้าไม่เต็มใจจะจ่ายเงิน ชื่อหนังสือ The Lean Startup ของอิริค รีส ได้ถูกบันดาลใจจากการปฏิรูปการผลิตแบบลีน ณ โตโยต้า หนังสือเล่มนี้ได้พยายามจะมองที่หลักการเหล่านี้จะถูกใช้โดยสตาร์ทอัพได้อย่างไร ตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ของสตาร์ทอัพที่ใช้วิธีการของลีน สตาร์ทอัพได้บรรลุความสำเร็จคือแซปโปส์ แซปโป้ส์จะเป็นที่รู้จักว่าเป็นธุรกิจที่เป็นมิตรกับลูกค้ามากที่สุดบริษัทหนึ่งของโลก แซปโปสได้ถูกก่อตั้งเมื่อ ค.ศ 1999 โดยนิค สวินเมิร์นเขาได้กล่าวว่าแรงบันดาลใจเริ่มแรกของเขาได้เกิดขึ้นเมื่อเขาไม่สามรถค้นพบรองเท้า แอร์วอลคสีน้ำตาล ณ ร้านค้าท้องที่ของเขา ภายในปีเดียวกัน เขาได้เข้าหาโทนี่ เชย์และอัลเฟรด ลิน ด้วยความคิดของการขายรองเท้าออนไลน์ เริ่มแรกโทนี่ เชย์ จะมีข้อสงสัย และเกือบจะลบวอยซ์ เมลล์ ของนิค สวินเมิร์น ภายหลังจากที่นิค สวิมเมิร์นได้กล่าวถึงว่า “รองเท้าภายในอเมริกาจะเป็นตลาด 40 พันล้านเหรียญ และ 5% ได้ถูกขายทางแคตตาล็อกกระดาษไปรษณีย์” ดังนั้นโทนี เชย์ และอัลเฟรด ลิน ได้ตัดสินใจที่จะลงทุน 2 ล้านเหรียญผ่านเวนเจอร์ ฟรอก บริษัทลงทุนของพวกเขา บริษัทได้เปิดตัวออนไลน์เป็นทางการเมื่อ ค.ศ 1999 “ซูไซต์ ดอทคอม”แซปโปส์ ดอทคอม จะเป็นผู้ค้าปลีกรองเท้าและเสื้อผ้าออนไลน์ อยู่ภายในลาสเวกัส เนวาด้า บริษัทก่อตั้งเมื่อ ค.ศ 1999 โดยนิค สวินเมิร์น และเปิดตัวภายใต้ชื่อชูไซต์ ดอทคอม เมื่อ ค.ศ 2009ต่อมาชื่อบริษัทได้ถูกเปลี่ยนแปลงจากชูไซต์เป็นแซปโป้ส์ตั้งแต่ ค.ศ 1999 ถึง 2000 แซปโปส์ จะมียอดขาย 1.6 ล้านเหรียญ เมื่อ ค.ศ 2001 แซปโป้ส์ จะมียอดขาย 8.6 ล้านเหรียญ การเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจากปีที่ผ่านมา เมื่อ ค.ศ 2004 แซปโป้ส์ จะมียอดขายสูงถึง 184 ล้านเหรียญ และได้รับเงินลงทุน 35 ล้านเหรียญจากบริษัทลงทุน สามปีต่อมาแซปโป้ส์ ได้เพิ่มรายได้ต่อปีเป็นสองเท่า การบรรลุยอดขาย 840 ล้านเหรียญ เมื่อ ค.ศ 2007 บริษัทได้ขยายตัวไปสู่กระเป๋าถือ แว่นตา เสื้อผ้า และนาฬิกา เมื่อ ค.ศ 2008 บริษัทจะมียอดขายต่อปีิ 1 พันล้านเหรียญ หนึ่งปีต่อมาพวกเขาได้เปิดตัวครั้งแรก ณ ลำดับที่ 23 ของบริษัทลำดับสูงสุด 100 บริษัทที่น่าจะทำงานด้วย ของวารสารฟอร์จูน เมื่อต้นปี ค.ศ 2000 แซปโป้ส์ ได้ตัดสินใจที่จะก้าวจากโมเดลธุรกิจเริ่มแรกของพวกเขาที่บริษัทไม่ได้บริหารสินค้าคงเหลือใดเลย โทนี่ เชย์ได้กล่าวว่า แม้ว่ามันยากที่จะเดินออกไปจากการขาย ณ เวลาที่ไม่มีบุคคลใดเลยนำเสนอเงินต่อเรา เราไม่สามารถแตกต่างตัวเราเองภายในสายตาลูกค้าของเราได้ ถ้าเราไม่ทำการควบคุมประสบการณ์ทุกอย่าง เราจะต้องหยุดทำเงินที่ได้มาง่าย บริหารสินค้าคงเหลือ และรับความเสี่ยงภัย เมื่อ ค.ศ 1998 นิค สวินเมิร์น ได้เล่าว่า เขากำลังเดินไปรอบห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งภายในซานฟรานซิสโก มองหารองเท้าคู่หนึ่ง ร้านหนึ่งจะมีสไตล์ที่เหมาะสม แต่สีไม่เหมาะสม ร้านอีกแห่งหนึ่งจะมีสีที่เหมาะสม แต่ขนาดไม่เหมาะสม นิค สวิมเมิร์น ได้ใช้ชั่วโมงต่อไปภายในห้างสรรพสินค้า เดินจากร้านหนึ่งไปร้านหนึ่ง ในที่สุดกลับบ้านด้วยมือเปล่าและผิดหวังนิค สวินเมิร์น ไม่ได้มีโชคดีอะไรภายในบ้าน แม้ว่าเราจะมีร้านค้าแบบครอบครัวหลายแห่งขายรองเท้าออนไลน์ ผู้ค้าปลีกออนไลน์รายสำคัญที่เชี่ยวชาญรองเท้าจะไม่มีเลย การมองเห็นทั้งความต้องการและโอกาส นิค สวินเมิร์น ได้ลาออกจากงานของเขาและเริ่มต้นเป็นผู้ปลีกรองเท้าออนไลน์ ชูไซต์ดอทคอม ไม่ต้องการที่จะจำกัดธุรกิจจากการขยายตัวไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่น ชูไซต์ดอทคอมต้องการการเปลี่ยนแปลงชื่อ นิค สวินเมิร์น ไดัถามโทนี เชย์ ว่าผมคิดถึง “แซปโป้ส” เป็นชื่อบริษัท แซปโป้ส์จะมาจากแซปปาโทส ภาษาสเปนหมายถึงรองเท้า โทนี่ เชย์ ได้บอกว่าเขาควรจะเพิ่มตัวพีอีกตัวหนึ่ง เพื่อที่บุคคลจะไม่ออกเสียงผิดถ้าโทนี่ เชย์ ดำเนินตามวิธีการมาตรฐาน มันจะทำให้เขาต้องใช้เวลานานที่จะทำให้วิสัยทัศน์ของเขาเป็นจริง – การทดสอบวิสัยทัศน์ที่สมบูรณ์ด้วยคลังสินค้า หุ้นส่วนการจัดจำหน่าย และโอกาสของการขายได้อย่างสำคัญ แต่เขาได้เริ่มต้นโดยการดำเนินการทดลองสมมุติฐานของเขาคือลูกค้าพร้อมและเต็มใจจะซื้อร้องเท้าออนไลน์ เพื่อที่จะทำการทดสอบสมมุติฐาน เขาได้ถามร้านรองเท้าท้องที่ถ้าเขาจะถ่ายรูปสินค้าคงเหลือของพวกเขา ภายในการแลกเปลี่ยนกับการอนุญาติที่จะถ่ายรูป เขาได้เผยแพร่ภาพออนไลน์และสัญญาจะกลับมาและซื้อรองเท้า ณ ราคาเต็มถ้าลูกค้าได้สั่งซื้อรองเท้าออนไลน์แซปโป้ส์ ได้เริ่มต้นด้วยผลิตภัณฑ์ที่เรียบง่ายและไม่ใหญ่โต มันได้ถูกออกแบบที่จะตอบคำถามเดียว : เราจะมีอุปสงค์ที่เพียงพออยู่แล้วต่อประสบการณ์การซื้อออนไลน์ที่เหนือกว่าแก่รองเท้าหรือไม่ ถ้าการทดลองสตาร์ทอัพที่ได้ออกแบบอย่างดีคล้ายกับแซปโป้ส์จะเริ่มต้นด้วยการทดสอบมากกว่าหนึ่งลักษณะของแผนธรุกิจ สมมุติฐานอื่นหลายอย่าจะตัองถูกทดสอบด้วยภายในการขายรองเท้า แซปโป้ส์ จะต้องเกี่ยวพันกับลูกค้า : รับการชำระเงินดูแลการรับคืน และสนับสนุนลูกค้า นี่จะแตกต่างจากการวิจัยตลาด ถ้าแซปโป้้ส์ได้ใช้การวิจับตลาด หรือดำเนินการสำรวจตลาด พวกเขาจะถามอะไรที่ลูกค้าคิดว่าพวกเขาต้องการ แต่ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ บริษัทจะเรียนรู้ได้มากกว่า ในขณะนี้เราจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ลูกค้าเต็มใจซื้อเสื้อผ้าออนไลน์ แต่มันจะไม่ชัดเจน ณ เวลาของการก่อตั้งแซปโป้ส์ เมื่อ ค.ศ 1999 นิด สวินเมิร์นได้ผิดหวังกับการไม่สามารถที่จะค้นพบร้องเท้าคู่ที่เขาต้องการ ณ ร้านสรรพสินค้าท้องที่ ดังนั้นเขาได้เกิดความคิดของการขายรองเท้าออนไลน์ แต่กระนั้นบริษัทจะต้องใช้เงินหลายพันเหรียญด้วยการซื้อสินค้าคงเหลือ นิคสวินเมิร์น ต้องการจะพิสูจน์ว่าความคิดของการขายร้องเท้าออนไลน์ของเขาจะอยู่รอดได้หรือไม่ แทนการลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก เขาได้มุ่งหน้าไปที่ร้านสรรพสินค้าท้องที่ด้วยกล้องถ่ายรูป เขาได้ถ่ายรูปรองเท้าและส่งภาพออนไลน์ออกไป แต่มันอาจจะไม่เป็นวิถีทางที่อยู่รอดได้ที่จะดำเนินธุรกิจในระยะยาว เมื่อเขาจะต้องขาดทุนต่อการซื้อแต่ละครั้ง แต่กลยุทธ์ได้บรรลุความสำเร็จเป็นข้อพิสูจน์แนวคิด บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าลูกค้าเต็มใจจะซื้อรองเท้าออนไลน์ ยิ่งกว่านั้นพวกเขาสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับอุปสงค์ของลูกค้าและไสตล์ไหนขายดีที่สุดกลยุทธ์ของแซปโป้ส์ที่ใช้เริ่มแรกจะเป็นตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ของเอ็มวีพีของลีน สตาร์ทอัพ เอ็มพีวี จะอ้างถึงผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะน้อยที่สุดเพื่อการประเมินตลาดได้ ด้วยการใช้ต้นทุนต่ำที่สุดที่จะแสดงความคิดของผลิตภัณฑ์บริัษัททสามารถที่จะทดสอบสมมุติฐานของพวกเขาด้วยราคาที่ถูก การวัดอุปสงค์ของลูกค้า และการได้การป้อนกลับแต่เริ่มแรกของเว็บไซต์ของพวกเขาอีริค รีส ผู้เขียนหนังสือ The Lean Startup ได้กล่าวว่า “เป้าหมายของเอ็มวีพีคือ การทดสอบสมมุติฐานของธุรกิจรากฐาน หรือสมมุติฐานก้าวกระโดดแห่งศรัทธา และการช่วยให้ผู้ประกอบการเริ่มต้นกระบวนการเรียนรู้อย่างรวดเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้”

ชื่อของโทนี่ เชย์ ไม่น่าจะมีความหมายต่อเรามาก – ถ้าเราไมได้ทำงานอยู่กับแซปโป้ส์ดอทคอม หรือบุคคลหนึ่งจาก 400,000 คนที่ซื้อและอ่านหนังสือ Delivering Happiness ของโทนี่ เชย์ การอ่านถ้อยคำพูดของโทนี่ เชย์ เกี่ยวกับการบริการลูกค้าที่ลุ่มหลงจะเหมือนกับไบเบิ้ลของการบริการลูกค้าภายในวิถีทางหลายอย่าง หนังสือขายดีที่สุดลำดับ 1 ของนิวยอร์ค ไทม์ และวอลล์ สตรีท เจอร์นัล หนังสือเล่มนี้จะเกี่ยวกับเขาได้สร้างวัฒนธรรมแห่งความสุข ณ แซปโป้ส์ ได้อย่างไร บุคคลส่วนใหญ่จะสนใจต่อการทำเงินมากขึ้น เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่ามันสามารถทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้น เพราะว่าพวกเขาเชื่อว่าเงินจะให้เสรีภาพมากขึ้น ความเครียดน้อยลง และเวลาว่างมากขึ้น เป็นต้น แก่พวกเขา ถ้าความสุขเป็นเป้าหมายในที่สุด การมุ่งที่ความสุขจะดูแล้วมีเหตุผล
ใครควรจะอ่านหนังสือเล่มนี้ บุคคลทุกคนที่สนใจต่อการดำเนินธุรกิจให้บรรลุความสำเร็จ และบุคคลทุกคนที่ต้องการรู้ว่าจะทำกำไรอย่างไร การบริการลูกค้าที่ผิดธรรม และความสุขจะไปด้วยกันได้ สาระสำคัญของหนังสือตามตัวอักษรจะเป็นการให้ความสุขในฐานะของธุรกิจด้วยการมีชีวิตอยู่กับความลุ่มหลงและความมุ่งหมายหนังสือจะกล่าวถึงเรื่องราวของโทนี่ เชย์ และบริษัทของเขา แซปโป้ส์ ตัวอย่างของการคิดระยะยาวและการดำเนินตามความลุ่มหลงของเราสามารถนำไปสู่ไม่เพียงแต่กำไร แต่จะเป็นชีวิตที่มีความสุขแก่เรา บุคคลของเรา และลูกค้าของเรา หนังสือจะให้วิถีทางเลือกแก่วัฒนธรรมบริษัททึ่มุ่งแนวคิดเรียบง่ายของการสร้างความสุขแก่บุคคลที่รายรอบเรา และด้วยการกระทำเช่นนั้น การเพิ่มความสุขของตัวเราเองโทนี่ เชย์ เกิดที่อิลลินอยส์และเจริญเติบโตภายในอ่าวซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย พ่อแม่ทั้งสองคนมาจากไต้หว้น เขาจะมีน้องชายสองคน เมื่อ ค.ศ 1955 เขาได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สาขาวิทยาศาสตรคอมพิวเตอร์ ณ ฮาร์วาร์ด เขาได้ขายพิซซ่าแก่นักศึกษาภายในหอพักของเขา ลูกค้าที่ดีที่สุดของเขาคือ อัลเฟรด ลิน ต่อมาได้กลายเป็นซีเอฟโอและซีโอโอของแซปโป้ส์ นับตั้งแต่โทนี่ เชย์ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการทำให้ปรัชญาการบริการลูกค้าเป็นการบริการลูกค้าที่ยั่งยืน โทนี่ เชย์ ได้ถูกยอมรับว่าเป็นผู่เชี่ยวชาญการบริการลูกค้าอย่างลุ่มหลงและผู้ค้าปลีกตำนานในฐานะซีอีโอของแซปโป้ส์ โทนี่ เชย์ ได้เล่าว่า เขาได้เจริญเติบโตภายในอ่าวซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย แต่ในขณะนี้จะอยู่ภายในลาสเวกัส แรงจูงใจของผมต่อแซปโป้ส์คือ การสร้างธุรกิจที่วัฒนธรรมจะเป็นลำดับความสำคัญหมายเลขหนึ่ง มันจะเป็นความสำคัญต่อผมมากที่จะสร้างธุรกิจที่เงินไม่ได้เป็นสิ่งจูงใจพื้นฐาน ผมเชื่อว่าความสำเร็จจะถูกสร้างโดยการดำเนินตามความลุ่มหลงของเรา และผ่านไปตามระยะทางของการนิยามใหม่ว่าความสำเร็จหมายถึงอะไร ผมคิดว่าเราจะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องเรียนรู้จากใครก็ตามไม่ว่าตำแหน่งหรือภูมิหลังของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ผมจะมีกลุ่มเพื่อนที่หลากหลายที่ช่วยผมภายในโลกของธุรกิจ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มาจากโลกธุรกิจทุกคนแรวขับเคลื่อนหมายเลขหนึ่งของการเจริญเติบโตของเราจะมาจากลูกค้าประจำและปากต่อปาก เราได้มุ่งที่การบริการลูกค้าอย่างดีที่สุด แต่ในที่สุด ลำดับความสำคัญหมายเลขหนึ่งของเราคือวัฒนธรรม ความเชื่อของเราคือ ถ้าเรามีวัฒนธรรมที่ถูกต้อง การบริการลูกค้าและการสร้างตราสินค้าที่ยิ่งใหญ่ จะเกิดขึ้นอย่างธรรมชาติด้วยตัวมันเอง โทนี เชย์ ได้กล่าวว่า “ไล่ล่าวิสัยทัศน์ ไม่ใช่เงิน เงินจะตามมาทีหลัง” โทนี่ เชย์ จะเป็นซีอีโอของร้านขายรองเท้าออนไลน์ที่นิยมแพร่หลาย แซปโป้ส์ เขาได้เข้าร่วมกับแซปโป้ส์เมื่อ ค.ศ 1999 ด้วยการทำงานไม่เต็มเวลา สองเดือนภายหลังที่บริษัทได้ถูกก่อตั้งโดยนิค สวินเมิร์น บริษัทของเขา เวนเจอร์ ฟรอก ได้ลงทุนภายในสตาร์ทอัพนี้ เมื่อ ค.ศ 2000 โทนี่ เชย์ ได้ถูกแต่งตั้งเป็นซีอีโอของแซปโป้ส์ และภายใต้ความผู้นำของเขา เขาได้เจริญเติบโตบริษัทอย่างรวดเร็ว โดยใช้การบริการลูกค้าสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งขันของพวกเขา เขาได้ช่วยเพิ่มยอดขายเป็นมากกว่า 1 พันล้านเหรียญต่อปี และเขาจะมีบทบาทสำคัญต่อการซื้อแซปโป้ส์ของอเมซอน ดอทคอมเมื่อ ค.ศ 2009  โทนี่ เชย์ ซีอีโอ ยืนยันว่าจุดมุ่งรากฐานของเขาคือวัฒนธรรมบริษัท เราจะมุ่งให้แน่ใจว่าเราจะมีวัฒนธรรมการบริการที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเรามีวัฒนธรรมที่ถูกต้อง จากนั้น สิ่งที่น่าประหลาดใจแท้จริงหลายอย่างจะเกิดขึ้นด้วยตัวมันเอง กระบวนการว่าจ้างของเราจะแตกต่างจากบริษัทส่วนใหญ่ เราจะมีการสัมภาษณ์สองครั้งแตกต่างกัน การสัมภาษณ์ครั้งแรกจะเป็นความสามารถทางเทคนิค ประสบการณ์ และความสอดคล้องกับทีม จากนั้นแผนกทรัพยากรมนุษยจะสัมภาษณ์ครั้งที่สองเกี่ยวกับความสอดคล้องทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริง เราได้ปฏิเสธบุคคลที่มีความสามารถหลายคน เนื่องจากเรามองว่าพวกเขาจะสร้างผลกระทบทันทีต่อวัฒนธรรมของเราหรือการทำกำไร เนื่องจากวัฒนธรรมจะเป็นลำดับความสำคัญหมายเลขหนึ่งของเรา เราเต็มใจจะสูญเสียกำไรระยะสั้นหรือการเจริญเติบโตของรายได้ ที่จะแน่ใจว่าเรามีวัฒนธรรมที่ดีที่สุด ที่จริงแล้วภายหลังการปฐมนิเทศน์ เราได้เสนอเงิน 2,000 แก่บุคคลให้ออกไป บุคคลที่อยู่กับเราจะต้องเหมาะสมกับวัฒนธรรมของเรา เราจะมีค่านิยม 10 อย่าง และเมื่อเราได้ว่าจ้างบุคคล เราจะต้องแน่ใจว่าพวกเขาจะมีค่านิยมอย่างเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ค่านิยมอย่างหนึ่งของเราคือ ความอ่อนน้อม ถ่อมตัว ถ้าบุคคลบางคนเข้ามาและเย่อหยิ่งแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะมีความสามารถทางเทคนิคสูงมาก และเรารู้ว่าพวกเขาจะทำกำไรได้มาก เราจะไม่ว่าจ้างพวกเขา เพราะว่าพวกเขาไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมแซปโป้ส์ จะเป็นตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ของบริษัทที่มีวิสัยทัศน์และวัฒนธรรมระบุไว้อย่างชัดเจน โทนี่ เชย์ จะชัดเจนมากและได้อธิบายเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และวัฒนธรรมตั้งแต่วันแรก ถ้าเราได้ยินอะไรก็ตามเกี่ยวกับแซปโป้ส์จากลูกค้า โอกาสจะเป็นทางบวกอย่างแน่นอน เราจะมีเรื่องราวหลายเรื่องเกี่ยวกียการบริการลูกค้าที่เหลือเชื่อของแซปโป้ส์ไม่น่าแปลกใจเลยว่า 75% ของคำสั่งซื้อของแซปโป้ส์จะมาจากลูกค้าประจำ โทนี่ เชย์ หวังว่าในอนาคตบุคคลแม้แต่จะไม่รับรู้ว่าแซปโป้สเริ่มต้นด้วยการขายรองเท้า เราต้องการจะถูกรู้จักและจดจำได้ว่าเป็นบริษัทการบริการลูกค้าและประสบการณ์ลูกค้าที่ดีที่สุด โทนี่ เชย์ ได้จินตนาการว่าแซปโป้ส์จะเป็นบางสิ่งบางอย่างคลีายกับเวอร์จิ้น กรุ้ป ของริชาร์ด แบรนสันวัฒนธรรมของแซปโป้ส์ได้กลายเป็นตำนาน แซปโป้ส์ จะมีแผนผังสำนักงานที่เปิดโล่ง ผู้แทนบริการลูกค้าจะมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับซีอีโอที่จะช่วยเหลือลูกค้าที่ร้องเรียน โทนี่ เชย์ ได้เขียนหนังสือตามความจริงเกี่ยวกับความผูกพันของบุคคลและวัฒนธรรมองค์การของแซปโป้ส์ ชื่อ Dilivering Happiness และวัฒนธรรมจะสำคัญ ณ แซปโป้ส์ จนบริษัทได้เสนอเงิน 2,000 เหรียญแก่บุคคลที่ว่าจ้างใหม่ให้ลาออกภายหลังที่พวกเขาจบการฝีกอบรม ถ้ารู้สึกว่าไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรม แม้ว่าอเมซอนได้ซื้อแซปโป้ส์ มูลค่า 1.2 พันล้านเหรียญ เมื่อ ค.ศ 2009 แต่อเมซอนจะปล่อยให้โทนี เชย์ และทีมผู้บริหารของเขาบริหารบริษัทเป็นอิสระในฐานะของบริษัทลูก

 

โทนี่ เชย์ ขายไส้เดือน บัตรอวยพร และพิซซ่า ระหว่างทาง เขาไม่เคยมองว่าธุรกิจที่ล้มเหลวหมายความว่าเขาล้มเหลว บุคคลที่ใส่รองเท้าคู่เดียวเหมือนกัน
ได้ก่อตั้งแซปโป้ส์ ปัจจุบันโทนี่ เชย์ ได้กล่าวว่า มันจะเกี่ยวกับความสุขทุกอย่าง และเขาได้พิสูจน์ด้วยธุรกิจเราได้ให้คำนิยามที่เป็นทางการของวัฒนธรรมของเราด้วยค่านิยมแกน 10 ตัวโดยพื้นฐานแล้วเรากำลังมองหาบุคคลที่ค่านิยมส่วนบุคคลสอดคล้องกับวัฒนธรรมบริษัทของเรา พวกเขาจะเป็นเพียงแต่ให้ชีวิตแก่ตราสินค้าตามธรรมชาติ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนภายในสำนักงานหรือนอกสำนักงานิื ณ แซปโป้ส์ ค่านิยมแกน 10 ตัวจะไม่เป็นเพียงแต่ถ้อยคำ มันจะเป็นวิถีทางของชีวิตอย่างหนึ่ง บริษัทด้วยวัฒนธรรมเข้มแข็งและความมุ่งหมายสูงขึ้นจะปฏิบัติงานได้ดีขึ้นในระยะยาว เมื่อเราได้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง เราได้พยายามที่จะแน่ใจว่าวัฒนธรรมของเราจะยังคงมีชีวิตอยู่ เราจะตรวจสอบคำสาบานการจ้างงานของเราได้ใช้ไม่เพียงแต่จะแสดงค่านิยมของเรา แต่ได้ผูกพันกับมันทั้งที่เป็นบุคคลและธุรกิจของแซปโป้ส์
การส่งมอบ “ว้าว” ผ่านการบริการ
การรับและการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
การสร้างความสนุกสนานและความบ้าเล็กน้อย
การชอบผจญภัย สร้างสรรค์ และเปิดกว้าง
การมุ่งการเจริญเติบโตและการเรียนรู้
ิิ การสร้างความสัมพันธ์ที่เปิดกว้างและจริงใจด้วยการสื่อสาร
การสร้างทีมที่เชื่อถือได้และจิตใจของครอบครัว
การทำให้ได้มากโดยใช้ให้น้อยลง
การมีความหลงใหลและความมุ่งมั่น
การมีความอ่อนน้อมถ่อมตน
แซปโป้ส์จะมีค่านิยมแกน 10 ตัวที่ได้สร้างความภูมิใจแก่พวกเขา ค่านิยมแกน 10 ตัวเหล่านี้จะถูกสะท้อนภายในวัฒนธรรม การสร้างตราสินค้า และกลยุทธ์ทางธุรกิจ ของแซปโป้ส์แต่กระนั้นค่านิยมจะเป็นแต่ละบุคคลและเพาะปลูกด้วยตัวเอง ค่านิยมไม่สามารถถูกสอนภายในห้องเรียนได้ ดังนั้นการประเมินการสรรหาจะอยู่ที่ความสอดคล้องทางวัฒนธรรมแทนความสอดคล้องของงาน ณ ขั้นตอนเริ่มแรกแซปโป้ส์เข้าใจว่าพวกเขาจะต้องสรรหาบุคคลที่สามารถให้การบริการลูกค้าที่ดี กระบวนการสรรหา ณ แซปโป้ส์ จะช้าเป็นเดือนต่อบุคคลที่ว่าจ้างใหม่บุคคลที่คาดหวังไว้สามารถไปเยี่ยมสำนักงานอย่างไม่เป็นทางการ พูดคุยกับบุคคลที่ทำงานอยู่ และเข้าร่วมเหตุการณ์ที่จะเหลือบมองสถานที่ทำงาน ครอบครัวแซปโป้ส์จะเชื่อมั่นภายในความสอดคล้องของวัฒนธรรมิเมื่อบุคคลได้ถูกว่าจ้าง พวกเขาจะต้องอยู่ภายในศูนย์การติดต่อลูกค้าเรียนรู้ที่่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างไร แซปโป้ส์จะไม่มีข้อจำกัดทางเวลาของการติดต่อลูกค้าที่โทรศัพท์เข้ามา บริษัทได้ทำลายสถิติการบริการลูกค้าทางโทรศัพท์นานถึงชั่วโมงสี่สิบสามนาที ลูกค้าอาจจะวางโทรศัพท์โดยไม่ได้ซื้ออะไรเลย ถ้าผลิตภัณฑ์ที่ต้องการไม่มี ณ แซปโป้ส์ บุคคลของศูนย์การติดต่ออาจจะไปที่คู่แข่งขัน และให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการแก่ลูกค้าที่โทรศัพท์เข้ามาเราสามารถมองได้ว่าการบริหารบนพื้นฐานค่านิยมของแซปโป้ส์ได้มีส่วนช่วยต่อความสำเร็จของบริษัท การบริหารบนพื้นฐานค่านิยมจะอ้างถึงองค์การได้บริหารอย่างมั่นคงด้วยค่านิยมของพวกเขาผ่านการบริการลูกค้าอย่างไร การส่งมอบ “ว้าว” ผ่านการบริการจะประกอบด้วยหลายสิ่ง แซปโป้ส์คาดหวังให้บุคคลทำเลยพ้นไปจากสิ่งที่คาดหวัง แซปโป้สไม่ต้องการจะถูกมองว่าเป็นบริษัทธรรมดา พวกเขาต้องการจะ “ว้าว” ลูกค้าการรับและการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่แซปโป้ส์ได้เจริญเติบโต การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของงานอย่างต่อเนื่องจะสร้างประสบการณ์ความสนุกสนานและการเกี่ยวพันกันแก่บุคคลของพวกเขา บุคคลของแซปโป้ส์จะเปลี่ยนแปลงประสบการณ์เป็นระดับการตรวจสอบตัวเอง การตรวจสอบตัวเองจะอ้างถึงความสามารถที่จะปรับพฤติกรรมตามปัจจัยทางสถานการณ์ การตรวจสอบตัวเองของบุคคลได้สำเร็จจะแสดงความสามารถปรับพฤติกรรมต่อการเปลี่ยนแปลง การรับการเปลี่ยนแปลงจะอยู่ภายในค่านิยมอื่นรวมทั้งการสร้างความสนุกสนานและความบ้าเล็กน้อย และการชอบการผจญภัย ความคิดสร้างสรรค์ และความใจกว้าง การมุ่งการเจริญเติบโตและการเรียนรู้ จะเป็นค่านิยมแกนข้อหนึ่งของแซปโป้ส์ ณ แซปโป้ส์ บุคคลจะต้องเจริญเติบโตทั้งส่วนบุคคลและอาชีพ แซปโป้ส์ต้องการดีที่สุดต่อบุคคล การสร้างความสัมพันธ์ที่เปิดเผยและจริงใจด้วยการสื่อสาร และการสร้างทีมที่เชื่อถือได้และจิตใจของครอบครัว การทำให้ได้มากโดยใช้ให้น้อย จะเป็นวิถีทางของแซปโป้ส์ของการกล่าวว่าเราจะมีโอกาสเพื่อการปรับปรุงอยู่เสมอ และงานไม่เคยเสร็จสิ้น แซปโป้ส์ ได้ตระเตรียมที่จะให้แก่ลูกค้าและบุคคลของพวกเขา 100 % ของสิ่งที่บริษัทสามารถให้ได้เพื่อที่จะให้ประสบการณ์ที่ลูกค้าสมควรจะได้รับ แซปโป้ส์ ได้พยายามว่าจ้างบุคคลที่ดีที่สุดเท่านั้น บุคคบเหล่านี้จะต้องมีค่านิยมแกนสองข้อสุดท้ายของแซปโป้ส์ ความลุ่มหลงและความมุ่งมั่น และความอ่อนน้อมถ่อมตน แซปโป้ส์จะสร้างสภาพแสดล้อมของงานและประสบการณ์ของลูกค้าไม่เหมือนใครเลยโทนี่ เชย์ จะเป็นที่รู้จักกันด้วยสไตล์การบริหารที่แหวกแนวของเขา แต่ชีวิตส่วนตัวของเขาจะแหวกแนวเหมือนกัน
เขาจะมีความเป็นผู้นำโดยตัวอย่างที่แท้จริง และมันจะเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำไมเขาได้อาศัยอยูภายในรถบ้าน 240 ตารางฟุตกับเพื่อนสัตว์เลี้ยงคล้ายแกะ ภายในตัวเมืองลาสเวกัส ค่าเช่าต่อเดือนรวม 950 เหรียญ ทั้งที่เขาจะมีความมั่งคั่งอย่างน้อยที่สุด 780 ล้านเหรียญ เขาสามารถรับภาระที่พักหรูหรามากขึ้นได้ และอยู่ภายในบ้านที่แตกต่างกันประมาณสิบหลังตลอดชีวิตของเขาได้ตามเอบีซี นิวส์ โทรี่ เชย์ ได้กล่าวว่าเขาได้อาศัยอยู่ภายในสถานที่สิบแห่งแต่เขาจะมีความสุขมากที่สุดภายในชุมชนขนาดเล็กเรียกว่าสถานที่จอดรถบ้าน เขาได้บอกแก่นักข่าวเอบีซี รีเบคคา จาร์วิส ว่า ผมชอบมัน ณ ที่นี่ตอนกลางคืน เราจะมีแคมป์ไฟ ด้วยแสงไฟเหล่านี้……..บางครั้งนักดนตรีจะเล่นดนตรี เพียงแต่เข้าไปร่วมด้วย และบุคคลจะทำอาหารภายใต้การฟื้นฟูตัวเมืองของลาสเวกัส โทนี่ เชย์ ต้องการจะสร้าประสบการณ์ลักษณะเฉพาะที่เรียบง่ายภายในใจกลางเมือง มันจะคล้ายกับการเป็นเจ้าของชุมชนเล็กภายในรถบ้าน บุคลลทุกคนจะทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ สัตว์เลี้ยง ห้องครัว หรือแม้แต่ภาพยนตร์จอใหญ่ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนมหาเศรษฐีจะอาศัยอยู่ภายในบ้านหลังเดิมที่เขาได้ซื้อเมื่อ ค.ศ 1958 มาร์ค ซัคเกอร์เบิรก ซีอีโอ เฟชบุ้ค เลือกใช้ยีนส์และเสื้อยืดคอกลมไม่ใช่เสื้อนอกราคาแพง และอมานซิโอ ออร์เตก้า บุคคลร่ำรวยที่สุดลำดับสองของโลกจะยังคงกินอาหารเที่ยงกับบุคคลของเขาภายในร้านอาหารบริษัททุกวัน
โทนี่ เชย์ ได้กล่าวถึงถ้อยคำที่น่าสนใจภายในหนังสือของเขาไว้ต่อไปนี้ เราถามตัวเราเองว่าเราต้องการบริษัทนี้ยืนหยัดเพื่ออะไร เราไม่ต้องการเพียงแต่จะขายร้องเท้า ผมแม้แต่ไม่ได้ชอบรองเท้า แต่ผมจะลุ่มหลงเกี่ยวกับการบริการลูกค้า ณ แซปโป้ส์ดอทคอม เราได้ตัดสินใจมานานแล้วว่าเราไม่ต้องการตราสินค้าของเราเป็นเพียงเกี่ยวกับรองเท้าหรือเสื้อผ้า หรือแม้แต่การค้าปลีกออนไลน์ เราได้ตัดสินใจว่าเราต้องการสร้างตราสินค้าของเราให้เกี่ยวกับการบริการลูกค้าที่ดีที่สุดและประสบการณ์ลูกค้าที่ดีที่สุดลูกค้าของเราโทรศัพท์และอีเมลล์แก่เราที่จะพูดว่ามันรู้สึกอย่างไรเมื่อกล่องของแซปโป้ส์มาถึง และนั่นคือเรามองบริษัทนี้อย่างไรเราเชื่อว่าการบริการลูกค้าไม่ควรจะเป็นเพียงแต่แผนกหนึ่ง การบริการลูกค้าควรจะเป็นทั่วทั้งบริษัทธุรกิจมักจะลืมเกี่ยวกับวัฒนธรรม และในที่สุดพวกเขาจะเจ็บปวดกับมัน เพราะว่าไม่สามารถส่งการบริการที่ดีจากบุคคลที่ไม่ความสุขของเรา
บุคคลทุกคนสามารถกระทบต่อตราสินค้าของบริษัทของเรา ไม่เพียงแต่บุคคลแนวหน้าที่ได้รับเงินเพื่อการสื่อสารกับลูกค้า

 

โทนี่ เชย์ ได้กล่าวว่า ภายในหนังสือของผม Delivering Happiness : A Path to Profits, Passion, and Purpose ผมจะเขียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมบริษัทและตราสินค้าบริษัทจะเป็นเพียงสองด้านอย่างแท้จริงของเหรียญเดียวกัน ตราสินค้าจะเป็นเพียงตัวชี้วัดตามของวัฒนธรรม
เมื่อสิบสามปีกว่าที่ผ่านมา เราได้เผชิญกับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง เมื่อเราได้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และว่าจ้างบุคคลใหม่ เราต้องการแน่ใจว่าพวกเขาจะเข้าใจและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของเรา นั่นคือความมุ่งหมายของหนังสือวัฒนธรรมเล่มนี้……….การมองวัฒนธรรมของแซปโป้ส์เกี่ยวกับอะไรต่อใครก็ตามที่สนใจปีเตอร์ ดรัคเกอร์ กูรูทางการบริหาร ได้เชื่อมั่นอย่างแน่นอนว่าวัฒนธรรมของบริษัทจะขัดขวางความพยายามอะไรก็ตามที่จะสร้างหรือบังคับใช้กลยุทธ์ที่ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมนั้น “วัฒนธรรมกินกลยุทธ์เป็นอาหารเช้า” ถ้อยคำที่กำเนิดโดยปีเตอร์ ดรัคเกอร์ และทำให้โด่งดังโดยมาร์ค ฟิลด์ ประธานบริษัทของฟอร์ด มอเตอร์ คือความเป็นจริงอย่างแน่นอน บริษัทไหนก็ตามที่ไม่เชื่อมโยงระหว่างวัฒธรรมและกลยุทธ์กำลังวางความสำเร็จของพวกเขาบนความเสี่ยงภัย ไม่ว่ากลยุทธ์ของบริษัทจะดีแค่ไหน กลยุทธ์ไม่สามารถบรรลุความสำเร็จได้เลย ถ้าวัฒนธรรมไม่สอดคล้องและสนับสนุนกบยุทธ์ วัฒนธรรมเปรียบเสมือนกำแพงอิฐที่มองไม่เห็นสามารถขัดขวางความก้าวหน้าของกลยุทธ์ได้ คณะกรรมบริษัทมักจะให้ความสำคัญกับความเชื่อของปีเตอร์ ดรัคเเกอร์ เพียงแต่ปาก แม้ว่าวัฒนธรรมจะมีความสำคัญสูงสุดสามลำดับต่อคณะกรรมการบริษัท โดยทั่วไปวัฒนธรรมองค์การจะสะท้อนค่านิยมของผู้ก่อตั้งบริษัท เนื่องจากผู้ก่อตั้งเป็นผู้สร้างวัฒนธรรมเริ่มแรกของบริษัท เขาจะคัดเลือกบุคคลที่มีค่านิยมอย่างเดียวกันเข้ามาทำงาน เช่น บิลเกตต์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ คอมพิวเตอร์ เขาได้สร้างวัฒนธรรมที่มุ่งการเป็นผู้ประกอบการ และการทำงานหนัก ของไมโครซอฟท์ขึ้นมาตราบเท่าจนทุกวันนี้ แซม วอลตัน เป็นบุคคลร่ำรวยที่่สุดคนหนึ่่งของอเมริกา พนักงานวอลมาร์ทเรียกเขาว่า นายแซม เขาจะขับรถปิคอัพฟอร์ดรุ่น 1979 ใส่เสื้อเชิรตผ้าสักหลาด และกางเกงสีกากีมาทำงาน อยู่บ้านไม้และอิฐสไตล์โคบาลอย่างถ่อมตัว นี่คือวิถีชีวิตที่แซม วอลตัน ได้ถ่ายทอดไปยังร้านค้าวอลมาร์ทของเขา วอลมาร์ทมีวัฒนธรรมองค์การที่ให้คุณค่าต่่อความกระเหม็ดกระแหม่ ความเรียบง่าย และความถ่อมตัว วัฒนธรรมของวอลมาร์ทและบุคลิกภาพของแซม วอลตันคือสิ่งเดียวกัน แกนของวัฒนธรรมวอลมาร์ทอยู่ที่การทุ่มเทกับความพอใจของลูกค้า การมุ่งการลดต้นทุนอย่างไม่ลดละ และจริยธรรมการทำงานที่เข้มแข็งผู้ก่อตั้งบริษัทคือผู้สร้างวัฒนธรรมองค์การ บริษัทคล้ายกับร่างของสิ่งมีชีวิตที่ได้รับดีเอ็นเอ จากผู้ก่อตั้ง วัฒนธรรมองค์การได้สะท้อนค่านิยมส่วนบุคคลของผู้ก่อตั้งอยู่เสมอ ณ ไมโครซอฟท์ พนักงานทุกคนได้ลอกเลียนแบบพฤติกรรมทุกอย่างของบิลล์ เกตต์ ผู้ก่อตั้ง ตั้งแต่การแต่งกายและสไตล์การพูดของเขา ผู้บริหารไมโครซอฟท์คนหนึ่งได้พูดว่า การบูชาตัวบุคคลที่เป็นผู้ก่อตั้งมีอยู่เสมอภายในบริษัทไฮเทค อุตสาหกรรมอื่นมองว่าทรัพย์สินคืออาคารหรือโีรงงาน แต่ถ้าเป็นบริษัทไฮเทคแล้ว บุคคลคือทรัพย์สิน ดังนั้นเราต้องการผู้นำที่ดึงดูดบุคคล บุคคลหลายคนเกรงกลัวบิลล์ เกตต์ ต่อการสร้างวัฒนธรรมไมโครซอฟท์ได้อย่างเข้มแข็ง คู่แข่งขันกำลังสูญหายและล่าถอยออกไปทุกที ซีอีโอของผู้ผลิตซอฟท์แวร์รายหนึ่งได้กล่าวว่า “ไมโครซอฟท์คือมหาสมุทร พวกเราคือปลาที่กำลังว่ายอยู่ภายในมหาสมุทรเท่านั้น”ถ้อยคำว่า วัฒนธรรม และความเลื่อมใส จะมาจากภาษาตินร่วมกัน หมายถึงการปลูกฝัง แต่ความหมายแตกต่างกัน วัฒนธรรมหมายถึงพฤติกรรม ศิลป ความเชื่อ หรืออย่างอื่น ได้ถูกถ่ายทอดจากสังคม การทำงาน และความคิดของมนุษย์ ความเลื่อมใสหมายถึงการบูชา และพิธีการทางศาสนาของชุมชน ถ้อยคำสองคำนี้จะมีความสำคัญต่อไมโครซอฟท์ ภายใต้การขยายตัวอย่างรวดเร็ว วัฒนธรรมไมโครซอฟท์ยังถูกรับรู้และมีประสิทธิภาพสูงอยู่เสมอ ค่านิยมจะมีทั้งการแข่งขันอย่างรุนแรง จริยธรรมของการทำงานหนัก และความสามัคคีของเพื่อนร่วมงานที่เข้มแข็ง ไมโครซอฟท์มีวัฒนธรรมคล้ายกับการเลื่อมใสบุคคลและกลืนพวกเราไปแล้วกรอบข่ายของวัฒนธรรมองค์การของเอ็ดการ์ ไชน์ ได้ถูกยอมรับอย่างแพร่หลายมากที่สุด เอ็ดการ์ ไชน์ นักวิชาการจากเอ็มไอที ผู้เขียนหนังสือคลาสสิคเล่มหนึ่งชื่อ Organizational Culture and Leadership ได้ศึกษาและแบ่งวัฒนธรรมองค์การเป็นสามระดับคือ

1 สิ่งประดิษฐ์ ระดับแรกที่อยู่บนพื้นผิวและมองเห็นได้ พนักงานสามารถมองเห็นได้ เช่น การแต่งกาย การวางผังสำนักงาน หรือสัญลักษณ์ทางวัตถุ เช่น พนักงานไอบีเอ็มต้องใส่เสื้อเชิรตสีขาว และสูทสีดำ

2 ค่านิยม ระดับที่สองอยู่ลึกลงมา ค่านิยมคือความเชื่อที่พนักงานไม่สามารถมองเห็น แต่รับรู้ได้จากการได้ยินจากการถ่ายทอดด้วยคำพูด เช่น คำขวัญของวอลมาร์ทคือ ลูกค้าต้องเป็นหมายเลขหนึ่ง

3 สมมุติฐาน ระดับที่สามอยู่ลึกที่สุด สมมุติฐานคือความเชื่อที่บุคคลรับรู้ไ้ด้จากจิตใต้สำนึก เช่น ณ 3 เอ็ม พนักงานรู้สึกว่าต้องดูระหว่างกันเหมือนครอบครัวหนึ่ง
เราจะมีวิถีทางหลายอย่างที่จะจินตนาการแนวคิดของวัฒนธรรม เอ็ดวาร์ด ฮอลล์ ได้พัฒนาโมเดลภูเขาน้ำแข็งของวัฒนธรรมขึ้นมา การเปรียบเทียบวัฒนธรรมคล้ายกับภูเขาน้ำแข็งที่มีทั้งส่วนที่มองเห็น((บนพื้นผิว) เช่น การแต่งกาย อาคาร หรือสิ่งประดิษฐ์ทางวัตถุ และมองไม่เห็น(ใต้พื้นผิว) เช่น ค่านิยม หรือสมมุติฐาน ภูเขาน้ำแข็งไม่เป็นสัดส่วนของการมองเห็นได้ เราสามารถมองเห็นข้างบน 10% แต่เราไม่สามารถมองเห็น 90% ส่วนใหญ่อยู่ข้างล่างได้ วัฒนธรรมเป็นโมเดลภูเขาน้ำแข็งของความเข้าใจ เรามองเห็นได้ 10% แต่จะเข้าใจส่วนที่เหลืออยู่ เราต้องลึกลงไป กรีย์ ฮอฟสตีด ได้พัฒนาโมเดลหัวหอมของวัฒนธรรมขึ้นมา การเปรียบเทียบวัฒนธรรมคล้ายกับชั้นของหัวหอม เปลือกชั้นนอกคิอ สัญลักษณ์ เช่น คำพูด ภาพ ท่าทาง หรือวัตถุ ถ่ายทอดความหมายที่รับรู้โดยบุคคลภายในวัฒนธรรมนั้นเท่านั้น ชั้นถัดไปคือ วีรบุรุษ วีรบุรุษคือบุคคลที่มีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว บุคคลจริงหรือจินตนาการ บุคคลที่มีคุณลักษณะที่มีคุณค่าสูงภายในวัฒนธรรมนั้น และใช้เป็นโมเดลของพฤติกรรม ชั้นถัดไปคือ พิธีการ พิธีการคือ “กิจกรรมร่วมกัน” แบบแผนของพฤติกรรมภายในชีวิตองค์การประจำวัน เช่น การประชุมทางธุรกิจ เปลือกชั้นในสุดคือค่านิยม ค่านิยมคือแกนของวัฒนธรรม ค่านิยมมีความสำคัญต่อการตัดสินใจ อะไรถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง

 

“แซปโป้ส์ ได้กล่าวคำอำลาต่อนายแล้ว” จะเป็นข่าวพาดหัวไม่นานมานี้ของวอชิงตัน โพสท์ แซปโป้ส์กำลังไปสู่การบริหารที่ไร้ผู้บริหาร “ไม่มีชื่องาน ไม่มีผู้บริหาร และไม่มีลำดับชั้น” นั่นคือสื่อมวลชนได้สรุปการบริหารที่ไร้ผู้บริหารของแซปโป้ส์ เมื่อแซปโป้ส์ ร้านขายรองเท้าออนไลน์ ได้ประกาศครั้งแรกว่าการบริหารที่ไร้ผู้บริหารจะถูกใช้เป็นโครงสร้างองค์การและระบบการบริหารทางเลือกกับบริษัทเมื่อปลาย ค.ศ 2013เมื่อโทนี่ เชย์ ซีอีโอ ของแซปโป้ส์ นานกว่า 17 ไม่กลัวต่อที่จะสร้าง “ความบ้าเล็กน้อย” ที่จริงแล้วมันคือค่านิยมแกนตัวหนึ่งของแซปโป้ เขาได้ยกเลิกบทบาทของผู้บริหารสมัยเดิมของแซปโป้ส์ แซปโป้ส์ ได้ใช้การบริหารที่ไร้ผู้บริหารอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่ ค.ศ 2014 พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงจากโครงสร้างการบริหารสมัยเดิมไปเป็นโครงสร้างการบริหารที่ลำดับชั้นน้อยลง ระบบที่ไร้ผู้บริหารนี้จะถูกเรียกว่า โฮลาเครซี่ : การบริหารที่ไร้ผู้บริหาร ถ้อยคำนี้จะมีต้นกำเนิดมาจากเบรน โรเบิรตสัน ผู้ก่อตั้งทอร์นารี ซอฟท์แวร์ และผู้เขียนหนังสือชื่อ Holacracy แต่ความคิดของโฮลาเครซี จะมีมานานเป็นศตวรรษ โฮลาเครซี่จะได้ชื่อมาจาก “โฮลาร์คี” ถ้อยคำที่สร้างโดยอาร์เธอร์ โคสเลอร์ภายในหนังสือของเขาชื่อ The Ghost in the Machine เบรน โรเบิรตสัน ได้สร้างชื่อเสียงมากที่สุดจากผลงานการพัฒนาโฮลาเครซี่ การบริหารตัวเองเพื่อการบริหารบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยความมุ่งหมาย บริษัทมากกว่า 1,000 บริษัททั่วโลกได้ใช้การบริหารที่ไร้ผู้บริหาร การบริหารที่ไร้ผู้บริหารจะไม่เหมือนกับการบริหารปัจจุบันนี้ โฮลาเครซี่ไม่ต้องการลำดับชั้นของบริษัทสมัยเดิม โฮลาเครซีื จะใช้โครงสร้างที่เปลี่ยนแปลง การปรากฏขึ้นหรือสูญหายไปขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์การ เราจะไม่มีบทบาทของผู้บริหารที่ทุ่มเทต่่อไปอีก และแม้แต่ซีอีโอของบริษัทจะไม่มีอำนาจที่จะสั่งการและตัดสินใจ โทนี่ เชย์ ได้กล่าวว่า การวิจัยแสดงว่าทุกครั้งที่ขนาดของเมืองเพิ่มเป็นสองเท่า นวัตกรรมและประสืทธิภาพของผู้อยู่อาศัยต่อคนจะเพิ่ม 15 % แต่เมื่อบริษัทใหญ่ขึ้น นวัตกรรมและประสิทธิภาพของบุคคลต่อคนจะลดลง ดังนั้นเราได้พยายามคิดว่าจะจัดโครงสร้างของแซปโป้ส์ให้คล้ายกับเมือง และคล้ายกับบริษัทแบบระบบราชการน้อยลงอย่างไร ภายในเมืองบุคคลและธุรกิจจะบริหารตัวเอง เราจะพยายามทำสิ่งเดียวกัน ด้วยการเปลี่ยนแปลวจากโครงสร้างลำดับชั้นตามปรกติไปเป็นระบบที่เรียกว่าการบริหารที่ไร้ผู้บริหาร การทำให้บุคคลกระทำเหมือนกับผู้ประกอบการมากขึ้น และสั่งการงานของพวกเขาด้วยตัวเองแทนการรายงานไปยังผู้บริหารที่จะบอกพวกเขาให้ทำอะไรการบริหารที่ไร้ผู้บริหารจะยกเลิกชื่องานที่เป็นทางการ ผู้บริหาร และลำดับชั้นสมัยเดิม ด้วยการใช้ลำดับของ “วงกลม” ที่ทับซ้อนกัน บุคคลสามารถมีบทบาทที่แตกต่างกันหลายอย่าง เป้าหมายคือการเพิ่มระดับของความรับผิดชอบ เนื่องจากบุคคลจะต้องรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมงานของพวกเขาทุกคนไม่ใช่ผู้บริหารคนเดียว และโปร่งใสเพื่อที่จะยุติต้นตอของความตึงเครียดอย่างรวดเร็วและเปิดเผยให้รู้กัน การบริหารที่ไร้ผู้บริหารจะเป็นวิธีการอย่างหนึ่งของการบริหารแบบการกระจายอำนาจ อำนาจหน้าที่และการตัดสินใจจะถูกกระจายไปทั่วทั้งทีมที่บริหารตัวเอง แทนที่จะอยู่ที่ลำดับชั้นการบริหาร โทนี่ เชย์ ซีอีโอ ของแซปโป้ส์ ได้ยอมรับความท้าทายมายาวนานของการเปลี่ยนแปลงไปสู่การบริหารที่ไร้ผู้บริหาร และเขาได้คาดคะเนการต่อต้านต่อสไตล์การบริหารใหม่ด้วยการเสนอการซื้อออกไปตั้งแต่แรก ดังที่โทนี่ เชย์ ได้ยอมรับภายในบันทึกเริ่มแรกของการเปลี่ยนแปลงของเขาว่า “การบริหารตัวเองและองค์การบริหารตัวเองจะไม่ใช่ต่อบุคคลทุกคน” ทั้งที่สื่อได้มีข้อวิจารณ์อย่างรุนแรง โทนี่ เชย์ไม่ได้ยอมตามจากการตัดสินใจของเขาที่จะดำเนินระบบการบริหารตัวเองอยู่ต่อไป บุคคล ณ แซปโป้ส์ไม่ต้องรายงานไปยังผู้บริหารโดยตรงและถูกให้อำนาจที่จะมีข้อมูลมากขึ้นภายในการตัดสินใจ แซปโป้ส์ได้ทำให้เรียบง่ายลงด้วยการมุ่งเพียงความรับผิดชอบแกนสามอย่างของการบริหารตัวเองบุคคลทุกคนจะรับผิดชอบต่อความเข้าใจบทบาทของพวกเขา และมัน สอดคล้องกับบทบาทของบุคคลอื่นของทีมอย่างไร บุคคลทุกคนจะรับผิดชอบต่อทั้งการนำและการสนับสนุน บุคคลทุกคนจะรับผิดชอบต่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและชัดเจนแซปโป้ส์ จะมุ่งที่การบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยมอยู่เสมอ เราจะเรียกมันว่า “ว้าว” เพื่อที่จะให้การบริการ “ว้าว” บุคคลทุกคนจะต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าของเรา และพวกเขาจะต้องสามารถปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าทุกครั้งที่เป็นไปได้ เมื่อบริษัทของเราได้เจริญเติบโต เราจะกลายเป็นช้าลงที่จะรู้สึกและตอบสนองต่อการป้อนกลับของลูกค้า เพราะว่าลำดับชั้นที่บุคคลจะต้องผ่าน การบริหารที่ไร้ผู้บริหารจะทำให้บุคคลทุกคนตอบสนองการป้อนกลับของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราสามารถให้การบริการ “ว้าว” ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มองถึงขนาดของบริษัทของเราแซปโป้ส์ ได้เจริญเติบโตเป็นผู้ค้าปลีกรองเท้าและเสื้อผ้าออนไลน์ใหญ่ที่สุดของโลก พวกเขาจะมีชื่อเสียงจากการบริการลูกค้าที่เหลือเชื่อ การจัดส่งสินค้าฟรี และการรับคืนสินค้า 365 วันฟรี แซปโป้ส์ ได้กำหนดมาตรฐานเทียบเคียงที่เหลือเชื่อต่อคู่แข่งขันของพวกเขา เนื่องจากวัฒนธรรมบริษัทและการมุ่งความพอใจของลูกค้า แม้แต่เจฟฟ์ บีซอส ซีอีโอของอเมซอน ได้กล่าวว่า ผมได้เห็นบริษัทหลายบริษัท แต่ผมไม่เคยเห็นบริษัทที่มีวัฒนธรรมเหมือนกับแซปโป้ส์ แซปโป้ส์ จะไม่เหมือนกับการซื้อบริษัทอื่นของอเมซอน บริษัทสามารถบริหารได้เป็นอิสระจากอเมซอน โดยพื้นฐานแล้วเราจะปฏิบัติต่อพวกเขาเทียบเท่ากับคณะกรรมการบริษัทของเรา อเมซอนได้รับรู้ว่าเราจะมีวัฒนธรรมที่แตกต่าง และวัฒนธรรมของเราจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แซปโป้ส์มีลักษณะเฉพาะ นี่จะเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เราได้เจรจาต่อรองก่อนเป็นส่วนหนึ่งของการซื้อบริษัทวัฒนธรรมที่นอกรีตของแซปโป้ส์ได้ถูกสร้างโดยโทนี่ เชย์ เขาได้สร้างวัฒนธรรมจากความคิดว่าถ้าเราสามารถทำให้บุคคลสนุกสนานกับงานของพวกเขา การบริการที่ยิ่งใหญ่และพลังของตราสินค้าจะพัฒนาโดยธรรมชาติเมื่อ ค.ศ 2013 แซปโป้ส์ ได้ใช้วัฒนธรรมบริษัทที่เรียกว่า การบริหารที่ไร้ผู้บริหาร ทดแทนโครงสร้างองค์การสมัยเดิม การบริหารที่ไร้ผู้บริหารจะเป็นระบบที่ยกเลิกลำดับชั้นการบริหาร การยอมให้บุคคลบริหารตัวเอง การส่งเสริมนวัตกรรมและการให้อำนาจแก่ใครก็ตามภายในบริษัทที่จะตัดสินใจ เพื่อที่จะผลักดันบริษัทไปข้างหน้า การส่งเสริมการกระจายความรับผิดชอบ อำนาจหน้าที่ และความเป็นผู้นำ

ศูนย์บ่มเพาะทารธุรกิจจะเป็นบริษัทที่ช่วยเหลือแก่บริษัทสตาร์ทอัพที่จะพัฒนาด้วยการให้การบริการเหมือนเช่นการฝึกอบรมทางการบริหารและพื้นที่สำนักงาน ศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจจะเป็นสถานที่ของความคิดได้กลายเป็นธุรกิจอย่างไร – ที่ซึ่งสตาร์ทอัพจะได้รับการสนับสนุนและการนำทางเมื่อพวกเขาได้จัดการตลาดและค้นหาเงินลงทุน เราจะมีศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจหลายร้อยแห่งทั่วโลกแนวคิดที่เป็นทางการของการบ่มเพาะทางธุรกิจได้เริ่มต้นภายในอเมริกา ค.ศ 1959 เมื่อโจเซฟ แมนคูโซ ได้เปิด บาทาเวีย อินดัสเตรียล เซ็นเตอร์ ที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าเป็นศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจแห่งแรกของอเมริกา ภายในบาทาเวีย นิวยอร์ค แต่แนวคิดของการให้บริการความช่วยเหลือทางธุรกิจแก่บริษัทระยะเริ่มแรกภายในการร่วมสิ่งอำนวยความสะดวกจะไม่เป็นที่นิยมภายในชุมชนหลายแห่ง เมื่อ ค.ศ 1980 ศูนยบ่มเพาะทางธุรกิจประมาณ 12 แห่งได้ถูกเปิดภายในอเมริกา ตลอด ค.ศ 1980 อุตสาหกรรมศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อบุคคลที่มองการณ์ไกลได้มองเห็นข้อจำกัดของกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจโดยทั่วไปที่มุ่งความดึงดูดทางอุตสากรรมและการขยายตัวของบริษัทใหญ่เท่านั้น เมื่อบุคคลอื่นได้เริ่มต้นรับรู้คุณค่าของการสร้างและการขยายตัวของธุรกิจใหม่ที่จะทำให้เศรษฐกิจท้องที่ยั่งยืน ชุมชนมากขึ้นได้พัฒนาศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจที่จะสนับสนุนธุรกิจใหม่เหล่านี้ ภายในเวลาไม่กี่ปีชุมชนทั่วโลกได้รับแนวคิดของศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจเข้าไว้ การบ่มเพาะทางธุรกิจคือ การช่วยเหลือที่จะเร่งการเจริญเติบโตแก่ผู้ประกอบการ การจัดหาและการบริการทรัพยากรทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ การเลี้ยงดูและการพัฒนาผู้ประกอบการ และการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้อยู่รอดและเจริญเติบโต ณ ช่วงเวลาของการเริ่มต้นที่ไม่มั่นคงอยู่ เป้าหมายของการบ่มเพาะทางธุรกิจคือ การสร้างงานแก่ท้องที่ การกระตุ้นบรรยากาศทางธุรกิจแก่ชุมชน การรักษาธุรกิจภายในภูมิภาคเอาไว้ และการเร่งการเจริญเติบโตของธุรกิจภายในอุตสาหกรรม การสร้างสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงดูผู้ประกอบการที่เพิ่งจะเริ่มต้นธุรกิจได้ก่อให้เกิดศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจขึ้นมาศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจคือ องค์การที่ถูกออกแบบ เพื่อที่จะเร่งการเจริญเติบโตและความสำเร็จของผู้ประกอบการที่เริ่มต้นธุรกิจระยะแรก ศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจได้ให้การสนับสนุนทรัพยากร และการบริการทางธุรกิจที่มีทั้งพื้นที่การทำงาน การฝึกอบรม การสอนงาน การบริการ รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจเป็นเสันทางที่ดีของการเข้าไปสู่แหล่งเงินทุน เช่น สถาบันการเงิน รัฐบาล และนักลงทุน ศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจจะมีประโยชน์หลายอย่างแก่ผู้ประกอบการที่เพิ่งจะเริ่มต้น เช่น การเสนอค่าเช่าสำนักงานและโรงงานที่ต่ำ และการมีผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจหรือนักธุรกิจให้คำแนะนำการวางแผนธุรกิจ และการจัดหาเงินทุนแก่ผู้ประกอบการใหม่ โดยทั่วไปผู้ประกอบการควรจะใช้เวลาเฉลี่ยสองปี ณ ศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจ ณ เวลานี้ิ ผู้ประกอบการจะรวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างตั้งแต่ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์ รวมไปถึงค่าเช่าสำนักงาน เพื่อที่จะลดต้นทุนการดำเนินงานของผู้ประกอบการทุกคน ศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจมักจะเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัย เพื่อที่จะให้การบริการทางวิชาการและเทคนิคแก่ผู้ประกอบการใหม่ด้วยศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจที่น่าตื่นเต้นมากทื่สุดของโลกคือ ซิลิคอน แวลลี่ย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย 20 % ของบริษัทอีเล็คโทรนิคและซอฟท์แวร์ใหญ่ที่สุด 100 บริษัทของโลกจะเกิดขึ้นจากที่นี่ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด นักลงทุน และโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค ได้ทำให้ ซิลิิคอน แวลลี่ย์ เป็นสภาพแวดล้อมที่พิเศษ เพื่อการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ทางปัญญาของผู้ประกอบการ การวิจัยข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศของไมเคิล พอร์เตอร์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยืนยันว่า บริษัทคอมพิวเตอร์และซอฟท์แวร์ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกได้รวมกลุ่มอยู่ ณ ซิลิคอน แวลลี่ย์ และถ้าเป็นศูนย์บ่มเพาะทางธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุดของเอเชียแล้วคือ บังคาลอร์ เมืองใหญ่ของอินเดีย ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซิลีคอน แวลลี่ย์ แห่งอินเดีย ณ ที่นี่ เป็นการรวมกลุ่มบริษัทคอมพิวเตอร์และซอฟท์แวร์ของทั้งอินเดีย และข้ามชาติจำนวนมาก แหล่งผลิตคอมพิวเตอร์ ซอฟท์แวร์ และโปรแกรมเมอร์ ใหญ่ที่สุดของเอเชียเลยทีเดียว การสื่อสาร ณ ที่นี่ จะใช้เป็นภาษาอังกฤษบังคาลอร์ จะรู้จักกันเป็นทางการว่าบังคาลูรู จะเป็นเมืองหลวงของรัฐกรณาฏกะทางตอนใต้ของอินเดีย ศูนย์กลางอุตสาหกรรมไฮเทคของอินเดีย เมืองจะเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นอุทยานและสถานบันเทิงยามค่ำคืนด้วย เมื่อเราเดินไปตามถนน สามสิ่งจะมีอยู่อย่างมากมาย บาร์ วิศวกร และผู้ประกอบการ ด้วยดอกเห็ดของสตาร์ทอัพใหม่บานขึ้นมาเกือบทุกวันจากห้องพักโรงแรมและมหาวิทยาลัย บังคาลอร์จะเป็นระบบนิเวศน์วิทยาของสตาร์ทอัพที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของเอเซียบังคาลอร์จะอยู่บนสุดของที่ราบสูง บังคาลอร์ปรากฏขึ้นเป็นศูนย์ไอทีเมื่อ ค.ศ 1980 และได้กลายเป็นผู้นำอย่างรวดเร็วภายในไอทีของอินเดีย ภายในอเมริกา ซิลิคอน แวลลี่ย์ จะเป็นศูนย์ที่สำคัญของบริษัทไอที เนื่องจากบังคาลอร์จะเป็นศูนย์ที่สำคัญของบริษัทไอที่ บังคาลอร์ได้กลายเป็นที่รูัจักกันว่าเป็นซิลิคอน แวลลี่ย์ของอินเดีย ถ้อยคำได้ถูกใช้ครั้งแรกภายใน ค.ศ 1980 เมื่อการผลักดันเพื่อการปฏิรูปบังคาลอร์ให้เป็นศูนย์ไอที ได้เกิดขึ้นจากผู้บริหารองค์การพัฒนาอิเล็คโทรนิค พวกเขาได้คิดค้นแนวคิดของเมืองอิเล็คโทรนิคส์ บังคาลอร์จะรับผิดชอบประมาณ 30 – 40% ของการส่งออกไอทีจากอินเดียการลุกขึ้นมาของบังคาลอร์เป็นศูนย์ไอทีได้เริ่มต้นเมื่อ ค.ศ 1980 เมื่อบริษัทได้เริ่มค้นหาโอกาสของพวกเขา มหาวิทยาลัยทางวิศวกรรมหลายแห่งได้ถูกเปิดภายในทษวรรษต่อมา บริษัทต่างประเทศแห่งแรกที่ได้เปิดสำนักงานภายในบังคาลอร์คือ เท็กซัส อินสตรูเม้นท์ ปัจจุบันนี้บริษัทซอฟท์แวร์ประมาณ 250 บริษัทจะมีสำนักงานใหญ่ของพวกเขาภายในบังคาลอร์รวมทั้งไฮเทคยักษ์ใหญ่ของอินเดียเหมือนเช่นอินโฟซี่ส์ และไวโพร สี่จากห้าของบริษัทบริการไอทีลำดับสูงสุดของโลกจะอยู่ภายในอินเดียบังคาลอร์จะดึงดูดวิศวกรซอฟท์แวร์และผู้เชี่ยวชาญไอทีจำนวนมากจากทั่วทั้งอินเดีย บริษัทต่างประเทศภายในบังคาลอร์จะมีข้อได้เปรียบอย่างมากเหนือกว่าประทศอื่น พวกเขาสามารถว่าจ้างบุคคลที่มีคุณสมบัติสูงด้วยการจ่ายเพียงหนี่งในสามของค่าจ้างภายในอเมริกาและยุโรปเท่านั้น นอกจากนี้กำลังงานที่พูดภาษาอังกฤษจะไม่มีปัญหาทางภาษา เหนือสิ่งอื่นใดบริษัทไม่ต้องจัดการกับความยุ่งยากของระบบราชการที่พวกเขาได้เผชิญภายในโลกตะวันตกผู้ประกอบการที่บรรลุความสำเร็จจะมีความลุ่มหลงกับธุรกิจของพวกเขามาก ความลุ่มหลงได้เกิดขึ้นจากความเชื่อของผู้ประกอบการว่า การสร้างธุรกิจของพวกเขามีอิทธิพลต่อชีวิตของมนุษย์ หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงโลกได้ ทำไมบิลล์ เกตต์ ไมเคิล เดลล์ หรือ แลร์รี่ย์ และเซอร์จี้ บริน บุคคลเหล่านี้ได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพวกเขาได้ร่ำรวยระดับโลกแล้วผู้ประกอบการสามารถค้นพบและมองเห็นโอกาสได้ดีกว่าบริษัทใหญ่ และแสวงหาประโยชน์จากโอกาสได้อย่างรวดเร็ว เดอร์เร็ค เอเบลล์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเรียกโอกาสเหล่านี้ว่า หน้าต่างเชิงกลยุทธ์ หรือหน้าต่างแห่งโอกาส โอกาสทางตลาดที่หามาได้ภายในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เขาได้กล่าวว่าบริษัทจะมีช่วงเวลาที่จำกัดของความสอดคล้องที่ดีที่สุด ระหว่างความต้องการของตลาดและทรัพยากรและความสามารถของบริษัท การลงทุนผลิตภัณฑ์ต้องอยู่ภายในช่วงเวลานี้ที่หน้าต่างเชิงกลยุทธ์ได้เปิดอยู่ เขาได้สนับสนุนแนวคิดการมีสายตาสั้นทางการตลาดของ ธีโอดอร์ เลวิทท์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จากการระบุขอบเขตทางธุรกิจไว้แคบเกินไป บริษัทที่ระบุภารกิจไว้แคบเกินไป มักจะสูญเสียการมองเห็นหน้าต่างแห่งโอกาสไป

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *