INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

บางข้อสังเกตต่อรัฐประหารเมียนมา

สบาย สบาย สไตล์เกษม

เกษม อัชฌาสัย

บางข้อสังเกตต่อรัฐประหารเมียนมา

 

ผมรู้สึกสลดใจ ในช่วงหนึ่ง ที่ผู้ชุมนุมชาวเมียนมากลุ่มหนึ่งยกป้ายเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกา ส่งทหารเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง เพื่อหยุดยั้งการยึดอำนาจของ”กลุ่มอำนาจทหาร” นำโดย พลเอกมี่น อ่อง ไลง์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งมีอำนาจเต็ม ทั้งในด้านบริหาร ตุลาการและนิติบัญญัติ เพราะกลุ่มนี้มีความเชื่อและศรัทธาในอำนาจของสหรัฐว่า จะช่วยกำจัดเผด็จการได้และทำให้เกิดประชาธิปไตยในเมียนมาได้

เป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่ผมมีต่อกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองในไทยบางกลุ่ม ที่หวังจะพึ่งพากองกำลังต่างชาติ โดยเฉพาะสหรัฐ เข้ามาจัดการกับการเมืองในไทย หากพวกเขาสามารถก่อให้เกิดการจลาจลและนองเลือดขึ้นมาได้ในแผ่นดินไทย สามารถสร้างความแตกแยกระส่ำระสาย เพราะเบื่อหน่ายต่อระบอบการปกครองปัจจุบันเต็มที ที่มีความเชื่องช้า ไม่ยอมเป็นประชาธิปไตยเต็มใบเสียที

ความเคลื่อนไหวนี้ นับเป็น”ความฝันที่เกิดขึ้นท่ามกลางความสว่างตอนกลางวัน”โดยแท้จริง

เพราะการกระทำเยี่ยงนั้น โดยข้อเท็จจริงแล้ว ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่มีใครหรือคนที่ปกติ เขาทำกัน

ไม่เหมือนกับการสั่งรุกรานอิรักของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช แห่งสหรัฐ ซึ่งเป็นไปโดยผิดกฎหมาย แต่เขายอมโกหก เขายอมทำ เพราะอยากได้ทรัพยากรน้ำมันอันอุดมในอิรักต่างหาก มิใช่เพราะอิรักมีความผิด ฐานครอบครองอาวุธร้ายแรงที่ประสิทธาพในการทำลายล้างสูงเอาไว้ในครอบครอง ตามที่”บุช”อ้างบ่อยๆ จนใครๆ พากันเชื่อเขา รวมทั้ง”ทักษิณ”ที่พลั้งพลาดส่งทหารไทยไปช่วยสหรัฐในอิรัก ดีที่ไม่ใช่หน่วยรบ

หรือไม่เหมือนกับการที่สหประชาชาติส่งกองกำลังนานาชาติเข้าไปรักษาสันติภาพในกัมพูชา คอยกั้นกลางมิให้เกิดการสู้รบกัน ระหว่างเขมรสามฝ่าย ซึ่งก่อนหน้านั้น รบกันเอาเป็นเอาตายจนทุกอย่างพินาศย่อยยับไปสิ้น กระทั่งไทยเองก็อดรนทนไม่ได้ ต้องนำเสนอให้มีการเจรจาตกลงผ่านอาเซียน เพื่อสร้างสันติภาพขึ้นมาใหม่และจบลงโดยการเลือกตั้ง ภายใต้การควบคุมของสหประชาชาติ อันนำมาซึ่งความสงบในกัมพูชาจนทุกวันนี้ โดยไม่ได้คำนึงว่า ในภายหลัง ที่นั่นจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่แค่ไหนและอย่างไร

คงปล่อยให้ชาวกัมพูชาเขากำหนดและปกครองกันเองตามลำพัง หากเกิดปัญหา”เลยธง”เมื่อใด ก็เพียงคอยตักติงหรือตักเตือนกัน เท่าที่จะทำได้เท่านั้น

นั่นเป็นเป็นเหตุผลที่ ๑ ที่จะไม่มีกองทัพอะไร หรือแม้แต่กองทัพสหประชาติเข้าไปแทรกแซงในเมียนมาได้ง่ายๆ หากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเมียนมา ไม่เห็นด้วย

ส่วนเหตุผลข้อที่ ๒ ก็คือ คงจะไม่มีชาติใด หรือกองกำลังนานาชาติใด ๆ อยากเข้าไปในเมียนมาเวลานี้ อันเป็นเวลาที่แต่ละชาติและเมียนมาเอง ก็กำลังเกิดการแพร่ระบาดของโรค”โควิด 19”อยู่

ภารกิจในการแก้ไขปัญหา”โควิด 19”ภายในของแต่ละชาติจึงจะต้องมาก่อน ไม่ใช่ไป”แส่”เรื่องของคนอื่น

จึงยังน่าสนใจว่า ทำไมอินโดนีเซียในฐานะชาติใหญ่ที่สุดใน”อาเซียน”(ประชากรกว่า๒๖๕ ล้าน)จึงรีบเคลื่อนไหว เพื่อไปหารือรัฐบาลทหารเมียนมาในเวลานี้ ซึ่งทั้งนี้ ด้วยความพยายามที่จะส่งตัวรัฐมนตรีต่างประเทศคือนาง”เรตโน มาร์ซูดี”ไปยังกรุงเนปิดอว์ หมายเจรจาหารือกับคณะทหารเมียนมา เพื่อหาทางออกที่เหมาะสม อย่างน้อยที่สุด ก็เพื่อหยุดยั้งเหตุการณ์ร้ายเฉพาะหน้า ที่อาจจะเกิดขึ้นวันนี้-พรุ่งนี้ จากการเข้าปราบปรามประชาชน ที่ชุมนุมต่อต้านรัฐประหารตามเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ

ซึ่งนั่นเป็นอุบัติการณ์ซึ่งชาติสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นมาซ้ำอีก เช่นที่เคยเกิดมาแล้วในช่วง”การก่อการกำเริบ 8888” (เริ่มในวันที่ ๘ สิงหาคม ๑๙๘๘)ซึ่งมีผู้เสียชีวิตระหว่าง ๓,๐๐๐ ถึง ๑๐,๐๐๐ คนในการลุกฮือทั่วประเทศต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ”เนวิน”หลังถูกกดหัวมานานถึง ๒๖ ปี

แต่เจตนารมณ์ของอินโดนีเซีย ซึ่งมีข่าวว่า เกิดจากการหารือกันก่อนหน้า ระหว่างสามชาติคือ อินโดนีเซีย สิงคโปร์และมาเลเซียจริงๆ ว่าจะมอบหน้าที่ให้อินโดนีเซีย ทำหน้าที่ทาบทามทุกชาติสมาชิกโดยเฉพาะเมียนมา ก่อนที่จะตกลงกันเป็นหนึ่งเดียวเป็นมติ ก็น่าจะอยู่ที่ว่า จะทำอย่างไร ทั้งสองฝ่ายจึงจะประนีประนอมกันได้ระหว่าง”กลุ่มอำนาจทหาร”กับรัฐบาลพลเรือนของนางอองซาน ซูจี ในการที่จะประคับประคองเพื่อเดินหน้าต่อไปด้วยกันเหมือนเดิมอย่างน้อยก็ตามที่ตกลงกันไว้ว่าจะร่วมปฏิรูปชาติและพัฒนาไปสู่ระบอบประชาธิปไตยเต็มรูบแบบในอนาคต ซึ่งนั่นไม่ใช่การแทรกแซง ซึ่งชาติอาเซียนจะไม่ทำ

เพราะมาบัดนี้”กลุ่มอำนาจทหาร”กลับลุแก่โทษะ”ผลุนผลันเข้ายึดอำนาจเอาไว้เองอีก ด้วยเกรงว่าเมียนมาต้องกลายเป็นประชาธิปไตยเต็มใบโดยเร็ว เพราะพรรค”เอ็นแอลดี”ได้ชัยชนะท่วมท้นมากกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ๘๐ เปอร์เซ็นต์

อนึ่งใคร่ตั้งข้อสังเกตว่า ไม่น่าเชื่อ”กลุ่มอำนาจทหาร”แถลงโดย”มิน อ่อง ไลง์”ที่ว่าจะรักษาคำมั่นสัญญาให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ เมื่อยึดอำนาจครบหนึ่งปี นั่นน่าจะเป็นข้ออ้างที่ไม่น่าไว้ใจ เพราะในที่สุดก็จะเลื่อนและเลื่อนเวลาออกไปเรื่อยๆ เช่นที่เกิดแล้วในเมืองไทย

แต่เป็นข้ออ้าง ที่ช่วยทำให้เหตุผลในการลงมือรัฐประหารว่ามีการโกงเลือกตั้ง มีน้ำหนัก

หากเลือกตั้งขึ้นมาอีกครั้งคราใด พรรค”เอ็นแอลดี”ก็ยิ่งจะชนะเสียงท่วมท้นมากยิ่งไปมากกว่าเดิม

จึงสามารถสรุปได้ว่า ถ้าหากการยึดอำนาจคราวนี้หมายจะช่วยยืดอำนาจของ”กลุ่มอำนาจทหาร”ออกไปได้อย่างยาวนาน เหมือนสมัยนายพลเนวินนั้น ไม่มีทางเป็นจริงไปได้ เพราะแรงกดดันทั้งจากภายในและจากสากลเที่ยวนี้ มีมากกว่าครั้งใดๆ ทั้งสิ้น

เป็นไปได้ว่า ถ้าเที่ยวนี้ยังมีการสังหาร ไล่ล่าฆ่าประชาชนกันอีก บางทีครับบางที จะเกิดการก่อการร้ายตอบโต้อย่างต่อเนื่องเช่นในตะวันออกกลางเลย

ถามว่า เมียนมาจะเป็นอย่างไร หากมีการระเบิดฆ่าตัวตายขึ้นและบ่อยครั้ง

มีคำถามว่า เรื่องนี้ทำไมไทยจึงไม่ทำหน้าที่เป็น”ตัวกลาง”ในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในเมียนมา

คำตอบก็คือ ไทยหลีกเลี่ยงการแทรกแซงกิจการภายในเมียนมา ซึ่งเป็นชาติเพื่อนบ้านใกล้ชิดและไว้วางใจกันมาก ยิ่งกว่าสมัยใดๆ

นอกจากนั้น การที่”มี่น อ่อง ไลง์”มีจดหมายส่วนตัวถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี เพื่ออธิบายถึงเหตุผลในการยึคอำนาจและขอให้”สนับสนุนประชาธิปไตย”เมียนมานั้น ก็คือการมัดมือชกชัดๆ คือไม่ต้องการให้ไทยวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถตีความต่อได้ว่า เป็นการร้องขอในนาม”กลุ่มอำนาจทหาร”ที่มีถึงอดีตผู้นำ”กลุ่มอำนาจทหาร”ด้วยกัน ได้มีความเห็นอกเห็นใจกัน

แต่”มี่น อ่อง ไลง์”ผิดกับพล.อ.ประยุทธ์ ตรงที่ว่า ทำรัฐประหารเพื่อรักษาอำนาจทหาร มิใช่เพื่อความมั่นคงของชาติ เช่น พล.อ.ประยุทธ์ ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ก็เงียบกริบจริง ๆ ไม่พูดจาอะไร และไทยทำได้ แค่เพียงแค่อำนวยความสะดวกทางการทูตให้เท่านั้น สำหรับการหารือ ที่จะมีขึ้นเป็นครั้งแรกในกรุงเทพมหานครระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย”เรตโน มาร์ซูดี”กับรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมา”วรรณะ หม่อง ลวิน”ในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ โดยมี รัฐมนตรีต่างประเทศไทย”ดอน ปรมัตถ์วินัย”เป็นประจักษ์พยาน

การตั้งข้อสังเกตของผม ต่อกรณีเมียนมา ขอสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ก่อนครับ

 

 

 

 

 

 

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *