INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

อุซามะฮ์ บินลาดิน : จากวีรบุรุษสู่ผู้ก่อการร้าย ตอนจบ

อุซามะฮ์ บินลาดิน : จากวีรบุรุษสู่ผู้ก่อการร้าย ตอนจบ

จรัญ มะลูลีม

พันธมิตรของบินลาดินได้ขยายตัวไปทั่วคาบสมุทรอาหรับ  องค์การหลักของเขายังไม่มีโครงสร้างใดที่เห็นอย่างชัดเจน  แต่มีกองกำลังเคลื่อนที่ที่สามารถปฏิบัติการได้ทุกๆ ที่ เชื่อกันว่าทหารลับของบินลาดินมีการติดอาวุธอย่างดี  มีจรวดยิงจากพื้นดินสู่อากาศมีปืนครกและรถหุ้มเกราะ

ก่อนบินลาดินจะถูกปิดชีวิตเป็นเวลานานนั้นการไล่ล่าเขามีมาอย่างต่อเนื่อง  ในเดือนมกราคม 1996 เครื่องบินลาดตระเวนของสหรัฐได้รุกล้ำน่านฟ้าของปากีสถานบ่อยครั้ง   และถลำลึกเข้าไปถึง 50 กิโลเมตร   เกือบจะถึงเขตของกรุงการาจีเพื่อจะตรวจค้นฐานของบินลาดิน  เจ้าหน้าที่ปากีสถานกล่าวว่าคนของบินลาดินมีเครือข่ายอยู่ในเมืองเปชาวาร์  และใช้เป็นจุดศูนย์กลางสำหรบการใช้โทรศัพท์ โทรสาร และการติดต่ออื่นๆ

สิ่งที่ทำให้ภารกิจของสหรัฐมีความยากลำบากมากขึ้นก็คือในช่วงที่มีสงครามในประเทศอัฟกานิสถานนั้น CIA มิได้พัฒนาผู้เชี่ยวชาญซึ่งทำงานร่วมกันเป็นทีมในเรื่องของอัฟกานิสถานขึ้นมา  ผู้เชี่ยวชาญอัฟกานิสถานไม่ได้เข้ามาที่อัฟกานิสถานจนกว่าจะถึงปี 1997 เป็นเวลาครึ่งปีก่อนสงครามจะสิ้นสุดลง

บินลาดิน ชาวซาอุดีอาระเบีย ซึ่งอยู่ในวัย 44 ปี ได้ทำให้ชีวิตของเขากลายเป็นทหารที่ต่อต้านสหรัฐและตัวแทนของสหรัฐทั่วโลก  การค้นหาตัวบินลาดินจึงมุ่งเข้าสู่อัฟกานิสถานตลอดเวลา    หลังจากการโจมตีตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ และตึกเพนตากอนได้ 3 วัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ  Colin Powell (ที่พึ่งจะจากไปหลังจากสารภาพว่ามีความผิดพลาดในการกล่าวหาอิรักว่ามีอาวุธร้ายแรง (WMD) จนนำไปสู่การเสยชีวิตของชาวอิรักในเวลาต่อมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านคน) ได้เอ่ยชื่อเขาในฐานะของผู้ต้องสงสัยเป็นรายแรก

จากที่ซ่อนตัวในอัฟกานิสถาน บินลาดินนอกจากจะดำเนินการจัดตั้งองค์การอัลกออิดะฮ์ ซึ่งเป็นองค์การที่เป็นค่ายฝึกฝนทางด้านการทหารใกล้กับเมืองญะลาละบัด (Jalalabad) ทางตะวันออกของเมืองกอนดาฮาร์   ทางใต้ และในดินแดนภูเขาที่ใหญ่โตแล้ว  คนหลายคนที่ได้รับการฝึกฝนจากค่ายนี้ยังมาจากกลุ่มนักสู้จากปากีสถานอีกด้วย เช่น กลุ่มฮะรอกะตุลมุญาฮิดีน (Harakat-ul-Mujahideen) ที่ต่อสู้อยู่ในแคว้นแคชเมียร์

Peter Bergen นักเขียนจากวอชิงตันซึ่งเคยพบกับบินลาดิน เชื่อว่าบินลาดินมีนักต่อสู้ที่ใช้ระเบิดพลีชีพอยู่ในองค์กรของเขาด้วย Bergen กล่าวว่าบินลาดินอยู่ในภูเขาลูกใหญ่ที่พาดผ่านอัฟกานิสถาน  เขาเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน   ที่ผ่านมารัฐบาลฏอลิบานรัฐบาลแรกยืนยันว่าได้ตัดเครื่องอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารทุกอย่างของบินลาดินออกไปหมดแล้ว แต่แหล่งข่าวกรองของตะวันตกได้ปฏิเสธในเรื่องนี้

การที่รัฐบาลฏอลิบานสมัยแรกไม่ยอมส่งตัวบินลาดินให้กับสหรัฐนั้นนอกจากไม่มีหลักฐานเพียงพอแล้ว  ยังมีเรื่องที่สำคัญมากกว่านั้น  เนื่องจากบินลาดินได้ใช้ทรัพย์สินของเขาในกิจการต่างๆ เพื่อช่วยรัฐบาลฏอลิบานมาแล้ว  อย่างน้อยชาวอาหรับจำนวนมากมายก็ได้เข้ามาต่อสู้เคียงคู่ไปกับรัฐบาลฏอลิบานและได้ขยายการปฏิบัติการเข้าสู่เอเชียกลางและปากีสถาน    ด้วยเหตุนี้รัฐบาลของฏอลิบานคนหนึ่งจึงพูดถึงบินลาดินอย่างเปิดเผยในฐานะที่เป็นวีรบุรุษของเขา

บางถ้อยคำของบินลาดินที่น่าสนใจ  ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจตัวตนของเขา  และความเป็นปรปักษ์ที่มีต่อเขาจากสหรัฐและพันธมิตรดังต่อไปนี้

  • ปากีสถานควรยอมให้มีค่ายทหารเพื่อการทำญิฮาดของชาวแคชเมียร์ – 1998
  • ศัตรูใหญ่ที่สุดของเราคือสหรัฐและอินเดีย เราควรมุ่งไปที่พวกเขาโดยใช้ความพยายามที่ดีที่สุดของเรากลุ่มต่างๆ ที่ทำการญิฮาดในปากีสถานควรจะร่วมกันใช้ความพยายามที่จะประกาศสงครามกับประเทศทั้งสองนี้ (กันยายน 1998)
  • อินเดียแสดงละครการเลือกตั้งขึ้นในแคว้นแคชเมียร์ ข้าพเจ้าพร้อมเสมอที่จะช่วยชาวแคชเมียร์มุญาฮิดีน (กันยายน 1984)
  • ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าการโจมตีอย่างรุนแรง (ในอิรัก) ยืนยันได้ว่าอังกฤษและสหรัฐปฏิบัติการในนามของอิสราเอลและชาวยิว เป็นการเปิดทางให้กับการแบ่งโลกมุสลิมอีกครั้งหนึ่ง  (มกราคม 1998)
  • เราควรเข้าใจศาสนาของเราให้ถ่องแท้ การต่อสู้เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาของเรา ชาริอะฮ์ (กฎหมายอิสลาม) เป็นส่วนหนึ่งของบรรดาผู้ที่รักพระผู้เป็นเจ้าและศาสนาของพระองค์   และศาสนานี้ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้    ใครก็ตามที่ปฏิเสธหลักการแม้เพียงเล็กน้อยของศาสนาของเรา  เป็นผู้ทำผิดอย่างมหันต์ในอิสลาม (1998)
  • ญิฮาดจำเป็นจะต้องกระทำขึ้นโดยชาติต่างๆ เราเชื่อว่าบรรดาผู้เข้าร่วมในอัฟกานิสถานเป็นผู้รับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ในเรื่องนี้ เนื่องจากพวกเขาได้เรียนรู้ว่าด้วยจำนวนรถถังต่อต้านกับระเบิดเพียงไม่กี่คัน   พร้อมด้วยปืนไรเฟิลที่มิได้น่าเกรงขาม  ปืนคาลอชนิคอฟ ไม่กี่กระบอกพวกเขาก็สามารถบดขยี้มหาอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันของมนุษยชาติ (ตุลาคม 1999)
  • พระผู้เป็นเจ้าอำนวยพรให้ชาวมุสลิมพร้อมกับการเข้ามาปกครองของฏอลิบาน มันมิใช่กองกำลังที่ถูกผลักไสออกนอกประเทศอย่างเช่นชาวครูเสดในสื่อตะวันตกที่พยายามจะนำภาพเหล่านั้นมาแสดงให้เห็น  แต่เป็นกองกำลังที่ดันตัวเข้ามา   ผู้คนที่ป่วยไข้และเหนื่อยหน่ายกับโจรตามท้องถนน  การต้องจ่ายภาษีเพื่อปกป้องเงินตรานั้นฏอลิบานได้ทำให้สิ่งนี้หมดไป (1999)
  • ข้าพเจ้ารู้ว่ารัฐบาลปากีสถานตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการรวมเข้าด้วยกันของชาวคริสต์และชาวยิวเพื่อที่จะเกลี่ยกล่อมฏอลิบานให้ขับไล่ข้าพเจ้าออกไปจากอัฟกานิสถาน แรงกดดันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสมรู้ร่วมคิดกันต่อต้านมุสลิมอุมมะฮ์ (ประชาชาติอิสลาม) 1999
  • ภารกิจของอุสามะฮ์ บินลาดิน คือการสิ้นสุดการรุกรานของอิสราเอล คนหนุ่มนับร้อยๆ คนได้ปฏิญาณว่าจะตายเพื่อเขา – ตัวแทนของบินลาดินอ้างในเอาสุล (Ausul) หนังสือพิมพ์รายวันของปากีสถาน  (12 กันยายน 2000)

ที่ผ่านมามีความเชื่อกันโดยทั่วไปว่าบินลาดินพำนักอยู่ในสองค่ายด้วยกันคือในฟัรมาดา (Farmada) ดารูนา(Daruna) ใกล้กับเมืองญาลาละบัดทางตะวันออกของอัฟกานิสถาน

นานๆ สักครั้งที่บินลาดินจะปรากฏตัวแก่สารธารณชน  ผู้คนได้เห็นเขาในช่วงเดือนมกราคม 2001 ในเมืองกอนดาฮาร ในงานแต่งงานบุตร่ชายของเขากับบุตรสาวของผู้ช่วยของเขาเอง  และในเดือนมิถุนายนก็มีวีดีโอเทปเขาปรากฏให้เห็น  โดยภาพนั้นได้รับการตีพิมพ์อยู่ในหนังสือพิมพ์อาหรับ  พร้อมกับกลุ่มนักรบจำนวนหนึ่ง   ได้ปรากฏอยู่ในโทรทัศน์อัลญาซีเราะฮ์ ของการ์ดา

หลังการโจมตีอัฟกานิสถานของสหรัฐและพันธมิตร  ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเป็นสถานที่ใด  บินลาดินได้วิจารณ์ถึงสหรัฐในช่วงหลังเอาไว้ว่า   สหรัฐมีความอ่อนแอกว่าที่เห็น ตัวเขาเองเคยหลบหลีกจรวดที่สหรัฐยิงเข้ามาที่อัฟกานิสถาน  ซึ่งหมายจะสังหารชีวิตเขามาได้  ดังนั้น การต่อสู้กับสหรัฐและพันธมิตร  จึงกลายเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคย  สำหรับตัวเขาแล้วสหรัฐเคยเป็นทั้งครูที่เคยสอนการรบให้แก่เขาและต่อมาสหรัฐก็กลายเป็นศัตรูที่ไล่ล่าเขาและปลิดชีวิตเขาลงได้ในเมืองอับบอตตาบัต  โดยหน่วยซีลของสหรัฐ

ไม่ว่าบินลาดินจะถูกมองด้วยสายตาของชาวโลกไปในทิศทางใดก็ตาม    สำหรับชาวมุสลิมแล้ว คนเคร่งครัดอย่างบินลาดินมิใช่คนที่จะพูดโกหกได้  ด้วยเหตุนี้เขาจึงยังเป็นผู้ที่บริสุทธิ์จากการอยู่เบื้องหลังการถล่มตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ และตึกเพนตากอนอยู่ในสายตาของคนมุสลิมและคนที่ไม่ใช่มุสลิมหลายล้านคนทั่วโลก

แม้ว่าในที่สุดเขาจะจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐที่บินลาดินเคยร่วมทำสงครามต่อต้านโซเวียตมาด้วยกันกับพวกเขามาก่อนในเมืองแอบบอตตาบัดของปากีสถาน ซึ่งเป็นที่รับทราบกันเป็นอย่างดีโดยทั่วไปแล้วก็ต*าม  การจบชีวิตของเขาถูกนำเอามาอ้างเป็นสาเหตุหนึ่งของการสิ้นสุดสงครามที่สหรัฐเข้ามาร่วมรบในอัฟกานิสถานและจบลงด้วยความพ่ายแพ้เหมือนกับที่รัสเซียเคยพ่ายแพ้มาแล้วนั่นเอง

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *