บทเรียนแสนแพงจาก“ราชาแห่งนก”

สบาย สบาย สไตล์เกษม
เกษม อัชฌาสัย
บทเรียนแสนแพงจาก“ราชาแห่งนก”
ในที่สุดอดีตประธานาธิบดี”โกฏอภัย ราชปักษา”(นามสกุล แปลว่า”นกใหญ่”หรือ”ราชาแห่งนก”)ก็หนีไปไหนไม่รอด ต้องเดินทางกลับศรีลังกา เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
หลังจากเร่ร่อนเดินทางไปยัง”มัลดีฟส์”หมายไปต่อยังตะวันออกกลาง แต่กลับต้องไปสิงคโปร์แทน จากนั้นก็มาเมืองไทย ก่อนจะกลับไปศรีลังกา ด้วยหมดหนทางไป
สภาพอย่างนี้ ตีความได้ว่า ไปขอลี้ภัยการเมืองที่ไหน ก็ไม่มีใครเขายอมรับและที่ไม่รับก็เพราะความผิดพลาด ในการบริหารบ้านเมืองของท่าน ช่างใหญ่โตมโหฬาร เกินกว่าที่ใครๆ จะกล้ารับตัวไว้ลี้ภัยได้
ทั้งนี้ ด้วยเกรงว่า จะเกิดความหมางเมิน ทางด้านความสัมพันธ์กับรัฐบาลศรีลังกา ในอนาคตนั่นเอง
บางรายงานข่าว(ต้องขออภัยยิ่ง จำไม่ได้แน่ชัดว่าสำนักไหน)จากตะวันออกกลางเปิดเผยว่า
อันที่จริง”โกฏอภัย”อยากไปพำนักลี้ภัยในซาอุดีอาระเบียมาก
แต่ซาอุดีอาระเบีย ทำเป็นเฉยเมย ด้วยขุ่นเคือง กรณีที่เขา(ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี)เคยมีคำสั่ง ห้ามประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแก่รรดามุสลิมศรีลังกา ที่ตายไปเพราะโรคระบาด”โควิด 19”
ห้ามไม่ให้นำศพไปฝัง แต่ต้อง”เผา”เท่านั้น
ทั้นี้ เพื่อทำลายและกำจัดเชื้อโรคอย่างเด็ดขาด มิให้เหลือหลอ
เรื่องนี้ มีเสียงประท้วงจาก “โอไอซี” หรือองค์การความร่วมมืออิสลาม ซึ่งมีสมาชิก ๕๗ ประเทศและมีซาอุดีอาระเบียเป็นสมาชิกระดับหัวหน้า
ด้วยเห็นว่าคำสั่งของ”โกฏอภัย”นั้นสุดโต่ง เพราะในชาติอื่นในโลก เขาไม่ทำกัน
เพียงแต่ต้องมี มาตรการป้องกันที่เรียบร้อยและเข้มขัน ในการเอาไปฝัง เช่น รู้ว่ามุลิมเสียชีวิตด้วย”โควิด 19”แน่ๆ ก็จะห่อศพอย่างมิดชิดที่สุดจากโรงพยาบาล ห้ามเปิดห่อเด็ดขาด อนุญาตให้ประกอบพิธีกรรมอย่างย่อสั้น ด้วยการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด
ศพมุสลิมที่เสียชีวิตเพราะ”โควิด 19” ในเมืองไทย ก็ทำกันอย่างนี้
การแพร่ระบาด”โควิด 19”จากศพ ก็จะไม่มีแน่นอน
งานนี้ ในที่สุดส่งผลให้”โกฏอภัย”ต้องยกเลิกกฎเหล็ก ที่ว่าต้องนำศพมุสลิมไปเผา
แต่งซาอุดีอาระเบียกลับไม่ลืมเลือน
“โกฏอภัย”จึงไม่มีโอกาสไปลี้ภัยในซาอุดีอาระเบีย ที่ๆ เขาจะสามารถใช้เงินใช้ทอง ที่ขนไปมากมาย อย่างสะดวกดาย
ในที่สุด เมื่อเห็นว่า คนที่สืบอำนาจต่อจากเขา คือ “รานิล วิกรมสิงห์” ซึ่งสังกัดเส้นทางการเมืองสายเดียวกับเขา ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่พร้อมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง
เขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้านและได้รับการคุ้มกันเป็นอย่างดี
ว่ากันว่าตราบเท่าที่”รานิล วิกรมสิงห์”ยังอยู่ในอำนาจ การดำเนินคดีเอาผิด”โกฏอภัย”ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น
เพราะทางการเมืองนั้น พวกใครก็พวกใครอยู่แล้ว
พี่น้องคนไทยเรา ก็รู้กันดีอยู่ มิใช่หรือ
ทีนี้สิ่งจะเกิดขึ้นก็คือ การจุดกระแสปะทุ จากกลุ่มที่ต่อต้าน”โกฏอภัย”ที่คาดว่าจะต้องเกิดขึ้น แน่นอน ในรูปใดรูปหนึ่ง
โดยเฉพาะกลุ่มสิทธิมนุษย์ได้กล่าวหารัฐบาลของ”วิกรมสิงห์”ว่า ยังคงพยายามกวาดล้างผู้ประท้วงอยู่ ที่ถูกจับไปขังไว้ ก็หลายคน แม้จะให้ประกันตัว
ฝ่ายต่อต้านอื่นๆ ก็เกรงเหลือเกินว่า ตระกูล”ราชปักษา”จะกลับมาเป็นใหญ่อีก จะยอมไม่ได้ จึงต้องมีการเคลื่อนไหวต่อ ให้เอาผิดตามกฎหมาย
รัฐบาล”วิกรมสิงห์”จึงตกอยู่ในภาวะ”เขาควาย”กลืนไม่เข้า คายไม่ออก
ไหนจะถูกการเมืองคุกคาม ไหนจะต้องบริหารบ้านเมือง ให้พ้นจากการเป็น”รัฐล้มเหลว”
ดีที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ อนุมัติเงินฟื้นฟูเบื้องต้นมาให้แล้ว เป็นเงินกู้ระยะยาว ๒.๙ พันล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมตั้งเงื่อนไขเพียบ เพื่อรักษาระเบียบวินัยในการใช้เงิน รวมทั้งจะต้องปฏิรูปและปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ๕๑ พันล้านเหรียญสหรัฐกับเจ้าหนี้รายต่างๆ อีกด้วย
นี้คือ “งานหิน”ครับ
ขณะที่การจัดระเบียบทางเศรษฐกิจภายใน ก็ยังไม่ก้าวไกล ไปสักแค่ไหน ปัญหาเดิมๆยังคงวนเวียน ไม่สิ้นสุด แม้รัฐบาลจะพยายามทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจภายในให้ก้าวเดิน ด้วยการหาเชื้อเพลิงมาจำหน่าย แต่ก็ต้องลงทะเบียนควบคุม ออกใบรับรองการซื้อ-ขาย ผ่านทางสถานีบริการน้ำมันเท่านั้น
จะขายรายย่อยๆ อย่าง”ปั๊มขวด”เช่นในลาว ไม่ได้เด็ดขาด
อาหารหลักๆ ไม่ขาดแคลนแล้ว หาซื้อได้ตามร้านรวง แต่ราคายังสูงลิบลิ่ว เพราะอัตราเงินเฟ้อ ขึ้นไปถึง ราว ๆ ๖๕ เปอร์เซ็นต์
ประมงชาวบ้านติดทะเล ยังโวยไม่หยุด ยังหาซื้อน้ำมันก๊าด ใช้กับเครื่องยนตร์ได้ยากลำบากและแพงมาก เพราะราคาขึ้นไป ๓๔๐ รูปีต่อลิตร จากเดิม ๘๗ รูปีต่อลิตร และหาซื้อได้ยากมาก
มีรายงานว่า ราคาน้ำมันก๊าดในตลาดมืด ขึ้นไปที่ ๑,๘๐๐ รูปี ต่อลิตรแล้ว
ฉะนั้น ชาวประมงเล็กๆ ที่ทำได้คือ หยุดออกทะเล ยอมตกงาน เที่ยวหาอะไรกิน พอยาไส้ลูกเมียไปวันๆ
มีรายงานว่า ชาวศรีลังกาจำนวนไม่น้อย เริ่มหลบหนีอพยพเข้าอินเดียกันแล้ว เพียงแต่ไม่รู้แน่ชัดว่ามีจำนวนเท่าไร
เห็นหรือยังว่า ความย่อยยับ ที่เกิดจากการบริหารผิดพลาดของรัฐบาลศรีลังกา ยุคที่ผ่านมา เป็นอย่างไร
ตั้งแต่ กรณีฉ้อราษฏร์บังหลวงของตระกูล”ราชปักษา”อันนำไปสู่การผิดชำระหนี้สินระหว่างประเทศ ส่งให้เกิดภาวะขาดแคลน ยารักษาโรค อาหารและเชื้อเพลิง
เมืองไทยเรา คงยอมให้เป็นเช่น ศรีลังกาไม่ได้ ไม่ว่าจะเมื่อไร
คนไทยจึงต้องตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ทั้งภาครัฐบาลเองและภาคประชาชน ล้วนต้องเที่ยงตรง ชอบธรรม
นักการเมืองประเภท”เฮงซวย”และคนไทยประเภทเลือกตั้ง”ชุ่ยส่ง”เห็นแก่สินว่าจ้าง โปรดจำใส่กระโหลกไว้ด้วย
เดี๋ยวจะหาว่า “หล่อไม่เตือน”







