บันทึกการศึกษา: ผลกระทบของแซงค์ชั่นตะวันตกต่อการเสียชีวิต 38 ล้านคน (1970-2021)
บันทึกการศึกษา: ผลกระทบของแซงค์ชั่นตะวันตกต่อการเสียชีวิต 38 ล้านคน (1970-2021)
ข้อมูลเบื้องต้น
แหล่งข้อมูล: รายการ “World Affairs in Context” นำเสนอโดย Lena Petrova
งานวิจัยอ้างอิง: การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet Global Health (25 กรกฎาคม 2025)
ชื่องานวิจัย: “Effects of international sanctions on age-specific mortality: a cross-national panel data analysis”
ผู้วิจัยหลัก:
Francisco Rodríguez – นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเดนเวอร์ (University of Denver)
Mark Weisbrot – ผู้ร่วมอำนวยการ Center for Economic and Policy Research (CEPR)
Silvio Rendón – นักเศรษฐศาสตร์ร่วมวิจัย
หน่วยงานวิจัย: Center for Economic and Policy Research (CEPR)
ช่วงเวลาศึกษา: พ.ศ. 2513-2564 (ค.ศ. 1970-2021)
-Francisco Rodríguez – นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเดนเวอร์ (University of Denver)
-Mark Weisbrot – ผู้ร่วมอำนวยการ Center for Economic and Policy Research (CEPR)
-Silvio Rendón – นักเศรษฐศาสตร์ร่วมวิจัย
หน่วยงานวิจัย: Center for Economic and Policy Research (CEPR)
ช่วงเวลาศึกษา: พ.ศ. 2513-2564 (ค.ศ. 1970-2021)
ผลการศึกษาหลัก
สถิติที่น่าตกใจ
จำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด: 38 ล้านคน จากแซงค์ชั่นฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป
ช่วงทศวรรษ 1990: มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี
ปี 2021: แซงค์ชั่นทำให้เสียชีวิตมากกว่า 800,000 คน
เปรียบเทียบ: จำนวนผู้เสียชีวิตจากแซงค์ชั่นสูงกว่าสงครามติดอาวุธ (ประมาณ 100,000 คนต่อปี)
กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด
เด็กและผู้สูงอายุ:
เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี คิดเป็น 51% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด
กลุ่มอายุ 0-15 ปี และ 60-80 ปี รวมกัน 77% ของผู้เสียชีวิต
กลุ่มเปราะบางเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนอาหาร ยารักษาโรค และบริการสาธารณสุข
ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบ
ประเทศในซีกโลกใต้ (Global South) ได้รับผลกระทบมากที่สุด
ประเทศที่ถูกแซงค์ชั่นขาดแคลนการเข้าถึงยารักษาโรค เทคโนโลยีทางการแพทย์ และสินค้าจำเป็น
กลไกการทำลายที่ซ่อนเร้น
รูปแบบการทำงานของแซงค์ชั่น
1.การตัดการเข้าถึงระบบการเงินสากล – ธนาคารไม่กล้าทำธุรกรรม แม้แต่การซื้อยาและอาหาร
2.การขาดแคลนอะไหล่และเทคโนโลยี – โรงพยาบาลและโรงงานผลิตหยุดทำงาน
3.ผลกระทบต่อจิตวิทยา – ความไม่แน่นอนและความกลัวในสังคม
4.การชะลอการพัฒนา – การลงทุนด้านสาธารณสุขและการศึกษาลดลง
ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
-เด็กเล็ก: ขาดสารอาหาร วัคซีน และการรักษาพยาบาล
-ผู้สูงอายุ: ขาดยารักษาโรคเรื้อรัง
-ผู้ป่วยโรคร้ายแรง: ไม่สามารถเข้าถึงยาและการรักษา
-คนจน: ไม่มีทางเลือกในการหาทางออกจากวิกฤต
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปี 1960
งานวิจัยอ้างอิงเอกสารที่ปัจจุบันเปิดเผยแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้แซงค์ชั่นเป็นเครื่องมือสร้างความทุกข์ทรมานแก่ประชากรเพื่อกดดันรัฐบาลเป้าหมาย ไม่ใช่ผลข้างเคียงที่ไม่ได้ตั้งใจ
ตัวอย่างกรณีศึกษาที่สำคัญ
1. ชิลีสมัยประธานาธิบดีอาเยนเด (1970-1973)
“การปิดล้อมแบบล่องหน” (Invisible Blockade):
-สหรัฐฯ ใช้มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจแทนการแซงค์ชั่นโดยตรง
-การตัดเครดิตและเงินกู้จากธนาคารสากล รวม 900 ล้านเหรียญ
-การหยุดจำหน่ายอะไหล่และเทคโนโลจีสำคัญ
-ส่งผลให้เศรษฐกิจชิลีเสื่อมถอย นำไปสู่รัฐประหารในปี 1973
2. อิรักสมัยซัดดัม ฮุสเซน (1991-2003)
แซงค์ชั่นที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์:
-การห้ามการค้าเกือบทุกชนิดยกเว้นอาหารและยา (ในทฤษฎี)
-โปรแกรม “น้ำมันแลกอาหาร” เริ่มขึ้นในปี 1995 หลังรับรู้ถึงวิกฤตมนุษยธรรม
-การขาดแคลนยารักษาโรค อุปกรณ์การแพทย์ และสารเคมีบำบัดน้ำ
-ระบบสาธารณสุขและสุขาภิบาลล้มเหลว ส่งผลให้เด็กเสียชีวิตจำนวนมาก
-อัตราการตายของเด็กต่ำกว่า 5 ปีเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
3. อิหร่านสมัยปัจจุบัน (2010-ปัจจุบัน)
“นโยบายกดดันสูงสุด” (Maximum Pressure Policy):
-แซงค์ชั่นครอบคลุมระบบการเงินและการค้าเกือบทั้งหมด
-แม้จะมีข้อยกเว้นสำหรับยาและอุปกรณ์การแพทย์ แต่ในทางปฏิบัติขาดแคลนอย่างรุนแรง
-การแช่แข็งสินทรัพย์หลายพันล้านเหรียญ
-ผู้ป่วยโรคหายาก โรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังไม่สามารถเข้าถึงยารักษาโรค
-ในช่วง COVID-19 การขาดแคลนยาและอุปกรณ์การแพทย์ทวีความรุนแรง
4. เวเนซุเอลา (2017-ปัจจุบัน)
แซงค์ชั่นภาคน้ำมัน:
-แซงค์ชั่นของรัฐบาลทรัมป์ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2017
-การขาดแคลนยาและอาหาร ส่งผลให้มีผู้อพยพหนีจากประเทศจำนวนมาก
-ระบบสาธารณสุขล้มเหลว โรคที่เคยควบคุมได้กลับมาระบาด
-ทำให้เสียชีวิตหลายหมื่นคนตามการประมาณการของนักวิจัย
ข้อเสนอแนะจากนักวิจัย
การทบทวนนโยบาย
1.ประเมินผลกระทบใหม่: แซงค์ชั่นควรได้รับการประเมินในฐานะเครื่องมือนโยบายต่างประเทศที่อาจมีผลร้ายแรงต่อสาธารณสุข
2.การใช้อย่างระมัดระวัง: ควรมีความระมัดระวังมากขึ้นในการใช้แซงค์ชั่น
3.การปฏิรูป: ต้องพิจารณาการปฏิรูปรูปแบบการใช้แซงค์ชั่นอย่างจริงจัง
การเปรียบเทียบกับสงคราม
-แซงค์ชั่นมีผลกระทบต่อการตายใกล้เคียงกับสงคราม แต่ได้รับความสนใจน้อยกว่า
-เป็น “นักฆ่าเงียบ” (Silent Killers) ที่ทำลายชีวิตโดยไม่มีเสียงปืน
บทสรุป
การศึกษานี้เปิดเผยมิติที่มืดมนของนโยบายแซงค์ชั่น ซึ่งแม้จะเป็นทางเลือกที่ดู “อ่อนโยน” กว่าการใช้กำลังทหาร แต่กลับก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานและการสูญเสียชีวิตอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุที่ไร้พลังในการต่อสู้
การศึกษาเรียกร้องให้มีการทบทวนนโยบายการใช้แซงค์ชั่นอย่างจริงจัง และคำนึงถึงต้นทุนด้านมนุษยธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงผลทางการเมืองที่ต้องการบรรลุ
บันทึกนี้จัดทำจากข้อมูลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet Global Health และรายงานจาก Center for Economic and Policy Research
เป็นที่เห็นได้ว่าการแซงชั่นของสหรัฐฯและพันธมิตรเป็นภัยร้ายแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิยิ่งกว่าการทำสงคราม และทำลายหลักมนุษยธรรมอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นการเกิดโลกหลายขั้วอย่างBRICS จึงมิใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นในการต่อต้านผู้กดขี่ ภายใต้ลัทธิความเป็นเจ้า ที่ชาวโลกต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างสรรค์ความยุติธรรม
ทหารประชาธิปไตย