สังหารหมู่ผู้บริสุทธิ์เมืองชีราซ กับความท้าทายของอิหร่านในการรับมือการก่อการร้าย

สังหารหมู่ผู้บริสุทธิ์เมืองชีราซ กับความท้าทายของอิหร่าน
ในการรับมือการก่อการร้าย
ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน
ศูนย์อิสลามและอิหร่านศึกษา วทส.
ถือได้ว่าเหตุการณ์การกราดยิงอย่างเหี้ยมโหดในเมืองชีราซ ณ ศาสนสถานชื่อ“ชาห์เชอราก” (Shahcheragh) เมื่อวันพุธที่ 26ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมาได้สร้างความเจ็บปวดและความเศร้าสลดเป็นอย่างยิ่งต่อชาวอิหร่าน เพราะผู้ก่อการร้ายเริ่มด้วยการเปิดฉากยิงโดยไม่เลือกเป้าหมายแม้กระทั้งเด็กเล็กและสตรี และรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า๑๕ คนและบาดเจ็บเกือบร้อยคนเลยทีเดียว ทำให้หลายประเทศทั่วโลกออกมาประณามการก่อการร้ายในครั้งนี้และแสดงความเสียใจต่อชาวอิหร่านญาติผู้สูญเสียชีวิตแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงจากประเทศที่อ้างว่าจะปกป้องสิทธิมนุษยชนและต่อต้านการก่อการร้ายอย่างสหรัฐฯแต่อย่างใด
ต่อมากลุ่มก่อการร้ายไอเอสได้ออกมาเคลมและยอมรับว่าเป็นการกระทำของกลุ่มของตน ยิ่งทำให้คนสนใจมากขึ้นทีเดียว เพราะว่ากลุ่มไอเอสดูเหมือนว่าหมดกำลังและแผ่วลงไม่มีน้ำยาอะไรอีกแล้ว โดยสำนักข่าวอามัก (Amaq) สื่อของกลุ่มก่อการร้ายไอเอส ออกมาเปิดเผยว่า สมาชิกของไอเอสเป็นผู้ก่อเหตุโจมตีครั้งนี้ โดยมุ่งเป้าเล่นงานกลุ่มผู้ทรยศเปลี่ยนศาสนา ซึ่งในที่นี่หมายถึง ชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ ในอิหร่าน และกลุ่มไอเอสยังกล่าวอีกว่า เราขอแสดงการอยู่เคียงข้างผู้ประท้วงในอิหร่าน

“ชาห์เชอราก” (Shahcheragh) เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมุสลิมชีอะห์ สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นที่ฝังศพของซัยยิดอะหมัดบุตรชายของอิมามมูซา อัล-กาซิม อิหม่ามคนที่เจ็ดตามความเชื่อของมุสลิมนิกายชีอะห์อิมามียะฮ์ ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองชีราซ เป็นศาสนสถานสำคัญแห่งหนึ่งและยังถูกประดับประดาด้วยศิลปะอิสลามและมีกลิ่นอายศิลปะเปอร์เซียอย่างงดงามมากทีเดียวและต่อมาได้กลายเป็นสถานที่แสวงบุญที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 14 เมื่อ พระราชินีทาชิ คาตุน Tashi Khatun ได้สร้างมัสยิดและโรงเรียนศาสนาเพิ่มในสุสานแห่งนั้น พร้อมบูรณะศาสนสถานแห่งนั้นด้วยการสร้าง หอมินาเร่ท์ 2 ด้าน พร้อมโดมขนาดมหึมารูปทรงเรียวยาวแปลกตา เหนือศาลฝังด้วยโมเสคกระเบื้องสีหลายพันชิ้น ทั้ง สีเขียว, สีเหลือง, สีแดงและสีฟ้าสลับกับ และตกแต่งบริเวณภายในด้วยกระจกสีโมเสคนับล้านๆชิ้นให้งดงามระยิบระยับ เหนือบริเวณหลุมศพนั้น จนทำให้ศาสนสถานชาห์เชอราก” (Shahcheragh) ได้กลายเป็นหนึ่งในมัสยิดที่สวยงามมากที่สุดและเป็นศูนย์กลางการเดินทางไปแสวงบุญที่สำคัญของเมืองชีราซและมีความสำคัญเป็นอันดับสามในอิหร่านวันนี้
เมืองซีราซ (Shiraz) นับว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่เมืองหนึ่งของประเทศอิหร่าน มีอายุมามากกว่า 4,000 ปีเลยทีแล้ว และได้รับการขนานนามว่าเป็น”เมืองแห่งนักกวีและนักปราชญ์ของเปอร์เซีย” ภายในเมืองแห่งนี้มีมนต์เสน่ห์จากแหล่งท่องเที่ยวที่มีสถาปัตยกรรมที่งดงามอลังการ รวมถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ รวมถึงกลิ่นอายความเป็นพื้นเมืองแห่งเปอร์เซียน่าทึ่งมาก ชีราซเป็นเมืองหลวงของจังหวัดฟารซ์ อยู่ทางตอนใต้ของอิหร่าน
เมืองซีราซ (Shiraz) มีสุเหร่าสีชมพู (Pink Mosque) หรือมีชื่อว่า Nasir al Molk Mosque สุเหล่าแห่งนี้ ตั้งอยู่ในเมืองซีราซ ซึ่งนับว่าเป็นสุเหร่าที่มีความสำคัญและสวยงามที่สุด เอกลักษณ์ของสุเหร่านี้คือ ส่วนต่าง ๆจะถูกตกแต่งด้วยกระเบื้องสีชมพู สร้างขึ้น ในปี ค.ศ.1876 สร้างขึ้นตามพระบัญชาของจักรพรรดิเมอร์ซา ฮาซาน อาลี นาเซอร์ อัล มุลก์ แห่งราชวงศ์กอญัร ด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและการใช้สีที่แปลกใหม่ผสมกับลวดลายที่ถูกสลักลงบนสุเหร่าทำให้มีความงดงามอย่างลงตัว ประดับประดาด้วยกระจกสี เมื่อแสงแดดตกกระทบทำให้เกิดความสวยงามดั่งต้องมนต์ ปัจจุบันสุเหร่าสีชมพูแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ขึ้นชื่อของอิหร่านและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลก
เมืองซีราซ (Shiraz)มีความสำคัญต่อชาวอิหร่านทางประวัติศาสตร์และศิลปะเพราะในอดีตเป็นต้นกำเนิดของชาวเปอร์เซียและยังเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดที่มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่นครเพอร์ซีโพลิส Perse-polis ของยุคเปอร์เซียโบราณ
และที่ลืมไปเสียไม่ได้คือสุสานท่านฮาฟิซ Mausoleum of Hafez กวีอิหร่านนามก้องโลก เกิดที่เมืองชีราซเมื่อปี ค.ศ.1324 และเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ.1391 ท่านฮาฟีซถูกยกย่องว่าเป็นดาวฤกษ์แห่งเปอร์เซียที่เจิดจ้าที่สุดในแผ่นฟ้าแห่งวรรณคดีและวัฒนธรรมอิหร่าน ฮาฟิซได้รับแรงบันดาลใจการเขียนบทกวีในหนังสือดีวานฮาฟิซมาจากพระคัมภีร์อัลกุรอาน เขาสามารถถ่ายทอดและจรรโลงบทกวีได้อย่างประนีตที่สุดและเนื้อหาทรงพลังทางจิตวิญญาณขั้นสูงและนำศีลธรรมอันงดงามผ่านตัวอักษรทางวรรรณคดีได้อย่างลึกซึ้งทีเดียว จนทำให้บทกวีของเขาเป็นที่จับจิตจับใจต่อชาวอิหร่าน ถึงกับชาวอิหร่านให้ฉายาหนังสือดีวาน ฮาฟิซของเขาว่า”อัลกุรอานในภาษากลอน”

อะไรคือหมุดหมายของการก่อการร้ายครั้งนี้?
ถ้าย้อนดูการก่อการร้ายในเมืองชีราซได้เกิดขึ้นห้วงเวลาที่อิหร่านประสบการการประท้วงของชาวอิหร่านบางกลุ่มที่เรียกร้องให้ความยุติธรรมให้กับการตายของน.ส.มาห์ซา อะมีนีแล้วลามไปถึงการเรียกร้องไม่ต้องให้มีการบังคับสวมคลุมฮิญาบและหมุดหมายสุดท้ายของผู้ประท้วงคือการล้มล้างรัฐอิสลามและต้องการจะเปลี่ยนการปกครอง
การกราดยิงผู้บริสุทธิ์โดยกลุ่มก่อการร้ายไอเอสได้เพิ่มความตึงเคลียดในอิหร่านมากยิ่งขึ้นและรัฐบาลต้องรับมือกับผู้ประท้วงและการก่อจลาจลอีกทั้งต้องไล่ล่าผู้ก่อการร้ายเหล่านั้น ขณะที่สถานการณ์ในอิหร่านกำลังคุกรุ่นจากการประท้วงตามท้องถนนนับตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาและยังอยู่ในวาระสี่สิบวันการจากไปของ น.ส.มาห์ซา อะมีนีอีกด้วย ซึ่งกลุ่มประท้วงที่ต่างได้นัดหมายกันทั่วประเทศให้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลปัจจุบันและเรียกร้องใช้สโลแกน “ผู้หญิง ชีวิต และเสรีภาพ” อีกครั้งเพื่อขับไล่รัฐบาลและล้มล้างการปกครองระบอบสาธารณรัฐอิสลาสิ่งที่น่าติดม แต่ฉากทัศน์ที่ต้องติดตามต่อจากนี้คือ
หนึ่ง-ประเด็นการประท้วงเรียกร้องของชาวอิหร่านทั้งในประเทศและนอกประเทศถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พวกเขาไม่เอาระบอบอิสลามที่มีอยู่อีกต่อไป
สอง-ประเด็นการก่อการร้าย การสังหารผู้บริสุทธิ์เมืองชีราซ โดยกลุ่มก่อการร้ายไอเอส ทั้งสองปรากฏการณ์นั้นมีความเกี่ยวโยงกันหรือไม่? หรือนั่นหมายความว่า ขบวนการก่อการร้ายไอเอสเองได้บรรลุเป้าหมายแล้วในการโจมตีอิหร่าน?เคยเป็นปณิธานสูงสุดของพวกเขาว่า “อิหร่าน คือเป้าหมายสูงสุดในการก่อการร้ายของพวกไอเอส” ในขณะฝ่ายความมั่นคงมองว่าการก่อการร้ายในเมืองชีราซครั้งนี้หมุดหมายคือ การสร้างภาพลักษณ์อิหร่านต่อชาวโลกว่าเป็นประเทศที่ไม่มีความปลอดภัยและน่ากลัว ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลังคือทำเนียบขาวและไซออนิสต์
ผู้บัญชาการกองกำลังหน่วยพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม (IRGC) นายพลอุเซน สะลามี(Hossein Salami)ได้กล่าวปราศรัยกร้าวในเมืองชีราซว่า “ผู้ก่อความไม่สงบทั้งหลาย อย่าได้ออกมาที่ถนน วันนี้จะเป็นการจารจลวันสุดท้าย และผู้อยู่เบื้องหลังแผนการชั่วร้ายนี้ เกิดขึ้นจากทำเนียบขาวและไซออนิสต์”
คำปราศรัยของผู้บัญชาการกองกำลังหน่วยพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม(IRGC ) เป็นเสมือนคำเตือนของกองกำลังปฏิวัติที่ส่งสัญญาณไปยังผู้ชุมชุมทั้งหลาย และอาจจะเป็นไปได้ที่ทางรัฐบาลจะใช้มาตรการเข้มและรุนแรง นักวิเคราะห์มองว่า จากท่าทีของผู้ประท้วงที่ไม่อ่อนลงและการทำลายทรัพย์สินและการตายของเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากนั้น เป็นไปได้ที่ทางรัฐบาลต้องใช้มาตรการยกระดับการปราบปรามที่หนักขึ้น เพราะเป้าหมายของผู้ประท้วงไม่ใช่การเรียกร้องความยุติธรรมของการตายนางสาว เมซ่า อามีนี แต่ได้ยกระดับขั้นการทำลายสาธารณรัฐอิสลามและหมุดหมายคือการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยมองว่าเป็นระบอบเผด็จการ ในขณะเดียวกันการไล่ล่าและเอาคืนผู้ก่อการร้ายที่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ครั้งนี้ ประธานาธิบดีอิหร่านได้ลั่นกร้าวว่าจะเอาคืนอย่างสาสมและไม่ปล่อยให้ลอยนวยเป็นแน่ ในขณะเดียวกันกลุ่มผู้ประท้วงได้โหมโรงโดยสื่อกระแสหลักจากสหรัฐฯและโลกตะวันออกถึงสิทธิและเสรีภาพของสตรีและกล่าวว่ารัฐบาลได้ใช้มาตรการเข้าปราบปรามผู้ประท้วงอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงอีกทั้งเรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามาสอบสวนในเรื่องนี้ ขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้เสี้ยมและบอกว่า เราจะช่วยปลดปล่อยให้ประชาชนอิหร่านได้รับเสรีภาพ และจะอยู่เคียงข้างผู้ประท้วงชาวอิหร่าน ในขณะที่ ซัยยิดอิบรอฮีม รออีซี ประธานาธิบดีอิหร่านตอบโต้โดยทันควันว่า “เราได้รับเสรีภาพจากการแทรกแซงจากสหรัฐฯและโลกตะวันตกมาสี่สิบสามปีที่แล้ว โดยการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านเรา” และนี่คือฉากทัศน์ทางการเมืองอิหร่านที่น่าจับตาทีเดียว

อายาตุลลอฮ์ ซัยยิด อะลี คามาเนอี ผู้นำสูงสุดอิหร่านได้กล่าวว่า
จงร่วมมือสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวเผชิญหน้ากับศัตรู ผู้ที่กระทำความผิดและเหล่าผู้ก่อเหตุในอาชญากรรมที่น่าเศร้าใจนี้ จะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน
ทุกคนนั้น มีหน้าที่ในการเผชิญหน้ากับศัตรู ผู้ก่อความไม่สงบ ตัวแทนผู้ทรยศและผู้โง่เขลาหรือผู้เพิกเฉย
ข้าพเจ้าขอเรียกร้องจากหน่วยความมั่นคง ตุลาการสูงสุด ตลอดจนบรรดานักเคลื่อนไหวทางความคิดและนักเผยแพร่ศาสนา รวมทั้งบรรดาประชาชนที่เคารพทุกคน ให้ร่วมมือสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ในการเผชิญหน้ากับกระแสที่ไม่เคารพต่อชีวิตของประชาชน ความมั่นคงของพวกเขาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
ความท้าทายของรัฐบาลซัญยิด อิบรอฮีม รออีซี่ ในการจัดการกับกลุ่มก่อการร้ายไอเอส(ภายในประเทศและภายนอก)ให้อยู่หมัด ดังที่เราได้เห็นความพยายามของอิหร่านในการจัดการกับกลุ่มก่อการ้ายไอเอส ซึ่งได้รายงานว่าผู้ก่อการร้ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการโจมตีที่เมืองซีราซถูกจับได้ทั้งหมดแล้ว
กระทรวงข่าวกรองของอิหร่านกล่าวว่า บุคคลที่มีบทบาทและมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการยิงโจมตีสถานที่ทางศาสนาในเมืองชีราซ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิหร่านทั้งหมดถูกจับกุมแล้ว โดยที่พวกเขามีสัญชาติอาเซอร์ไบจัน ทาจิก,และอัฟกัน
ในแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาของกระทรวงข่าวกรองอิหร่านระบุว่า เจ้าหน้าที่ของกระทรวงได้ดำเนินกิจกรรมด้านข่าวกรองและความมั่นคงอย่างต่อเนื่องภายหลังการโจมตีของผู้ก่อการร้ายเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อว่า ชาห์ เชรอก Shah-e Cheragh ในเมืองชีราซ
การสืบสวนและปฏิบัติการส่งผลให้มีการระบุตัวและจับกุมองค์ประกอบทั้งหมดที่ควบคุม,ก่อเหตุและสนับสนุนการโจมตีของผู้ก่อการร้าย โดยมีผู้ก่อการร้ายหัวรุนแรงทั้งในแผนสิ้น 26 คนและทั้งหมดได้ถูกจับกุมแล้ว
จากรายงานของกระทรวงข่าวกรอง ผู้ถูกจับกุมทั้งหมดไม่ใช่ชาวอิหร่านและมาจากสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน ทาจิกิสถาน และอัฟกานิสถาน
ตัวการหลักที่ชี้นำและประสานการโจมตีในอิหร่านคือพลเมืองของสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน ที่บินมาจากสนามบินนานาชาติ Heydar Aliyev ของบากูไปยังสนามบินนานาชาติ Imam Khomeini ในกรุงเตหะราน
ถ้อยแถลงยังเสริมว่า บุคคลดังกล่าวได้แจ้งไปยังผู้ประสานงานในสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจานทันทีหลังจากมาถึงเตหะราน และยังได้ติดต่อผู้ประสานงานเพื่อเตรียมปฏิบัติการกับ Daesh (ISIL หรือ ISIS) ในอัฟกานิสถาน และสื่อสารกับเครือข่ายชาวต่างชาติของ Daesh ด้วยเช่นกัน เพื่อแจ้งให้พวกเขาทราบถึงการปรากฏตัวของเขาในกรุงเตหะราน
กระทรวงกล่าวว่าตัวปฎิบัติการที่สนับสนุนการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในชีราซเป็นชายชาวอัฟกานิสถานชื่อ ‘มูฮัมหมัด ราเมซ ราชิดี’ ซึ่งปฏิบัติการภายใต้นามแฝง ‘อาบู บาซีร์’ ในขณะที่ชายที่ยิงปืนใส่ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นพลเมืองทาจิกิสถาน ชื่อ ‘ซอบฮาน คัมรูนี’ ปฏิบัติการภายใต้นามแฝง ‘อาบู อเยชา’
ผู้ก่อการร้ายถูกจับกุมในจังหวัด Fars, Tehran, Alborz, Kerman, Qom และ Khorasan Razavi โดยระบุว่ามีผู้ถูกจับอีกจำนวนหนึ่งขณะที่พวกเขากำลังพยายามหนีออกจากประเทศจากพรมแดนทางตะวันออก และกระทรวงยังระบุด้วยว่า ผู้ก่อการร้ายจำนวนหนึ่งกำลังวางแผนโจมตีอีกครั้งในเมืองซาเฮดานทางตะวันออกเฉียงใต้ของอิหร่าน(https://www.tasnimnews.com/…/all-of-those-involved-in… แปลโดยเพจ จากfecebook สุวรรณ เอกโพธิ์ )
และนี่คือบทพิสูจน์หนึ่งของรัฐบาลรออีซี่ในการจัดการกับกลุ่มก่อการร้ายไอเอสได้อยู่หมัด แต่อีกความท้าทายยังคงติดตามต่อไป นั่นคือการควบคุมผู้ประท้วงชาวอิหร่านบางกลุ่มที่ต้องต้องการจะล้มล้างรัฐอิสลามในอิหร่านผ่านการสนับสนุนจากตะวันตกและสหรัฐฯที่จะต้องทำลายรังของกลุ่มต่อต้านรัฐอิสลามในอิหร่าน และพันธกิจการร่วมพลังเป็นหนึ่งเดียวคนในชาติในการปกป้องสาธารณรัฐรัฐอิสลามแห่งอิหร่านนี้ไว้ ซึ่งเป็นอุดมการณ์สูงสุดของประเทศและมันคือผลผลิตของการปฏิวัติโดยท่านอิมามโคมัยนี(ร.ฎ.) ถือว่าเป็นมรดกอันล้ำค่าและเป็นความภาคภูมิของเกียรติยศแห่งอิสลามการเมืองวันนี้







