INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

น่าคิด : ทำไมทรัมป์และไบเดนยังไม่ฉีดวัคซีน

คอลัมน์ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ

ทหารประชาธิปไตย

น่าคิด : ทำไมทรัมป์และไบเดนยังไม่ฉีดวัคซีน

 

               นี่ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิดที่ร่ำลือกันว่าบิลเกตแอบใส่นาโนชิบในวัคซีนเพื่อควบคุมประชากรส่วนใหญ่ของโลก

แต่เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนพึงระมัดระวังตัวเอง ด้วยการสืบค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ก่อนที่จะตัดสินใจฉีดวัคซีน โดยไม่ปล่อยให้ความกลัวโควิดเข้ามาครอบงำและเร่งรีบตัดสินใจ

เพราะในความเป็นจริงหากเราป้องกันตัวอย่างเข้มงวดด้วยการกักตัวเอง หรือป้องกันตนเองด้วยการสวมหน้ากาก หมั่นล้างมือ รักษาระยะห่างกับผู้คน และไม่ออกไปปะปนกับคนจำนวนมากในสถานที่ต่างๆ รวมทั้งระมัดระวังในการบริโภคอาหารอย่างอาหารทะเลแช่แข็งแล้วละก็โอกาสจะติดโรคโควิด-19 มีน้อยมากหรือเกือบไม่มีเลย

               อย่างไรก็ตามมนุษย์ก็จะไม่ค่อยมีความอดทนในการเข้มงวดกับตัวเอง อยากปล่อยตัวตามสบายจึงมีแนวโน้มว่าจะปลดปล่อยตัวเองด้วยการยอมฉีดวัคซีน ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแม้ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังต้องระมัดระวังตัวอยู่ดี

อนึ่งในการฉีดวัคซีนนั้นมันมีช่วงเวลาที่ต้องฉีดให้ครบชุดถ้าเป็นของตะวันตก ต้องฉีด 3 เข็ม และทิ้งช่วงห่างกันครั้งละ 2 สัปดาห์ถึง 4 สัปดาห์ ถ้าเป็นของรัสเซียหรือจีนนั้นเว้นช่วงประมาณ 1-2 สัปดาห์ และฉีดแค่ 2 เข็ม

เรื่องการเลือกที่มาของวัคซีนประชาชนอาจไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องฉีดวัคซีนที่รัฐบาลสั่งเข้ามา หรือผลิตเองเท่านั้น

ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าจะรีบเร่งฉีดเลยหรือจะประวิงเวลาไว้สักพักเพื่อรอดูผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น

ที่น่าจับตามองคือทำไมทั้งทรัมป์และไบเดนซึ่งต่างก็มีอายุมากแล้ว จึงเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดโควิด มิหนำซ้ำยังเป็นบุคคลสำคัญที่ควรได้รับการป้องกันอย่างเข้มงวดจึงยังไม่ฉีดวัคซีน

นอกจากนี้การเป็นบุคคลสาธารณะทำให้โอกาสที่จะต้องไปปรากฏตัวกับคนหมู่มากก็มีสูง ซึ่งจะทำให้การป้องกันยากลำบากขึ้นมาก

ส่วนเรื่องผลข้างเคียงแม้ในเวลานี้ยังไม่ปรากฏอะไรชัดเจนนอกจากการคาดคะเน และมีข่าวแพลมออกมาว่าเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวกับคนจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนที่ฉีดวัคซีน ซึ่งก็ยังไม่มีการยืนยัน หรือหากจะมีจริงบริษัทผลิตวัคซีนที่มีทุนทรัพย์มหาศาลก็อาจใช้เงินปิดปากสื่อหรือทำเรื่องไม่อื้อฉาวได้

               นอกจากนี้ยังมีอีกข่าวที่สร้างความกังวลใจให้กับประเทศยากจนก็คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพได้ตั้งโจทย์ว่าองค์การอนามัยโลกจะทำอย่างไร หากประเทศร่ำรวยทั้งหลายทำการกักตุนวัคซีนโควิด-19 ไว้ ซึ่งตามการสังเกตการณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพกล่าวว่าได้ มีการกักตุนวัคซีนถึง 2-3 เท่าของจำนวนที่ต้องการในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนของเขา

ทั้งนี้สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าองค์การอนามัยโลกมีแผนที่จะจัดส่งวัคซีนโควิด-19 ให้กับประเทศยากจนและประเทศรายได้ปานกลาง 91 ประเทศ แต่วัคซีนที่เหลือหลังจากการกักตุนจะมีให้ได้ประมาณ 20% ของปริมาณที่ต้องการ

               ดังนั้นประเทศเหล่านั้นจะต้องรอวัคซีนโควิด-19 ถึงปี 2024 เพราะในขณะนี้เกือบ90% ถูกประเทศร่ำรวยและประเทศรายได้ปานกลางจำนวนหนึ่งสั่งซื้อและสั่งจองไว้แล้ว (Dr.Krishna Udayakumar กรรมการผู้ก่อตั้ง The Duke Global Health Innovation Center)

ในแง่ธุรกิจก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการกักตุนเพื่อเก็งกำไรจากความกลัวของมนุษย์ ดังจะเห็นได้ว่าบริษัทยาได้มีนโยบายในการตลาดด้วยการเปิดการสั่งจองขณะที่ผลทดสอบยังไม่ครบถ้วนด้วยราคาเข็มละ 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ หากผลทดลองครบถ้วนได้รับการรับรองแล้ว ราคาจะเพิ่มเป็นเข็มละ 20 ดอลลาร์สหรัฐฯหรือมากกว่า ก็ลองคำนวณดูการสั่งซื้อเป็นหลายล้านโดส เป็นเงินส่วนต่างเท่าไรหากราคากระเพื่อม

นอกจากนี้ดร.กฤษณะ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพยังให้การคาดคะเนว่าในสถานการณ์แบบนี้โรคโควิด-19 ก็จะยังคงระบาดต่อไป จนกว่าจะได้ฉีดวัคซีนกับประชากรส่วนใหญ่ในโลก แต่ที่น่าอนาถใจคือมันจะระบาดมากในประเทศยากจน และประเทศรายได้ปานกลางที่ไม่มีกำลังซื้อวัคซีน จึงคาดหมายได้ว่า จะมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก และผู้ป่วยอีกนับล้านคน

ทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในประเทศเหล่านั้นที่ยากจนอยู่แล้ว ยิ่งยากจนลงไปอีก

หากประเทศใดประเทศหนึ่งจะดำเนินมาตรการเข้มงวดโดยการปิดประเทศ หรือปิดเมืองนั่นก็จะยิ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆอย่างยิ่ง

ในขณะที่ประชาชนในโลก โดยเฉพาะประเทศที่มีกำลังซื้อต้องตัดสินใจเสี่ยงต่อการเข้ารับการฉีดวัคซีน และเมื่อฉีดแล้วก็ยังต้องควบคุมตัวเองไปอีกระยะหนึ่ง ไม่ใช่ฉีดปุ๊บเริ่มกิจกรรมตามปกติได้ปั๊บ เศรษฐกิจก็คงยังต้องรอเวลากระเตื้องไปอีกระยะหนึ่ง

เมื่อมองภาพรวมแบบนี้เศรษฐกิจโลกก็คงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ซึ่งจะมีผลทำให้เศรษฐกิจในแต่ละประเทศฟื้นตัวได้ช้า แต่ก็จะฟื้นตัวในระยะเวลาไม่เท่ากัน ขึ้นกับศักยภาพทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ และการพึ่งพาต่อเศรษฐกิจโลก

               สำหรับประเทศไทยเหตุการณ์แพร่ระบาดที่ตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร อันเกิดจากการแพร่เชื้อของแรงงานต่างชาติที่ลักลอบเข้าประเทศโดยไม่ผ่านการคัดกรอง ทำให้เกิดการหวั่นวิตกกันว่าอาจเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นระลอกสอง เพราะมีการหลุดรอดของคนที่สัมผัสกับผู้ป่วยในสมุทรสาคร เดินทางไปยังที่ต่างๆก่อนจะมีการกักตัวและปิดเมืองได้ทันการณ์

จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ข้าราชการส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ตลอดจนประชาชนต้องช่วยกันสอดส่องดูแลและระมัดระวังตนเอง อย่าให้เกิดการแพร่กระจายในวงกว้าง เพราะถ้ามันเกิดแพร่ระบาดอีก คราวนี้เศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วคงจะฟุบจนยากฟื้นหรือใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2-3 ปี จึงจะกระเตื้อง

ที่สำคัญหากเกิดระบาดรุนแรง อาจนำไปสู่การเกิดจลาจลได้เพราะจะมีคนตกงานอีกจำนวนมาก ทั้งในระบบและนอกระบบ

พูดถึงการปกครองท้องถิ่นเพื่อนของผู้เขียนได้ไปใช้สิทธิที่อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมาก็ให้รู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาพยายามจะยื่นบัตรประชาชนเพื่อรับบัตรเลือกตั้ง แต่ผู้ควบคุมการเลือกตั้งบอกว่าไม่ต้องใช้บัตรก็เลยงงมาก เพราะเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้มาใช้สิทธิเป็นตัวจริง จึงได้สอบถามเพื่อนในจังหวัดอื่น เพื่อนเล่าว่าต้องใช้บัตรประชาชนเลยเกิดคำถามว่า ทำไมจึงไม่ใช้มาตรฐานเดียวกันที่จะตรวจสอบยืนยันได้ มิน่าคะแนนที่โคราชจึงถล่มทะลาย

แต่ก็ว่าไปกันเถอะขอเพียงให้ผู้เข้ามาทำหน้าที่คำนึงถึงความปลอดภัยในสุขภาพของประชาชนก็แล้วกัน ระบบมันผุกร่อนเต็มทีแล้ว อย่ามัวแต่แสวงผลประโยชน์เข้าตัวก็แล้วกัน ประเทศไทยมีหลายมาตรฐานอยู่แล้ว

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *