จากเรซา ชาฮ์ ปาห์ลาวีถึง 40 ปี หลังการปฏิวัติอิสลาม
จากเรซา ชาฮ์ ปาห์ลาวีถึง 40 ปี หลังการปฏิวัติอิสลาม
จรัญ มะลูลีม
เรซา ชาฮ์ ปาห์ลาวี (1921-1941)
ในวันที่ 12 ธันวาคม ปี 1925 เรซ่า ข่านได้ประกอบพิธีราชาภิเษกตั้งตัวเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่าเรซา (ริฎอ) ชาฮ์ ปาห์ลาวี (Reza Shah Pahlavi) กษัตริย์องค์แรกแห่งราชวงศ์ปาห์ลาวีและประวัติศาสตร์ของอิหร่านสมัยใหม่ก็ตั้งต้นขึ้นตรงจุดนี้
เรซา ข่านเกิดเมื่อประมาณ ปี 1873 ในครอบครัวเล็กๆ ที่มาจากเมืองอลัชท์ (Alasht) ในเขตซาวัด กูก (Sawad Kuk) ในแคว้นมาซันดาราน (Mazandaran) บิดาและปู่เป็นนายทหาร เมื่อถึงวัยหนุ่มเรซา ข่านได้เข้าเป็นทหารเกณฑ์อยู่ในกองพลน้อยคอสแสค (กองพลน้อยคอสแสค (Cossack) เป็นกองทหารม้าที่มีชื่อเสียงของซาร์แห่งรัสเซีย) ในสมัยที่นาซีรุดดีน ชาฮ์แห่งราชวงศ์กาญาร์ขึ้นครองราชย์ เมื่อ ปี1848 พระองค์ได้ให้กองทหารคอสแสคมาบัญชาการทหารม้าให้อิหร่าน ซึ่งเป็นกองทหารเดียวที่อิหร่านมีจนถึง ปี 1921
เรซา ข่าน หรือ เรซา ชาฮ์ ในเวลาต่อมาได้เลื่อนยศขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วจนเมื่อเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ได้ยศเป็นพันเอก จนกระทั่งนำทหารเข้าทำการรัฐประหาร
ตั้งแต่วันแรกของการครองราชย์มาจนกระทั่งวันสุดท้าย พวกขุนนางและพวกชนชั้นผู้ดีก็ได้รับเลือกให้เข้าไปนั่งในรัฐสภา แต่ความสำคัญจริงๆ ของคนเหล่านี้มิได้มาจากการเป็นสมาชิกรัฐสภา หากแต่มาจากครอบครัว ความมั่งคั่งของพวกเขา หรือมิฉะนั้นก็จากตำแหน่งหน้าที่ที่เขามีอยู่
สำหรับพวกขุนนางชั้นผู้น้อย นักกฎหมาย นักการศาสนาและเจ้าที่ดินนั้น รัฐสภาก็ได้ให้สิทธิ์และเกียรติยศอย่างหลอกๆ แม้กระทั่งให้วิถีทางที่จะปกป้องสิทธิทางสังคมและเศรษฐกิจได้แต่ไม่ให้อำนาจทางการเมืองการปกครอง
ทุกๆ สี่ปีจะมีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาขึ้นใหม่ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ แต่ส่วนมากแล้วความเปลี่ยนแปลงมีแต่เพียงในนามเท่านั้น มิใช่เปลี่ยนแปลงในตัวบุคคล ในปรัชญาการปกครองของเรซา ชาฮ์ นั้นไม่มีอะไรอยู่เลย ไม่มีการให้อำนาจ อิทธิพลหรือความเป็นอิสระแก่รัฐสภา ทรงตั้งพระองค์เองขึ้นเป็นศูนย์กลางของอำนาจทางการปกครองและเศรษฐกิจ
เป็นเพราะเรซา ชาฮ์ขึ้นมาครองอำนาจโดยไม่เคยมีพรรคพวกทางการเมือง หรือมีพรรคการเมืองห้อมล้อมมาก่อนเลย พระองค์เพียงแต่ได้ชื่อว่าเป็นนักปกครองที่ทันสมัย แต่ความจริงนั้นจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตามก็ทรงเป็นเพียงกษัตริย์หรือชาฮ์ที่ผ่านไปตามเหตุการณ์เท่านั้น
เรซา ชาฮ์ เป็นคนที่ไม่ยอมอดทนต่อการคัดค้านของผู้ที่พระองค์ไม่ทรงไว้วางพระทัยหรือคนที่อาจคิดแข่งขันช่วงชิงอำนาจจากพระองค์ได้ วิธีแก้ไขอันตรายที่เกิดจากคู่แข่งขันแบบดั้งเดิมก็คือการจับกุมคุมขัง เนรเทศและปลดชีวิตเสีย
นอกจากอำนาจแล้วพระองค์ยังต้องการความมั่งคั่งอีกด้วย เรซา ชาฮ์นั้นมีชื่อว่าเป็นผู้มีที่ดินมากมายเหลือประมาณด้วยการใช้วิธีการที่ชนชั้นเจ้าที่ดินและบรรพบุรุษของพวกเขาได้สร้างขึ้นมา คือการยึดเอาที่ดินของราษฎรไปโดยพละการ แต่เรซา ชาฮ์ยังมีอำนาจของกษัตริย์หนุนหลังดีกว่าเจ้าที่ดินเหล่านั้นมากนัก
จะว่าไปความใฝ่ฝันทะเยอทะยานของเรซา ชาฮ์ก็ไม่ใช่เพื่อตัวของพระองค์เองไปเสียทั้งหมด แต่เป็นไปเพื่อความเจริญก้าวหน้าของอิหร่านด้วย ทรงมีคุณสมบัติที่ทำให้เด่นมิใช่แต่เพียงในหมู่ชาวอิหร่านเท่านั้น แต่ในบรรดารัฐบุรุษรุ่นเดียวกันด้วย
พระองค์ทรงศึกษาปัญหาสำคัญๆ ของประเทศอย่างรอบคอบและใช้เวลานานแล้วก็ตัดสินใจลงมือกระทำอย่างใจเย็น ไม่เคยกลัวที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องใหญ่ๆ ทรงก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ปกครองประเทศทั้งๆ ที่รู้ว่าสถานการณ์ของประเทศเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิหร่านที่ในขณะนั้นตกอยู่ในวงล้อมของสหภาพโซเวียตรัสเซียทางทิศเหนือ ในวงล้อมของอินเดียอันเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ รวมทั้งอ่าวเปอร์เซียและอิรักทางทิศตะวันออก
เครื่องมืออย่างเดียวที่เรซา ชาฮ์มีอยู่ในอันที่จะใช้พัฒนาประเทศก็คือกลไกของรัฐบาล ในสมัยก่อนที่พระองค์จะขึ้นครองราชย์ก็ได้มีการสร้างความก้าวหน้าสำคัญๆ ในด้านการบูรณะความเป็นระเบียบเรียบร้อยของประเทศ
การสร้างกลไกด้านการเงินซึ่งจะเปิดทางให้รัฐบาลสามารถเข้าไปเกี่ยวข้องในทุกๆ ด้านในขณะเดียวกัน เช่นปรับปรุงความปลอดภัยเพื่อให้การสื่อสารคมนาคมเป็นไปโดยเรียบร้อย ต้องสร้างถนนหนทางเพื่อให้มีการเดินทางภายในประเทศและออกไปนอกประเทศเป็นไปได้ และต้องสนับสนุนการก่อตั้งอุตสาหกรรมซึ่งจะได้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ๆ ทางการค้าและการผลิตต่างๆ ด้วย
การพัฒนาใหม่เช่นนี้มีความหมายสองด้านคือหมายถึงการขยายบทบาทของรัฐบาลให้เข้าไปในเรื่องราวด้านเศรษฐกิจของประเทศให้มากขึ้น และยังหมายถึงการสร้างความสมดุลใหม่ขึ้นระหว่างความพยายามของชาวอิหร่านเองในกิจการต่างๆ กับการที่ต้องพึ่งชาวต่างชาติ
ในด้านการศึกษา เรซา ชาฮ์เป็นผู้ที่จัดให้มีการประถมศึกษา มัธยมศึกษา การศึกษาผู้ใหญ่ อาชีวศึกษาและการศึกษาขั้นมหาวิทยาลัยตั้งแต่สมัยที่นักเรียนมีอยู่ไม่ถึง 10,000คนในโรงเรียนรัฐบาลทั่วประเทศ จัดให้มีการฝึกหัดครู สร้างโรงเรียน ทำหลักสูตร เขียนตำราเรียน เลือกนักเรียนไปเรียนต่อในระดับสูง ณ ต่างประเทศ มันเป็นงานที่น่าเกรงขาม ทุกๆ สิ่งทำขึ้นในเวลาเดียวกัน และต้องยอมรับว่าได้ปริมาณมากกว่าคุณภาพ
แต่ไม่ว่าจะยังขาดตกบกพร่องอย่างไรก็ตามก็ยังนับได้ว่าการศึกษาของอิหร่านเป็นหนี้ต่อเรซา ชาฮ์เป็นอย่างมาก ผลก็คือ ทำให้การศึกษาของชาวอิหร่านกว้างขวางขึ้น ไม่จำกัดอยู่แต่ด้านศาสนาเท่านั้นอีกต่อไป และทำให้มีการปลดปล่อยสตรีในทางอ้อม
ในด้านการศาล เรซา ชาฮ์ก็ได้พยายามปรับปรุงอย่างแข็งขัน ได้มีการจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้นในปี 1927 มีการออกประมวลกฎหมายแพ่งใหม่และตั้งศาลขึ้นใหม่
ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนโปลีเทคนิค โรงเรียนสอนวิชารัฐศาสตร์ โรงเรียนฝึกหัดครู และโรงเรียนสำหรับนักเรียนหญิง ในปี 1935 ก็ได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเตหะรานขึ้น โดยได้อิทธิพลของฝรั่งเศสทั้งด้านการสอนและการบริหาร แต่คณะบริหารของมหาวิทยาลัยไม่สนับสนุนให้มีความคิดแบบอิสระขึ้นในหมู่นักศึกษา อย่างไรก็ดีนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ยังมีความคิดแบบซ้ายและความคิดด้านปฏิวัติจนได้ เรซา ชาฮ์สั่งประชาชนทั้งหญิงและชายให้แต่งกายแบบยุโรปและสั่งกำลังทหารให้ปราบปรามการจลาจลต่อต้านกฎหมายใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นในเมืองมัชฮัด (Mashad) และกูม (Qum) อย่างรุนแรง
ความเป็นเผด็จการ
รัฐบาลที่เกิดจากรัฐประหารนั้นมีงานสำคัญที่จะต้องทำ 2 อย่าง คือ (1) ทำลายขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนายทุนน้อยผู้เป็นชนชั้นกลางเสียให้ราบคาบ (2) การปกครองของพวกหัวหน้าเผ่าต่างๆ ในท้องถิ่นต่างๆ และโครงสร้างทางการเมืองของระบบขุนนางศักดินา (feudalism) ซึ่งได้รับการโจมตีอย่างหนักในการปฏิวัติเพื่อรัฐธรรมนูญ จะต้องถูกแทนที่ด้วยโครงสร้างของระบบขุนนาง-ชนชั้นกลาง
การปราบปรามพวกหัวหน้าเผ่าต่างๆ ก็ดี การจัดตั้งกองทัพสมัยใหม่ก็ดี การจัดระบบการศึกษาแบบใหม่และการบริหารแบบใหม่ก็ดี ทั้งหลายนี้ทำขึ้นเพื่อสนองความมุ่งหมายนี้ทั้งสิ้น ลักษณะดังว่านี้ของการปกครองของเรซา ชาฮ์ซึ่งเป็นไปเพื่อทำลายพวกนายทุนน้อยและแม้กระทั่งชนชั้นกลางที่เป็นชนชั้นผู้นำบางคน ทำให้รัฐบาลโซเวียตรัสเซียยอมรับมาตรการปฏิรูปของเรซา ชาฮ์
หน้าที่ของชนชั้นปกครองในสมัยนั้นมีอยู่ 3 อย่าง คือ (1) เป็นพรรคพวกของจักรวรรดินิยมและเป็นผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของคนเหล่านั้น (2) เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชนชั้นกลางที่เป็นนายหน้าของต่างชาติ (3) เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของพวกขุนนางศักดินา
พวกจักรวรรดินิยมได้ปล้นสะดมเอาทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของประเทศคือน้ำมันไป โดยการซื้อในราคาที่ถูกที่สุดและนำไปขายในราคาสูงในตลาดของอิหร่านเอง และใช้ระบบในการปกครองเป็นเครื่องมือปราบปรามขบวนการก้าวหน้าทั้งหลายภายในประเทศ รวมทั้งเป็นกำแพงกีดกั้นความคิดในด้านปฏิวัติ มิให้เข้ามาจากภายนอกได้
ในรัชสมัยของเรซา ชาฮ์ความขัดแย้งสำคัญในสังคมของอิหร่านก็คือความขัดแย้งระหว่างประชาชนอันประกอบด้วยชนชั้นกลางระดับชาติ กรรมกร ชนชั้นกลางน้อย ชาวไร่ ชาวนาและชนเผ่าต่างๆ กับกลุ่มปฏิกิริยา คือพวกจักรวรรดินิยม ชนชั้นกลางที่เป็นตัวแทนให้คนต่างชาติ และพวกขุนนางศักดินา
ทางด้านเศรษฐกิจ มันหมายความว่ามิได้มีระบบเศรษฐกิจเพียงระบบเดียวอยู่ทั่วประเทศ มีระบบศักดินาอยู่คู่เคียงกันไปกับระบบทุนนิยม นายทุนต่างประเทศมีบทบาทสำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อม ในกรณีของอิหร่านในขั้นตอนนี้ มันเป็นความขัดแย้งที่มีผู้กอบโกยประโยชน์ทั้งหมดอยู่ที่ปลายข้างหนึ่งและที่อีกปลายข้างหนึ่งอาจถือได้ว่าเป็นชนชั้นกลางระดับชาติ คือส่วนหนึ่งของประชาชน ดังนั้นมันจึงเป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนร่วมกับกลุ่มจักรวรรดินิยมกับกลุ่มปฏิกิริยาภายในประเทศ คือกลุ่มผู้ดีศักดินา กับชนชั้นกลางที่เป็นตัวแทนของชาวต่างชาติ
เผด็จการทหารและเครื่องมือของเขาคือตำรวจก็ได้ขยายงานของพวกเขาขึ้นเรื่อยๆ คือการปราบปรามประชาชนและควบคุมผู้ที่เป็นปรปักษ์ต่อประชาชนไว้ในกำมือของรัฐ เผด็จการนี้ทำงานให้แก่เรซา ชาฮ์และพรรคพวกของพระองค์เป็นเบื้องต้น
ระบบตำรวจได้หว่านเมล็ดพืชแห่งความไม่ไว้วางใจกันในหมู่ประชาชนมากเสียจนไม่มีใครกล้าพูดต่อต้านการปกครองของเรซา ชาฮ์ แม้กระทั่งในเขตบ้านของตนเอง มีการจับกุมคุมขังตามอำเภอใจ จู่ๆ คนก็หายตัวไปโดยไม่มีคำอธิบาย และการก้าวร้าวต่อเกียรติศักดิ์และชื่อเสียงของบุคคลทำให้ประชาชนต้องหวาดกลัวไปหมด แต่ครั้นแล้วการปกครองแบบเผด็จการของเรซา ชาฮ์ ก็มีอันต้องล้มครืนลงจนได้ ถึงมิใช่ด้วยการลุกฮือของกำลังฝ่ายปฏิวัติในประเทศ แต่ก็ต้องล้มอยู่ดีด้วยการรุกรานทางทหารของอังกฤษและโซเวียตรัสเซีย
อาจกล่าวได้ว่าความสำเร็จของเรซา ชาฮ์ นั้นมีอยู่จำกัดเพราะถูกขัดขวางโดยสงครามโลกครั้งที่ 2 งานของพระองค์เริ่มขึ้นตั้งแต่อิหร่านยังอยู่ในสภาพอนาธิปไตย แต่ขณะที่ทรงพยายามจะสร้างความเป็นอิสระแก่ตนเองให้แก่อิหร่านก็พบได้ว่าอำนาจของอังกฤษ รัสเซีย และบริษัทน้ำมันนั้นยากที่จะโค่นลงได้ และเมื่อสงครามทำให้ระบอบการเมืองของโลกเปลี่ยนแปลงไป ผลกระทบอย่างแรกก็คือทำให้อิหร่านต้องยอมแพ้ต่อชะตากรรมใหม่ที่มิได้สร้างขึ้นมาและมิอาจจะควบคุมได้
เช่นเดียวกับนักชาตินิยมอื่นๆ พระองค์ทรงเห็นแก่ความเป็นอิสระของประเทศมากกว่าอิสรภาพของประชาชน และต้องการให้ผู้รักชาติมีความทะนงในปิตุภูมิของพวกเขามากกว่าเสรีภาพส่วนตน อย่างไรก็ตามได้ทรงให้อิสรภาพแก่สตรีเป็นอย่างมากและเป็นครั้งแรกที่สตรีได้รับอิสรภาพเช่นนี้
เรซา ชาฮ์ทรงตัดขาดจากชีวิตในอดีตอันเป็นแบบอิสลาม เพียงเพื่อจะให้การปกครองนั้นเสริมความแข็งแกร่งแก่ราชวงศ์ของตนเองเท่านั้น เพื่อที่จะค้ำจุนระบบกษัตริย์ของพระองค์และพรรคพวกของพระองค์จึงได้สร้างสถาบันกษัตริย์อันผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ขึ้นมาและอยู่ในอำนาจเป็นเวลายาวนานถึง 20 ปี
ความไม่พอใจของพวกนักการศาสนาและผู้นำฝ่ายศาสนาส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการที่คนเหล่านี้คิดว่าแผนการทำอิหร่านให้เป็นประเทศสมัยใหม่ของเรซา ชาฮ์ นั้นมีจุดมุ่งหมายในทางการเมือง และทำขึ้นเพื่อจะทำลายโครงร่างของอิสลามในสังคมและทำลายอิทธิพลของศาสนาอิสลามที่มีต่อประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ
คนเหล่านี้มีความเห็นว่าเรซา ชาฮ์ มิได้มุ่งที่จะส่งเสริมค่านิยมทางด้านจริยธรรมที่ดีงามของตะวันตกอย่างเช่น ความเสมอภาคและความยุติธรรม และการที่จะทำให้เยาวชนของอิหร่านต้องเสียไปซึ่งค่านิยมทางด้านจิตใจและหลักศีลธรรมของสำนักคิดชีอะฮ์นั้น เรซา ชาฮ์กำลังจะสร้างสังคมอันเป็นโรคร้ายขึ้นมาซึ่งจะรักษาไม่หายอีกเป็นเวลาช้านาน
แต่เนื่องจากพวกนักการศาสนาไม่มีสิทธิที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาได้ พวกนักศึกษาหนุ่มๆ ในโรงเรียนสอนศาสนาจึงไม่มีทางเลือก นอกจากจะจัดตั้งสมาคมลับๆ ขึ้นมาเพื่อปลุกปั่นให้ประชาชนกระด้างกระเดื่องต่อกษัตริย์
พวกนักการศาสนาที่หัวไม่รุนแรงนักก็เปลี่ยนการประชุมด้านศาสนาในมัสญิดให้กลายเป็นการเมืองไป โดยผู้ฟังได้รับคำเตือนทางอ้อมให้ทำตามตัวอย่างการปฏิวัติของอิมาม อะลี (Ali) อิมามฮูเซน (Husayn) และผู้สืบต่อของท่าน
เรื่องที่เรซา ชาฮ์ประสบความล้มเหลวมากที่สุดก็คือนโยบายต่างประเทศ ทั้งนี้นโยบายต่างประเทศของพระองค์ก็เช่นเดียวกับนโยบายเศรษฐกิจของพระองค์ที่จะทำให้ประเทศทันสมัยเพื่อสร้างและเพิ่มความเป็นไทให้แก่ชาวอิหร่าน
แต่ผลที่ได้คือการเข้ามารุกรานของกองทัพรัสเซียและอังกฤษที่พยายามเกลี่ยกล่อมพระองค์ให้ขับพวกนาซีออกจากอิหร่านและลงมือต่อต้านเยอรมนีที่อังกฤษแสดงความห่วงใยว่ากำลังมีอิทธิพลและจำนวนเพิ่มมากขึ้นในอิหร่าน ในที่สุดรัฐบาลของเรซา ชาฮ์จึงต้องยอมตกลงที่จะขับไล่เยอรมนีออกไป ข้อตกลงนี้เพิ่งเริ่มทำได้จริงๆเพียงส่วนเดียวเท่านั้น กองทัพของรัสเซียก็เดินทางต่อไปยังกรุงเตหะราน
เรซา ชาฮ์ เชื่อว่าบางทีอย่างน้อยรัสเซียหรือไม่ก็อังกฤษด้วยต้องการจะโค่นบัลลังก์ของพระองค์ พระองค์จึงสละราชสมบัติในวันที่ 16 กันยายน ปี1941 เพื่อรักษาราชวงศ์ไว้ให้แก่โอรสต่อไป โอรสของพระองค์ก็คือชาปูร์ มุฮัมมัด (Shapour Muhammad) หรือมุฮัมมัด เรซา (Mohammad Reza) ก็ขึ้นครองราชย์แทน ทรงพระนามเต็มยศว่ามุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ ปาห์ลาวี ชาฮันชาฮ์ (กษัตริย์แห่งกษัตริย์) อารยามาฮัร (แสงสว่างหรือดวงอาทิตย์แห่งชาวอารยัน)
มุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ (1941-1979)
มุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ เกิดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ปี1918 ได้รับการศึกษาขั้นประถมศึกษาใน โรงเรียนทหารที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ในกรุงเตหะราน และเรียนภาษาฝรั่งเศสจากครูผู้หญิงที่มาสอนในวัง ในปี 1931 ได้เดินทางไปศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ หลังจากนั้น 5 ปี พอเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาก็กลับอิหร่านโดยผ่านทางรัสเซีย ในปีเดียวกันนั้นได้เข้าเรียนในวิทยาลัยทหารที่กรุงเตหะราน หลังจากนั้นสองปีก็เรียนจบ ใน ปี1939 ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเฟาซียะฮ์ (Fowzia) ธิดาของกษัตริย์ฟูอ๊าด (Foud) แห่งอียิปต์
หลังจากกลับจากสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์ได้รับการฝึกฝนในเรื่องการปกครองแบบรวมอำนาจและการเมืองสำคัญๆ จากเรซา ชาฮ์ และได้ประสบการณ์โดยพระองค์เองมาจากสวิตเซอร์แลนด์ในเรื่องการปกครองแบบตะวันตก จึงเริ่มรัชสมัยของพระองค์ด้วยการแสดงความเชื่อถือในระบบการปกครองแบบกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และได้เดินทางไปทั่วประเทศเพื่อพบปะกับผู้คนต่างๆ ทั้งๆ ที่พวกนายทหารที่ได้รับการอบรมจากโรงเรียนนายทหารแบบรวมอำนาจของกษัตริย์องค์ก่อนจะไม่พอใจเป็นอย่างมากก็ตาม
เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ามาครอบครองอิหร่านก็ได้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายเกิดขึ้นกองทัพรัสเซียเข้ามาครอบครองภาคเหนืออันเป็นส่วนที่มีพลเมืองหนาแน่นเป็นที่ 3 ของประเทศลงมาจนถึงกรุงเตหะราน
ส่วนอังกฤษที่ในเวลานี้มีความสนใจกิจการน้ำมันของอิหร่านก็เข้ายึดครองภาคใต้ซึ่งมีบ่อน้ำมันและท่าเรือที่อ่าวเปอร์เซีย ต่อมาอีกปีกว่า กองทัพสหรัฐก็เข้ามาสร้างท่าเรือต่างๆ ขึ้น เข้ายึดครองทางรถไฟ ตั้งโรงงานประกอบรถบรรทุกและสร้างถนนซึ่งใช้เป็นทางขนส่งวัสดุสงครามจำนวนมากให้แก่รัสเซียที่เมืองกาซวิน (Qazvin) เพื่อเป็นการตอบแทนการถอนตัวของเรซา ชาฮ์
ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงอนุญาตให้มีความร่วมมือระหว่างอิหร่านกับฝ่ายสัมพันธมิตร และต่อมาอิหร่านก็ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมในสหประชาชาติได้และได้มีการรับประกันเอกราชและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตามคำประกาศแห่งกรุงเตหะรานในปี 1943
แต่ภายในประเทศ ทั้งอังกฤษและโซเวียตรัสเซียต่างก็มิได้รับผิดชอบอย่างแท้จริงในการบริหารการปกครอง ทั้งสองประเทศพอใจอยู่แต่สิ่งที่รัฐบาลอิหร่านทำได้เท่านั้นมิได้รับผิดชอบมากไปกว่านั้น
ส่วนสหรัฐก็พยายามแสดงท่าทีเหมือนกับว่ามิได้ทิ้งกองทัพอยู่ในอิหร่าน ทั้งๆ ที่เนื้อที่ที่อยู่ในความปกครองที่แท้จริงของรัฐบาลอิหร่านมีอยู่เล็กกว่าตัวเมืองของกรุงเตหะรานเสียอีก แม้ในตัวเมืองหลวงเองก็ยังมีอยู่หลายท้องที่ที่ถูกควบคุมโดยทูตของประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร
ในระหว่างช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะสิ้นสุดลง คือในต้น ปี 1944 ได้มีการแข่งขันกันหาผลประโยชน์โดยรัสเซียและอังกฤษที่ได้รับสัมปทานน้ำมันนอกจากบริษัทแองโกล-เปอร์เซียออยส์ รองผู้ตรวจการฝ่ายต่างประเทศของโซเวียตรัสเซียถึงกับเดินทางมายังกรุงเตหะรานเพื่อเจรจาเรื่องการขุดน้ำมันในภาคเหนือของอิหร่าน โดยอ้างว่าดินแดนภาคเหนือของอิหร่านเป็นส่วนสำคัญในการประกันความปลอดภัยของโซเวียตรัสเซียและไม่ควรมีอิทธิพลของอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้อง
เป็นเวลานานก่อนสงครามจะสิ้นสุดลง โซเวียตรัสเซียได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะจัดตั้งเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นในอิหร่าน เพื่อว่าอิหร่านจะได้เป็นรัฐดาวเทียมของโซเวียตรัสเซียหลังจากโซเวียตรัสเซียถอนกำลังทหารออกไปแล้ว
ส่วนอังกฤษก็ใช้วิธีการต่างๆ นานาเพื่อถ่วงดุลอำนาจของโซเวียตรัสเซียไว้ เผ่าบางเผ่าก็พยายามเอาอำนาจของตนกลับคืนไป และพวกผู้นำทางศาสนาก็มุ่งที่จะพยายามทำลายโครงการสร้างประเทศให้เป็นแบบตะวันตกของเรซา ชาฮ์
จากเหตุการณ์ที่ได้กล่าวมาข้างต้น ประกอบกับการขาดแคลนอาหาร และมีสภาพเงินเฟ้ออย่างมากมาย ประเทศจึงตกอยู่ในภาวะเกือบล่มจม ประชาชนได้รับความลำบากยากแค้นเป็นอย่างยิ่ง รัฐบาลต้องเอาใจกองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตรก่อนสิ่งใด
ในสัญญาสามประเทศของฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อเดือนมกราคม ปี 1942 บ่งว่ากองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรจะถอนกำลังออกจากอิหร่านในไม่ช้า เป็นเวลา 2 เดือนหลังจากที่ฝ่ายอักษะประกาศหยุดรบแล้ว ได้มีความพยายามที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจว่ากองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ใช่กองทัพที่จะมายึดครองประเทศ แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นมิตรกับรัฐบาลอิหร่านในการโค่นล้มนาซี
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ย่อมจะคาดหมายว่าจะให้มีความปกติในด้านการเมืองการปกครองไม่ได้ แต่กระนั้นสภาพอันไม่เป็นปกติอันเป็นผลของการก้าวก่ายแทรกแซงของต่างชาติก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตด้านการเมืองมาแล้วไม่มากก็น้อย
นับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ยกเว้นแต่สมัยของเรซา ชาฮ์ คือประมาณ ปี1924-1941 สภาพผิดปกติที่เกิดจากการก้าวก่ายของต่างชาตินี้จะมีลักษณะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับว่ามีต่างชาติชาติเดียวหรือสองชาติกำลังมีอิทธิพลอยู่ในอิหร่าน
ในระหว่างที่มีสองอิทธิพล ระบบการเมืองของอิหร่านจะมีลักษณะแข่งขันชิงดี การเมืองก็เกือบจะเป็นแบบเปิด โดยมีประชากรในเมืองจำนวนมากมีส่วนร่วมอยู่ในขบวนการทางการเมืองและในกิจกรรมของพรรคการเมือง มีการแข่งขันชิงที่นั่งในรัฐสภาและหนังสือพิมพ์ก็จะวิจารณ์อย่างขวานผ่าซาก แต่ถ้ามีอิทธิพลของต่างชาติอยู่เพียงชาติเดียว อิทธิพลนั้นก็มักจะค้ำจุนแนวโน้มของการปกครองแบบเอกาธิปไตยที่มีอยู่ในอิหร่าน
แต่การติดต่อกันระหว่างมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์กับทูตต่างประเทศปรากฏว่าทูตเหล่านั้นมักจะชักนำให้มุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ สร้างโครงการทางการเมืองที่มีลักษณะประชาธิปไตยขึ้นมาเพื่อเผชิญหน้ากับความกดดันอันไม่เป็นที่พึงปรารถนาของขบวนการต่อต้านในลักษณะต่างๆ
เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเข้าใจเสียก่อนว่ามุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ ขึ้นครองราชย์ภายใต้สถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงอย่างนี้ ศักดิ์ศรีของราชวงศ์ปาห์ลาวีได้ตกต่ำลงหลังจากที่กองทัพของเรซา ชาฮ์ ไม่สามารถต่อต้านการเข้าครอบครองของต่างชาติได้ และหลังจากเรซา ชาฮ์ ยอมสละราชบัลลังก์ ก็มีบุคคลและกลุ่มคนจำนวนมากที่เคยได้รับทุกข์มาภายใต้การปกครองแบบเผด็จการอันทารุณของเรซา ชาฮ์ ซึ่งคอยมองหาโอกาสที่จะคิดบัญชีกับชาฮ์องค์ใหม่อยู่
ในบรรดาผู้ที่ถูกกดขี่อย่างหนักก็ได้แก่ผู้ที่เคยมีความสัมพันธ์กับราชวงศ์กาญาร์มาก่อน นั่นคือพวกขุนนางเก่าที่มีที่ดินอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ นักการศาสนาสำนักคิดชีอะฮ์ กลุ่มคอมมิวนิสต์ที่เพิ่งเริ่มตั้งตัวและแม้กระทั่งองค์การฟาสซิสม์เดิม
กองทัพซึ่งเรซา ชาฮ์ ตั้งขึ้นใหม่โดยไม่มีชนชั้นขุนนางศักดินาปะปนอยู่และทำหน้าที่เป็นเครื่องค้ำจุนอันสำคัญของระบอบการปกครองของพระองค์ก็แตกสลายไปหมดทั้งในเรื่องกำลังใจและอิทธิพลของมัน เพราะการเข้าครอบครองของต่างชาติ ประการสุดท้ายสภาพบ้านเมืองในช่วงสงครามได้นำเอาผู้คนใหม่ๆ ซึ่ง แต่ก่อนไม่เคยมีความสัมพันธ์กันกับราชวงศ์ปาห์ลาวีเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมือง
การขนส่งและความต้องการของการส่งเข้าสินค้าทำให้เกิดคนกลุ่มใหม่ขึ้น คือ พวกกรรมกรและเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้แก่ผู้รับเหมาธุรกิจและเจ้าของรถบรรทุก การที่หนังสือและรูปภาพเข้ามาในประเทศได้อย่างเป็นอิสระรวมทั้งตัวอย่างวิถีชีวิตของชาวต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งตอนนี้มาอยู่ในกรุงเตหะรานนั้นมีผลกระทบอันลึกซึ้งและต่อเนื่องต่อทัศนคติและอุดมการณ์ของคนหนุ่มสาวที่อยากเป็นข้าราชการ หรืออยากได้ตำแหน่งของชนชั้นกลางอย่างอื่นๆ นับเป็นครั้งแรกในอิหร่านที่มีความคิดว่าความทันสมัยนั้นมาจากแบบอย่างของตะวันตก
เมื่อมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ ขึ้นครองราชย์นั้นพระองค์ไม่มีกำลังทหารที่แท้จริงคอยค้ำจุนพระองค์อยู่ และรัฐสภาก็เป็นองค์กรที่เป็นอิสระเกือบจะไม่อยู่ใต้การควบคุมของผู้ใด เพื่อจะได้มาซึ่งการสนับสนุนสถานการณ์เช่นนี้ย่อมต้องมีการประนีประนอมต่อรอง เพราะแม้แต่กิจกรรมการปกครองประจำวันก็อาจนำไปสู่การโค่นล้มของพระองค์ได้และย่อมจะนำไปสู่จุดจบของราชวงศ์ปาห์ลาวีด้วย
จุดจบของราชวงศ์นี้น่าจะหมายถึงจุดจบของระบบกษัตริย์ในอิหร่านด้วย ดังนั้นในการแสวงหาการสนับสนุนค้ำจุน ชาฮ์จึงต้องอ่อนข้อให้กับความปรารถนาของพระองค์ที่อยากได้การบริหารประเทศที่มีเหตุผลและมีประสิทธิภาพเสีย แล้วชาฮ์ก็ค่อยๆ เอาชนะใจพวกทหารส่วนหนึ่งได้รวมทั้งพวกชนชั้นผู้ดีเก่าๆ และนักการศาสนาส่วนหนึ่งด้วย
แต่สำหรับคนรุ่นใหม่นั้นพระองค์ไม่อาจจะเรียกความจงรักภักดีกลับคืนมาได้ ในฐานะที่เป็นข้าราชการหรือทหารชั้นผู้น้อย คนรุ่นใหม่นี้จะทำงานตามหน้าที่ของตนไป แต่ในทางส่วนตัวแล้ว ต่างก็ต่อต้านระบบการปกครองของมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์และมั่นใจเพิ่มขึ้นว่าจะไม่มีทางที่จะปรับปรุงสภาพต่างๆ ให้ดีขึ้นได้ในอิหร่านถ้าหากว่าไม่กำจัดระบบการปกครองนั้นเสีย
แต่ในสภาพที่อยู่ใต้อำนาจชาวต่างชาติเช่นนี้ พวกที่ต่อต้านกษัตริย์ก็ยังไม่สามารถที่จะทำการปฏิวัติขึ้นได้ แต่ถึงกระนั้นก็ได้มีการวางรากฐานเอาไว้แล้ว ในขณะเดียวกันความพยายามของมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ก็เกิดผลบ้างในข้อที่ว่าระบบการเมืองของอิหร่านสมัยหลังสงครามถูกปลุกปั้นขึ้น โดยความพยายามดิ้นรนของพระองค์ในอันที่จะรักษาและปรับปรุงสถานภาพของพระองค์เองให้คงอยู่ได้และดีขึ้น
นับตั้งแต่ ปี 1941 ไปจนถึงการโค่นล้มนายกรัฐมนตรีมุศ็อดดีก (Muzoddeq) (อยู่ในอำนาจระหว่าง ปี 1951-1953) เป็นผู้มีบทบาทสำคัญอยู่ในกระบวนการตัดสินใจด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกิจการน้ำมันของอิหร่านกับต่างประเทศในสมัยของมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ (ปี 1941-1979))
ใน ปี 1953 มุฮัมมัด เรซา ชาฮ์มีฐานะเป็นแต่เพียงผู้แข่งขันคนสำคัญคนหนึ่งที่กำลังชิงชัยอยู่ในเวทีแข่งขันที่เปิดฟรีให้แก่ทุกคนเท่านั้น ความสำคัญของพระองค์ขึ้นอยู่กับความถาวรของตำแหน่งของพระองค์ซึ่งดูท่าจะไม่แข็งแกร่งนัก เป็นความถาวรที่ขึ้นอยู่กับการยอมรับจากฝ่ายสัมพันธมิตรและรัฐธรรมนูญเท่านั้น
พระองค์ไม่สามารถจะพึ่งพาผู้ที่เคยสนิทสนมใกล้ชิดกับพระราชบิดาได้เพราะคนเหล่านั้นหมดอำนาจวาสนาไปแล้วส่วนหนึ่งพร้อมกับการสละราชสมบัติของเรซา ชาฮ์
อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์กับหัวหน้าเผ่าบัคเตียรีก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ได้มีการให้สิทธิพิเศษแก่พวกนักการศาสนาเพื่อเอาใจคนเหล่านั้น และมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ก็สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายทางการทหารได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีสิทธิกำหนดขนาดของงบประมาณทางการทหารได้ก็ตาม
ในตอนปลายสงคราม ความสนใจในทางการเมืองได้มารวมอยู่ที่เรื่องสามเรื่องคือ สถานภาพของมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ ปัญหาอันเรื้อรังในเรื่องที่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี และจะทำอย่างไรให้กองทัพรัสเซียออกจากแคว้นอเซอร์ไบญัณไปได้
เพื่อที่จะแก้ปัญหาข้อที่สาม จึงต้องแก้ข้อที่สองเสียก่อนด้วยการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่มีความชำนาญและกล้าหาญที่สุดในศตวรรษที่ 20 ซึ่งก็ได้แก่กวาม อัล-สุลตาเนห์ (Qwam al-Sultaneh)
ดังได้กล่าวมาแล้วในสมัยของพระองค์ รัสเซียได้ถูกเกลี้ยกล่อมให้ออกจากอเซอร์ไบญันได้สำเร็จ นักชาตินิยมหนุ่มๆ บางคนที่มีหัวปฏิรูปและมีความสามารถได้ถูกนำเข้ามาทำงานในรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ส่วนปัญหาข้อแรกคือสถานภาพของมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์นั้นก็ขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาข้อที่สองนี้คือใครจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั่นเอง
ตัวเองพระองค์เองนั้นพยายามแสวงหาทางแก้ปัญหาที่ถาวรให้แก่อิหร่านในขณะเดียวกันก็หาความมั่นคงให้แก่สถานภาพของตัวเองด้วย ส่วนใหญ่ก็ด้วยการปรับเปลี่ยนนโยบายไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
ด้วยการอาศัยตัวบุคคลที่สำคัญที่สุดในคณะรัฐบาลคือตัวนายกรัฐมนตรี เป็นความจำเป็นที่พระองค์จะต้องทรงเลือกนายกรัฐมนตรีที่ทรงเห็นว่าจะเข้ากับพระองค์ได้ เมื่อไม่ทรงถูกพระทัยก็สั่งปลดเสียและแต่งตั้งคนใหม่แทนไปเรื่อยๆ บางครั้งก็ได้ตัวนายกรัฐมนตรีที่ต่อต้านพระองค์เช่นมุศ็อดดีก เป็นต้น
ตั้งแต่ ปี1941 ถึง ปี1946 พระองค์ได้สั่งปิดหนังสือพิมพ์ แต่หนังสือพิมพ์ที่ถูกสั่งปิดก็ไปปรากฎในชื่ออื่นๆ ต่อไปและขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าการจลาจลประท้วงการขาดแคลนขนมปังในกรุงเตหะรานเมื่อ ปี1942 จะทำให้รัฐบาลต้องออกกฎข้อบังคับเพิ่มขึ้นอย่างเข้มงวดก็ตาม แต่ทั่วกรุงเตหะรานก็มีหนังสือพิมพ์ถึงประมาณ 200 ฉบับ
นโยบายต่างประเทศของมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์นั้นวางไว้เพื่อรับใช้การต่อต้านคอมมิวนิสต์ของสหรัฐทั่วโลก ในเดือนพฤษภาคม ปี 1955 ด้วยการยุยงของสหรัฐ พระองค์ได้เข้าร่วมในสนธิสัญญาแบกแดด (Baghdad pact) ซึ่งตุรกีและอิรักเริ่มขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1955 ต่อมาอังกฤษและปากีสถานได้ลงนามด้วย ดูเผินๆ แล้วสนธิสัญญานี้คือสนธิสัญญาป้องกันตัวและเกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจ แต่อันที่จริงมันคือสัญญาต่อต้านคอมมิวนิสต์
ต่อมาพระองค์ก็ได้กลายเป็นมิตรสนิทของอิสราเอล แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงเข้าเป็นสมาชิกค่ายประเทศมุสลิมซึ่งกษัตริย์ฟัยซ็อล แห่งซาอุดีอาระเบียและกษัตริย์ฮุสเซน (Hussein) แห่งจอร์แดนตั้งขึ้น การที่ทรงผูกมิตรกับอิสราเอลทำให้ชาวอิหร่านไม่พอใจ การสนับสนุนของสหรัฐทำให้พระองค์ได้รับความสำเร็จในนโยบายต่างประเทศของพระองค์เท่าที่เกี่ยวข้องกับโลกตะวันตก แต่สำหรับภายในประเทศ พระองค์ไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ภายในประเทศได้ พระองค์ทรงประเมินความเข้มแข็งของผู้ต่อต้านพระองค์ต่ำเกินไป
ต่อมาพระองค์ได้จัดตั้งหน่วยซาวัก (Savak เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยของประเทศหรือตำรวจ) และองค์การสืบราชการลับ (Sazeman-e-Ettela ‘at va Ammeyat-e Keshwar) ขึ้น ด้วยความช่วยเหลือของสหรัฐ นายพลติมูร บัคติยารซึ่งเป็นผู้อำนวยการหน่วย ซาวักนั้นทำงานเหมือนกับหน่วยสืบราชการลับ CIA และ FBI โดยมีที่ปรึกษาเป็นชาวอิสราเอลและสหรัฐ
ในเดือนตุลาคมปี 1958 พระองค์ได้จัดตั้งมูลนิธิปาห์ลาวีขึ้นเพื่อคุมเอกสิทธิ์ในผลกำไรจากการขายที่ดิน ซึ่งไม่อาจแจกจ่ายหรือตัดออกได้นั้นให้ผลประโยชน์เป็นของพระองค์เอง พระองค์ทำให้การปฏิวัติขาว (หมายถึงการปฏิวัติที่ไม่เสียเลือดเนื้อ) ตามแบบสหรัฐเป็นที่นิยมของประชาชนแล้วต่อมาพระองค์ก็ได้เอาแนวความคิดนั้นมาใช้เพื่อผลประโยชน์ของพระองค์เอง
โปรแกรม 12 ข้อคือหลักของการปฏิวัติขาว (White Revolution) ซึ่งพระองค์อ้างว่าพระองค์ทรงคิดขึ้นเอง ซึ่งได้แก่ 1. การปฏิรูปที่ดิน 2. การจัดป่าและทุ่งเลี้ยงสัตว์เป็นสมบัติของชาติ 3. ขายโรงงานที่เป็นของรัฐบาลเพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายในเรื่องปฏิรูปที่ดิน 4. แบ่งผลกำไรในการอุตสาหกรรม 5. ปฏิรูปกฎหมายเลือกตั้งให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้ 6. ต่อต้านการไม่รู้หนังสือ 7. จัดตั้งหน่วยบูรณะและพัฒนา 8. จัดตั้งหน่วยสุขาภิบาล 9. ตั้งศาลในท้องถิ่นชนบท 10. ยึดทางน้ำเป็นสมบัติของชาติ 11. บูรณะชาติให้แข็งแกร่ง 12. ปฏิวัติการศึกษาและการบริหารประเทศ
โปรแกรมการปฏิรูปเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นของใหม่ในอิหร่านเท่านั้น นับตั้งแต่ ปี 1963 เป็นต้นมากิจกรรมทั้งหมดของชาติได้มุ่งอยู่ที่การทำตามโปรแกรมเหล่านี้ แต่ข้อที่ทำเป็นล่ำเป็นสันก็คือการปฏิรูปที่ดินและต่อต้านการไม่รู้หนังสือ ส่วนข้ออื่นนั้นหากจะมีการทำบ้างก็มีอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
การปรากฏตัวของอะยาตุลลอฮ์ โคมัยนี
แนวหน้าแห่งชาติได้เรียกร้องให้มีการประชุมของมวลชนในวันที่ 25 มกราคม ปี 1963 เพื่อประณามการปกครองแบบเผด็จการของมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ ความทารุณป่าเถื่อนของซาวักและการที่ตำรวจทหารและชาวตะวันตกนักล่าเมืองขึ้นมามีอำนาจเหนืออิหร่าน แต่รัฐบาลก็สั่งห้ามมิให้มีการประชุม
ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันนั้น ก็ได้มีฝ่ายค้านกลุ่มสำคัญแสดงตัวออกมาอีกนอกจากแนวหน้าแห่งชาติแล้ว กลุ่มนี้นำโดยอะยาตุลลอฮ์ โคมัยนี (Ayatullah Khomeini) ก้าวทั้งสามของมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ซึ่งตั้งใจจะทำให้เกิดความมั่นคงของระบบกษัตริย์ ก็คือการปราบปรามแนวหน้าแห่งชาติใน ปี 1962 การประกาศการปฏิวัติขาวใน ปี 1963 และการปราบปรามการคัดค้านที่นำโดยนักการศาสนาในเดือนมิถุนายน ปี 1963
ในระหว่างนั้นการคัดค้านของพวกนักการศาสนาก็เป็นไปอย่างกว้างขวางจนน่าเกรงขาม แม้แต่อะยาตุลลอฮ์ บูรูเญอร์ดี (Ayatullah Burujerdi) ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำของโลกชีอะฮ์ทั้งหมดก็ยังถูกสาวกคนสำคัญๆ ของเขารบเร้าให้ทำการคัดค้านการปกครองของมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์
การตัดสินใจของมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ที่จะจัดให้มีการออกเสียงแสดงประชามติในเรื่องการปฏิวัติขาวของพระองค์ก็ทำให้อะยาตุลลอฮ์ โคมัยนีโจมตีเรซา ชาฮ์มากขึ้นอีก ในวันที่ 22 มกราคม ปี1963 ตลาดกรุงเตหะรานปิดเพื่อประท้วงการลงประชามติตามคำเรียกร้องของนักการศาสนา
มุฮัมมัด เรซา ชาฮ์และนายกรัฐมนตรีได้เตือนพวกผู้นำทางศาสนาว่าจะใช้มาตรการอันรุนแรงปราบปรามถ้าหากมีการก่อกวนการลงประชามติ แนวหน้าแห่งชาติและพวกผู้นำฝ่ายค้านอื่นๆ ก็มาชุมนุมกันก่อนจะมีการลงประชามติสามวัน
ตัวมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์เองได้เสด็จมาที่เมืองกูม (Qum) และกล่าวหาว่าพวกนักการศาสนาเป็นพวกทรยศ ในความเป็นจริงชาวอิหร่านเองมิได้มีความประทับใจในการลงประชามตินี้เลย การคัดค้านของนักการศาสนาก็มิได้สงบลง พิธีระลึกถึงอิมามฮูเซนจะเริ่มขึ้นในวันที่ 25 พฤษภาคม ปี 1963 คาดว่าจะเป็นระยะที่มีการเผชิญหน้าอย่างแท้จริงระหว่างพวกนักการศาสนากับกำลังตำรวจของมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์
อะยาตุลลอฮ์ โคมัยนีก้าวต่อไปโดยประกาศให้วันขึ้นปีใหม่ของอิหร่าน (21 มีนาคม) เป็นวันแสดงความเศร้าโศกในการสิ้นชีวิตของอิมามท่านที่ 6 คืออิมามยะอ์ฟัร อัศ-ศอดีก (Jafar al-Sadeq) ผู้มาร่วมในพิธีหลายพันคนได้มาชุมนุมกันในโรงเรียนสอนศาสนาฟัยซียะฮ์ (Fayziyah)
ในเมืองกูมมีทหารและตำรวจซึ่งแต่งกายเป็นชาวไร่ชาวนาบุกเข้าไปทำร้ายผู้คนจนล้มตายไปจำนวนหนึ่งและบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน
หัวหน้านักศึกษาถูกจับ มัสญิด สถานที่สักการะและโรงเรียนสอนศาสนาถูกปิดโดยกำลังทหารและตำรวจ แต่อะยาตุลลอฮ์โคมัยนีสั่งห้ามมิให้ทำการตอบโต้ใดๆ ตำรวจและทหารแสดงความเป็นปรปักษ์ต่อพวกนักการศาสนาอย่างเต็มที่ พวกนักการศาสนาจึงได้รับความเห็นอกเห็นใจจากคนทั่วไป อะยาตุลลอฮ์โคมัยนีได้เขียนจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีว่าแม้หอกปลายปืนก็ไม่อาจปิดปากเขาเสียได้
หลังจากถูกปล่อยตัวจากการกักบริเวณในบ้าน อะยาตุลลอฮ์ โคมัยนีก็เริ่มพิมพ์คำสั่งประณามนโยบายของรัฐบาล คำสั่ง (ฟัตวา) ได้นำเอาทัศนะของอะยาตุลลอฮ์ โคมัยนีกระจายไปทั่วประเทศ บางฉบับก็ไปถึงยุโรปและสหรัฐอเมริกา
พวกนักศึกษาจากแนวหน้าแห่งชาติก็ได้อ่านเทปบันทึกเสียงคำปราศรัยของเขาซึ่งกระจายไปทั่วประเทศเช่นเดียวกัน สำหรับส่วนที่เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์นั้น อะยาตุลลอฮ์ โคมัยนีได้ประณามความร่วมมือระหว่างอิหร่านอิสราเอลและสหรัฐ
การยอมรับฐานะของประเทศอิสราเอลของเรซา ชาฮ์เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ปี1960 ได้ถูกประณามว่าเป็นการทรยศต่ออิสลามและอิหร่าน
อะยาตุลลอฮ์โคมัยนีได้ประณามสหรัฐว่าเป็นศัตรูตัวร้ายของอิสลาม การใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายของชาฮ์และการที่เอาเงินรายได้จากน้ำมันไปใช้อย่างฟุ่มเฟือยก็เป็นเรื่องที่ถูกวิจารณ์ การสั่งปิดหนังสือพิมพ์และการปกครองประชาชนด้วยการกดขี่ถูกประณามอย่างสาดเสียเทเสีย เรียกร้องประชาชนและนักการศาสนาให้ขึ้นเสียงต่อต้านการกดขี่และเผด็จการ และถึงกับเรียกร้องพวกทหารให้โค่นล้มราชวงศ์เพื่อจะปกป้องประเทศชาติให้พ้นจากเผด็จการและทรราชย์ด้วย
รัฐบาลมิได้สนใจต่อคำประท้วงของพวกนักการศาสนา แต่ได้จับอะยาตุลลอฮ์โคมัยนีขังไว้ในบ้านของเขา อย่างไรก็ตามการที่กองทหารและตำรวจเข้าบุกรุกโรงเรียนสอนศาสนาฟัยซียะฮ์นั้นได้ทำให้นักศึกษาในเมืองกูมรวมตัวเข้ากับนักศึกษาและครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเตหะราน ซึ่งเคยถูกกองทหารและตำรวจเข้าโจมตีเหมือนกันในเดือนมกราคม ปี 1961
ชาวอิหร่านทั่วประเทศเกิดความตระหนกตกใจพวกนักการศาสนาทั่วประเทศก็จัดพิมพ์คำประกาศของอะยาตุลลอฮ์โคมัยนี ซึ่งประณามเผด็จการของชาฮ์ อะยาตุลลอฮ์ มุฮ์ซินุลฮะกีมเองก็ได้ส่งโทรเลขประณามความโหดร้ายของชาฮ์มายังพวกนักการศาสนาในอิหร่านด้วยและรบเร้าพวกเขาให้อพยพไปอยู่ที่เมืองนะยัฟ (เป็นเมืองศาสนาของผู้ถือสำนักคิดชีอะฮ์ตั้งอยู่ในประเทศอิรักเพื่อวางแผนต่อสู้การกดขี่)
ในวันที่ 10 เดือนมุหัรร็อม (3 มิถุนายน ปี1963) อะยาตุลลอฮ์โคมัยนีได้กล่าวคำปราศรัยที่เมืองกูม และในเย็นวันที่ 4 มิถุนายน นักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยเตหะรานก็เดินขบวนครั้งใหญ่จากมัสญิดฮิดายะฮ์ ในถนนอิสตันบูล (Istanbul) วันรุ่งขึ้นฝูงชนก็มาชุมนุมกันที่มัสญิดชาฮ์ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมัสญิดโคมัยนี) และมีการเดินขบวนครั้งใหญ่อีก ผู้เดินขบวนให้สัตย์สาบานว่าจะต่อสู้กับเผด็จการจนตัวตาย กองทหารได้ขับไล่ประชาชนจนแตกกระจัดกระจายไป อะยาตุลลอฮ์ ตาเลกอนีก็ถูกจับตัวส่งเข้าคุกทันที
ในตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้นอะยาตุลลอฮ์โคมัยนีก็ถูกจับตัวส่งเข้าคุกในกรุงเตหะราน ในทันทีที่ข่าวอะยาตุลลอฮ์ โคมัยนีถูกจับรู้ไปทั่วกรุงเตหะรานฝูงชนจำนวนหลายพันคนก็เริ่มเดินขบวนตามถนน ประท้วงการจับกุมและการกดขี่ของชาฮ์ รัฐบาลจึงออกคำสั่งห้ามเดินขบวนทางศาสนาและอื่นๆ ทั้งหมดแต่วันต่อมาก็มีการเดินขบวนอีกเป็นการท้าทายคำสั่งห้าม แล้วก็เปลี่ยนเป็นการจลาจลไปในทันที การจลาจลได้ขยายไปถึงเมืองกูม ตาบริซ มัชฮัด อิสฟาฮาน และชีราซ ในเมืองสำคัญๆ ทั้งหมดได้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกและออกคำสั่งให้ “ยิงเมื่อเห็น” ปรากฏว่ามีคนตายกว่า 15,000 คน และบาดเจ็บอีกมากกว่านั้น
ชาฮ์กล่าวหาว่าอะยาตุลลอฮ์โคมัยนีเป็นผู้จ้างประชาชนให้ก่อการจลาจลโดยให้เงินคนละ 20 เซ็นต์ จากเงินหลายแสนเหรียญสหรัฐที่ได้รับมาจากตัวแทนของต่างชาติ (หมายถึงอียิปต์) เชื่อกันว่าอะยาตุลลอฮ์โคมัยนีจะถูกขังจนตายและผู้นำทางศาสนาคนสำคัญคนอื่นๆ ก็จะถูกขังกันคนละหลายๆ ปี
เพื่อจะช่วยชีวิตของอะยาตุลลอฮ์โคมัยนีไว้ อะยาตุลลอฮ์ ซาริอัตมาดารี (Ayatullah Shariatmadari) ได้ย้ายไปอยู่ใกล้กรุงเตหะรานและได้เชิญอะยาตุลลอฮ์มิลานี (Milani) แห่งเมืองมัชฮัด อะยาตุลลอฮ์เบฮ์เบฮานี (Behbehani) แห่งคูซิสถาน (Khuzestan) อะยาตุลลอฮ์ รอฟีอี (Rafi’i) แห่งเมืองกาซวิน อะกา ฮามาดานี (Hamadani) แห่งฮามาดานและนักการศาสนาคนสำคัญๆ จากส่วนต่างๆ ของประเทศมาพบปะกัน
คนเหล่านี้ได้ไปหารัฐบาลและเน้นต่อรัฐบาลว่าอะยาตุลลอฮ์โคมัยนีเป็นผู้นำทางศาสนาชั้นสูง (Marja-e-Taqlid) และเป็นผู้นำทางศาสนาที่ได้รับการปกป้องจากกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญ คนเหล่านี้ไม่เต็มใจที่จะจากสถานที่นั้นไปโดยไม่ได้รับการยืนยันจากรัฐบาลเกี่ยวกับความปลอดภัยของบรรดานักการศาสนาที่ถูกจับและบังคับให้รัฐบาลต้องยอมตามคำเรียกร้องของพวกเขา
ต้นเดือนสิงหาคม อะยาตุลลอฮ์โคมัยนีถูกปล่อยตัวแต่ก็ถูกกักบริเวณอยู่ในบ้าน หน่วย SAVAK ได้ออกคำแถลงว่าอะยาตุลลอฮ์โคมัยนีและนักการศาสนาคนอื่นๆ ให้สัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่อะยาตุลลอฮ์โคมัยนีก็ออกคำแถลงปฏิเสธทันที
พวกผู้นำทางศาสนาก็ยังทำการต่อต้านรัฐบาลอยู่ต่อไปในวันที่ 23 สิงหาคม ผู้นำทางศาสนาทั่วประเทศอิหร่าน ได้ออกประกาศให้ประชาชนบอยคอตการเลือกตั้งที่กำลังจะมีมาโดยอ้างเหตุผลว่า เนื่องจากอำนาจสูงสุดของประเทศตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญถูกบิดเบือนไปเป็นการปกครองแบบเผด็จการซึ่งอำนาจรวมอยู่ที่คนๆ เดียว
ในเดือนตุลาคม ปี1964 รัฐสภาได้ผ่านพรบ.ยอมให้สิทธิพิเศษทางการทูตแก่บุคลากรทางทหารชาวอเมริกัน และอีก พรบ.หนึ่งยอมรับเงิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ จากสหรัฐอเมริกาเพื่อซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อะยาตุลลอฮ์โคมัยนีได้กล่าวประณามรัฐบาลและรัฐสภาอย่างเปิดเผยว่าการตัดสินใจของรัฐสภาเป็นการตัดสินใจที่ผิดเป็นเรื่องน่าอัปยศ เพราะสำหรับเขามันหมายถึงการทำลายอำนาจสูงสุดของชาวอิหร่านลงไปและขายชาติเพื่อเงิน
เขาได้สรุปว่าขณะนี้แม้แต่ประเทศเมืองขึ้นเก่าๆ ก็ยังพยายามที่จะหักโซ่ตรวนความเป็นทาสของตะวันตกลง แต่บัดนี้รัฐสภาซึ่งเรียกตัวเองว่าก้าวหน้ากลับกลายเป็นทาสของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ปี1964 อะยาตุลลอฮ์โคมัยนีก็ถูกเนรเทศไปตุรกี ความพยายามของพวกนักการศาสนาที่จะเอาตัวอะยาตุลลอฮ์โคมัยนีกลับคืนมายังอิหร่านก็ไร้ผล การประท้วงของพวกนักศึกษา ช่างฝีมือและพ่อค้ามิได้ทำให้รัฐบาลสะดุ้งสะเทือนเลย มุสฏอฟา (Mustafa) บุตรชายของอะยาตุลลอฮ์โคมัยนีถูกจับด้วย แต่หลังจากนั้น 2 เดือนก็ถูกปล่อยตัวให้ไปหาบิดาที่ตุรกีได้
ในวันที่ 5 ตุลาคมปี 1965การประท้วงอย่างไม่สิ้นสุดได้เริ่มขึ้นในเมืองกูม สาเหตุคราวนี้เกิดจากได้มีบทความที่ไม่ลงนามผู้เขียนตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ประจำวันอิตติลาอัต (Ittela’at) ในวันที่ 19 ธันวาคม ปี 1977 ใช้ภาษาหยาบๆ กล่าวหาว่าอะยาตุลลอฮ์โคมัยนีเป็นตัวแทนที่ได้รับสินบนจากรัฐบาลต่างชาติรัฐบาลหนึ่ง
ในเย็นวันที่ 19 นั้นเอง หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นก็ถูกเผาเป็นร้อยๆ ฉบับ วันต่อมาได้มีการเดินขบวนประท้วง ประกอบด้วยนักการศาสนา พ่อค้าตลอดจนนักศึกษาและประชาชนธรรมดา ตำรวจก็เปิดฉากยิงขับไล่คนเหล่านั้นแตกกระเจิงในกรุงเตหะรานในวันที่ 21 มกราคม ทหารพยายามปราบปรามแต่ก็ล้มเหลว ในวันที่ 27 มีนาคม ปี1977 เมืองกาซวินซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเตหะรานและเมืองบาโบล (Babol) ทางเหนือก็เกิดการจลาจลขนาดใหญ่ขึ้น วันต่อมาได้มีการจลาจลเกิดขึ้นทั่วประเทศ
ในตอนต้นเดือนเมษายนได้มีการประท้วงที่เมืองเรซาเยฮ์ (Rezaeyeh) อิสฟาฮานและซารันด์ (Zarand) ในวันที่ 9 เมษายนก็มีการชุมนุมของพวกนิยมรัฐบาลจำนวน 300,000 คน รวมทั้งคณะรัฐมนตรีและข้าราชการอาวุโส แสดงความศรัทธาอย่างเต็มที่ในรัฐบาลของชาฮ์ หลังจากเดือนเมษายน พวกนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเตหะรานก็ต่อต้านชาฮ์อย่างรุนแรง
จากวันที่ 6 ถึง 9 พฤษภาคมได้มีการจลาจลใหญ่ๆ ในเขตมหาวิทยาลัยแห่งเมืองชิราซ อิสฟาฮาน เคอร์มาน และกาซาน (Kashan) ทหารนำรถถังบุกเข้าเมืองกูม โจมตีเมืองเสียหายและเกิดการต่อสู้ขึ้น พวกคอมมิวนิสต์จำนวน 200 คนถือโอกาสที่เกิดความระส่ำระสายนี้จัดการเดินขบวนขึ้นในกรุงเตหะราน
นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่พรรคทูเดห์ถูกยุบมาใน ปี 1949 หัวหน้ากลุ่มถูกจับไป 9 คน ในวันที่ 10 พฤษภาคม รัฐบาลได้ประกาศว่าจะใช้มาตรการรุนแรง ชาฮ์กล่าวหาสมาชิกของแนวหน้าแห่งชาติว่าเป็นผู้ยุยงให้เกิดการจลาจลขึ้นและกล่าวว่าคนเหล่านั้นต้องการให้อิหร่านถูกแบ่งแยกโดยมหาอำนาจ แต่ก็มิได้กล่าวถึงกลุ่มนักการศาสนาอีก
ในวันที่ 16 พฤษภาคม คณะกรรมการปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งอิหร่านได้เตือนชาฮ์มิให้ทำการกดขี่ประชาชนอีกต่อไปและกล่าวว่ามิฉะนั้นแล้วมันจะนำไปสู่การจลาจลเพิ่มขึ้น แต่การจลาจลก็ยังมีอยู่อีกต่อไปในเดือนกรกฏาคมที่เมืองมัชฮัด กูมและอิสฟาฮาน
ในเดือนสิงหาคมเมืองต่างๆ เกือบทั่วอิหร่านก็เกิดการจลาจลขึ้น โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในเมืองอบาดาน (Abadan) ถูกเผามีคนเสียชีวิตไป 377 คน บาดเจ็บ 233 คน ส่วนมากเป็นผู้หญิงและเด็ก ประชาชนประณามหน่วย SAVAK ว่าเป็นผู้กระทำการร้ายนี้ ซึ่งก็เท่ากับประณามชาฮ์ด้วยนั่นเอง ผู้คนเริ่มเรียกร้องจะเอาชีวิตพระองค์ การจลาจลก็เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนจนต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกในเมืองอิสฟาฮาน
สถานการณ์ด้านความเป็นระเบียบเรียบร้อยในอิหร่านที่เลวลงและการที่ฝ่ายค้านปฏิเสธไม่ยอมร่วมมือกับชาฮ์ทำให้ชาฮ์ต้องการจะจัดการอย่างเด็ดขาด จึงทรงแต่งตั้งให้รัฐบาลทหารเป็นผู้ปกครองประเทศ รัฐบาลใหม่เอารถถังออกแล่นไปตามถนนเพื่อแสดงแสนยานุภาพ
มีคำสั่งห้ามออกนอกบ้านในเวลากลางคืนคืนละ 8 ชั่วโมง นายพลกุลาม โอเวซี (Ghulam Oveisi) ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน พยายามใช้นโยบายเด็ดขาดกับกรรมกรน้ำมัน นอจากนี้รัฐบาลใหม่นี้ยังใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับพวกเสรีประชาธิปไตยด้วย หัวหน้ากลุ่มหลายคนถูกจับ สถานศึกษาทุกแห่งถูกปิด หนังสือพิมพ์ฉบับสำคัญๆ ถูกปิด ทหารเข้าควบคุมวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ในระยะนี้ชาฮ์พยายามเอาใจประชาชนด้วยการให้รัฐบาลใหม่จับนายพลนิอ์มะตุลลอฮ์ นัซซีรี (Nematullah Nassiri) อดีตหัวหน้าหน่วย SAVAK โฮวีดาอดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีอีก 5 นายก็ถูกจับรวมทั้งหัวหน้าตำรวจและข้าราชการชั้นนำอื่นๆ อีกหลายคน และยังได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนทรัพย์สินและที่ดินของสมาชิกในราชวงศ์และทรงสัญญาว่าจะชำระล้างมูลนิธิปาห์ลาวี ซึ่งเกี่ยวข้องกับการคอรัปชั่นในวงราชสำนักด้วย แต่ก็ไม่มีใครเชื่อใจชาฮ์เสียแล้ว ขบวนการต่อต้านชาฮ์ไม่ยอมรับรัฐบาลทหารชุดนี้เช่นเดียวกับรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้คือรัฐบาลของอิมามี
รัฐบาลทหารชุดนี้ก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในถนนและไม่สามารถบังคับกรรมกรน้ำมันให้เพิ่มการผลิตน้ำมันได้และไม่ได้รับความร่วมมือ ชาฮ์จึงต้องหันเข้าหารัฐบาลพลเรือนอีกครั้งหนึ่ง
ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ปี 1978ชาปูร บัคติยาร (Shapour Bakhtiyar) ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเขาหวังว่าจะสามารถหาการสนับสนุนได้พอที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนขึ้นมาใหม่ภายในโครงร่างของระบบกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และสามารถจะกำจัดอำนาจที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ของกลุ่มอิสลามซึ่งเขารู้สึกว่าจะท้าทายพลังของฝ่ายเสรีประชาธิปไตยในอิหร่านได้อย่างแข็งแกร่ง และต้องการจะเปิดการเจรจาอย่างเปิดเผยกับบรรดาหัวหน้าของขบวนการอิสลามโดยเฉพาะอะยาตุลลอฮ์โคมัยนีเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองคือการปะทะกันระหว่างกำลังทหารที่จงรักภักดีต่อชาฮ์กับฝ่ายต่อต้านเสีย
ความลำบากของบัคติยารก็คือทั้งๆ ที่เขามีความตั้งใจดี แต่ฝ่ายต่อต้านก็ได้หมดความเชื่อถือเขาเสียแล้วเพราะเขากลายเป็นคนของชาฮ์ไป เขาถูกตั้งข้อรังเกียจจากนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยผู้เกรงว่าชาฮ์จะใช้บัคติยารเป็นเครื่องมือกำจัดขบวนการของพวกตน อะยาตุลลอฮ์โคมัยนีก็ไม่ยอมรับรัฐบาลของบัคติยารว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย บัคติยารจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะมอบความไว้วางใจไว้กับชาฮ์และการสนับสนุนอย่างไม่เต็มใจของสหรัฐและพวกนิยมชาฮ์ในกองทัพ ซึ่งก็เอาแน่ไม่ได้
เรื่องราวยิ่งยุ่งยากซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อชาฮ์ออกจากอิหร่านไปโดยอ้างว่าจะไปพักผ่อนในวันที่ 16 มกราคม ปี 1979 หลังจากได้แต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไว้แล้ว แต่ชาวอิหร่านก็ยังไม่ลืมประวัติศาสตร์ใน ปี 1953 ซึ่งชาฮ์ย้อนมาทำรัฐประหาร ดังนั้นการจากไปของชาฮ์จึงยิ่งทำให้การต่อสู้ระหว่างพวกทหารที่นิยมชาฮ์กับฝ่ายต่อต้านชาฮ์เข้มข้นยิ่งขึ้น
อะยาตุลลอฮ์ก็เริ่มมีบทบาทที่สำคัญยิ่งขึ้นด้วย อะยาตุลลอฮ์โคมัยนีออกจากอิรักไปอยู่ที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมและเริ่มต่อต้านชาฮ์อย่างเปิดเผยยิ่งขึ้น บ้านหลังเล็กๆ ของเขา ที่ชานเมืองปารีสได้กลายเป็นฐานปฏิบัติการต่อต้านชาฮ์นอกประเทศอิหร่าน
เมื่อชาฮ์ออกจากอิหร่านไปแล้ว อะยาตุลลอฮ์โคมัยนีก็ต้องการจะกลับมาอิหร่าน แต่พวกนายทหารได้ขัดขวางมิให้เขากลับมา ในวันก่อนที่เขาจะมาถึงเตหะรานนั้นทางกองทัพได้จัดการเดินขบวนแสดงแสนยานุภาพ
ในที่สุดเมื่ออะยาตุลลอฮ์โคมัยนีปฏิเสธ จึงได้มีการต่อสู้กันระหว่างผู้สนับสนุนชาฮ์ในกองทัพกับฝ่ายต่อต้าน ในระหว่างการต่อสู้เหล่านี้หน่วยญาวิดัน (Javidan) คือกองทหารรักษาพระองค์ซึ่งยังจงรักภักดีต่อชาฮ์อยู่ได้ถูกประชาชนรวมทั้งกลุ่มมุญาฮิดีน และเฟดายีน รวมทั้งผู้สนับสนุนอะยาตุลลอฮ์โคมัยนีในกองทัพอากาศเข้าโจมตีฝ่ายทหารประสบความพ่ายแพ้ซึ่งหมายถึงจุดจบของรัฐบาลของชาฮ์ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี 1979
การกลับมาของอะยาตุลลอฮ์โคมัยนี และการถือกำเนิดของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน
ผู้นำนักการศาสนามีชื่อเต็มๆ ว่าซัยยิด อะยาตุลลอฮ์ รูหุลลอฮ์ อัล-มูซาวี อัลโคมัยนี (ปี 1901-1989) มาจากนักการศาสนาระดับสูงที่เข้ามาท้าทายการปฏิรูปที่ถูกมองว่าเป็นเพียงความพยายามที่จะสถาปนาอำนาจของชาฮ์เท่านั้น อะยาตุลลอฮ์โคมัยนีถูกจับในวันที่ 4 เดือนมิถุนายน ปี 1963 พร้อมกับผู้ประท้วงนับร้อยที่ถูกสังหารหลังจากพวกเขาได้ออกมาตามท้องถนนเพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเขา
หลังจากถูกปล่อยตัวออกมาภายในหนึ่งปี อะยาตุลลอฮ์ โคมัยนีก็ออกมาต่อต้านชาฮ์อีกในตอนปลาย ปี 1964 เมื่อชาฮ์ผลักดันทางกฎหมายให้เจ้าหน้าที่ทางทหารของสหรัฐ ซึ่งมีความผิดพ้นผิด อะยาตุลลอฮ์โคมัยนีถูกจับอีกครั้งและถูกเนรเทศในเดือนพฤศจิกายนไปยังตุรกีจากที่นั่นเขาได้เดินทางไปยังเมืองนะยัฟ (Najaf) ในอิรัก ซึ่งถือเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งที่สองต่อจากนครมักกะฮ์ตามความเชื่อของผู้ถือสำนักคิดชีอะฮ์ ที่เมืองนะยัฟเขาอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ จนเกิดวิกฤตการณ์ความรุนแรงขึ้นใน ปี 1978
ในเวลานั้นเหตุการณ์ทางการเมืองของอิหร่านย่ำแย่ลงไปอีก เมื่อชาฮ์พยายามระดมพลังประชาชนเข้าด้วยกันภายใต้พรรคการเมืองพรรคเดียวที่มีชื่อว่าพรรครัสตาคิซ (Rastakhiz Party) อาจเป็นไปได้ว่าสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการขาดระเบียบทางด้านสาธารณูปโภคที่เป็นเรื่องทางกายภาพและการบริหาร ได้แก่ การขาดความเชื่อมโยงเข้าด้วยกันของประชาชนอิหร่านในช่วงทศวรรษ 1970 ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกว่าประเพณีต่างๆ ของพวกเขาได้ถูกทำลายลงไป[1]และประเทศได้ถูกผลักดันเข้าสู่วิถีตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐ
ได้มีความตื่นตัวทางวัฒนธรรมซึ่งถือกำเนิดมาจากอิทธิพลของนักการศาสนาเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 ทำให้คนหนุ่มสาวยกเลิกเครื่องแต่งกายของประเทศตะวันตกโดยสตรีได้หันมาแต่งกายตามคำสอนของอิสลามด้วยการคลุมศีรษะ (หิญาบ) ทั้งนี้หนุ่มสาวที่มีความตื่นตัวทางวัฒนธรรมดังกล่าวได้นำเอาศาสนาและประเพณีมาเป็นที่พึ่ง
ก่อนที่จะมีการเริ่มต้นการปฏิวัติ ในปี 1978 เสียอีกที่ผู้นำแห่งสำนักคิดชีอะฮ์ ซึ่งขึ้นอยู่กับเงินที่อุทิศให้โดยผู้ศรัทธาได้วิจารณ์รัฐบาลในเรื่องของการละเมิดกฎเกณฑ์อิสลาม จากนั้นก็วิพากษ์ถึงปัญหาเศรษฐกิจ ต่อมาก็ท้าทายทั้งระบบ อันเป็นการระเบิดออกทางสังคมที่ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในวันที่ 6 มกราคม ปี 1978 ชาฮ์ให้การยอมรับบทความจากสื่อท้องถิ่นที่เยาะเย้ยอะยาตุลลอฮ์โคมัยนี ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชุมชนทางศาสนาเป็นอย่างมาก นำไปสู่การออกมาต่อต้านชาฮ์ของนักเรียนศาสนาตามท้องถนนในเมืองกูม ตำรวจตอบโต้ด้วยการเริ่มต้นยิงเข้าใส่ผู้ประท้วงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 6 คน
40 วันหลังจากผู้ประท้วงชาฮ์ถูกสังหาร ถือเป็นระยะเวลาของการไว้อาลัยที่เต็มไปด้วยอารมณ์ตามปฏิทินของผู้ถือสำนักคิดชีอะฮ์ ซึ่งปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยต้นๆ ของอิสลาม ตอนนี้ชาฮ์ได้ถูกนำมาเปรียบเทียบกับผู้กดขี่ในสมัยต้นๆ ของอิสลาม
วันที่ 8 เดือนกันยายน กองทัพอิหร่านได้เปิดฉากยิงเข้าใส่ผู้ประท้วงที่รวมตัวกันอย่างสันติ สังหารประชาชนนับเป็นร้อยๆ คน หรืออาจจะมากกว่า 1,000 คน ซึ่งถือกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นการสิ้นสุดการปกครองของชาฮ์
ในเดือนธันวาคม ปี 1978 ชาฮ์ได้พิจารณาถึงการออกจากประเทศอย่างจริงจัง ทั้งนี้พระองค์ได้รับการเตือนจากเอกอัคราชทูตของสหรัฐว่าพระองค์อาจถูกจับตัวได้ แต่ต่อมาพระองค์ถูกเชิญชวนโดยกลุ่มที่ยังคงอยู่เคียงข้างพระองค์ให้สู้ต่อไปโดยเข้าจับกุมผู้คนเป็นจำนวนหมื่น ๆ คน
ที่ Neauphle – le Chateau อันเป็นชานเมืองซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงปารีส เป็นดินแดนที่อะยาตุลลอฮ์โคมัยนีได้มาอาศัยเพื่อลี้ภัยทางการเมืองหลังจากถูกบังคับให้ออกมาจากเมืองนะยัฟเมื่อเดือนตุลาคมที่นี่อะยาตุลลอฮ์ โคมัยนีได้ยืนกรานว่าชาฮ์จะต้องออกจากอิหร่าน
จำนวนของผู้เดินขบวนและความมีระเบียบตลอดจนความสามารถในการควบคุมฝูงชนที่มารวมตัวกันไม่ได้เป็นที่สงสัยอีกต่อไปว่าชาฮ์จะต้องออกจากอิหร่านไปในที่สุด ซึ่งพระองค์ได้ตัดสินใจออกจากอิหร่านไปในวันที่ 16 มกราคม ปี 1970
วันที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ ได้มีประชาชนนับล้านๆ คนมาให้การต้อนรับอะยาตุลลอฮ์ โคมัยนีในกรุงเตหะราน ซึ่งตัวของอะยาตุลลอฮ์ โคมัยนีได้เลือกที่จะปรากฎตัวอยู่ในหมู่ประชาชนที่ยากจนของกรุงเตหะรานภายในหนึ่งสัปดาห์จากการกลับมาของอะยาตุลลอฮ์โคมัยนีก็เป็นที่ประจักษ์กันโดยทั่วไปว่าโครงสร้างของชาฮ์จะล่มสลายลงในไม่ช้าและจบสิ้นลงในที่สุด
การเมืองของอิหร่านหลังการปฏิวัติ
ในสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสการปฏิวัติอิสลามเป็นเรื่องที่แปลกและใหม่ การปฏิวัติในตะวันออกกลางเป็นครั้งแรกได้แก่การปฏิวัติรัฐธรรมนูญในอิหร่านใน ค.ศ. 1905 และการปฏิวัติของพวกยังเติร์ก ในอาณาจักรออตโตมาน (Ottoman Empire) ใน ค.ศ. 1908
นับจากนั้นเป็นต้นมาได้มีการปฏิวัติมากมาย และในทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ 20 รัฐส่วนใหญ่ในภูมิภาคตะวันออกกลางก็ถูกปกครองโดยรัฐบาลที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาจากความรุนแรงหรือโดยการขจัดผู้ปกครองเก่าออกไป
ก่อนหน้านี้ การปฏิวัติบางครั้งจะสำเร็จได้โดยการต่อสู้ของนักชาตินิยมที่ต่อต้านผู้ปกครองต่างชาติ แต่ต่อมาการปฏิวัติส่วนใหญ่จะได้รับความสำเร็จจากการกระทำของทหาร โดยทั้งหมดจะเรียกด้วยฉายาว่า “การปฏิวัติ” ซึ่งในเวลานั้นกลายเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรม
ในตะวันออกกลางมีอยู่เพียงบางกรณีเท่านั้นที่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวอย่างลึกล้ำในสังคมและมีผลต่อมาอย่างยิ่งใหญ่มากกว่าจะเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจสูงสุด หนึ่งในนั้นแน่ละคือการปฏิวัติตามแนวทางอิสลามของอิหร่านใน ค.ศ. 1979 (Islamic Revolution of 1979) ซึ่งก่อให้เกิดการเปรียบเทียบกับการปฏิวัติในฝรั่งเศส และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเปรียบเทียบกับที่มาแห่งการปฏิวัติของรัสเซียด้วย
มีบางแง่มุมที่น่าสนใจที่รัฐบาลปฏิวัติอิหร่านได้ขอยืมมาจากยุโรป ในขณะที่สัญลักษณ์และอุดมการณ์ของการปฏิวัตินั้นเป็นเรื่องอิสลามมากกว่าเรื่องของยุโรป แต่รูปแบบและวิธีการนั้นบ่อยครั้งเป็นเรื่องของยุโรปมากกว่าอิสลาม
เช่นเดียวกับฝรั่งเศสและรัสเซียในสมัยของตน การปฏิวัติอิหร่านมีบทบาทอย่างสำคัญต่อผู้คนทั้งในระดับนานาชาติและในประเทศ การปฏิวัติครั้งนี้ได้สร้างความประทับใจต่อประชาชนที่อยู่นอกประเทศอิหร่าน และในประเทศอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้วัฒนธรรมที่เหมือนกัน แรงดึงดูดใจนี้โดยปกติแล้วจะมีความแข็งชันอยู่ในกลุ่มประชาชนที่ถือสำนักคิดชีอะฮ์ อย่างเช่นทางใต้ของเลบานอนและรัฐแถบอ่าวเปอร์เซีย แต่ไม่เป็นที่นิยมของเพื่อนบ้านซุนนีที่อยู่ติดกัน
มีอยู่ช่วงขณะหนึ่งที่การปฏิวัตินี้เข้มแข็งอย่างมากในโลกมุสลิมทั่วไป ความแตกต่างทางสำนักคิดนั้นมิได้เป็นสิ่งสำคัญแต่อย่างใด อะยาตุลลอฮ์ โคมัยนีผู้นำการปฏิวัติมิได้ถูกมองว่าเป็นชีอะฮ์หรือชาวอิหร่าน แต่เป็นผู้นำการปฏิวัติอิสลามเช่นเดียวกับคนหนุ่มตะวันตกหัวอนุรักษ์ที่มีความกระตือรือร้นต่อเหตุการณ์ในปารีสและเปโตรการ์ด
ผู้คนนับล้านทั้งชายและหญิงทั่วโลกอิสลามได้ขานรับต่อการปฏิวัติอิสลามด้วยอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นแบบเดียวกัน ด้วยหัวใจที่ได้รับการยกระดับเช่นเดียวกันและด้วยความหวังที่ไร้ขอบเขตเช่นเดียวกัน และด้วยความเต็มใจอันเดียวกันที่จะปลดเปลื้องและลบล้างสิ่งที่น่ารังเกียจทุกอย่างและด้วยคำถามที่กระตือรือร้นต่ออนาคตเช่นเดียวกัน
การปฏิวัติในอิหร่านไม่เหมือนกับขบวนการอื่นๆ เพราะใช้ชื่อว่าการปฏิวัติแบบอิสลาม สัญลักษณ์และสโลแกนของการปฏิวัติคืออิสลาม เพราะคำว่าอิสลามนั้นมีอำนาจที่จะโน้มน้าวมวลชนให้มาสู่การต่อสู้
บรรดาผู้นำการปฏิวัติตีความว่าอิสลามเป็นยิ่งกว่าสัญลักษณ์และสโลแกน มีความจำเป็นที่จะต้องต่อต้านศัตรูผู้ก่อความผิด ซึ่งหมายรวมถึงผู้ปกครองมุสลิมที่ไม่ใช้หลักการอิสลามที่แท้จริงและนำเอาแนวทางของคนนอกศาสนาที่แปลกแยกมาใช้ด้วย นั่นเป็นการบ่อนทำลายชุมชนผู้มีศรัทธาและกฎหมายอิสลามที่ใช้กันอยู่
โดยหลักการแล้ววัตถุประสงค์ของการปฏิวัติตามแนวทางอิสลามในอิหร่านและในประเทศอื่นๆ ในเวลาต่อมานั้นเป็นขบวนการปฏิวัติที่เกิดขึ้นเพื่อกำจัดการขยายตัวของสิ่งที่มาจากต่างชาติที่ยัดเยียดเข้ามาในแผ่นดินและประชาชนมุสลิมในศักราชแห่งการครอบครองและอิทธิพลของต่างชาติและเพื่อจะฟื้นฟูแบบแผนอิสลามของพระผู้เป็นเจ้าที่ถูกต้องขึ้นมา
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบบันทึกของการปฏิวัติเหล่านี้ทั้งในอิหร่านและที่อื่นๆ ได้แสดงให้เห็นว่าการปฏิเสธตะวันตกนั้นยังไม่ครอบคลุมอย่างที่ได้โฆษณาไว้ อย่างน้อยบางสิ่งที่ส่งมาจากดินแดนของผู้ไม่ศรัทธาก็ยังได้รับการต้อนรับอยู่
หลังการปฏิวัติจะพบว่าแนวโน้มทางการเมืองของอิหร่านส่วนใหญ่จะถูกกำหนดด้วยความต้องการที่จะผนึกกำลังภายในประเทศ การพูดถึงการส่งออกการปฏิวัติและอุดมการณ์ของการ “ไม่เอาทั้งตะวันออกหรือตะวันตก” (Neither East Nor West) ถูกใช้ไปในการปลุกความเคลื่อนไหวทางอุดมการณ์ของประชาชน ก่อให้เกิดความหวั่นใจขึ้นอย่างมากในหมู่เพื่อนบ้านแถบอ่าวเปอร์เซีย
ในทางปฏิบัติ อะยาตุลลอฮ์ โคมัยนีได้ใช้นโยบายในภูมิภาคที่มีลักษณะหลายมิติ ซึ่งขึ้นอยู่กับหลักการสี่ประการได้แก่ ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับชาติอาหรับที่ถูกเลือกแล้ว ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องและจริงจังกับตุรกีและปากีสถาน ตลอดจนความสัมพันธ์ที่มีผลในทางเศรษฐกิจ ต่อต้านประเทศที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ในอ่าวเปอร์เซียและค่ายอาหรับและต่อต้านอิสราเอล
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนทางการเมืองในประเทศและการดำเนินนโยบายทางการเมืองใดๆ ก็ยังคงมีอิทธิพลของศาสนาอิสลามอยู่อย่างสำคัญไม่ว่าจะเป็นการปกครองของประธานาธิบดีสายเหยี่ยวหรือสายพิราบก็ตาม คาดหมายกันว่าแนวโน้มทางการเมืองของอิหร่าน ส่วนใหญ่จะยังคงมีอิทธิพลของการปฏิวัติตามแนวทางอิสลามอยู่ต่อไป โดยผู้นำทางจิตวิญญาณจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ
การเมืองและเศรษฐกิจของอิหร่านตั้งแต่ ค.ศ. 1980 ถึงปัจจุบัน
ในช่วงต้นของการปฏิวัติอิสลาม ค.ศ. 1979 รัฐบาลตกอยู่ในภาวะชะงักงันทางการเมือง ในเดือนพฤศจิกายน สถานทูตสหรัฐถูกยึดและผู้ที่อยู่ในสถานทูตถูกจับเป็นตัวประกันยาวนานถึง 444 วัน ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่าสถานทูตสหรัฐสนับสนุนชาฮ์ของอิหร่าน และเป็นที่รวมของการจารกรรมข้อมูลของอิหร่าน
สงครามแปดปีระหว่างอิรัก-อิหร่าน (1980-1988) ทำให้มีผู้เสียชีวิตนับแสนคนและทำให้ประเทศต้องสูญเสียเงินจำนวนนับพันล้านเหรียญสหรัฐ ในตอนกลาง ค.ศ. 1982 อำนาจทางการเมืองได้ตกมาอยู่ในมือของอะยาตุลลอฮ์ โคมัยนีผู้นำการปฏิวัติและผู้สนับสนุนเขา
การท้าทายหลายด้านที่อิหร่านต้องเผชิญหลังการปฏิวัตินั้นจะรวมไปถึงการแซงค์ชั่นทางเศรษฐกิจ การตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านของสหรัฐอันเนื่องมาจากวิกฤตตัวประกัน การให้การสนับสนุนอิรักและการกล่าวหาอิหร่านว่าเป็นผู้สนับสนุนการก่อการร้ายโดยสหรัฐและประเทศอื่นๆ รวมทั้งการอพยพของผู้คนทำให้อิหร่านต้องสูญเสียผู้ประกอบการ นักวิชาชีพ นักเทคนิค แรงงานที่มีฝีมือและเงินทุนจำนวนมหาศาลไป
สาเหตุข้างต้นรวมทั้งสาเหตุอื่นๆ ทำให้อิหร่านประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ความยากจนเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 45 ระหว่าง 6 ปีแรก นับจากอิรักเข้ามารุกรานอิหร่าน ในปี 1980 และเมื่อการรุกรานของอิรักสิ้นสุดลงในปี 1988 รายได้ต่อหัวของประชาชนก็ลดลงไปในระดับใกล้เคียงกับช่วงเวลาก่อนการปฏิวัติ
พรรคการเมืองพรรคเดียวที่ปกครองอิหร่านหลังการปฏิวัติคือพรรคสาธารณรัฐอิสลาม (Islamic Republic Party) ซึ่งต่อมาได้ยุบตัวลงใน ค.ศ. 1987 อิหร่านจึงไม่มีพรรคการเมืองที่ทำหน้าที่ของตนเอง จนกระทั่งพรรคบริหารเพื่อการก่อการร่างสร้างตน (Exucutives of Construction Party) ก่อตัวขึ้นใน ค.ศ. 1994 และลงแข่งขันการเลือกตั้งสภาสมัยที่ 5 แล้วเท่านั้น ที่พบว่าพรรคการเมืองอิหร่านได้เข้ามามีบทบาทอยู่ในรัฐสภาอย่างเห็นเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้สมาชิกส่วนใหญ่ของพรรคเพื่อการก่อร่างสร้างตนไม่ได้เป็นกลุ่มบริหารของฝ่ายรัฐบาลที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีอักบัร ฮาเชมิ-รัฟซันญานี (Akbar Hashemi-Rafsanjani) ซึ่งเป็นประธานาธิบดีในเวลานั้นแต่อย่างใด
หลังจากประธานาธิบดีมุฮัมมัด คอตามี (Muhammad Khatami) ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีพรรคต่างๆ จึงทำงานได้มากขึ้น ส่วนใหญ่พรรคเหล่านี้จะเป็นพรรคของนักปฏิรูปและได้รับการต่อต้านจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม การเคลื่อนไหวดังกล่าวได้นำไปสู่การร่วมมือและการทำกิจกรรมร่วมกันอย่างเป็นทางการของหลายๆ กลุ่ม รวมทั้งกลุ่มอนุรักษ์นิยม
หลังจากสงครามอิรัก-อิหร่านจบลงใน ค.ศ. 1988 นักปฏิรูปและสมาชิกหัวก้าวหน้าได้รับชัยชนะ 7 ครั้ง ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอิหร่านจนถึงปัจจุบัน (2019) 8 ครั้ง โดยพรรคฝ่ายขวาชาตินิยมของมะห์มูด อะห์มะดีเนญอดได้รับชัยชนะสองครั้งติดต่อกัน
รัฐบาลอิหร่านได้รับการต่อต้านจากกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธหลายกลุ่ม รวมทั้งกลุ่มมุญาฮิดีนนีคัลก์ (Mujahedin-e-Khalq) กลุ่มประชาชนแห่งฟิดายีน (People’s Fidayeen) และพรรคประชาธิปไตยชาวเคิร์ด (Kurdish Democratic Party)
ก่อน ค.ศ. 1979 อิหร่านมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จากการเกษตรแบบดั้งเดิม อิหร่านได้เปลี่ยนสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมและความทันสมัยตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นไป
การปฏิวัติใน ค.ศ. 1979 และการเกิดขึ้นของสงครามอิรัก-อิหร่าน ทำให้ร้อยละ 80 ของเศรษฐกิจตกมาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล สงคราม 8 ปีกับอิรักทำให้ชาวอิหร่านอย่างน้อย 300,000 คนต้องเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บมากกว่า 500,000 คน ค่าใช้จ่ายในสงครามทำให้อิหร่านต้องสูญเสียเงินไปจำนวนห้าแสนล้านเหรียญสหรัฐ
หลังจากความขัดแย้งว่าด้วยเรื่องดินแดนกับอิรักจบสิ้นลงใน ค.ศ. 1988 รัฐบาลได้พยายามพัฒนาการคมนาคม การขนส่ง การผลิต การดูแลสุขภาพ การศึกษา การพลังงาน (รวมทั้งการจัดหาเครื่องมือเพื่อก่อตั้งโรงงานพลังงานนิวเคลียร์) และเริ่มต้นบูรณาการระบบการคมนาคมและขนส่งกับรัฐเพื่อนบ้าน
จุดมุ่งหมายระยะยาวของรัฐบาลนับตั้งแต่การปฏิวัติก็คือการเป็นอิสระทางเศรษฐกิจ การมีงานทำ ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต อย่างไรก็ตามในตอนปลายของศตวรรษที่ 20 เศรษฐกิจของประเทศต้องพบกับอุปสรรคต่างๆ นาๆ ประชากรอิหร่านเพิ่มมากกว่าสองเท่าในระหว่าง ค.ศ. 1980 และ ค.ศ. 2000 และคนที่อยู่ในวัยกลางคนมีจำนวนลดลง
แม้ว่าชาวอิหร่านจำนวนมากจะเป็นชาวนา แต่ผลผลิตทางการเกษตรได้ตกต่ำลงนับจากทศวรรษ 1960 ปลาย ค.ศ. 1990 เป็นต้นไปอิหร่านเป็นผู้นำเข้าอาหารเป็นส่วนใหญ่ ในเวลานั้นความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ในเขตชนบทเป็นผลให้ประชาชนจำนวนมากอพยพเข้าสู่ตัวเมือง
เศรษฐกิจของอิหร่านเป็นเศรษฐกิจผสมและเป็นเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนผ่าน โดยมีเศรษฐกิจภาคสาธารณะขนาดใหญ่ ทั้งนี้ร้อยละ 60 ของเศรษฐกิจได้รับการวางแผนมาจากส่วนกลาง โดยการผลิตน้ำมันและก๊าซ จะเป็นเศรษฐกิจหลักของประเทศ แม้ว่าโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่า 40 แห่งจะเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่กับตลาดหุ้นเตหะราน ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุดของโลก เมื่อหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยจำนวนร้อยละ 10 ของน้ำมันสำรองที่ได้รับการยอมรับและร้อยละ 15 ของก๊าซ อิหร่านได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในมหาอำนาจด้านพลังงาน (energy superpower) ของโลก
อิหร่านเป็นประเทศที่มีพลังซื้อที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 18 ของโลก และมีผลิตภัณฑ์รวม อยู่ในอันดับที่ 29 ของโลก เป็นสมาชิกของกลุ่ม 11 ประเทศที่รวมตัวกันทางเศรษฐกิจที่รู้จักกันในชื่อ Nex Eleven อันเนื่องมาจากศักยภาพ และการพัฒนาที่ก้าวหน้า ลักษณะเด่นของเศรษฐกิจของอิหร่านก็คือการมีอยู่ของมูลนิธิทางศาสนาต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่มีชื่อว่าบอนยาด (Bonyad) โดยมีงบประมาณร่วมกันมากกว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางถึงร้อยละ 30
การควบคุมราคาและควบคุมการช่วยเหลือของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอาหารและพลังงานทำให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ การควบคุมโดยฝ่ายบริหารและปัจจัยที่เข้มงวดอื่นๆ เป็นอุปสรรคต่อความเจริญเติบโตของภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาฝ่ายนิติบัญญัติได้ผ่านแผนการปฏิรูปเพื่อการช่วยเหลือของรัฐบาลออกมา นับเป็นการปฏิรูปทางเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวมากที่สุดนับจากรัฐบาลได้นำเอาระบบการแจกจ่ายก๊าซมาใช้ใน ค.ศ. 2007
การส่งออกน้ำมันและก๊าซถือเป็นการส่งออกที่ใหญ่ที่สุด และเป็นรายได้หลักของรัฐบาล ใน ค.ศ. 2010 รายได้จากการส่งออกน้ำมันทำให้อิหร่านมีเงินสำรองต่างประเทศกว่าแสนล้านเหรียญสหรัฐใน ค.ศ. 2010 อิหร่านเติบโตด้านวิทยาศาสตร์เป็นอันดับหนึ่งของโลกใน ค.ศ. 2011 และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการพัฒนารวดเร็วที่สุดของโลกในด้านการติดต่อสื่อสาร
อันเนื่องมาจากการโดดเดี่ยวในเชิงเปรียบเทียบกับตลาดการเงินของโลก ทำให้ในเบื้องต้นอิหร่านสามารถหลีกเลี่ยงความตกต่ำทางเศรษฐกิจการเงินของโลกใน ค.ศ. 2008 ได้
การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในทางเศรษฐกิจของอิหร่านได้แก่การยุติการแซงก์ชั่นจากนานาประเทศ ทั้งนี้การแซงค์ชั่นโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านจากนานาประเทศได้ยุติลงเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 2016 หลังจากทบวงปรมณูสากล (International Atomic Energy Agency) หรือ IAEA ประกาศว่าอิหร่านได้ทำตามข้อตกลงทุกข้อที่มีขึ้นเมื่อเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 2015 กับสมาชิกถาวร 5 ชาติของสหประชาชาติ (P5) กับอีกหนึ่งประเทศหรือที่เรียกว่า P5+1 ซึ่งก็ได้แก่สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซียจีนและเยอรมนี
การยกเลิกการแซงก์ชั่นโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านดังกล่าวทำให้อิหร่านสามารถส่งออกน้ำมันได้อย่างครอบคลุมอีกครั้งใน ค.ศ. 2016)
การลงทุนในประเทศ การส่งออกที่จะทำให้อิหร่านเลี้ยงตัวเองได้และปัญหาเงินเฟ้อยังคงเป็นปัญหาที่ดำรงอยู่ต่อไป แม้ว่าอิหร่านจะมีประชากรเป็นผู้มีการศึกษา มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับสูง แต่การที่อิหร่านมีเศรษฐกิจที่มีข้อจำกัดและมีการลงทุนจากต่างประเทศน้อย เป็นผลให้ชาวอิหร่านจำนวนมากขึ้นแสวงหางานทำในต่างประเทศ จนทำให้เกิดปัญหา “สมองล่อง” ในที่สุด
ปัจจุบันการแซงก์ชั่นโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ยุติลงแล้ว อันเนื่องมาจากการบรรลุข้อตกลงระหว่างอิหร่านกับกลุ่มที่เรียก่า P5+1 ทั้งนี้อิหร่านสามารถกลับมาส่งออกน้ำมันได้เช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม การขึ้นมามีอำนาจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของซาอุดีอาระเบียที่กำลังแข่งอำนาจกับอิหร่านอยู่ในตะวันออกกลาง สหรัฐภายใต้ทรัมป์ได้ยกเลิกข้อตกลงการคว่ำบาตรอิหร่านอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ของยุโรปยังปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้กับอิหร่านอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
แนวโน้มทางเศรษฐกิจของอิหร่าน
อิหร่านเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) รองลงมาจากซาอุดีอาระเบีย ประมาณการกันว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ใน ค.ศ. 2014 อยู่ที่ 406.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
อิหร่านเป็นประเทศที่มีประชาชนมากเป็นอันดับสอง รองลงมาจากอียิปต์ ทั้งนี้ใน ค.ศ. 2014 อิหร่านมีประชากรทั้งสิ้น 80.8 ล้านคน เศรษฐกิจของอิหร่านที่สำคัญอยู่ในภาคไฮโดรคาร์บอน ภาคบริการและการเกษตรขนาดครัวเรือน การบริการทางการเงินและผลิตภัณฑ์จากโรงงาน อิหร่านมีก๊าซธรรมชาติสำรองอยู่ในอันดับสองของโลก และมีน้ำมันดิบสำรองอยู่ในอับดับสี่ของโลก ผลิตภัณฑ์มวลรวมโดยเฉลี่ยและรายได้จากรัฐบาลส่วนใหญ่ยังคงขึ้นอยู่กับรายได้ของน้ำมัน
ปัจจุบันอิหร่านได้นำเอายุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมทางเศรษฐกิจมาใช้ ซึ่งรวมทั้งการดำเนินธุรกิจที่มีพื้นที่อยู่ที่ตลาด (market-based) ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นในวิสัยทัศน์ 20 ปีของรัฐบาลและแผนพัฒนาห้าปีของอิหร่าน (FYDP 2011-15)
แม้ว่ารัฐบาลยังคงมีบทบาทสำคัญในทางเศรษฐกิจอยู่ก็ตาม กระนั้นส่วนหนึ่งของวิสาหกิจเอกชนขนาดใหญ่และกึ่งเอกชนได้มีบทบาทอยู่ในภาคการผลิตและการพาณิชย์ ภาคการเงินก็เช่นกันก็จะได้รับการดูแลโดยธนาคารเอกชน อย่างไรก็ตามบรรยากาศการดำเนินธุรกิจของอิหร่านยังคงถูกท้าทายอยู่
ปัจจุบันบรรยากาศที่เหมาะสมในการดำเนินธุรกิจของอิหร่านยังอยู่ในระดับที่ 130 จาก 189 ประเทศที่ได้มีการสำรวจในค.ศ. 2015 จากรายงานของ Doing Busines Report ประเทศที่มีลำดับต่ำกว่าอิหร่านที่อยู่ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ได้แก่ แอลจีเรีย ญืบูตี อิรัก ลิเบีย ซีเรีย เวสต์แบงก์ กาซ่า และเยเมน
รัฐบาลอิหร่านได้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในระบบการให้ความช่วยเหลือทางอ้อมในอุตสาหกรรม การผลิตน้ำมัน น้ำ การไฟฟ้า และขนมปัง ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการในการใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพและการดำเนินธุรกิจอื่นๆ การช่วยเหลือโดยทางอ้อมทั้งหมดนี้ คิดเป็นร้อยละ 27 ของ GDP ในปี 2007/2008 ซึ่งคาดหมายกันว่ามีอยู่ 77.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีการขาดดุลอยู่ที่ร้อยละ 3 ของ GDP
ท่ามกลางความตกต่ำของเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจของอิหร่านปัจจุบันได้ดีดตัวขึ้นมา โดยคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจของประเทศจะโตอยู่ในระดับร้อยละ 3.0 ใน ค.ศ. 2014 เมื่อเปรียบเทียบกับร้อยละ 1.07 ใน ค.ศ. 2013 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการลดการแซงก์ชั่นที่มีต่อการส่งออกน้ำมันของอิหร่านลงชั่วคราวอันเนื่องมาจากการข้อตกลงว่าด้วยโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านกับกลุ่มประเทศที่ลดการคว่ำบาตรลงแม้ว่าสหรัฐจะยุติข้อตกลงนี้ไปในตอนหลังก็ตาม รวมทั้งการลดการแซงก์ชั่นอุตสาหกรรมยานยนต์ การทำธุรกรรมของธนาคารระหว่างประเทศและธนาคารในประเทศ รวมทั้งความมั่นใจที่มีต่อเศรษฐกิจของผู้บริโภค อันเนื่องมาจากข้อตกลงระหว่างอิหร่านกับกลุ่มประเทศ P5+1
แผนปฏิบัติการร่วม (The joint Plan of Action) หรือ JPA ทำให้ราคาการส่งออกน้ำมันค่อยๆ กระเตื่องขึ้น ทั้งนี้คาดหมายกันว่าประเทศในเอเชียจะเพิ่มการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านร้อยละ 19.8 ใน ค.ศ. 2014 โดยลูกค้าสำคัญโดยเฉลี่ย จะอยู่ที่ 4 ประเทศ ซึ่งได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งการนำเข้าน้ำมันจากประเทศเหล่านี้จะสูงถึง 11.12 ล้านบาห์เรลต่อวัน
การที่เศรษฐกิจของอิหร่านพัฒนาขึ้นมาในระดับหนึ่งนั้นมีผลมาจากการที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่มีเสถียรภาพขึ้น รวมทั้งการแข่งขันระหว่างประเทศที่มีการพัฒนาขึ้นในด้านเกษตรกรรม โรงงาน และการส่งออกที่ไม่ใช่น้ำมัน
การส่งออกที่ไม่ใช่น้ำมันพุ่งสูงขึ้นร้อยละ 24.2 ใน 10 เดือนแรกของปีปฏิทินอิหร่าน (คือวันที่ 21 มีนาคม – 20 มกราคม ค.ศ. 2015) เมื่อเปรียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันเมื่อ ค.ศ. 2014 ยิ่งไปกว่านั้น อัตราการแลกเปลี่ยนที่มีเสถียรภาพยังช่วยให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านไฮโดรคาร์บอนอีกด้วย
ในเวลาเดียวกันแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่มาจากเงินเฟ้อก็ผ่อนคลายลงทุกปี หลังจากเคยขึ้นไปสูงสุดร้อยละ 35 ใน ค.ศ. 2013 ได้ลดลงเหลือร้อยละ 15 ใน ค.ศ. 2014 สิ่งนี้มีแรงหนุนมาจากปัจจัยหลายประการ รวมทั้งค่าเงินริยัล การลดลงของราคาสินค้าในตลาดโลกสำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีความสำคัญ
อย่างไรก็ตาม การว่างงานยังคงเพิ่มขึ้นและคาดหมายว่าจะเป็นความท้าทายหลักของรัฐบาล รายงานจากสำนักงานสถิติของอิหร่านบ่งชี้ว่า อัตราการว่างงานนั้นคาดหมายกันว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 10.3 ที่น่ากังวลได้แก่การว่างงานในหมู่สตรี ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 20.3 รวมถึงประชาชนที่เป็นคนหนุ่มร้อยละ 24 ความอ่อนแอนี้มาจากตลาดแรงงาน เนื่องจากเพียงร้อยละ 36.7 ของประชาชนอิหร่านเท่านั้นที่อยู่ในตลาดแรงงาน
สภาพของตลาดแรงงานที่ได้ขยายตัวออกไปจากการเข้ามามีส่วนร่วมของสตรี และคนหนุ่มจำนวนมากมีแนวโน้มที่จะยังดำรงอยู่ต่อไป อันเนื่องมาจากสถานภาพทางสังคม-เศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งอัตราการมีการศึกษาในหมู่สตรีมีจำนวนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้รัฐบาลได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะทำให้การแซงก์ชั่นที่มีต่อนโยบายนิวเคลียร์ของอิหร่านมีความผ่อนคลายลง
รวมทั้งทำให้อัตราเงินเฟ้อซึ่งกดดันเศรษฐกิจอิหร่านในปัจจุบันอยู่ได้คลายตัวลงเช่นกัน การริเริ่มเหล่านี้จะทำให้การส่งออกของประเทศมีศักยภาพมากขึ้น ทำให้พลังการซื้อของผู้บริโภคสูงขึ้น มีการสนับสนุนการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนทางเศรษฐกิจผ่านความมั่นใจของผู้บริโภคและธุรกิจ แม้ว่าใน ค.ศ. 2015 อันเป็นปีที่ราคาน้ำมันลดลงและอัตราการส่งออกน้ำมันลดลง แต่เศรษฐกิจของประเทศก็จะยังคงขยายตัวได้ร้อยละ 0.6 ทั้งนี้คาดหมายกันว่าอัตราเงินเฟ้อจะคงอยู่ที่ร้อยละ 17.3
ไม่เป็นที่แปลกใจว่าชาวอิหร่าน 150,000 ซึ่งมีการศึกษาได้ออกจากประเทศไปทุกปี ทั้งนี้รัฐบาลจะต้องสร้างงานขึ้นมาถึง 8.5 ล้านงานขึ้นมา โดยมีจุดมุ่งหมายจะลดการว่างงานให้เหลือร้อยละ 7 ภายใน ค.ศ. 2016 โครงการนี้มุ่งหวังให้อัตราการเข้าร่วมของแรงงานมีความคงที่ อย่างไรก็ตามแม้ว่าการเข้าร่วมของแรงงานจะพุ่งขึ้นแต่ก็เชื่อกันว่าอัตราการว่างงานจะยังคงพุ่งสูงขึ้นในอนาคตที่มองเห็นได้ แม้ว่าเป้าหมายการสร้างงานของรัฐบาลจะเกิดขึ้นก็ตาม
อิสลามในชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมของอิหร่าน
หลังจากชัยชนะแห่งการปฏิวัติอิสลาม ประชาชนชาวอิหร่านผู้ซึ่งมีความหวังมานานแล้วที่จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางอิสลามต่างก็ได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอิสลามเป็นอย่างดี ซึ่งเห็นได้จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีใน ค.ศ. 1985 ซึ่งประชาชนผู้มีสิทธิในการลงคะแนนเสียงประมาณ 14 ล้านคนจากประชากรทั้งหมดของประเทศได้ไปร่วมลงคะแนนเสียงให้แก่ประธานาธิบดีคอมาเนอีถึง 12 ล้านเสียงเศษ
ประธานาธิบดีฮาซัน โรฮานี ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนล่าสุด ซึ่งเพิ่งได้รับการเลือกตั้งมาไม่นานก็มีผู้ออกมาลงคะแนนเสียงให้จำนวนมากเช่นกัน นับเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงความสนใจและการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนในประเทศอิหร่านและเป็นแนวโน้มที่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและวัฒนธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนชาวอิหร่านนั้นมีความเคารพเชื่อฟังและมอบความรักให้แก่ผู้นำการปฏิวัติอย่างมาก เพราะผู้นำการปฏิวัติคืออะยาตุลลอฮ์ โคมัยนีเป็นบุคคลตัวอย่างในด้านศีลธรรม เป็นครูผู้อยู่ในระเบียบวินัยทางศาสนามาโดยตลอด ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกผูกพันและรับผิดชอบด้านการเปลี่ยนแปลงสังคมและวัฒนธรรมควบคู่กันไปกับการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและการเมือง
ประชาชนชาวอิหร่านเชื่อมั่นในอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าที่พระองค์ได้มีบัญญัติไว้ในคัมภีร์อัล-กุรอานว่า “อัลลอฮ์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของชนกลุ่มใด นอกจากพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวพวกเขาเอง” (อัล-กุรอาน บทที่ 13 โองการที่ 11) นับเป็นพลังผลักดันให้ประชาชนเปลี่ยนแปลงสภาพตัวพวกเขาเองโดยไม่ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม นอกจากนั้นชาวอิหร่านมั่นใจว่านุษย์นั้นอยู่ในฐานะเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าในโลกนี้ตามที่คัมภีร์อัล-กุรอานได้บัญญัติไว้ จึงทำให้ประชาชนเหล่านั้นกระตือรือร้นในอันที่จะดำเนินชีวิตเพื่อเป็นผู้ดูแลหน้าที่บนแผ่นดินของพระผู้เป็นเจ้า
การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านนั้นคือการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายในจิตใจของมนุษย์ ซึ่งตอบรับคำเรียกร้องของอัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นกระบวนการหนึ่งที่ประสานสอดคล้องเข้าด้วยกันระหว่างวิวัฒนาการของชีวิตมนุษย์กับการปฏิวัติ ระหว่างเหตุผลและความรู้สึก ระหว่างปริมาณและคุณภาพ ระหว่างวัตถุและจิตวิญญาณ ซึ่งก่อให้เกิดความประสานแนบแน่นระหว่างอุดมการณ์ทางศาสนากับการเมือง
ระบบการเมืองและรัฐบาลแบบอิสลามนั้นถูกสำแดงพลังออกมา แต่ระบบนั้นก็มิใช่ว่าจะแยกอุดมการณ์ออกจากตัวมันเอง ฉะนั้นการเมืองจึงมิได้มีเป้าหมายเพื่อการเมือง แต่การเมืองเป็นวิธีการที่จะจัดระบบเพื่อให้มนุษย์อยู่ในระเบียบตามบทบัญญัติแห่งศาสนา
อิสลามเน้นระบบการปรึกษาหารือที่จะต้องสรรหากันเองตามความเหมาะสมของยุคสมัยและเหตุการณ์ อิสลามเน้นระบบการปรึกษาหารือซึ่งกันและกันและระบบที่ต้องมีตัวแทน (อัล-กุรอาน บทที่ 4 โองการที่ 80, บทที่ 3 โองการที่ 159, บทที่ 43 โองการที่ 38)
ระบบการเมืองอิสลามนั้นสัมพันธ์อย่างเป็นพิเศษกับหลักนิติศาสตร์อิสลาม และถือว่ามาจากแหล่งเดียวกันในด้านการวินิจฉัยปัญหานิติศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ระบบรัฐธรรมนูญจึงสอดคล้องกับรัฐบาลอิสลาม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง รัฐบาลอิสลามก็คือระบบแห่งรัฐธรรมนูญซึ่งได้ถูกกำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้วในบทบัญญัติของอัลอฮ์ (ชะริอะฮ์)
ฉะนั้นอำนาจทางการเมืองจึงไม่ใช่เพื่อมนุษย์ แต่ต้องนำอำนาจทางการเมืองนั้นมาใช้อย่างรับผิดชอบเบื้องหน้าอัลลอฮ์เท่านั้น เพื่อเป็นการรับใช้มวลมนุษย์ตามแนวทางของพระผู้เป็นเจ้า จะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกก็ไม่ได้ เพราะว่าขัดแย้งกับอำนาจสูงสุดของอัลลอฮ์
อิสลามมิได้ขึ้นอยู่กับการถือคะแนนเสียงของคนส่วนข้างมากเสมอไป ถ้าเสียงส่วนข้างมากนั้นนำไปสู่หลักการที่ผิดมนุษยธรรมและธรรมะของพระเจ้าแล้วก็นับว่าประชาธิปไตยแบบนั้นใช้ไม่ได้ อีกทั้งไม่ใช่ระบบของอำนาจของคณะบุคคล เพราะถ้าคณะบุคคลเหล่านั้นประพฤติผิดทำนองคลองธรรม ก็ถือว่าผิดไปจากธรรมชาติแห่งหลักการพื้นฐานของอิสลาม อีกทั้งไม่ใช่เป็นลักษณะภูมิภาคนิยม เชื้อชาตินิยม ชาตินิยม หรือพรรคนิยม เพราะสิ่งเหล่านั้นขัดแย้งกับธรรมชาติแห่งความเป็นสากลและสปิริตของอิสลาม
แนวโน้มด้านสังคมและวัฒนธรรมในอิหร่านจึงนำไปสู่การสถาปนาเอกภาพของอิสลาม เอกภาพของรัฐ และเอกภาพทางศาสนา เป็นการรวมประชาชาติมุสลิม (อุมมะฮ์) โดยไม่จำแนกในเรื่องเชื้อชาติและปัญหาพรมแดนด้านภูมิศาสตร์ เพราะสิ่งเหล่านั้นทำลายอุดมการณ์อิสลาม
ฉะนั้นสิ่งดังกล่าวเหล่านี้ได้ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญและนโยบายด้านการศึกษาและวัฒนธรรมของชาติโดยมีเป้าหมายที่จะให้การศึกษาและอบรมบ่มนิสัยของประชาชนในชาติให้เกิดความสำนึกตื่นตัวอยู่เป็นเนืองนิจกับหลักการของอิสลาม เพราะถือว่าศาสนบัญญัตินั้นครอบคลุมไปในทุกส่วนแห่งชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนผู้ศรัทธา ฉะนั้นวัฒนธรรมและสังคมจึงเป็นหน่วยเดียวกันกับเป้าหมายทางการเมืองและการปกครอง
สังคมและวัฒนธรรมของประเทศอิหร่านภายหลังการปฏิวัติอิสลามใน ค.ศ.1979 นั้นนับว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก กล่าวคือประชาชนทั้งประเทศผู้ซึ่งเป็นมุสลิมมากกว่าร้อยะ 98 นั้นได้ให้ความร่วมมือในการเปลี่ยนแปลงประเทศชาติไปตามเป้าหมายของนโยบายรัฐบาลสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ซึ่งตามการลงประชามติในครั้งแรกนั้นปรากฏว่าประชาชนยินยอมให้มีการจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลามด้วยคะแนนเสียงที่ท่วมท้นเกือบทั้งหมด ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่ปรากฏออกมาเป็นรูปธรรม
การเปลี่ยนแปลงหรือการปฏิวัติแบบอิสลามนี้ไม่เหมือนกับการปฏิวัติอื่นๆ ไม่ว่าการปฏิวัติในฝรั่งเศส ค.ศ.1789 หรือการปฏิวัติในรัสเซียค.ศ.1917 หรือการปฏิวัติในประเทศจีน ค.ศ.1949 หรือการปฏิวัติรัฐประหารในประเทศต่างๆ ตามรูปแบบที่เคยเห็นกันมา
ทั้งนี้เพราะเหตุว่าการปฏิวัติอิสลามไม่ใช่เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงบุคคลในคณะรัฐบาลเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตจิตใจของประชาชนในทุกๆ ด้าน และเป็นการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาภายในโครงสร้างของสังคมและสถาบันต่างๆ ในประเทศอีกด้วย นับว่าได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงไปตามแบบอย่างของท่านศาสดามุฮัมมัดผู้ได้สถาปนาสังคมรัฐแบบอิสลามขึ้นครั้งแรกในโลกที่นครมะดีนะฮ์ โดยอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร นั่นคือคัมภีร์อัล-กุรอาน และแบบฉบับในการปกครองและการดำเนินชีวิตของท่านศาสดาเอง เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ทั้งทางสังคมและวัฒนธรรมให้เป็นไปตามแนวทางของพระผู้เป็นเจ้า
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ในอัล-กุรอานเรียกว่า “อิงกิลาบ” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสารัตถะแห่งชีวิตด้านอุดมการณ์ของมนุษย์ในสังคมรัฐกันเลยทีเดียว ปรากฏตามคัมภีร์อัล-กุรอาน ซูเราะฮ์ที่ 13 อายะฮ์ที่ 11 ว่า “อัลลอฮ์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของมนุษย์กลุ่มใด จนกว่าพวกเขาจะได้เปลี่ยนแปลงสภาพของพวกเขาเอง” ซึ่งในโองการนี้ใช้คำว่า “ตะฆ็อยยิร” ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงและการปฏิวัติ
ฉะนั้น จุดมุ่งหมายของการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศอิหร่านภายใต้การนำของกลุ่มผู้รู้ทางศาสนาก็ได้ยึดถือแบบฉบับตามหลักการอิสลามนั้นแด่ดั้งเดิม รัฐบาลสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้ประกาศว่าเป็นการปฏิวัติแบบอิสลาม ซึ่งมุ่งที่จะสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นแก่พลเมืองในรัฐโดยวางอยู่บนอุดมการณ์แห่งเอกภาพ เป็นหลักการที่ไม่ยอมรับลัทธิเชื้อชาติ ลัทธิชาตินิยม ระบบชนชั้น และลัทธิเซคิวลาร์ (Secularism) ที่แยกศาสนาออกจากรัฐ ตลอดทั้งมิได้วางอยู่ในลัทธิอื่นใดไม่ว่าตามแบบตะวันตกหรือแบบตะวันออก แต่เน้นตามระบอบของอิสลามที่มุ่งการปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจากการถูกกดขี่ทุกรูปแบบ
การปฏิวัติดังกล่าวจึงเป็นกระบวนการแบบอิสลามของมวลมหาชนมุสลิมผู้มุ่งไปสู่อุดมการณ์ของประชาชาติอิสลามที่ไม่ข้องเกี่ยวติดพันอยู่กับเรื่องเวลาและภูมิประเทศ ตลอดทั้งสีผิว เชื้อชาติ และภาษา แต่เป็นการดำเนินไปโดยมหาชนผู้มีอุดมการณ์เดียวกันที่จะให้ถึงซึ่งเอกราชและเสรีภาพ ตามธรรมชาติแห่งคุณค่าที่แท้จริงแบบอิสลาม
เจตนารมณ์ร่วมดังกล่าวนั้นจึงเป็นพลังขับดันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมให้ก้าวเคลื่อนไปตามแนวทางแห่งบทบัญญัติ ฉะนั้นจึงเป็นลักษณะเด่นชัดของการปฏิวัติอิสลามโดยเฉพาะ ไม่ใช่เป็นแบบประชาธิปไตยเหมือนอย่างประเทศตะวันตก และไม่ใช่เป็นแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์อย่างในจีนหรือรัสเซีย แต่เป็นกระบวนการปฏิวัติแบบอิสลามเพื่อประชาชาติมุสลิมในประเทศอิหร่านเองและเพื่อเป็นแบบอย่างของประชาชาติมุสลิมทั่วโลก
ย้อนพินิจอิมามโคมัยนี (ค.ศ. 1901-1989) ผู้นำเอาความเปลี่ยนแปลงมาสู่สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน
อิมามโคมัยนี ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่าอิมามถือกำเนิดในปีฮิจญ์เราะฮ์ศักราช 1320 หรือ ค.ศ. 1901 ในเมืองชนบทเล็กๆ ในจังหวัดภาคกลางของอิหร่านที่ชื่อโคมัยน์ เมืองโคมัยน์จึงกลายมาเป็นชื่อของอิมามว่าโคมัยนี คนอิหร่านจำนวนมากจะเอาชื่อเมืองที่ตัวเองถือกำเนิดมาเป็นชื่อของตน เช่น ชื่อรัฟซันญานีก็หมายถึงว่ามาจากเมืองรัฟซันญัน ชีราซี ก็หมายถึงชีราซ อิสฟาฮานี ก็หมายถึงอิสฟาฮาน ฯลฯ ส่วนชื่อของอิมามโคมัยนีที่อยู่ก่อนหน้าชื่อเมืองคือรูหุลลอฮ์ หมายถึงดวงจิตของอัลลอฮ์ แต่ชื่อเต็มและที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติหลายประการของตัวอิมามเองคือซัยยิด อะยาตุลลอฮ์ รูหุลลอฮ์ มูซาวี อัล-โคมัยนี จึงหมายถึงผู้ที่สืบทอดมาจากครอบครัวของท่านศาสดามุฮัมมัด
ผู้ที่ใช้คำนำหน้าชื่อว่าซัยยิด ถ้าเป็นนักการศาสนาก็จะสังเกตได้ว่ามีผ้าโพกศีรษะสีดำ เช่นอิมาม โคมัยนี และอะยาตุลลอฮ์คอเมเนอี ผู้นำทางจิตวิญญาณคนปัจจุบัน
ที่โพกศีรษะสีขาวก็เช่นรัฟซันญานี อดีตประธานาธิบดีของอิหร่าน เป็นต้น อะยาตุลลอฮ์หมายถึงเครื่องหมายหรือสัญญาณของอัลลอฮ์ รูหุลลอฮ์ อัล มูซาวี เป็นชื่อของอิมามโคมัยนีและอัล-โคมัยนี ก็มาจากชื่อเมืองที่อิมามโคมัยนีได้ถือกำเนิดนั่นเอง
อิมาม โคมัยนีผ่านการต่อสู้มาแล้วอย่างโชกโชนก่อนจะสถาปนารัฐอิสลามขึ้นมาใน ค.ศ. 1979 ซึ่งเรียกกันว่าการปฏิวัติตามแนวทางอิสลามของอิหร่าน (Islamic Revolution of Iran) อิมามมองว่าก่อนหน้าการปฏิวัติอิหร่านตกอยู่ในความมืด ดังคำพูดของอิมามที่ว่า
เราเคราะห์ร้ายที่ต้องแลเห็นวันที่มืดมนเหล่านี้ ก็เพราะความเห็นแก่ตัวของเรา และเพราะเราพ่ายแพ้โลกทั้งโลกแล้ว และรัฐอิสลามต่างๆ ก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของต่างชาติ ผลประโยชน์ส่วนบุคคลได้ทำลายจิตวิญญาณของความเป็นเอกภาพและความเป็นพี่น้องกันในหมู่มุสลิมให้หมดไป ความเห็นแก่ตัวทำให้มุสลิมหลายล้านคนกลายเป็นทาสของผู้อื่นซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ล้านคน
นอกจากนี้รัฐบาลอิหร่านยังต้องพึ่งพาสหรัฐมากขึ้นและมากขึ้นทุกที มีที่ปรึกษาทางทหารของสหรัฐเข้ามาในอิหร่าน ใน ค.ศ. 1956 เรซา ชาฮ์ ปาห์ลาวีของอิหร่านตั้งหน่วยตำรวจลับ ซาวัก ขึ้นมา โดยความช่วยเหลือของสหรัฐ กองกำลังนี้มีจุดหมายอยู่ที่การปราบปรามผู้ที่ต่อต้านชาฮ์และรัฐบาลของพระองค์
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1964 อิมามโคมัยนีถูกเนรเทศไปตุรกี จากตุรกีอิมามก็ถูกเนรเทศไปอยู่อิรัก ในช่วงท้ายที่อิมามถูกเนรเทศไปอยู่ในอิรัก รัฐบาลของชาฮ์ได้ใช้ความกดดันต่ออิรักให้ส่งตัวอิมามกลับอิหร่านแต่ไม่สำเร็จ ในเวลานั้นอิมามถูกเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งถามว่าอยากไปอยู่ที่ไหน เจ้าหน้าที่ผู้นั้นคาดว่าอิมามคงจะเอ่ยชื่อคูเวต ซีเรีย ปากีสถานหรือประเทศมุสลิมอื่นๆ แต่อิมามตอบว่าต้องการจะไปอยู่ในประเทศที่ไม่ขึ้นกับชาฮ์ เมื่อเจ้าหน้าที่ถามว่าที่ไหน อิมามจึงตอบว่าฝรั่งเศส
แม้อิมามจะเป็นหนึ่งในนักการศาสนาที่ถูกรัฐบาลของชาฮ์ เนรเทศไปอยู่ต่างประเทศ แต่ก็มิได้ถอดใจและยืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อประชาชนต่อไป การต่อสู้ของอิมามนำไปสู่ชัยชนะในเวลาต่อมา และเป็นผลให้การปกครองของราชวงศ์ปาห์ลาวีซึ่งอ้างว่ามีอายุเก่าแก่ถึง 2,500 ปี ยุติลง
การปฏิวัติตามแนวทางอิสลาม ใน ค.ศ. 1979 เกิดมาจากการเคลื่อนไหวของผู้คนที่มีมาตั้งแต่รัชสมัยของเรซา (ริฎอ) ชาฮ์ ปาห์ลาวีในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ที่มีการห้ามการแต่งกายอย่างมิดชิด (ฮิญาบ) ของชาวมุสลิมในโรงเรียนสอนศาสนา รวมไปถึงการขัดขวางค่านิยมอิสลาม
อิมามโคมัยนีมีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องให้มีการโค่นรัฐบาลของชาฮ์ และมุ่งมั่นที่จะสถาปนารัฐอิสลามให้เข้ามาแทนที่รัฐบาลเดิม แนวคิดสำคัญของอิมามโคมัยนีคือการเรียกร้องชาวมุสลิมทั่วโลกให้รวมตัวกัน รวมทั้งเรียกร้องให้ต่อต้านสหรัฐและอิสราเอล
ในครั้งที่อิมามโคมัยนีถูกจับกุม อิมามได้ถูกพาตัวไปยังเรือนจำแห่งหนึ่งในกรุงเตหะราน การชุมนุมประท้วงการจับกุมอิมามมีขึ้นในเมืองสำคัญๆ ของอิหร่าน รวมทั้งกรุงเตหะราน มัชฮัด ชีราซ อิสฟาฮานและตาบริซ ทั้งนี้ประชาชนได้แสดงการสนับสนุนต่อผู้นำทางศาสนาของพวกเขา หลังจากมีการจลาจลทั่วประเทศ รัฐบาลจึงประกาศสิทธิแห่งการจับกุมและสั่งให้ปราบปรามขบวนการนั้น แต่ขบวนการก็ยังคงดำรงอยู่เหมือนกับเชื้อไฟที่อยู่ภายใต้เถ้าถ่าน
การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจากการทำงานทางการเมืองของอิมามโคมัยนีและบรรดานักการศาสนาทั้งหลายนั้น มีบทบาททำให้ประชาชนผู้กำลังจะอ่อนข้อให้กับการยอมปฏิบัติตนตามแนวทางตะวันตก ได้มีความรู้และความเข้าใจมากขึ้น
ระหว่าง ค.ศ. 1963-1979 พบว่านโยบายของรัฐบาลได้นำพาประเทศไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่ถูกตะวันตกบงการ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อปรากฏการณ์ต่างๆ อย่างเช่น ระบบการเมืองและกลไกทางการทหาร รวมทั้งวัฒนธรรมตะวันตกซึ่งได้หลั่งไหลเข้ามาในประเทศด้วย
ในสภาพการณ์ที่ทำให้ขบวนการทางศาสนาต้องถูกปราบปรามอย่างรุนแรง รัฐบาลของราชวงศ์ปาห์ลาวีในสมัยนั้นพยายามอย่างมากที่สุดที่จะสร้างระเบียบสังคมแบบตะวันตกขึ้นภายใต้การปกครองแบบเผด็จการ ระบบการศึกษาก็ต้องพึ่งพาต่างประเทศและมีการทุจริตคดโกงของรัฐบาลอย่างแพร่หลาย ผู้ที่ต่อต้านรัฐบาลส่วนมากถูกทรมานอยู่ในคุก ขณะที่ต้องถูกคุมขังเป็นเวลายาวนาน
การต่อต้านเหล่านี้ทวีกำลังขึ้นในระหว่าง ค.ศ. 1977-1979 อันเป็นช่วงเวลาที่การปฏิวัติตามแนวทางอิสลามบรรลุถึงขั้นสุดท้าย ความวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้นเมื่อมุสฏอฟา บุตรชายคนโตของอิมามเสียชีวิตลงอย่างลึกลับ
การไว้อาลัยให้กับการเสียชีวิตของเขา ถูกจัดขึ้นทั่วประเทศ และกลับกลายเป็นการชุมนุมทางการเมืองในเวลาต่อมา ระหว่างนั้นความรุนแรงและความฉ้อฉลของรัฐบาลก็ถูกเปิดเผยขึ้น การเผชิญหน้ากันครั้งใหญ่ๆ สามครั้ง ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนแห่งเมืองกุม ตาบริซและเตหะราน ทำให้ฝ่ายรัฐบาลยอมจำนน
ในขณะที่ได้มีการต่อต้านขึ้นในกองทัพ ชาฮ์จึงได้จัดตั้งรัฐบาลพลเรือนขึ้นมา และลาออกจากประเทศไปในกลางเดือนมกราคม ค.ศ. 1979 โดยได้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีพลเรือนคนหนึ่ง คือบัคเตียร์ขึ้นมาจากแนวหน้าแห่งชาติ และสัญญาว่าจะทำการปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็สายเกินไปสำหรับการปฏิรูปใดๆ เสียแล้ว
หลังจากอิมามโคมัยนีกลับจากฝรั่งเศสมาถึงกรุงเตหะรานอย่างภาคภูมิ นายกรัฐมนตรีบัคเตียร์ต่อต้านอยู่ได้เพียงสิบวันเท่านั้น ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ รัฐบาลของเขาได้ขยายการจับกุมและประกาศภาวะฉุกเฉินสั่งห้ามประชาชนออกมานอกถนนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่อิมามได้เรียกร้องประชาชนให้ท้าทายคำสั่งอันผิดกฎหมายของรัฐบาล และให้ออกมาสู่ท้องถนน หลังจากการต่อสู้กันตามท้องถนนต่างๆ ในกรุงเตหะรานตลอดวัน ฝ่ายรัฐบาลก็ยอมจำนนต่อฝ่ายปฏิวัติ
ถ้อยคำของอิมามโคมัยนี : พลังสำคัญของการปฏิวัติอิสลาม
โอ้ชาวมุสลิมและผู้ถูกกดขี่ในโลกนี้! จงลุกขึ้นและกำชะตากรรมของท่านไว้ในมือของท่านเอง! ท่านจะนั่งรอให้วอชิงตันและมอสโกกำหนดชะตากรรมของท่านอีกนานเท่าไร? ตำนานอันมดเท็จของตะวันออกและตะวันตกจะทำให้มุสลิมผู้มีพลังงงงันไปนานเท่าไร และคำโฆษณาลมๆ แล้งๆ ของพวกเขาจะทำให้มุสลิมหวาดกลัวกันไปอีกนานเท่าใด? มุสลิมจะละเลยพลังของอิสลามกันไปอีกนานเท่าใดเล่า?” (คำปราศรัยต่อประชาชนอิหร่าน 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1981)
จากความหวาดกลัวไปเป็นความกล้าหาญ จากความสิ้นหวังไปเป็นความมั่นใจ จากความเห็นแก่ตัวไปสู่การสละอุทิศแด่พระผู้เป็นเจ้า และจากความไม่สามัคคีไปเป็นการรวมตัว ความเปลี่ยนแปลงอันเป็นปาฏิหาริย์นี้จะทำให้เราสามารถแก้ปัญหาอันยิ่งใหญ่ ซึ่งบางทีคนทั้งโลกอาจคิดว่าไม่สามารถจะแก้ได้
จงอย่าเชื่อว่าอิหร่านมีอาวุธยุทธภัณฑ์ อาวุธยุทธภัณฑ์ของอิหร่านก็คือก้อนหิน กระบองและกำปั้น อย่างไรก็ตามอาวุธด้านจิตวิญญาณของเราก็คือ ความศรัทธาในศาสนาของเรา ความศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า และความมั่นใจในแหล่งแห่งพลังอำนาจทั้งหลาย และความเป็นหนึ่งเดียวของคำพูด (คำปราศรัยในวันสาธารณรัฐอิสลาม 1 เมษายน ค.ศ. 1981)
ทุกวันนี้ทั้งมิตรและศัตรูของอิหร่านต่างก็พูดถึงอิหร่านว่าเป็นประเทศอิสลามที่ต่อต้านชาติมหาอำนาจ ทุกวันนี้อิหร่านยังยึดคำพูดที่เคยได้กล่าวไว้ตั้งแต่วันแรกว่า เราไม่ต้องการจะต่อสู้กับประเทศใดๆ ไม่ว่าจะเป็นประเทศมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิมก็ตาม และเราแสวงหาสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองเพื่อทุกคน (คำปราศรัยในวันสาธารณรัฐอิสลาม 1 เมษายน ค.ศ. 1981)
ความสัมพันธ์ระหว่างชาติหนึ่งซึ่งลุกขึ้นมาเพื่อปลดปล่อยจากกรงเล็บของนักปล้นสะดมสากลของโลก นักปล้นสะดมที่เขมือบโลกมักจะทำไปเพื่อความสูญเสียของชนชาติที่ถูกกดขี่ และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของผู้ปล้นสะดมเสมอ เราถือว่าการตัดความสัมพันธ์นี้เป็นลางดีเพราะนี่คือข้อพิสูจน์ว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังหมดความหวังในประเทศอิหร่านแล้ว (คำปราศรัยในโอกาสที่อิหร่านตัดความสัมพันธ์กับสหรัฐ 9 เมษายน ค.ศ.1983)
เสียงร้องแห่งความบริสุทธิ์ของเราคือเสียงร้องของผู้ถูกกดขี่และประชาชนผู้บริสุทธิ์แห่งอัฟกานิสถาน เป็นที่น่าเสียใจที่สหภาพโซเวียตมิได้สนใจต่อคำเตือนของข้าพเจ้าเกี่ยวกับอัฟกานิสถาน จึงเข้าโจมตีประเทศอิสลามประเทศนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วหลายครั้งหลายครา และบัดนี้ข้าพเจ้าก็กำลังกล่าวอีกว่า สหภาพโซเวียตจงอย่าได้มายุ่งกับประเทศอัฟกานิสถาน และประชาชนของประเทศนั้นเลย
คำขวัญของเราที่ว่า “ไม่ใช่ตะวันออกหรือตะวันตก” (Neither East nor West) นั้นเป็นคำขวัญสำคัญของการปฏิวัติตามแนวทางอิสลาม ในโลกแห่งความหิวโหยและความกดขี่นี้ และเป็นการแสดงถึงเค้าโครงของนโยบายที่แท้จริงแห่งการไม่เข้าข้างฝ่ายใด
ตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วหลายครั้งว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับอเมริกานั้นคือความสัมพันธ์ระหว่างลูกแกะกับหมาป่า จึงไม่อาจมีการปรองดองกันได้ระหว่างสองประเทศนี้ (ข้อสังเกตในเรื่องจดหมายของประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ ซึ่งมีมาถึงผู้นำแห่งการปฏิวัติ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1988)
เป็นที่รู้ดีแก่ทุกคนแล้วว่านับแต่นี้ต่อไปเราจะได้พบลัทธิคอมมิวนิสต์ก็เฉพาะในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การเมืองของโลกเท่านั้น เพราะมาร์กซิสม์นั้นไม่มีคำตอบให้แก่ความต้องการอันแท้จริงของมนุษยชาติ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าคำสอนของพวกเขาเพ่งเล็งไปที่วัตถุนิยมเท่านั้น (จดหมายของอิมามโคมัยนีถึงผู้นำสหภาพโซเวียต นายมิคาอิล คอร์บาชอฟ 4 มกราคม ค.ศ. 1989)
หลังชีวิตการต่อสู้อันยาวนานเพื่อชาวอิหร่าน อิมามได้ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1989 ท่ามกลางความอาลัยรักของชาวอิหร่านหลายล้านคนที่ออกมาแสดงความเศร้าโศรกตามท้องถนนให้เห็นอย่างเนืองแน่น สภาผู้เชี่ยวชาญรัฐธรรมนูญได้แต่งตั้งให้ซัยยิด อะยาตุลลอฮ์ อะลี คอเมเนอี (Ali Khamenei) เป็นผู้นำคนใหม่ของการปฏิวัติ และความสัมพันธ์กับสหรัฐที่ขาดสะบั้นลงหลังการปฏิวัติ ค.ศ. 1979 ก็มิได้หวนกลับมาอีกเลยจนถึงเวลานี้ แม้ว่าในสมัยของประธานาธิบดีโอบามาจะมีการยกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่านก็ตาม
อิสลามกับอิมามโคมัยนี
การปฏิวัติตามแนวทางอิสลามของอิหร่านโดยอิมามโคมัยนีได้รับทั้งความชื่นชม ความไม่พอใจและการคาดหมายต่างๆ นานา โดยเฉพาะสื่อของตะวันตกที่มองว่าการปฏิวัติของอิหร่านคงหนีไม่พ้นสภาพสงครามกลางเมืองแบบเลบานอน (Labanonzation)
แต่ไม่ว่าจะพูดกันไปอย่างไรก็ตาม การปฏิวัติตามแนวทางอิสลามของอิมามและผู้สืบทอดของเขาก็ยังคงดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยไม่มีสถานการณ์ใดที่ส่อให้เห็นว่าแนวทางแห่งการปฏิวัติจะลดความสำคัญลงไปแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ในเวลาต่อมาสานุศิษย์ของอิมามจะขัดแย้งกันเองในเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีใน ค.ศ. 2010 ก็ตาม
อิมามประสบความสำเร็จในการปฏิวัติ ค.ศ. 1979 ด้วยการยืนหยัดต่อต้านมุฮัมมัด เรซาชาฮ์ของอิหร่าน ซึ่งครองอำนาจด้วยการเอาประเทศตัวเองไปผูกไว้กับมหาอำนาจ อิมามวิจารณ์ชาฮ์ว่านำสตรีสู่แนวทางของตะวันตก ละทิ้งหลักการอิสลาม ไม่เอาใจใส่ต่อรัฐธรรมนูญของประเทศ ทำลายเศรษฐกิจและเอาทรัพยากรของอิหร่าน โดยเฉพาะน้ำมันไปยกให้มหาอำนาจ ทำลายเสรีภาพของหนังสือพิมพ์ และใช้ตำรวจลับทารุณประชาชน
การปฏิวัติของอิมามประสบความสำเร็จเพราะว่าอิมามอยู่กับประชาชน เคียงข้างและเป็นที่พึ่งพาของประชาชนอยู่เสมอ ดวงวิญญาณของอิมามอุทิศให้แก่พระผู้เป็นเจ้าและประชาชน นับตั้งแต่ประชาชนอิหร่านได้รู้จักอิมาม พวกเขาก็รู้สึกว่าการปฏิวัตินั้นเป็นของพวกเขาเอง ประชาชนถือว่าอิมามก็คือตัวแทนความสำนึกของพวกเขาเอง
เนื้อหาใหญ่สองประการเกี่ยวกับการฟื้นฟูอิสลามของอิมามก็คือ 1. การตำหนิลัทธิวัตถุนิยมและลัทธิบริโภคนิยมที่มากเกินไป 2. อิสลามในฐานะที่เป็นสติสำนึกของมุสตัดอะฟีน (ผู้ถูกกดขี่)
ในการตำหนิลัทธิวัตถุนิยม อิมามมีความคิดว่าความหยิ่งทระนงของบุคคลและลัทธิวัตถุนิยมเป็นสาเหตุของการคอร์รัปชั่นและทำลายความ เป็นมนุษย์ในอิสลามที่เรียบง่ายและสุภาพ ผสมผสานกับจิตวิญญาณและความมั่นใจทางวัฒนธรรม ซึ่งมีรากฐานมาจากความรู้สึกซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีกว่าวัฒนธรรมวัตถุนิยมร่วมสมัย
อิมามกล่าวว่า จงอย่าหยุดความก้าวหน้า แต่จงระมัดระวังอิทธิพลของมันที่มีอยู่เหนือความเป็นอิสลามของท่าน เพราะมันจะนำไปสู่ความสับสนและนำเอาความอ่อนแอมาสู่มุสลิม ก่อให้เกิดความหยุดนิ่งของสังคม เศรษฐกิจ และภาวะทางวัฒนธรรมของอุมมะฮ์ ซึ่งจะทำให้ผู้คนมัวแต่สนใจอย่างมากกับจุดมุ่งหมายส่วนตัว แต่ไม่สนใจชุมชนส่วนรวม
ในเวลาเดียวกัน อิมามโคมัยนีตีความคำว่า มุสตัดอะฟีน (ผู้ถูกกดขี่) ว่าหมายถึงบรรดาผู้ได้รับความกดขี่อย่างอยุติธรรม ในสมัยใหม่คำว่ามุสตัดอะฟีน ได้ใช้ไปในหลายความหมาย อันเนื่องมาจากความซับซ้อนทางการเมือง สังคมและเศรษฐกิจ คำขวัญของการปฏิวัติตามแนวทางอิสลามที่ว่า “ไม่ใช่ทั้งตะวันออกและไม่ใช่ทั้งตะวันตก” (Neither East nor West) ก็คือการฟื้นฟูคุณค่าทางวัฒนธรรมและการครอบครองของตะวันตก ซึ่งอิมามกล่าวว่าจะต้องดำเนินไปโดยอาศัยการศึกษา
อิมามโคมัยนีมีทรรศนะว่า การปฏิรูประบบการศึกษาจะนำไปสู่การฟื้นฟูคุณค่าทางวัฒนธรรมอิสลามทำให้เป็นอิสระจากการกดขี่ สำหรับตัวอิมามเอง อิสลามคือเครื่องมือแห่งการปลดปล่อย ทั้งนี้อิมามไม่ได้เรียกร้องให้ปฏิเสธวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งมีความสำคัญมาก ความทันสมัยและความเป็นตะวันตกนั้นเป็นสองสิ่งที่ต่างกัน
ความทันสมัยคือทรรศนะของปัญญาชนที่มีต่อชีวิต ส่วนความเป็นตะวันตกนั้นเป็นวัฒนธรรมและเป็นปรากฏการณ์ทางศาสนาของพื้นที่ทางภูมิศาสตร์บางแห่งของโลก
อีกนัยหนึ่งคือความทันสมัยไม่ได้หมายถึงการเป็นชาวตะวันตกหรือคริสเตียน แต่หมายถึงการมีแนวโน้มที่เป็นวิทยาศาสตร์ ในทำนองเดียวกัน ความทันสมัยไม่ได้หมายถึงการทำตามแฟชั่นตะวันตกอย่างที่เข้าใจกันทั่วไปในหมู่ผู้คนที่ไม่ใช่ชาวตะวันตก
สำหรับอิมามโคมัยนีแล้ว มุสลิมต้องมีทั้งสองอย่างคืออิสลาม และวิทยาศาสตร์ หรือทันสมัยแต่ไม่ใช่ตะวันตก อิมามไม่สับสนในเรื่องนี้เพราะอัล-กุรอานไม่ใช่ไบเบิล อัล-กุรอานไม่ขัดแย้งหรือต่อต้านวิธีการของวิทยาศาสตร์ที่มีต่อความรู้ โดยวิทยาศาสตร์นั้นมุ่งอยู่ที่การแสวงหาความจริงที่เป็นทั้งหลักการและวิธีการ ซึ่งเรื่องนี้ตรงกับทรรศนะของอัล-กุรอานในเรื่องความรู้ที่สนับสนุนการสอบถาม สอบสวนและการใคร่ครวญซึ่งไม่เหมือนกับตะวันตกในบางยุคสมัยที่มีการต่อต้านวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งกันระหว่างการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และคำสอนในคัมภีร์ไบเบิล
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาวมุสลิมที่ผ่านมา มาจากทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกก็เนื่องมาจากการครอบครองทางการเมือง และการได้รับความดึงดูดใจจากลัทธิวัตถุนิยมที่เข้มแข็งของตะวันตก ภายในก็เนื่องมาจากความหยุดนิ่งทางการศึกษาของมุสลิม น่าเสียใจว่ามุสลิมรับเอาทัศนคติของตะวันตกมาอย่างมืดบอดและลอกเลียนเหตุผลในเรื่องนี้มาทั้งเรื่องภายนอกและภายใน
อิมาม เชื่อว่าระบบมหาวิทยาลัยของอิหร่าน สามารถเยียวยาได้ ถ้าความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์เติมเต็มด้วยหลักศีลธรรมอิสลาม ดังนั้นสำหรับอิมามแล้ว วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งผสมกับศีลธรรมของอิสลามจะเป็นเครื่องมือสำหรับการฟื้นฟูคุณค่าของวัฒนธรรมอิสลาม
สิ่งนี้จะเป็นผลให้มีการผลิตมุสลิมใหม่ขึ้นมาซึ่งไม่ใช่เฉพาะวิธีการทางวิทยาศาสตร์และความทันสมัย แต่ต้องมีความมั่นใจในแนวทางของศาสนาและวัฒนธรรมของพวกเขาและเธออีกด้วย
ในความคิดของอิมามมหาวิทยาลัยจะต้องเป็นอิสลามในลักษณะที่ว่าวิชาที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้นจะต้องเชิญชวนสู่ความจำเป็นของชาติและเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่ชาติ หลักสูตรที่ใช้กันอยู่ที่มหาวิทยาลัยเวลานี้ก่อให้เกิดแรงโน้มเอียงของคนหนุ่มสาวไปสู่ลัทธิคอมมิวนิสต์ อีกส่วนหนึ่งโน้มเอียงไปสู่ตะวันตก
อิมามพูดถึงการศึกษาดังกล่าวว่าพวกเขาต้องการให้ชาวมุสลิมอยู่ในสภาพที่พึ่งพาอยู่เรื่อยไปและในการทำให้มหาวิทยาลัยเป็นอิสลามต้องทำให้มหาวิทยาลัยเป็นเขตอิสระ เป็นอิสระจากตะวันตกและตะวันออก
ดังนั้นประเทศมุสลิมก็จะเป็นประเทศเอกราชพร้อมกับมีมหาวิทยาลัยที่เป็นอิสระและมีวัฒนธรรมอิสลามของตัวเองด้วยการทำตามข้อแนะนำของอิมาม รัฐบาลของอิหร่านได้มีกระบวนการทำมหาวิทยาลัยให้เป็นอิสลาม มีการสนับสนุนการสัมมนาอย่างต่อเนื่อง มีการศึกษาและวิจัยด้วยจุดหมายที่จะฟื้นฟูวัฒนธรรมอิสลามอย่างมีพลวัตร ด้วยแนวทางเช่นนี้การปฏิวัติตามแนวทางอิสลามของอิหร่านซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการชี้ทางให้แก่อุมมะฮ์ (ประชาชาติมุสลิม) จึงได้กลับสู่รากฐานเดิม ซึ่งครั้งหนึ่งถูกทำให้มืดมิดลงไป อันเนื่องมาจากการใช้กระบวนการศึกษาตามวัฒนธรรมตะวันตก
สำหรับชาวมุสลิมโดยเฉพาะชาวอิหร่าน การปฏิวัติตามแนวทางอิสลามมีส่วนอนุเคราะห์อย่างสำคัญต่อความเชื่อมั่นทางวัฒนธรรมแก่หนุ่มสาวชาวมุสลิมจำนวนมากอันเป็นความมั่นใจที่เกือบจะสูญสิ้นไปแล้วระหว่างทศวรรษ 1970
อิมามโคมัยนีได้เตือนว่าความรู้และวัฒนธรรมมิได้เป็นสมบัติของมหาอำนาจทางการเมืองของฝ่ายใด หรือชุมชนใด แต่เป็นของมนุษยชาติทั้งมวล และทุกคนมีสิทธิที่จะมีส่วนอนุเคราะห์ต่อความรู้หรือวัฒนธรรมเหล่านี้ ทั้งนี้ความเข้มแข็งของชุมชนจะต้องมาจากปัญญาที่เป็นอิสระ ศีลธรรมที่เข้มแข็งและวัฒนธรรมที่ได้รับการยอมรับ แต่ไม่ใช่ความเข้มแข็งที่มาจากการเมืองเพียงอย่างเดียว
การเมืองกับอิสลามในทัศนะของอิมามโคมัยนี
ในการทำความเข้าใจถึงความสำคัญของนักอิสลามนิยมในการปฏิวัติที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางและบทบาทของสำนักคิดชีอะฮ์ต่ออิสลามการเมืองของอิหร่านที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น ประการแรกเราต้องเข้าใจพื้นฐานการตั้งสมมติฐานที่ว่าอิสลามได้สร้างแบบอย่างทางการเมืองขึ้นมา และการตั้งสมมติฐานนี้ได้เปลี่ยนผ่านศรัทธาที่ครอบคลุมค่านิยมทางจิตวิญญาณไปสู่ปฏิบัติการทางการเมืองร่วมสมัย
เป็นครั้งแรกการที่การปฏิวัติของอิมามโคมัยนีได้มอบข้อสันนิษฐานในรูปแบบที่เป็นกลไกการทำงานและในฐานะที่เป็นรูปแบบของทฤษฏีการเมืองของรัฐ อย่างไรก็ตามจะต้องมีความรอบคอบเมื่อพูดถึงอิมามเพราะว่าเรามิได้พูดถึงอิสลามแบบกลับสู่ฐานราก (Islamic fundamentalism) อย่างที่ตะวันตกชอบเรียกขาน
โดยพื้นฐานทุกศาสนามีฐานราก นั่นคือทุกศาสนาขึ้นอยู่กับการแสดงออกถึงสัจธรรมในการยึดตามตัวอักษรที่มาจากคัมภีร์ที่ได้รับการเปิดเผย สิ่งที่เราพูดกันอยู่ในที่นี้คือศาสนาในฐานะที่เป็นอุดมการณ์
อุดมการณ์นั้นประกอบไปด้วยการระบุถึงการมีเหตุผลอันสมควรสำหรับระเบียบทางการเมืองที่ต้องการ มันแสดงให้เห็นถึง “ความถูกต้อง” ดังนั้นจึงมอบหมายความรู้สึกแห่งวัตถุประสงค์ต่อกิจการต่างๆ ทางการเมืองในเรื่องของนโยบาย และท้ายที่สุดคือเรื่องของอุดมการณ์เข้ามาเสริมแต่งภาพที่เป็นผลที่ตามมาในทางประวัติศาสตร์
ในฐานะของอุดมการณ์ ลัทธิโคมัยนีได้สนองตอบบรรทัดฐานเหล่านี้ แต่อิมามก็มิได้ดำรงอยู่ในความว่างเปล่า หากแต่แบบอย่างซึ่งอิมามทำให้เป็นอุดมการณ์และเป็นอิสลามการเมืองนั้นให้ความสว่างทางปัญญาแก่รากเหง้าของแนวคิดชีอะฮ์ อันเป็นพื้นฐานทางศาสนาของชาวอิหร่านภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของชาวเปอร์เซียในอิสลาม
จักรวาลทางศีลธรรมเป็นแบบแผนของการกระทำที่มาจากการสร้างของพระผู้เป็นเจ้า เป็นสิ่งที่มีอยู่แต่ดั้งเดิมในทุกกิจการที่พระองค์ทรงสร้าง สิ่งนี้มีนัยว่าการเมืองและข้อกำหนดทางศีลธรรมไม่อาจแยกออกจากกันได้ เพราะว่าข้อกำหนดทางศีลธรรมนั้นมาจากแหล่งเดียวกันและเป็นรากฐานของสังคมที่ยุติธรรม (ดูรายละเอียดของเรื่องนี้ใน W.M.Watt, Islamic Political Thought , Edinburgh : Edinburgh University Press, 1908 และ Hamid Enayat, Modern Islamic Political Thought, Austin : University of Texas Press, 1982)
อัล-กุรอานในฐานะที่เป็นวิวรณ์จากพระผู้เป็นเจ้าได้วางข้อกำหนดสำหรับชุมชนของพระองค์เอาไว้และแสดงรัฐธรรมนูญทางสังคมและการเมืองที่สมบูรณ์ ซึ่งมิได้ขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลงของเวลาหรือสภาพแวดล้อม
แบบแผนทางการเมืองอื่นๆ ล้มเหลว เพราะแบบแผนดังกล่าวสร้างมาจากปัญญาของมนุษย์ที่ผิดพลาดโดยมิได้อ้างถึง “หนทางที่ถูกต้อง” ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงวิวรณ์ไว้ แต่มุสลิมก็อาจจะ “ละเลย” ในการรับรู้และมิได้นำเอาบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้ามาใช้ก็ได้และนี่อาจทำให้พวกเขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลในเรื่องของการฉ้อฉลจากผู้ที่มิได้เป็นมุสลิม
การต่อต้านความรู้สึกไร้ศีลธรรมนั้นเป็นแก่นกลางอุดมการณ์ของอิมามโคมัยนี สำหรับอิมามแล้วมันเป็นสัจธรรมที่ว่าจักรวรรดินิยมตะวันตกได้นำมาซึ่งความเสื่อมถอยทางศีลธรรมในโลกมุสลิมโดยผ่านเศรษฐกิจ การเมือง และการหาประโยชน์ทางภูมิศาสตร์ที่ว่าด้วยแบบแผนที่เป็นกลยุทธ์จากยุโรป ได้ขยายไปถึงสหรัฐจากการวางแผนร่วมกันต่อต้านแบบแผนทางศีลธรรมของอิสลาม
ในการเผชิญหน้ากันทางประวัติศาสตร์ระหว่างความดีและความชั่นนั้นอิมามมีความคิดว่าอิสลามได้หาคำตอบให้กับการท้าทายของการเอารัดเอาเปรียบไว้สองแนวทางด้วยกัน ประการแรกชาวมุสลิมเป็นผู้รับผิดชอบในการทำให้สังคมของพวกเขาบริสุทธิ์ตามหลักการของการญิฮาดภายใน (ญิฮาด อัด-ดาคอลี – Jihad al-dakhali) ในความหมายนี้ญิฮาดหมายถึง “การต่อสู้ดิ้นรน” เพื่อสัจธรรมในสังคมที่ฉ้อฉลด้วยการใช้ความยุติธรรมและสังคมที่สมบูรณ์
ดังนั้นลัทธินิยมตะวันตกในทุกรูปแบบจะต้องถูกขจัดออกไปจากอิหร่าน ประการที่สอง ความคิดในเรื่องสังคมที่ยุติธรรม จะต้องถูกนำมาใช้ในโลกมุสลิมทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมของประเทศต่างๆ ซึ่งรัฐบาลแสดงให้เห็นว่ามีความโน้มเอียงไปสู่การปกครองแบบโลกวิสัยของตะวันตก หรือมีความสัมพันธ์ทางทหารและทางเทคโนโลยีกับตะวันตก
ในที่นี้อิมามมีความคิดว่าญิฮาดเป็นแบบอย่างภายนอกของความปรองดอง (ญิฮาด อัลคอริญี – Jihad al-khariji) สำหรับอิมามชัยชนะของอุดมการณ์อิสลามเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกหนีได้ อิสลามจะอยู่ในสถานที่ที่ถูกต้องในการเป็นแนวหน้าของโลกวัฒนธรรม
อุดมการณ์ของอิมามโคมัยนีเป็นอุดมการณ์ที่ใช้หลักจักรวาลวิทยาของลัทธิมานี (Manichean) นั่นคือพลังแห่งความดีและความชั่ว อย่างไรก็ตามพลังต่างๆ เหล่านี้มีอยู่อย่างถาวรในระบอบการเมืองโลกไม่ว่าเราจะมองความขัดแย้งระหว่างลัทธิคอมมิวนิสต์หรือลัทธิทุนนิยม ระหว่างประชาธิปไตย เสรีนิยมหรือฟาสซิสต์ ระหว่างความร่ำรวยของฝ่าย “เหนือ” และความขาดแคลนของฝ่าย “ใต้” หรือระหว่างมหาอำนาจกับโลกที่สาม ผลก็คือการกำหนดหน้าที่ต่อผู้ศรัทธาเพื่อปรับปรุงความยุติธรรม
ในทฤษฏีของอิมาม มุสลิมที่ดีทุกคนถูกกำหนดโดยอัล-กุรอานให้ “ทำความดีและละเว้นความชั่ว” โดยการสถาปนารัฐอิสลามในทุกๆ หนแห่งที่ปกครองโดยเผด็จการ สำหรับชีอะฮ์มุสลิม อิมามโคมัยนีปรากฏตัวเหมือน “ผู้นำทาง” ซึ่งภารกิจก็คือการฟื้นฟูสถานภาพของตนเองโดยผ่านการระดมพลของชาติ ทางออกทางการเมืองของอิมามโคมัยนีกลายมาเป็นความสำคัญทางศีลธรรม
โดยทั่วไปลักษณะของลัทธิโคมัยนีสามารถพบได้ในความหลากหลายของอิสลามนิยม คำสอนเรื่องอำนาจหน้าที่ของอิมามโคมัยนีสามารถเข้าใจได้ด้วยปัญญาในบริบทของปฏิสัมพันธ์ระหว่างคำสอนทางศาสนาของสำนักคิดชีอะฮ์และวัฒนธรรมทางการเมืองของอิหร่าน
สำนักคิดชีอะฮ์เกิดมาจากการแข่งขันเพื่อการเป็นผู้นำในสมัยต้นของชุมชนอิสลาม แบบอย่างแห่งอำนาจหน้าที่ตามประเพณีของชาวอาหรับเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้อำนาจจากสมาชิกที่ได้รับเลือกจากเผ่าของท่านศาสดา ซึ่งได้รับการยอมรับโดยชาวมุสลิมส่วนใหญ่
แบบอย่างนี้สะท้อนถึงการปฏิบัติที่เป็นบรรทัดฐานหรือเป็น “ซุนนะฮ์” ของท่านศาสดา ในเวลาเดียวกันทฤษฏีการปกครองซึ่งวางอยู่บนผู้สืบทอดที่ได้รับการแต่งตั้งและเป็นตัวแทนสภาพแวดล้อมแห่งจักรวรรดิ เปอร์เซีย-ไบแซนไตน์ (Perso-Bizantine) ได้พยายามเข้ามาแทนแง่มุมของสำนักคิดซุนนี
ภายในช่วงเวลาหลายทศวรรษ แง่มุมของชนกลุ่มน้อยมีลักษณะที่ได้มาจากผู้มาโปรดโลก (messianic) อำนาจหน้าที่ของผู้สืบทอดที่ได้รับการแต่งตั้งในทางทฤษฏีจะผ่านจากบิดาไปยังบุตรชายคนโตถึง 12 รุ่น ก่อนที่รุ่นสุดท้ายจะหายตัวไปตามเส้นทางของศาสดาพยากรณ์
ชาวชีอะฮ์ซึ่งเป็นผู้ใช้ทฤษฏีการปกครองที่เชื่อว่าจักรวาลได้รับการปกครองโดยผู้นำที่ซ่อนตัวอยู่ (คืออิมาม) ซึ่งเป็นผู้ที่จะกลับมาภายใต้การกดขี่เพื่อที่จะสร้างโลกใหม่ซึ่งค่านิยมของจิตวิญญาณและทางโลกจะประนีประนอมกับยุคสมัยแห่งความยุติธรรม ทฤษฏีดังกล่าวเหมาะสมกับความต้องการทางจิตวิทยาของชาวเปอร์เซียกลุ่มน้อยที่ได้รับการกดขี่ เพื่อที่จะปฏิเสธการภักดีต่อรัฐบาลที่มิใช่ชีอะฮ์ซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่
ในช่วงเวลาที่อิมาม ซ่อนตัวอยู่ นักการศาสนาชีอะฮ์จะอ้างสิทธิพิเศษที่จะกระทำในฐานะผู้ทำงานทั่วไปให้แก่อิมามเพื่อที่จะตีความกฎหมายของอิมามสำหรับกลุ่มชนต่างๆ บรรดานักการศาสนาชั้นสูงหรือมุจญ์ตะฮิด ผู้สามารถตีความจะได้รับการจัดอันดับไปตามความสามารถและตามลำดับชั้น
อะยาตุลลอฮ์จะเลือกโฆษกในการลงความเห็นจากในหมู่อะยาตุลลอฮ์ด้วยกันเอง แต่อะยาตุลลอฮ์ผู้มีอำนาจสูงสุด (Grand Ayatollah) จะไม่พูดถึงอิมามที่ติดต่อไม่ได้หรือปกครองชุมชน แต่จะเป็นมุจญ์ตะฮิด ซึ่งผู้ศรัทธาจะเชื่อตามในเรื่องของกฎหมายและจริยธรรมทางสังคม ซึ่งหน้าที่ในการชี้นำสังคม (วิลายะตุลฟะกีฮ์ – wilayat al-faqih) ค่อยๆ เปลี่ยนไปสู่สำนักงานทางการเมืองอันเนื่องมาจากความเสื่อมโทรมภายในและลัทธิจักรวรรดินิยมจากภายนอก
เมื่อการมีอำนาจสูงสุดของเปอร์เซียฟื้นคืนมาในตอนต้นของศตวรรษที่สิบหกเป็นครั้งแรกที่ผู้ถือสำนักคิดชีอะฮ์ได้เป็นผู้อุปถัมภ์อย่างเป็นทางการ เวลานี้รัฐได้เข้ามาผูกขาดในการควบคุมเหนือสังคม นักการศาสนาถูกกำหนดให้ตัดสินว่าจะประนีประนอมในเรื่องสังคมการเมืองที่ตนเองมีอำนาจอยู่ในระดับใดเพื่อแลกเปลี่ยนกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรัฐและการปกป้องรัฐ
ในระหว่างสามศตวรรษต่อมา ความตึงเครียดนี้มีผลกระทบโดยตรงกับความสัมพันธ์ของรัฐกับนักการศาสนา อันเนื่องมาจากผลกระทบของความทันสมัยภายในและแรงกดดันจากภายนอกคือจากอังกฤษและรัสเซีย รัฐจึงพยายามที่จะรวมศูนย์อำนาจและลดเขตอำนาจปกครองตนเองของนักการศาสนาลงไป แต่รัฐก็อ่อนแอลงและมีความเป็นเผด็จการมากขึ้น ในทางทฤษฏีมิได้มีการปฏิเสธความชอบธรรมของรัฐใด ไม่ว่าจะเป็นรัฐของซุนนีหรือชีอะฮ์ก็ตาม
ต่อมานักการศาสนาค่อยๆ ละทิ้งทรรศนะคติของตนที่มีความปรองดองกับรัฐในภาคปฏิบัติและเปลี่ยนเป็นเงียบเฉย พวกเขาเคลื่อนไหวทางศาสนาไปสู่ความเป็นอนุรักษ์ อย่างไรก็ตามนักการศาสนาก็มิได้กล่าวประณามความชอบธรรมของอำนาจทางโลกแต่อย่างใด
กระบวนการแห่งความตกต่ำเพิ่มมากขึ้นในทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่สิบเก้า และอิหร่านอยู่ภายใต้ช่วงของความขัดแย้งที่ขยายตัวออกไป ช่วงเวลานี้ที่ยุโรปเข้ามาก้าวก่ายทำให้การปรับตัวต่อการเปลี่ยนผ่านทางสังคมเกิดความสับสน
เมื่อราชวงศ์ปาห์ลาวีเข้าสู่อำนาจในทศวรรษ 1920 นักการศาสนาก็ก้าวหน้าไปแล้วในการสร้างตัวเองขึ้นมาอีกครั้งในฐานะที่เป็นชนชั้นที่เป็นอิสระและปฏิเสธความคิดในเรื่องราชาธิปไตยทางโลก นักการศาสนาจึงมีอิทธิพลอย่างมากในฐานะที่เป็นเป้าหมายในช่วงขณะของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนเรื่องวิลายะตุลฟะกีฮ์ ที่ยอมรับให้นักการศาสนาขยายการควบคุมอย่างสมบูรณ์เหนือรัฐเมื่อรัฐบาลปาห์ลาวีพังทลายลง
ดังนั้นวัฒนธรรมทางการเมืองซึ่งอิมามปฏิบัติจึงเป็นการปฏิบัติที่มีการเตรียมพื้นที่สำหรับทฤษฏีที่นำไปสู่การมีอำนาจเบ็ดเสร็จของนักการศาสนา อิมามใช้บทบาทของตัวเองในการมุ่งความสนใจไปยังข้อเรียกร้องของนักการศาสนาและประชาชนในการเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน
แต่อิมามก็มิได้ทำการปฏิวัติ มุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ แต่เป็นชาฮ์ต่างหากที่เป็นสาเหตุ เป็นตัวเร่งและเป็นขอบเขตของการปฏิวัติ เรซา ชาฮ์ พยายามที่จะเปลี่ยนความเชื่อของพระองค์ไปสู่การทำให้จักรวรรดิอิหร่านไปเป็นอำนาจส่วนตัวของพระองค์ในเวลาที่ประเทศไม่อาจสนับสนุนความมั่งคั่งที่เสแสร้งเช่นนั้นได้
ภายใต้มุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ ประเทศต้องเจ็บปวดจากความยุ่งเหยิงอย่างหนัก ความยากลำบากทางเศรษฐกิจ การคอร์รัปชั่นในชนชั้นนำที่ปกครองอยู่ สุญญากาศทางการเมืองและอุดมการณ์ ความเป็นเมืองที่ไม่อาจคุมได้ ความตกต่ำของภาคสาธารณะ และอิทธิพลของวัฒนธรรมอเมริกัน การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงใน ค.ศ. 1978-79 มาพร้อมกับความตกต่ำในการครองความเป็นเจ้าในอ่าวเปอร์เซียภายใต้ความรุ่งเรืองของสหรัฐ
นี่เป็นเหตุการณ์ที่อิมามผสมผสานแนวความคิดของเขาเข้าด้วยกันขณะอยู่ต่างประเทศ กระนั้นฝูงชนก็เอาใจใส่คำพูดของอิมาม โดยผ่านเครือข่ายของนักการศาสนาและผลิตคาสเซตซึ่งบันทึกคำเทศนาของอิมาม อันมีศักยภาพสำหรับการระดมพลการเมือง และสำหรับความเร่าร้อนที่จะทำตามอิมาม แต่คนเหล่านั้นยังเป็นได้แค่มวลชนที่ยังขาดรูปแบบ
อิมามได้แนะนำความคิดในเรื่องความศรัทธาที่ถูกต้องให้กับผู้นิยมแนวความคิดของเขา โดยความศรัทธาที่ถูกต้องนี้มีแรงบันดาลใจมาจากคำสอนในคัมภีร์อัล-กุรอาน นอกจากนี้อิมามโคมัยนียังได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีประวัติศาสตร์การเป็นผู้สละเพื่อศาสนามาตลอด มีความสุขุมและมีความเชื่อในเรื่องของพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวที่มีแบบแผน
อิมามได้ใช้ความเป็นอนุรักษ์นิยมในทางศาสนา และอารมณ์การเคลื่อนไหวสู่การทำลายลัทธิทางโลกที่หลงเหลืออยู่ในอิหร่าน และภายในระยะเวลาสั้นๆ อิสลามนิยมได้กวาดผ่านจักรวรรดินิยมปาห์ลาวีที่อ่อนแอลงไป
ภายในหลายปีของการขึ้นมาสู่อำนาจสูงสุดของอิมามโคมัยนีในอิหร่านมีเหตุการณ์สามประการที่ได้เกิดขึ้นมาก่อน อันเนื่องมาจากการขยายตัวโดยทันทีของแบบแผนอิสลาม ประการแรกเป็นวิกฤตตัวประกันอเมริกัน (American hostage crisis) แห่งเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1979
ประการที่สองคือสงครามกับอิรักซึ่งเริ่มต้นในวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1980 และประการที่สามคือการที่อิสราเอลรุกรานเลบานอนในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1982 ด้วยความระมัดระวังอย่างที่เหตุการณ์เหล่านี้เป็นอยู่ รัฐบาลของนักการศาสนามีความเห็นไปถึงจุดที่ว่าอำนาจของ “ซาตาน” จากภายนอกได้คุกคามต่อชุมชนชีอะฮ์ของอิหร่านและตะวันออกกลาง ดังนั้นเหตุการณ์เหล่านี้จึงมีส่วนโดยตรงต่อชัยชนะในการปกครองของนักการศาสนา
อิมามโคมัยนีกับแนวคิดทางการเมือง
นอกเหนือไปจากศักราชของศาสดามุฮัมมัด (ค.ศ. 610-632) แล้วอิมามโคมัยนีพิจารณาว่าประวัติศาสตร์อิสลามที่ “ถูกต้อง” นั้นห้อมล้อมไปด้วยระยะเวลาสั้นๆ ของเคาะลีฟะฮ์ (กาหลิป) ท่านที่สี่ของซุนนี ได้แก่ช่วงของอิมามท่านแรกของชีอะฮ์ คือ อะลี อิบนุ อะบี ฏอลิบ (ค.ศ. 656-661) จากนั้นการผละจากศาสนาก็เริ่มต้น และดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับอิมามโคมัยนีระยะเริ่มต้นของญาฮิลียะฮ์ (ยุคสมัยแห่งความเขลา) นั้น ผูกโยงกับการขึ้นมาของรัฐอุมัยยะฮ์ (Umayyah) ใน ค.ศ. 661 อย่างแน่นอน ซึ่งผู้มีอำนาจหน้าที่และการควบคุมถูกทอดสมอลงในคนชั้นสูงที่เป็นผู้นำอาหรับโดยเฉพาะ
ลัทธิชาตินิยมอาหรับใดฉีกทึ้งความเป็นปึกแผ่นของมุสลิมอุมมะฮ์และเป็นตัวประกอบพื้นฐานที่ในที่สุดนำไปสู่ความผุกร่อนของอิสลาม และกลับมาสู่ “ยุคสมัยของความเขลา”
ตามความคิดของอิมามโคมัยนี พวกอุมัยยะฮ์เปลี่ยนแปลงลักษณะของรัฐบาลของพระผู้เป็นเจ้าและจิตวิญญาณไปสู่เรื่องของโลก การปกครองของพวกเขาวางอยู่ที่อาหรับนิยม (Arabism) หลักการในการส่งเสริมให้ชาวอาหรับอยู่เหนือผู้คนอื่นๆ ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่ขัดกับพื้นฐานหลักของอิสลามที่ปรารถนาจะยกเลิกการถือเชื้อชาติและรวมมนุษยชาติเข้าอยู่ในชุมชนเดียวภายใต้ยุคสมัยของรัฐรัฐหนึ่ง โดยไม่สนใจในเรื่องของเผ่าพันธุ์และผิวสี
อิมามแลเห็นว่าจุดมุ่งหมายของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ได้เฉไฉไปจากอิสลามโดยสมบูรณ์ ด้วยการฟื้นฟูอาหรับนิยมแห่งยุคของความเขลาก่อนอิสลามขึ้นมาอีก และจุดมุ่งหมายเดียวกันยังคงดำเนินการอยู่ภายใต้ผู้นำอาหรับบางประเทศ ผู้ซึ่งประกาศความปรารถนาของพวกเขาอย่างเปิดเผยว่าจะฟื้นฟูอาหรับนิยมของอุมัยยะฮ์ขึ้นมาอีก ซึ่งไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าอาหรับนิยมของญาฮิลียะฮ์ Khomeini, Islam and Revolution : The Writing and Declaration of Imam Khomeini , London : Kegan Paul, 2002 p.322-323
เป็นที่ชัดเจนว่านักอิสลามนิยมต่อต้านลัทธิชาตินิยมสมัยใหม่อย่างเหนียวแน่นในเรื่องอุดมการณ์แห่งคำสอน ดังนั้นพื้นฐานการปฏิบัติของลัทธิชาตินิยมจึงตรงข้ามกับลัทธิสากลนิยมของมุสลิมอุมมะฮ์ ซึ่งได้ระบุไว้ในเรื่องอัตลักษณ์อิสลาม
ลัทธิชาตินิยมก่อให้เกิดลัทธิโลกวิสัย ซึ่งทำอันตรายให้กับวิถีชีวิตอิสลาม ลัทธิชาตินิยมยังกีดกันความเป็นปึกแผ่นและความเข้มแข็งของมุสลิมอุมมะฮ์อีกครั้งและปล่อยให้อิสลามเป็นที่อยู่อาศัยแห่งการแบ่งแยกไปในที่สุด
ญิฮาดในมุมมองของอิมามโคมัยนี
การก่อรูปทางทฤษฏีของอิมามว่าด้วยญิฮาดเป็นเรื่องของการได้รับอำนาจจากพระผู้เป็นเจ้าในการใช้ความรุนแรงต่อต้านศัตรูของอิสลามทั้งในประเทศและนอกประเทศ อิมามได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเนื้อหาที่มาจากแนวคิดชะฮาดัตหรือการสละชีพเพื่อศาสนา (martyrdom) ในประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ของชีอะฮ์ ที่ซึ่งญิฮาดแสดงให้เห็นการครุ่นคำนึงถึงผู้อื่นและการเสียสละตัวเองของอิมามท่านแรกๆ คืออัล-ฮะซัน อิบนุ อะลี (ค.ศ. 624-669) และอิมาม อัล-ฮูเซน อิบนุอะลี (ค.ศ. 626-680) ในการขัดขืนการปกครอง “ที่กดขี่และรวบอำนาจ” ของอุมัยยะฮ์
ในมุมมองนี้ญิฮาดจึงมีขึ้นเพื่อคืนสิทธิของอำนาจทางการเมืองให้กับผู้นำที่ชอบธรรมและได้รับการคัดสรร นั่นคือบรรดาอิมามที่ได้รับทางนำและผู้นำทางศาสนาของชีอะฮ์ ซึ่งเป็นตัวแทนโดยตรงของอิมามรูปแบบอื่นๆ ของรัฐบาลที่มิได้อยู่ภายใต้การนำของนักการศาสนาที่ปกป้องอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือระบอบกษัตริย์ สำหรับอิมามโคมัยนีแล้วนับเป็นความชอบธรรมที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมที่จำเป็นต้องโค่นรัฐบาลดังกล่าวลงไป
อิมามโคมัยนีสนับสนุนนักการศาสนาของอิหร่านให้เป็นผู้นำในการต่อสู้ต่อต้านมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ ผู้ปกครองทางโลกที่กดขี่ และก่อตั้งรัฐอิสลามที่แท้จริงภายใต้การปกครองโดยตรงจากคนของศาสนาที่โดดเด่น ตามที่ได้มีความแจ่มแจ้งอยู่ในหลักการของอิมาม วิลายะตุลฟะกีฮ์อยู่แล้ว
ด้วยการนำเอาอำนาจอิสระของชนชั้นนำที่นักการศาสนาในลัทธิชีอะฮ์ (Shiism) มาใช้แล้ว อิมามโคมัยนียังได้เอาอำนาจดังกล่าวมาใช้ในฐานะกองกำลังต่อต้านที่เป็นตัวแทนมวลชน และจัดระเบียบอำนาจที่เป็นอิสระของนักการศาสนาขึ้นเพื่อใช้เป็นปฏิบัติการทางการเมืองต่อต้านรัฐบาล
ตรงกันข้ามกับการจัดลำดับขั้นตอนทางศาสนาของซุนนี ซึ่งส่วนใหญ่มีความร่วมมือกันระหว่างรัฐกับผู้เชื่อฟังรัฐ พวกนักการศาสนาที่เรียกกันว่ามุลลอฮ์ (mullah) ในอิหร่านได้ปรากฏตัวขึ้นในฐานะกองกำลังของสังคมที่ไม่ลงรอยกับรัฐ ทำงานอย่างเป็นอิสระและต่อต้านรัฐ
อิมามปลุกเร้าเนื้อเรื่องทางประวัติศาสตร์ของชีอะฮ์ในเรื่องการสละชีพในหนทางศาสนาโดยเรียกร้องให้ประชาชนชีอะฮ์เดินตามท่านอิมามฮะซันและอิมามฮูเซนที่เป็นตัวอย่างการต่อสู้ในการต่อต้านทรราชย์ผู้กดขี่และอยุติธรรม
อิมามเชื่อว่าสารนี้จะแสดงกำลังของตัวเองที่ไม่สามารถขัดขืนได้ออกมาและรวมชาวอิหร่านนับล้านคนเข้าด้วยกันเพื่อภารกิจนี้ ด้วยการสนับสนุนของบรรดามุลลอฮ์ คนนับล้านเหล่านี้จะรวมกันออกมายังท้องถนนเพื่อท้าทายมืดและปืนไรเฟิล จากกองกำลังของชาฮ์พร้อมกับศรัทธาในอัลลอฮ์ของพวกเขาผู้กลายเป็นผู้สละชีพในทางศาสนาหรือชะฮีด (shahid) โดยชะฮีดจะล้มลงติดต่อกันไปและได้รับการฝังโดยสาธารณชน ได้รับเกียรติสำหรับความอาจหาญและปรารถนาที่จะได้สถานที่อันสูงส่งในญันนะฮ์ (Jannah) หรือสวรรค์
ในความคิดของอิมามการกล่าวคำว่าอัลลอฮุอักบัร (Allahu Akbar) หรืออัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกรออกมา ได้ส่งเสียงสะท้อนไปทั่วอาณาจักรของชาฮ์และอาณาจักรของมารร้ายสองแห่งคือสหรัฐและรัสเซีย โดยอาณาจักรทั้งสองจะถูกทำให้พ่ายแพ้
เมื่อจำนวนของผู้สละชีพในหนทางของพระผู้เป็นเจ้าเพิ่มขึ้น ผู้ก้าวร้าวก็จะอ่อนแอและล้มลง ผู้คนที่เชื่อในอัลลอฮ์และไว้วางใจในการปฏิวัติตามแนวทางอิสลามก็จะรวมตัวเข้าด้วยกันเพื่อต่อต้านความพยายามใดๆ ก็ตามที่จะนำไปสู่การขยายความแตกแยกหรือการบีบบังคับพวกเขาให้ยินยอม
ทฤษฏีวิลายะตุลฟะกีฮ์ (wilayat al-faqih) คือการปกครองโดยนักศาสนวิทยา-นักกฏหมายอิสลามของอิมามโคมัยนี และการเน้นไปที่การดำเนินกิจการทางการเมือง กระตุ้นให้เกิดการยึดอำนาจในอิหร่าน
พวกมุลลอฮ์ (mullah) ซึ่งหมายถึงนักการศาสนาได้กลายมาเป็นนักรบของการปฏิวัติ เป็นผู้ช่วงชิงอำนาจและเป็นรัฐบุรุษ นักการศาสนาเหล่านี้ได้ล้มเลิกประเพณีที่นักการศาสนาชีอะฮ์ไม่สนใจการเมืองและไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับกิจการสาธารณะ ชัยชนะของมุลลอฮ์ในอิหร่านแสดงถึงพัฒนาการของลัทธิชีอะฮ์ (Shiism) จากการนิ่งเงียบ การยอมจำนน หรือแม้แต่การว่านอนสอนง่ายมาสู่การดำเนินการทางการเมืองและความมั่นใจ ดู Foud Ajami, The Vanished Imam : Musa al-Sadr and the Shia of Lebanon , Ithaca Cornell University Press, 1966 , p.199
ผลที่ตามมาก็คืออิมามได้นำการเมืองกลับมาสู่อิสลาม และใส่การเปลี่ยนผ่านลงไปสู่การปฏิบัติโดยผ่านวงจรการปกครองของมุลลอฮ์ทั้งหลาย ซึ่งกลายมาเป็นชนชั้นนำในการปกครองสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน อย่างไรก็ตามความคิดของอิมามโคมัยนีแตกต่างไปจากอบุล อะลา เมาดูดีย์ ซัยยิด กุฏบ์ และนักคิดที่เป็นนักอิสลามนิยมคนอื่นๆ ซึ่งเป็นซุนนีที่ปฏิเสธความคิดเรื่องรัฐอิสลามที่ปกครองโดยผู้นำนักการศาสนาแต่เพียงอย่างเดียว
ในการต่อต้านรัฐบาลของมุฮัมมัด เรซา ชาฮ์ ปาห์ลาวี ตลอดระยะเวลา 15 ปี ในการลี้ภัยของอิมามนั้น อิมามสนับสนุนผู้นำทางศาสนาของชีอะฮ์ให้เข้าทำหน้าที่ในการปฏิวัติและยึดการควบคุมจากรัฐบาล เขาใช้ความพยายามของเขาโดยตรงในการเกณฑ์เอานักการศาสนาหนุ่มๆ และนักศึกษาซึ่งจะยอมอุทิศชีวิตของพวกเขาให้กับปฏิบัติการทางการเมืองมารวมตัวกัน แนวหน้าทางศาสนาของอิมามจึงสร้างบทบาทที่ถาวรให้กับนักการศาสนาและการปกครองที่สมบูรณ์ของนักกฎหมายอิสลามในอิหร่านในเวลาต่อมาอย่างเห็นได้ชัดเจน
คำสอนของเขาเรื่องวิลายะตุลฟะกีฮ์ได้นำเสนอว่านักการศาสนาของชีอะฮ์ที่เด่นๆ ควรจะเข้าครองตำแหน่งผู้นำสูงสุดในการตัดสินในรัฐอิสลามในฐานะที่เป็นตัวแทนของอิมามท่านสุดท้ายหรืออิมามที่สิบสอง โดยทันทีโดยผ่านการซ่อนตัว (ghayba) ของท่านอิมามที่สิบสองนั่นเอง ดู Gordan D.Newby , A Concise Encyclopedia of Islam, Oxford : One world Publication, 2002 p.109,110,115
สำหรับอิมามผู้ปกครองที่กดขี่ ประหัตประหารและคับแคบมิเคยเอาชนะทหารของอิสลามได้เลย ดู Mary-Jane Deep, Militant Islam and the Politics of Redemption, Annals of the American Academy of Political and Social Science , November 1992 , p.52-65
เสียงเรียกของอิมามให้แรงบันดาลใจต่อชาวอิหร่านที่ปรารถนาที่จะโอบกอดการพลีชีพเพื่อพระผู้เป็นเจ้าเอาไว้เพื่อขับไล่ชาฮ์ ในที่สุดอิมามโคมัยนีก็โค่นบัลลังก์มยุรา (Peacock Throne) ลงไปได้และสถาปนารัฐอิสลามแห่งอิหร่านขึ้นใน ค.ศ. 1979
40 ปีการปฏิวัติตามแนวทางอิสลาม
ปี 2019 อิหร่านเฉลิมฉลองการครบรอบ 40 ปี ของการปฏิวัติตามแนวทางอิสลาม (Islamic Revolution) ไปเรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางการเผชิญการกดดันอย่างหนัก ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหรัฐ
สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน (Islamic Republic of Iran) ได้ชื่อว่าเป็นรัฐที่ปกครองด้วยแนวทางของศาสนา (Theocratic Regime) อันเป็นรัฐที่ได้รับสถาปนาขึ้นโดยการนำของอายะตุลลอฮ์ รูฮุลลอฮ์ อัล-มูซาวี อัล-โคมัยนี (Ayatullah Ruhullah Al-Musavi al-Khomerni) ในปี 1979 หลังจากประชาชนนับล้านได้ออกมารวมตัวกันในกรุงเตหะราน เมืองหลวงของประเทศ และร่วมกันออกมาใช้โวหารต่อต้านประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้นำของอิหร่านในปัจจุบันกำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอันเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจที่ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบมาจากการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐและพันธมิตรของสหรัฐและความตึงเครียดทางสังคม ที่ส่วนหนึ่งมาจากการเข้าสู่อำนาจของทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐที่เพิ่มความเป็นปรปักษ์กับอิหร่านมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าสถานการณ์ในอิหร่านจะผันแปรหรือเผชิญกับความกดดันอย่างไรก็แล้วแต่ แต่อิหร่านก็ยังคงรักษาเสน่ห์แห่งการปฏิวัติตามแนวทางอิสลามเอาไว้ได้ยาวนานถึง 4 ทศวรรษ และระหว่างขวบปีเหล่านี้อิหร่านได้ผ่านสงคราม 8 ปี (1980-1988) กับอิรักมาแล้ว
แม้จะดูเหมือนว่าในภูมิภาคตะวันออกกลางอิหร่านเกือบจะถูกโดดเดี่ยวและเผชิญกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจ แต่ที่น่าสนใจคืออิหร่านได้เปลี่ยนความท้าทาย เหล่านี้มาเป็นโอกาสอย่างกรณีสงคราม 8 ปี กับอิรักได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในบางภาคส่วนของสังคม เศรษฐกิจและการเมือง
ตัวอย่างเช่นการลงทุนในด้านการศึกษาและการดูแลสุขภาพอนามัยมีผลไปในทางบวกอย่างมาก ตัวอย่างเช่นในปี 2018 อิหร่านกลายเป็นสังคมที่มีคนรู้หนังสือถึงร้อยละ 93 และมากกว่าร้อยละ 60 ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเป็นสตรี การเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และคนส่วนใหญ่ในสังคมได้รับการดูแลด้านการสาธารณสุขเป็นอย่างดี
แม้ว่าสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้จะมีความเข้มแข็งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ลงนามข้อตกลงกับหลายฝ่ายว่าด้วยนิวเคลียร์ในปี 2015 ทั้งนี้ชนชั้นนำในรัฐบาลอิหร่านคาดหมายว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้อิหร่านเข้ามามีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจกับโลกส่วนใหญ่มากกว่าที่เป็นอยู่ รวมทั้งความสัมพันธ์ทางการทูตที่เปลี่ยนไป
ประธานาธิบดีฮัซซัน โรฮานี (Hassan Rouhani) ได้เพิ่มการลงทุนมากขึ้นเพื่อเพิ่มผลผลิตทางเศรษฐกิจ แต่สภาวะคลี่คลาย (de’tente) ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐต้องมาจบลงเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ
ฝ่ายบริหารของสหรัฐได้ยกเลิกข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านและเริ่มการแซงก์ชั่นกับอิหร่านอีกครั้งหลักจากการแซงค์ชั่นดังกล่าวถูกยกเลิกไปในสมัยของโอบามา
นอกจากนี้สหรัฐยังร่วมมือกับคู่ปรปักษ์ของอิหร่านในตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบียเพื่อทำให้ซาอุดีอาระเบียมีอำนาจมากขึ้นในตะวันออกกลางและเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับอิหร่านที่เข้าไปมีบทบาทด้านการต่างประเทศอย่างสำคัญทั้งในอิรักและซีเรีย
ในเวลาเดียวกันอิสราเอลพันธมิตรคู่ใจของสหรัฐและปรปักษ์สำคัญของอิหร่านก็ถล่มที่มั่นของอิหร่านในซีเรียหลายครั้ง แต่อิหร่านก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และเตรียมพร้อมสำหรับการตอบโต้
การประท้วงอันเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศแม้จะจบลงได้โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเข้าไปทำให้การประท้วงยุติลง แต่ก็สร้างผลสะเทือนทางเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง
เกิดขบวนการที่เรียกกันว่า Green Movement ในปี 2009 ตามมาด้วยการประท้วงรัฐบาลในปี 2017 มีการท้าทายข้อกำหนดทางศาสนาโดยสตรีอิหร่าน จนนำไปสู่การจับกุมผู้ประท้วงถึง 7,000 คน
การเข้าแทรกแซงจากประเทศภายนอกอย่างสหรัฐและพันธมิตรอาหรับบางประเทศไม่ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในอิหร่านมากนัก นโยบายที่เป็นปรปักษ์ของสหรัฐที่พยายามดึงพันธมิตรเข้าร่วมต้านอิหร่านทำให้อิหร่านต้องตั้งมั่นและยืนหยัดสู้ต่อไป หลังจาก 40 ปี แห่งการโค่นระบอบชาฮ์ (Shah) แห่งราชวงศ์ปาห์ลาวี ของอิหร่านลงไป ทั้งนี้อิหร่านจะต้องให้ความสำคัญกับเสรีภาพของประชาชนตัวเองและความไม่ลงรอยกับประเทศภายนอกให้มากขึ้น
ในงานเฉลิมฉลอง 40 ปี ของอิหร่านในปี 2019 อิหร่านพยายามให้ประชาชนระลึกถึงวันที่ตัวประกันของสหรัฐในอิหร่านถูกจับกุมและถูกปิดตาอยู่ในสถานทูตสหรัฐ โดยตัวประกันเหล่านี้ต้องถูกคุมขังอยู่นานถึง 444 วันในฐานะจารกรรม ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ความสัมพันธ์สหรัฐที่เคยมีอิทธิพลครอบคลุมสังคมอิหร่านในสมัยของจิมมี่ คาร์เตอร์เปลี่ยนแปลงไปอย่างยากที่จะกลับมาเหมือนเดิมได้
40 ปี แห่งการปฏิวัติเป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบ 40 ปี เมื่อมีการปฏิวัติช็อคโลกในปี 1979 รู้จักกันในนามการปฏิวัติตามแนวทางอิสลาม เป็นการโค่นล้มระบอบการปกครองของชาฮ์ ปาห์ลาวีที่สืบทอดกันมายาวนาน 2,500 ปี จากชายชราผู้ทรงอิทธิพล ซึ่งเรียกกันตามเกียรติที่ได้รับว่า ซัยยิด อายะตุลลอฮ์ รุหุลลอฮ์ อัล มูซาวี อัล-โคมัยนี ชายสูงวัยที่ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในอิหร่านได้สำเร็จในปี 1979 ในวัยที่เขามีอายุ 79 ปีพอดี
เมื่อ 40 ปีก่อนที่ผ่านมาท้องถนนของอิหร่านล้วนเต็มไปด้วยผู้คนนับล้านที่มาร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จในการปฏิวัติ อีกเดือนหนึ่งต่อมาภาพของตัวประกันสหรัฐที่ถูกจับเป็นตัวประกันในฐานะจารกรรมได้ถูกเผยแพร่ออกสู่สายตาผู้คนจำนวนมาก ซึ่งไม่ทำให้ประวัติศาสตร์ของอิหร่านเปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนรูปภูมิภาคนี้ไปตลอดกาล โดยเฉพาะการก้าวพ้นจากอิทธิพลของสหรัฐ
การเฉลิมฉลองการปฏิวัติตามแนวทางอิสลามมีขึ้นทุกปีในวันที่ 1 ของเดือนกุมภาพันธ์ อันเป็นวันที่อายะตุลลอฮ์ โคมัยนีเดินทางกลับจากฝรั่งเศสมายังกรุงเตหะรานเมืองหลวงของอิหร่าน หลังจากต้องลี้ภัยอยู่ในประเทศนี้ยาวนานถึง 14 ปีก่อนที่จะกลายมาเป็นผู้นำการปฏิวัติตามแนวทางอิสลาม ซึ่งนักคิดทางสังคมและการเมืองของฝรั่งเศสอย่างมิเชล ฟูโกล์ เรียกการปฏิวัตินี้ว่าเป็นการแตกออกของดวงวิญญาณใหม่
10 วัน ของการเฉลิมฉลองนี้รู้จักกันดีในชื่อสิบวันแห่งรุ่งอรุณ (Ten Days of Dawn) ซึ่งจะจบลงในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ อันเป็นวันที่ชาฮ์ มุฮัมมัด เรซา (ริฏอ) ปาห์ลาวี (Shah Muhammad Reza Pahlavi) และรัฐบาลของเขาต้องล่มสลายไปหลังจากมีการปะทะกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ ระหว่างเจ้าหน้าที่และนักต่อสู้ฝ่ายปฏิวัติท่ามกลางการประท้วงที่มีอยู่ทั่วประเทศ
จากส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองจะพบว่าตึกรามบ้านช่อง สถาบันและที่ทำงานต่างๆ จะประดับด้วยธงชาติที่ประกอบไปด้วยสีเขียว-ขาวและแดง ในขณะที่ตามท้องถนนจะเต็มไปด้วยดวงไฟที่ประดับประดาอยู่ทั่วไป
เพื่อระลึกถึงการกลับมาจากฝรั่งเศสของอายะตุลลฮ์ โคมัยนี ผู้ขับขี่รถอยู่ตามท้องถนนต่างก็เปิดไฟและบีบแตรการเฉลิมฉลองของพวกเขา ในขณะที่บนท้องฟ้าเฮลิคอปเตอร์ได้โปรยปราย ดอกไม้ลงมาตลอดเส้นทาง 21 ไมล์ จากสนามบินไปยังสุสาน เบฮิสตี ซาเราะฮ์ (Behesht-e-Zahra) ที่อยู่ทางใต้ของกรุงเตหะราน ซึ่งที่นี้อายะตุลลอฮ์โคมัยนีได้กล่าวสุนทรพจน์กับประชาชนเป็นครั้งแรก และที่นี่เป็นที่ที่เรือนร่างของบิดาแห่งการปฏิวัติตามแนวทางของอิหร่านได้ฝังร่างลงบนพื้นปฐพีของแผ่นดินแม่ของเขา
เจ้าหน้าที่ของอิหร่าน รวมทั้งผู้นำทางจิตวิญญาณสูงสุด อายะตุลลอฮ์ อะลี คอเมเนอี ประธานาธิบดี ฮัซซัน โรฮานี ต่างก็มาเยือนหลุมฝังศพของอายะตุลลอฮ์-โคมัยนี เพื่อแสดงให้เห็นความเคารพต่ออิหม่ามโคมัยนีอย่างต่อเนื่องและตลอดไป