INEWHORIZON

ขอบฟ้าใหม่

เคนเนธ ไอเวอร์สัน : แอนดูรว์ คาร์เนกีคนที่สองของอุตสาหกรรมเหล็ก

เคนเนธ ไอเวอร์สัน : แอนดูรว์ คาร์เนกีคนที่สองของอุตสาหกรรมเหล็ก

ภายในศตวรรษที่สิบเก้า ระยะเริ่มแรกของการผลิตเหล็ก คนงานจะทั้งมีความยากจนและสภาวะการทำงานที่อันตราย คนงานเหล็กของแอนดรูว์ คาร์เนกี้ จะเป็นตัวอย่างของสิ่งเหล่านี้ภายในช่วงเวลานี้ คนงานทำงานหนักสิบสองชั่วโมงต่อกะ เจ็ดวันต่อสัปดาห์ และได้รับวันหยุดหนึ่งวันต่อปีเท่านั้น – วันที่ 4 กรกฎาคม คนงานเหล็กจะถูกปฏิบัติเหมือนกัับแรงงานทางเกษตรและได้รับรายได้เหมือนกับชาวไร่ ดังนั้นมันไม่น่าประหลาดใจที่คนงานเหล็กทั่วไประหว่างต้น ค.ศ 1900 ได้เริ่มต้นที่จะนัดหยุดงาน
บุคคลหลายคนภายในโลกของห้องสมุดจะคิดถึงแอนดูรว์ คาร์เนกี้ ในแง่ของห้องสมุดสาธารณะจำนวนมากที่ถูกสร้างจากความมั่งคั่งของเขา แต่กระนั้นชายคนนี้คือใคร
แอนดูรว์ คาร์เนกี้จะเป็นนักอุตสาหกรรมชาวสก็อต – อเมริกัน เขาได้นำการขยายตัวของอุตสากรรมเหล็กอเมริกันเมื่อปลายศตวรรษที่สิบเก้า และได้กลายเป็นชาวอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งภายในประวัติศาสตร์
รถไฟต้องการเหล็กเพื่อรางและตู้รถของพวกเขา กองทัพเรือต้องการเหล็กเพื่อกองเรือใหม่ของพวกเขา และเมืองต้องการเหล็กที่จะสร้างตึกระฟ้า โรงงานทุกโรงภายในอเมริกาต้องการเหล็กเพื่อที่จะสร้างโรงงานและเครื่องจักรของพวกเขา แอนดูรว์ คาร์เนกี ได้มองเห็นอุปสงค์เหล่านี้และยึดฉวยโอกาสเหล่านี้
ทำนองเดียวกับจอห์น รอคกี้เฟลเลอร์ แอนดูรว์ คาร์เนกี ไม่ได้เกิดมากับความร่ำรวย เมื่อเขาอายุ 13 ปี ครอบครัวของเขาจากสก็อตแลนด์ มาสู่อเมริกา และตั้งหลักอยู่ที่อัลเลกเฮนี่ เพนซิลวาเนีย เมืองเล็กอยู่ใกล้พิตต์เบิรก งานอย่างแรกของเขาเมื่ออายุสิบสามปีจะอยู่ภายในโรงงานฝ้ายพิตต์เบิรก เด็กหลอดด้าย เขาจะนำหลอดด้ายไปให้คนงานภายในห้องทอ เขาจะทำงานตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ
และได้รายได้ 1.20 เหรียญต่อสัปดาห์ ปีต่อมาเขาได้ถูกว่าจ้างเป็นผู้ส่งข่าวสารแก่บริษัทโทรเลขท้องที่ เขาได้สอนตัวเขาเองที่จะใช้อุปกรณ์อย่างไร และได้ถูกเลือนตำแหน่งเป็นผู้ส่งโทรเลข ด้วยทักษะนี้ เขาได้มาทำงานกับเพนซิลวาเนีย เรลโรด และได้ก้าวไปสู่ตำแหน่งผู้จัดการแผนกของเพนซิลวาเนีย เรลโรดเมื่ออายุ 24 ปี – ในขณะทำงานอยู่ที่รถไฟ เขาได้ลงทุนภายในธุรกิจหลายอย่างรวมทั้งบริษัทเหล็กและน้ำมัน และได้สร้างความสำเร็จครั้งแรกเมื่อเขามีอายุสามสิบปี เขาได้เข้าไปสู่ธุรกิจเหล็ก แอนดูรว์ คาร์เนกี้ จะเป็นตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ของนักอุตสาหกรรมชาวอเมริกันที่ได้สร้างโชคลาภอย่างใหญ่หลวงภายในบริษัทเหล็กด้วยการผูกขาด เขาจะมาจาก “ยาจกกลายเป็นเศรษฐี” ภายในช่วงเวลาที่สั้น
เมื่อแอนดูรว์ คาร์เนกี มีอายุ 30 ปี เขาได้มีโชคลาภครั้งแรกด้วยการเข้าไปสู่ธุรกิจเหล็ก
เมื่อต้น คฺ ศ 1870 แอนดูรว์ คาร์เนกี้ ผู้ก่อตั้งโรงงานเหล็กแห่งแรกของเขา ใกล้พิตต์เบิรก ไม่กี่ศตวรรษต่อมา เขาได้สร้างอาณาจักรเหล็ก การทำกำไรสูงสุดและลดการขาดประสิทธิภาพให้ต่ำที่สุดด้วยความเป็นเจ้าของโรงวาน วัตถุดิบ และโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งเกี่ยวพันกับการผลิตเหล็ก เมื่อ ค.ศ 1892 การถือครองของเขาได้ถูกรวมกันที่จะสร้างคาร์เนกี สตีล คอมพานี ขึ้นมา และสองทศวรรษต่อมาได้กลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ภายในอุตสาหกรรม เมื่อ ค.ศ 1901 เขาได้ขายคาร์เนกี้ สตีล คอมพานี แก่นายธนาคาร เจ พี มอร์แกน มูลค่า 480 ล้านเหรียญ และได้กลายเป็น ยู. เอส. สตีล คอรปอเรชั่น ภายหลังจากการขายคาร์เนกี สตีล แล้ว เขาได้นำหน้าจอห์น รอคกี้เฟลเลอร์ ในฐานะชาวอเมริกันร่ำรวยที่สุดนานหลายปี
แอนดูรว์ คาร์เนกี้ได้ใช้ทั้งการรวมธุรกิจตรสแนวดิ่งและการรวมธุรกิจตามแนวนอน ภายในช่วงเวลาของการเป็นอุตสาหกรรม ตลอดประว้ติศาสตร์บุคคลหลายคนได้ใช้วิถีทางที่ยุติธรรมปรับปรุงชีวิตของพวกเขาให้เหนือกว่าบุคคลอื่น ภายในปลายศตวรรษที่สิบแปดและต้นศตวรรษที่สิบเก้า การใช้การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งจะเป็นที่นิยมแพร่หลาย และได้ใช้โดยเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ แอนดูรว์ คาร์เนกี้ ได้ควบคุมอาณาจักรเหล็กภายในอเมริกา เขาจะควบคุมส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมเหล็กมากกว่าบุคคลใดทุกคนก่อนหน้านี้ แอนดูรว์ คาร์เนกี ได้พัฒนาวิถีทางที่จะผลิตเหล็กจำนวนมากและลดต้นทุนให้ต่ำกว่าปรกติ นอกจากนี้แอนดูรว์ คาร์เนกี้ได้รุกคืบไปข้างหน้าด้วยการวมธุรกิจตามแนวดิ่งที่ทำให้ธุรกิจเหล็กของเขากลายเป็นการผูกขาดที่ใหญ่ที่สุดภายในโลก
แอนดูรว์ คาร์เนกี ไม่ได้เกษียณอายุ 35 ปี ตามที่เขาได้วางแผนไว้ เขาได้เจริญเติบโตอิทธิพลของเขาอย่างต่อเนื่องภายในอุตสาหกรรมเหล็กนานกว่าสามทศวรรษ เขาได้เปิดโรงงาน
แห่งแรกของเขาเมื่อ ค.ศ 1875 ซื้อบริษัทเหล็กคู่แข่งขัน โฮมสเตด สตีล เวิรคส์ เมื่อ ค.ศ 1883 และสร้างคาร์เนกี สตีล คอมพานี เมื่อ ค.ศ 1892
ภายใต้การใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รวมทั้งกระบวนการเบสเซเมอร์ และการรวมธุรกิจตามแนวดิ่ง แอนดูรว์ คาร์เนกี ได้สร้างอาณาจักรเหล็กที่ใหญ่ที่สุดภายในประวัติศาสตร์อเมริกัน ในที่สุดเมื่อเขาได้ขายบริษัทของเขาแก่จอห์น เพียร์พอนท์ มอร์แกน มันจะเป็นการขายบริษัทที่ใหญ่ที่สุดภายในประวัติศาสตร์อเมริก้น – 480 ล้านเหรัยญ หุ้นของแอนดูรว์ คาร์เนกีจะมีมูลค่ามากกว่า 225 ล้านเหรียญ
เพื่อที่จะเริ่มเดินทางบริษัทของเขา แอนดูรว์ คาร์เนกี ได้สร้างโรงงานเหล็กที่ทันสมัย ดังนั้นเขาสามารถผลิตเหล็กได้อย่างรวดเร็ว และเข้าไปควบคุมเหมืองแร่เหล็กและเหมืองถ่านหิน วัตถุดิบที่ถูกใช้ภายในการผลิตเหล็ก และในที่สุดเขาได้ซื้อรถไฟและบริษัทรับขนสินค้าที่ได้ถูกใช้ขนส่งแร่เหล็กและถ่านหินจากเหมืองแร่ไปยังโรงงาน
กระบวนการของเขาจะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการเพื่อการผลิตเหล็ก
แอนดูรว์ คาร์เนกี สามารที่จะผลิตเหล็กได้รวดเร็วมากขึ้นและราคาถูกกว่า บริษัทอื่นไม่สามารถจะแข่งขันและต้องออกไปจากธุรกิจ การปล่อยให้แอนดูรว์ คาร์เนกีิ อยู่บนสุดของอุตสาหกรรมเหล็กภายในอเมริกาและส่วนหนึ่งของโลก บริ็ษัทเหล็กของแอนดรูว์ คาร์เนกีได้ถูกมองว่าเป็นการผูกขาด เนื่องจากเขาสามารถเพิ่มคุณภาพของเหล็กในขณะที่ลดราคาของเหล็กด้วยการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การ
กระทำนี้ เขาได้สร้างการผูกขาดทางแนวดิ่งภายในอุตสาหกรรมเหล็ก การผูกขาดผ่านทางการรวมธุรกิจตามแนวดิ่งจะเรียกว่าการผูกขาดตามแนวดิ่ง
การผูกขาดตามแนวดิ่งเมื่อเราได้ลดต้นทุนการขนส่ง และนั่นคือสิ่งที่แอนดูรว์ คาร์เนกีได้ทำ เขาได้ควบคุมทุกระดับที่เกี่ยวข้องภายในการผลิตเหล็กจากวัตถุดิบ การขนส่ง และการผลิต ไปสู่การจัดจำหน่ายและการเงิน
แอนดูรว์ คาร์เนกีได้กลายเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยเพราะว่ายุทธวิธีทางธุรกิจที่ฉลาด จอห์น รอคกี้เฟลเล่อร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทน้ำมัน สแตนดาร์ด ออย
มักจะซื้อบริษัทน้ำมันอื่นที่จะกำจัดการแข่งขัน นี่จะเป็นกระบวนการที่เรียกว่าการรวมธุรกิจตามแนวนอน ครั้งหนึ่งจอห์น รอคกี้เฟลเล่อรได้ซื้อหุ้นส่วนของเขาที่จะควบคุมสแตนดาร์ด ออย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาได้ใช้ทั้งการรวมธุรกิจตามแนวดิ่งและการรวมธุรกิจตามแนวนอนที่จะขยายธุรกิจ เขาได้เจริญเติบโตตามแนวนอนด้วยการซื้อโรงกลั่นน้ำมันของคู่แข่งขัน และตามแนวดิ่งด้วยการซื้อธุรกิจต้นน้ำและปลายน้ำ เมื่อบริษัทของเขาได้กลายเป็นใหญ่ที่สุดภายในอุตสาหกรรม เขาได้สมรู้ร่วมคิดกับรถไฟที่จะยึดการผูกขาดของเขา ต่อไปอีก และปิดประตูคู่แข่งขันรายอื่น นี่จะเป็นพฤติกรรมต่อต้านการแข่งขันในที่สุดเขาได้ถูกบังคับให้แตกบริษัท แต่ต่อจากนั้นมาเราทุกคนจะรู้กันว่ารอคกี้ เฟลเลอร์ ได้กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยมาก การรวมธุรกิจตามแนวนอนได้ถูกสร้างชื่อเสียงโดยสแตนดาร์ด ออย คอมพานี ของจอห์น รอคกี้เฟลเลอร์
จอห์น รอคกี้เฟลเลอร์ จะเป็นนักอุตสาหกรรม และผู้ก่อตั้งสแตนดาร์ด ออย เกิดภายในนิวยอร์ค เขาได้ถูกฝึกอบรมเป็นักบัญชี แต่เข้าสู่ธุรกิจน้ำมันไม่นานภายหลังจากการค้นพบ่อน้ำมันที่ทิทัชวิลล์ เพนซิลวาเนีย โดยเอ็ดวิน เดรค
เมื่อ ค.ศ 1869 เขาได้ก่อตั้งสแตนดาร์ด ออย คอมพานี และภายใน 15 ปี สแตนดาร์ด ออย ได้ควบคุมเกือบจะผูกขาดอุตสาหกรรมน้ำมันอเมริกัน การกลั่นน้ำมัน 90% ของน้ำมันของประเทศ จอห์น รอคกี้เฟลเล่อร์ ได้ใช้กลยุทธ์ของการสร้างการผูกขาดเสมือนจริง ขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการผลิต – การกลั่นน้ำมัน ได้ถูกเรียกว่าการรวมธุรกิจตามแนวนอน เพื่อที่จะกำจัดคู่แข่งขันของเขา รอคกี้ เฟลเลอร์ ได้ใช้ขนาดที่เหนือกว่าของบริษัทที่จะเจรจาต่อรองอัตราพิเศษจากรถไฟที่ขนส่งทั้งน้ำมันของเขาและคู่แข่งขัน การทำให้คู่แข่งขันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ภายในธุรกิจ
จอห์น รอคกี้เฟลเลอร์ รู้ว่าเพื่อที่จะนำเสนอราคาต่ำที่สุด เขาไม่เพียงแต่จะต้องการกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเท่านั้น แต่จะต้องมีเครือข่ายซัพพลายเออร์ที่มีต้นทุนต่ำด้วย ภายใต้ข้อพิจารณานี้ สแตนดาร์ด ออยจะเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงกับการใช้กลยุทธ์เรียกว่า การรวมธุรกิจตามแนวดิ่ง ด้วยการรวมธุรกิจตามแนวดิ่ง บริษัทจะเป็นเจ้าของลูกโซ่อุปทานของพวกเขาเอง เครือข่ายของซัพพลายเออร์ที่จัดหาวัตถุดิบ จอห์น รอคกี้เฟลเลอร์ได้ใช้การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งที่จะช่วยลดต้นทุน ตัวอย่างเช่น เขาจะว่าจ้างช่างวางท่อของเขาเอง และลดต้นทุนแรงงานได้เกือบครึ่งหนึ่ง คูเปอร์จะกำหนดราคาถังไม้ 2.50 เหรียญต่อถัง
จอห์น รอคกี้เฟลเลอร์ ได้ลดราคาลงเป็น 96 เซ็นต์ เมื่อเขาได้ซื้อพื้นที่ไม้โอ้คของเขาเอง
เตาเผาของเขาเองที่จะอบไม้ และเกวียนและม้าของเขาเองที่จะลากมันไปยังคลีฟแลนด์ เขาได้สร้างถังไม้ ติดกาวมัน และทาสีน้ำเงิน
แอนดูรว์ คาร์เนกี้ได้สร้างการรวมธุรกิจทางแนวดิ่ง ความคิดที่ถูกดำเนินการครั้งแรกโดยกัสทาวูส สวิฟท์ เขาได้ซื้อบริษัทรถไฟและเหมืองแร่เหล็ก ถ้าเขาเป็นเจ้าของรถไฟและเหมืองแร่เหล็ก เขาสามารถลดต้นทุนของเขาและผลิตเหล็กราคาถูกกว่าได้ แอนดูรว์ คาร์เนกี้ได้ใช้การรวมธุรกิจทางแนวดิ่งที่จะยึดครองตลาดเหล็กด้วยคาร์เนกี้ สตีลของเขา มันทำให้เขาสามารถลดราคาและเจริญเติบโตการยึดครองภายในตลาดได้ ปัจจุบันนี้นี่จะถูกมองว่า
เป็นการผูกขาดตามแนวดิ่งและผิดกฏหมายห้ามการผูกขาด แอนดูรว์ คาร์เนกี ได้ขายบริษัทเหล็กของเขา คาร์เนกี สตีล แก่ เจ พี มอร์แกน 480 ล้านเหรียญ
เมื่อ ค.ศ 1901 ความมั่งคั่งสูงสุดส่วนบุคคลของแอนดูรว์ คาร์เนกีจะประมาณ 380 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 309 พันล้านเหรียญตามมาตรฐานปัจจุบันนี้
ต่อจากนั้นเขาได้ทุ่มเทตัวเขาเองแก่การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
แอนดูรว์ คาร์เนกี มีอายุ 66 ปี เมื่อเขาได้ขายบริษัทของเขา
เขาได้กลายเป็นผู้ใจบุญแนวหน้าคนหนึ่งภายในอเมริกาและอังกฤษ ภายในข้อเขียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา The Gospel of Wealth แอนดูรว์ คาร์เนกี ได้กล่าวว่า บุคคลที่ตายด้วยความร่ำรวย ตายอย่างไร้ศักดิ์ศรี และเขาได้ใช้ส่วนที่เหลืออยู่ของชีวิตต่อการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
ตั่งแต่ ค.ศ 1901 จนกระทั่งการเสียชีวิตของเขาเมื่อ ค.ศ 1919
แอนดูรว์ คาร์เนกี ได้จัดสรรเงิน 350 ล้านเหรียญแก่โรงเรียน ห้องสมุด มหาวิทยาลัย และงานสาธารณะ ภายในโลกที่พูดภาษาอังกฤษ เขาเชื่อว่าวิถีทางที่ดีที่สุดที่จะใช้สิ่งที่เขาเรียกว่า
ความมั่งคั่งที่ล้นเหลือเพื่อสันติภาพโลก ศิลปะ และการศึกษา
เขาได้ให้เงิน 350 ล้านเหียญ – ประมาณ 65 พันล้านเหรียญ ค.ศ 2019 แก่การกุศล มูลนิธิ และมหาวิทยาลัย เกือบ 90% ของมั่งคั่งของเขา บทความ 1889 “The Gospel of Wealth ” ได้เรียกร้องบุคคลที่ร่ำรวยที่จะใช้ความมั่งคั่งของพวกเขาปรับปรุงสังคม และกระตุ้นกระแสของการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ บุคคลที่ร่ำรวยควรจะมีข้อผูกพันทางศีลธรรมที่จะจัดสรรเงินของพวกเขาภายในวิถีทางที่ส่งเสริมสวัสดิการและความสุขของสามัญชน ภายใต้กิจกรรมทางเพื่อนมนุษย์ของเขา คาร์เนกี้ ได้ให้เงินเพื่อการสร้างห้องสมุดสาธารณะมากกว่า 2,500 แห่งทั่วโลก บริจาคออร์แกนมากกว่า 7,600 เครื่องแก่โบสถ์ทั่วโลก

และให้เงินทุนแก่องค์การเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การศึกษา และสันติภาพโลก เขาได้บริจาคเงิน 1.1 ล้านเหรียญเพื่อเป็นต้นทุนของที่ดินและการก่อสร้างคาร์เนกี้ ฮอลล์ สถานที่จัดคอนเสิรตตำนานของเมืองนิวยอร์คเปิดเมื่อ ค.ศ 1891
สถาบันคาร์เนกี้เพื่อวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอน และมูลนิธิ คาร์เนกี้ ได้ถูกสร้างจากการบริจาคเงินของเขา
ผู้มีอิทธิพลแห่งเหล็กได้พิจารณาตัวเขาเองว่าเป็นผู้ได้ชัยชนะของบุคคลทำงาน แต่กระนั้นชื่อเสียงของเขาได้เสียหายจากความรุนแรงของ “โฮมสเตด สไตรค์”
การนัดหยุดงาน ณ โรงงานเหล็กโฮมสเตด เพนซิลวาเนีย ของเขา ภายหลังจากที่คนงานของสหภาพได้ประท้วงการลดค่าจ้าง ผู้จัดการทั่วไปของสตีล
คาร์เนกี้ เฮนรี่ ฟลิค ได้ตัดสินใจที่จะแตกหักกับสหภาพ และปิดประตูโรงงานไม่ให้คนงานเข้ามา แอนดูรว์ คาร์เนกี้ ได้ไปพักผ่อนที่สก็อตแลนด์ระหว่างการนัดหยุดงาน แต่ได้ให้ความสนับสนุนของแก่เฮนรี ฟริค เฮนรี ฟริคได้ใช้ยามติดอาวุธป้องกันโรงงาน การต่อสู้นองเลือดได้เกิดขึ้นระหว่างคนงานที่นัดหยุดงานและยาม เราจะมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยที่สุดสิบคน
ภายหลังจากปีแห่งการนัดหยุดงาน สหภาพได้ถูกก่อตั้งภายในอุตสาหกรรมเหล็ก สภาวะการทำงานได้เริ่มต้นปรับปรุงที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากจาก ค.ศ 1880 ถึงปลาย ค.ศ 1960 แม้ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางบวก บริษัทยังคงต่อสู้ที่จะได้ประสิทธิภาพมากที่สุดจากกำลังงานของพวกเขา โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาจะต้องแข่งขันกับผู้ผลิตเหล็กต้นทุนต่ำต่างประเทศ
เมื่อ ค.ศ 1872 แอนดรูว์ คาร์เนกี้ ได้ไปเยี่ยมโรงงานแห่งหนึ่งภายในอังกฤษ
ที่กำลังใช้วิธีการของเบสเซเมอร์ และเขาได้รับรู้โอกาสของการผลิตเหล็กคุณภาพอย่างเดียวกันภายในอเมริกา แอนดูรส์ คาร์เนกี้ ได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับการผลิตเหล็ก และได้เริ่มต้นการใช้กระบวนการเบสเซเมอร์
ณ โรงงานของเขาภายในอเมริกา แอนดูรว์ คาร์เนกี จะมีความเชื่อมั่นว่าเหล็ก
จะเป็นผลิตภัณฑ์แห่งอนาคต และช่วงเวลาจะดีที่สุด เมื่ออเมริกาได้กลายเป็นอุตสาหกรรม การสร้างโรงงาน อาคาร และสะพานจะต้องการเหล็ก เขาได้สร้างตัวเขาเองภายในธุรกิจเหล็ก ด้วยการใช้เงินของเขา เขาได้สร้างบริษัท
เมื่อ ค.ศ 1873 ที่จะผลิตรางเหล็กโดยใช้กระบวนการเบสเซเมอร์ แม้ว่าประเทศจะอยู่ภายในการถดถอยทางเศรษฐกิจ แต่แอนดรูว์ คาร์เนกี
ได้เจริญรุ่งเรือง เขาจะเป็นนักธุรกิจที่เข้มแข็ง กำจัดคู่แข่งขัน และสามารถขยายธุรกิจ จนถึงจุดที่เขากำหนดราคาได้ เขาได้รักษาการลงทุนใหม่ภายในบริษัทของเขาเอง เขาไม่เคยขายหุ้นต่อประชาชน เขาจะควบคุมทุกด้านของธุรกิจ และเขาทำมันด้วยสายตาที่คลั่งไคล้เพื่อรายละเอียด
เมื่อ ค.ศ 1880 แอนดูรว์ คาร์เนกี ได้ซื้อบริษัทของเฮนรี่ ฟลิค ที่เป็นเจ้าของ
เหมืองถ่านหิน และโรงงานเหล็กภายในโฮมสเตด เพนซิลวาเนีย เฮนรี่ ฟลิค และแอนดูรว์ คาร์เนกี ได้กลายหุ้นส่วนกัน เมื่อแอนดรูว์ คาร์เนกี ได้เริ่มต้นใช้ครึ่งหนึ่งของทุกปี ณ อสังหาริมทรัพย์ ภายในสก็อตแลนด์ เฮนรี่ิ ฟลิค จะอยู่ที่พิตต์เบิรก บริหารงานประจำวันของบริษัท
แอนดูรว์ คาร์เนกี ได้เริ่มต้นเผชิญปัญหาบางอย่างเมื่อ ค.ศ 1890 การควบคุมของรัฐบาลที่ไม่เคยเป็นปัญหา ได้รุนแรงขึ้นเมื่อนักปฎิรูปได้พยายามเข้มแข็งขึ้นที่จะตัดความมากเกินไปของนักธุรกิจที่รู้จักกันว่า “รอบเบอร์ บารอน” ขุนนางนักปล้น การนัดหยุดงานของสหภาพ ณ โรงงานเหล็กแห่งหนึ่งที่แอนดรูว์ คาร์เนกีืเป็นเจ้าของ จะอยู่ภายในโฮมสเตด เพนซิลวาเนีย เราจะมีสหภาพที่เข้มแข็งปรากฏตัวทั้งภายในโรงงานเหล็กและชุมชน แอนดรูว์ คาร์เนกี ได้พูดมาหลายปี ว่าเขาเห็นด้วยกับสิทธิของคนงานที่จะก่อตั้งสหภาพและถูกปฏิบัติอย่างยุติธรรม แต่กระนั้นเมื่อคนงาน ณ โรงงานโฮมสเตด ได้ถูกบังคับให้ยอมรับค่าจ้างที่ต่ำ ได้ทำการนัดหยุดงาน แอนดูรว์ คาร์เนกี จะอยู่ที่สก็อต
แลนด์ และปล่อยให้ผู้จัดการโรงงาน เฮนรี ฟลิค ของเขารับผิดชอบ เฮนรี่ ฟลิค ได้ปิดประตูไม่ให้คนงานที่นัดหยุดงานเข้ามา และจ้างยามติดอาวุธที่จะป้องกันโรงงาน เมื่อยามมาถึงโรงงาน พวกเขาได้ยิงโต้ตอบกัน จนคนงานเสียชีวิตเก้าคน และยามเสียชีวิตสามคน แม้ว่าแอนดรูว คาร์เนกี ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวโดยตรงภายในเหตุการณ์ที่รุนแรงนี้ บุคคลหลายคนได้ตำหนิเขา และเขาได้ใช้ส่วนที่เหลือของชีวิต แสดงความเสียใจต่อโอกาสที่น่าเศร้านี้

สะพานเหล็กจะมีชื่อเสียงไม่ดีกับการพังทลาย แต่เมื่อ ค.ศ 1872 แอนดรูว์ คาร์เนกี้ ได้ไปเยี่ยมโรงงานแห่งหนึ่งภายในอังกฤษที่กำลังใช้วิธีการของเบสเซเมอร์ และเขาได้รับรู้โอกาสของการผลิตเหล็กคุณภาพอย่างเดียวกันภายในอเมริกา แอนดูรว์ คาร์เนกี้ ได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับการผลิตเหล็ก เขาได้พบกับเฮนรี่ เบสเซเมอร์ ที่ได้พัฒนากระบวนการอุตสาหกรรมเพื่อการเปลี่ยนแร่เหล็กให้เหล็กเกรดสูง และเขาได้นำกระบวนการเบสเซเมอร์กลับมาที่อเมริกาเมื่อ ค.ศ 1870
และได้เริ่มต้นการใช้กระบวนการเบสเซเมอร์ ณ โรงงานของเขาภายในอเมริกา
นวัตกรรมนี้ได้ทำให้เขาสามารถที่จะผลิตเหล็กจำนวนมาก คุณภาพสูง และต้นทุนต่ำ เขาได้ขายแก่รถไฟเพื่อการสร้างสะพานและรางรถ เขาได้รวมธุรกิจตามแนวดิ่งด้วยการซื้อการผลิตถ่านหินเพื่อเตาเผาเบสเซเมอร์ของเขา
ผลิตเหล็ก และได้ใช้เหล็กสร้างและขายผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตั้งแต่สะพานไปจนถึงเรือยนต์ใหญ่ ในขณะเดียวกันเขาได้ใช้การรวมธุรกิจตามแนวนอน การนำธุรกิจที่หลากหลายรวมเข้่าด้วยกันภายในบริษัทเดียวที่รวมอำนาจ คาร์เนกี้ สตีล คอมพานี
กระบวนกาเบสเซเมอร์ จะเป็นวิธีการอย่างแรกของการผลิตเหล็กคุณภาพสูงราคาถูก และจำนวนมาก มันจะเป็นชื่อของนักคิดค้นชาวอังกฤษ
เฮนรี่ เบสเชเมอร์ ที่ได้พัฒนากระบวนการเมื่อ ค.ศ 1850 ในขณะที่เฮนรี่ เบสเซเมอร์ กำลังทำงานอยู่กับกระบวนการของเขาภายในอังกฤษ วิลเลี่ยม เคลลี่ ชาวอเมริกัน ได้พัฒนากระบวนการที่ใช้หลักการอย่างเดียวกันที่เขาได้จดสิทธิบัตรไว้เมื่อ ค.ศ 1850 กระบวนการเบสเซเมอรได้เริ่มต้นการปฏิรูปอุตสาหกรรมเหล็กจากโลหะที่หรูหราให้เป็นวัตถุธรรมดาที่มองเห็นได้ภายในผลิตภัณฑ์และโครงสร้างจำนวนมาก และได้กลายเป็นเสาหลักหนึ่งของการปฏิวัติอุตสาหกรรม เมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่สิบเก้า กระบวนการเบสเซเมอร์ได้มีการผลิตเหล็กสิบล้านตันจากจากไม่กี่ล้านตัน ทำให้เกิดการสร้างโลกสมัยใหม่
สินค้าเพื่อการบริโภคจำนวนมากได้เริ่มต้นที่จะผลิตจากเหล็ก เหล็กได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของตึกระฟ้าจำนวนมากที่ยึดครองเส้นขอบฟ้าของเมืองสะพานและรางรถไฟได้ขยายและกลายเป็นเข้มแข็งมากขึ้นจากเหล็ก เหล็กจำนวนมากและราคาถูกได้ถูกทำให้เป็นไปได้จากกระบวนการของเฮนรี่ เบสเซเมอร์
ภาบในช่วงหนึ่งของชีวิต แอนดูรว์ คาร์เนกี้ได้ตกต่ำลงมาจากเพื่อนร่วมงานทางธุรกิจที่ยาวนาน เฮนรี่ ฟลิค นักอุตสาหกรรม เมื่อ
เฮนรี่ ฟลิคไม่ทำตามคำแนะนำของเขา ด้วยการใช้ยามติดอาวุูธจากสำนักงานนักสืบพิงเคอร์ตันต่อสู้กับการนัดหยุดงานเมื่อ ค.ศ 1892 การสูญเสียชีวิตของคนงานได้สร้างรอยเปื้อนแก่ชื่อเสียงในฐานะของนักธุรกิจที่มีจริยธรรม ในขณะที่เขาจะต้องสนับสนุนเฮนรี่ ฟลิคอย่างเปิดเผย และได้นำเขาไปสู่การซื้อหุ้นของเฮนรี่ ฟลิคภายในธุรกิจ
แอนดูรว์ คาร์เนกี และเฮนรี ฟลิค ได้เป็นหุ้นส่วนใกล้ชิดนานกว่าทศวรรษ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ละลายไป เมื่อแอนดูรว์ คาร์เนกี้ได้ปล่อยให้เฮนรี่ฟลิค จัดการการนัดหยุดงานของคนงาน ณ โรงงานเหล็กของเขาภายในโอม
สเตด เพนซิลวาเนีย เฮนรี ฟริค ผู้ต่อต้านสหภาพ ได้จ้างยามติดอาวุูธ การสร้างการเผชิญหน้าที่รุนแรงที่ฆ่าบุคคลไป 14 คน ชึ่อเสียงของแอนดูรว์ คาร์เนกี ได้ถูกทำลายไป ดังนั้นแอนดูรว์ คาเนกี้ได้กำจัดเเฮนรี่ ฟลิคออกไปจากบริษัท
เฮนรี่ ฟลิคได้กล่าวแก่แอนดรูว์ คาร์เนกี ภายในการประชุมครั้งสุดท้ายของพวกเขาเมื่อ ค.ศ 1900 ก่อนหน้าที่เจ. พี. มอร์แกน ได้ซื้อ คาร์เนกี้ สตีล “ผมได้ถูกชักจูงนานหลายปีว่าเราจะไม่มีกระดูกที่ซื่อสัตย์ภายในร่างกายของเรา ในขณะนี้ผมรู้ว่าคุณคือโจร”
เมื่อ ค.ศ 1980 บริษัทผู้ถือหุ้นเหล็กของเจมส์ เพียรพอยท์ มอรแกน – เจพี
ได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แอนดูรว์ คาร์เนกี้มองว่านายธนาคารที่มั่งคั่งจะเป็นคู่แข่งขันที่สำคัญ เมื่อศตวรรษที่ยี่สิบได้เริ่มต้น แอนดูร์ คาร์เนกี้ได้ประเมินทางเลือกของเขา : แข่งขันหรือไม่แข่งขัน ด้วยความต้องการที่จะเกษียณ เขาได้เลือกที่จะไม่แข่งขัน แต่ได้นำเสนอที่จะขายแก่ เจ.พี.มอรแกน อยู่ที่ว่าแอนดรูว์ คาร์เนกี้ควรจะเขียน
ราคาขายบนกระดาษและยื่นให้เจมส์ มอร์แกน หรือเขาจะขอให้เจมส์ มอร์แกนเขียนราคาขายบนกระดาษและยื่นให้เขา ไม่ว่่าจะเป็นวิถีทางไหนธุรกรรมที่เกิดขึ้นจะเกือบ 500 ล้านเหียญ – มากกว่า 13 พันล้านเหรียญในปัจจุบันนี้
เมื่อการตกต่ำทางเศรษฐกิจได้บรรเทาลงภายในปลาย ค.ศ 1980 เจมส์ มอร์แกนได้มีสายตาของเขาไปที่เหล็ก และได้เจรจาต่อรองการขายคาเนกี้ สตีล อย่างไม่เปิดเผย แอนดรูว์ คาร์เนกี ได้เขียนตัวเลขบนกระดาษ 480 ล้านเหรียญ และเจมส์ มอร์แกนไม่ได้แม้แต่กระพริบตาก่อนการซื้อ ภายใต้บางมุมมอง นี่จะมากกว่างบประมานทั้งหมดของรัฐบาลกลางของอเมริกา เจ พี มอร์แกน ได้รวมบริษัทเหล็กของเขาสร้าง ยู. เอส. สตีล เมื่อ ค.ศ 1901 บริษัทใหม่จะมีมูลค่าทางตลาด 1.4 พันล้านเหรียญ การทำให้มันเป็นบริษัทพันล้านเหรียญครั้งแรก นี่ได้ทำให้อำนาจของ เจ. พี. มอรแกน ถึงจุดสูงสุดด้วย ณ จุดนี้เขาได้ยึดครองอุตสาหกรรมธนาคารและควบคุมรถไฟและอุตสาหกรรมเหล็ก 60% เขาจะนั่งอยู่ภายในคณะกรรมการบริษัทของ 48 บริษัท

การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งได้ปรากฏขึ้นครั้งแรกภายในศตวรรษที่ 19 การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งจะเป็นถ้อยคำที่สร้างโดยแอนดูรว์ คาร์เนกี้ เขาได้ซื้อเกือบทุกขั้นตอนของการผลิตและการจัดจำหน่ายผลผลิตของบริษัทของเขา เหตุผลพื้นฐานคือ ความมั่นใจต่อการจัดส่งวัตถุดิบและการจัดจำหน่ายอย่างสม่ำเสมอ และการลดต้นทุนของการทำธุรกิจ แอนดูรว์ คาร์เนกี้ได้ซื้อรถไฟและเหมืองแร่เหล็ก ถ้าเขาเป็นเจ้าของรถไฟและเหมืองแร่เหล็กแล้ว เขาสามารถลดต้นทุนของเขาและผลิตเหล็กได้ถูกลง แอนดูรว์ คาร์เนกี้ได้ใช้การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งที่จะยึดครองตลาดเหล็กด้วยบริษัทของเขา การช่วยให้เขาลดราคาและเจริญเติบโตภายในตลาดที่ยึดครอง แรงจูงใจเหล่านี้จะยังคงดึงดูดต่อบริษัทที่ใช้การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งปัจจุบันนี้ แอนดรูว์ คาร์เนกี้ได้กลายเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่เนื่องจากยุทธวิธีทางธุรกิจที่หลักแหลม ในขณะที่ จอห์น รอคกี้เฟลเล่อร์มักจะซื้อบริษัทน้ำมันอื่นที่จะกำจัดการแข่งขัน กระบวนการที่รู้จักกันว่าการรวมธุรกิจตามแนวนอน
การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งจะเป็นแนวคิดเริ่มแรกที่ถูกดำเนินการโดยกูสทาวูส
สวิฟท์ กูสทาวูส สวีฟท์ จะเป็นนักอุตสาหกรรมอเมริกัน โรงงานบรรจุเนื้อสัตว์ของเขาได้ปฏิรูปอุตสาหกรรม การแนะนำรถไฟแช่เย็นและดำเนินการควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด การผลิตของเขาจะเป็นตัวอย่างที่มีชื่อเสียงของ “การรวมธุรกิจตามแนวดิ่ง” การเสริมแรงหลายขั้นตอนของกระบวนการบรรจุเนื้อสัตว์
ให้เป็นกระบวนการเดียวที่คล่องตัว เขาได้สร้างอาณาจักรบรรจุเนื้อสัตว์
ภายในตะวันตกกลางระหว่างปลายศตวรรษที่สิบเก้า เขาได้ถูกยกย่องจากการพัฒนารถไฟแช่เย็นครั้งแรกที่ทำให้บริษัทของเขาส่งเนื้อไปยังทุกส่วนของประเทศได้และแม้แต่ต่างประเทศ เราจะไม่เคยได้ยินมาก่อนภายในยุคของเนื้อสัตว์ราคาถูก เขาได้บุกเบิกการใช้ผลิตภัณฑ์พลอยได้ของสัตว์ที่จะผลิตสบู่
กาว ปุ๋ย และแม้แต่ผลิตภัณฑ์ทางแพทย์ กูสทาวูส สวิฟท์ ได้บริจาคเงินจำนวนมากแก่สถาบัน เช่น มหาวิทยาลัยชิคาโก เขาได้สร้างคณะวาทะศิลป์ของมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิรน เพื่อความทรงจำแก่ลูกสาวของเขาที่ได้เสียชีวิตในขณะที่เป็นนักศึกษาอยู่ที่นี่
เขาได้สร้างอาณาจักรการบรรจุเนื้อสัตว์ระหว่างปลายศตรรษที่สิบเก้า เขาได้ใช้วิธีการของการปฏิวัติอุตสาหกรรมกับการบรรจุเนื้อสัตว์ การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมากแก่โรงงานของเขาเพื่อการผลิตจำนวนมาก เขาได้แบ่งองค์การเป็นหน่วยงานที่หลากหลาย หน่วยงานแต่ละหน่วยจะรับผิดชอบต่อขั้นตอนที่แตกต่างกันของธุรกิจของ”การนำเนื้อสัตว์จากฟาร์มปศุสัตว์ไปสู่ลูกค้า” ด้วยการพััฒนาบริษัทที่มีการรวมธุรกิจตามแนวดิ่ง กูสทาวูส สวีฟท์ สามารถควบคุมการขายเนื้อสัตว์ของเขาตั้งแต่โรงฆ่าสัตว์ไปจนถึงร้านขายเนื้อสัตว์ได้ การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งจะแสดงถึงขนาดที่บริษัทได้ควบคุมวัตถุดิบและการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของพวกเขา เราจะมีการรวมธุรกิจตามแนวดิ่งอยู่สองอย่างคือ ทางหลัง และทางหน้า การควบคุมวัตถุดิบของบริษัทจะถูกเรียกว่าการรวมธุรกิจไปทางหลัง และการควบคุมการจัดจำหน่ายของบริษัทจะถูกเรียกว่าการรวมธุรกิจไปทางหน้า เราจะเข้าใจการรวมธุรกิจตามแนวดิ่งได้ดีที่สุดด้วยการประยุกต์ใช้โมเดลลูกโซ่คุณค่าของไมเคิล พอร์เตอร์ การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งจะอ้างถึงระดับของการรวมธุรกิจระหว่างลูกโซ่คุณค่าของบริษัท และลูกโซ่คุณค่าของซัพพลายเออร์และผู้จัดจำหน่าย การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งอย่างเต็มที่จะเกิดขึ้นเมื่อบริษัทได้รวมลูกโซ่คุณค่าของซัพพลาย
เออร์และ/หรือลูกโซ่คุณค่าของผู้จัดจำหน่าย เข้าไว้ภายในลูกโซ่คุณค่าของบริษัทเอง โดยทั่วไปนี่จะเกิดขึ้นจากการซื้อซัพพลายเออร์หรือผู้จัดจำหน่ายของบริษัท หรีอจากการขยายการดำเนินงานของบริษัท การขยายการดำเนินงานหมายความว่าบริษัทได้เข้าไปทำกิจกรรมตามธรรมเนียมของซัพพลาย
เออร์และผู้จัดจำหน่าย ต้นทุนทางธุรกรรมของเศรษฐศาสตร์ ได้เสนอแนะว่าการรวมธุรกิจตามแนวดิ่งจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าการทำสัญญาซื้อขายภายในตลาด เมื่อต้นทุนทางธุรกรรมภายในตลาดสูงเกินไป เหตุผลที่สำคัญอย่างหนึ่งของการรวมธุรกิจตามแนวดิ่งคือ การหลีกเลี่ยงต้นทุนทางธุรกรรม ต้นทุนของการซื้อขายกับบริษัทอื่นนอกจากราคา เช่น ต้นทุนของการเขียนและการบังคับใช้สัญญา บริษัทที่มีการรวมธุรกิจตามแนวดิ่งจะหลีกเลี่ยงต้นทุนทางธุรกรรมเหล่านี้ได้ แต่บริษัทอาจจะมีต้นทุนการบริหารเพิ่มสูงขึ้น เมื่อบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น และกลายเป็นระบบราชการมากขึ้น ต้นทุนของการบริหารธุรกรรมภายในจะสูงกว่าต้นทุนทางธุรกรรมภายนอก บริษัทอาจจะมีระดับของการรวมธุรกิจตามแนวดิ่งแตกต่างกันสองอย่างคือ บริษัทอาจจะใช้การรวมธุริจตามแนวดิ่งแบบเต็มที่ การวมทุกขั้นตอนของการผลิตและการจัดจำหน่าย และการรวมธุรกิจตามแนวดิ่งแบบแบบบางขั้นตอน การรวมเพียงบางขั้นตอนของการผลิตและการจัดจำหน่าย แคทเธอลีน แฮร์รีแกน นักวิชาการิมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้เสนอแนะระดับของการรวมธุรกิจตามแนวดิ่งอาจจะมีขอบเขตตั้งแต่การเป็นเจ้าของไปทางหลังของลูกโซ่คุณค่า และไปทางหน้าของลูกโซคุณค่าทุกอย่างของการผลิตและการจัดจำหน่าย ไปจนถึงการไม่เป็นเจ้าของเลย ภายใต้การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งแบบเต็มที่ บริษัทจะผลิตวัตถุดิบ/ชิ้นส่วนทุกอย่างภายใน และควบคุมช่องการการจัดจำหน่ายทุกช่องทาง เช่น รอยัล ดัทช์ เชลล์ ได้ใช้การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งแบบเต็มที่ภายใต้การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งแบบบางส่วน บริษัทจะผลิตวัตถุดิบ/ชิ้นส่วน ภายในน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของความต้องการ และซื้อส่วนที่เหลือจากซัพพลาย
เออร์ภายใต้การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งแบบไม่แท้จริง บริษัทจะไม่ผลิตวัตถุดิบ/ชิ้นส่วนภายใน แต่จะซื้อจากซัพพลายเออร์ภายใต้การควบคุมบางส่วน บริษัทจะไม่ต้องการซื้อจากซัพพลายเออร์หรือใช้ผูัจัดจำหน่ายอย่างเปิดเผย แต่บริษัทยังคงต้องการรับประกันบางอย่างภายใต้สัญญาระยะยาว บริษัทสองบริษัทจะทำข้องตกลงภายในการผลิตวัตถุดิบ/ชิ้นส่วน หรือการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระหว่างกัน ณ ช่วงเวลาหนึ่ง เราจะไม่พิจารณว่าเป็นการรวมธุรกิจตามแนวดิ่งแบบไม่แท้จริง ถ้าไม่ได้เป็นสัญญาแต่ผู้เดียวระบุว่าซัพลายเออร์หรือผู้จัดจำหน่าย ไม่สามารถมีความสัมพันธ์อย่างเดียวกับบริษัทอื่นได้ พวกเขาอาจจะกลายเป็นบริษัทเชลยอย่างแท้จริง การเป็นเจ้าของลูกโซ่คุณค่าจะเป็นกลยุทธ์ที่นิยมแพร่หลายภายในต้นของปลายศตวรรษที่แล้ว บริษัทได้แสวงหาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันด้วยการเข้าไปสู่ “ต้นน้ำ” ควบคุมการผลิตวัตถุดิบแก่ธุรกิจของพวกเขา หรือ “ปลายน้ำ” ควบคุมการจัดจำหน่ายไปสู่ตลาดของธุรกิจของพวกเขา ตัวอย่างเช่น เมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา ฟอร์ด มอเตอร์ ได้เป็นเจ้าของการปลูกยางและเหมืองแร่เหล็กของตัวเอง และแม้แต่รถไฟ แต่การรวมธุรกิจตามแนวดิ่งได้คลายความนิยมลงเมื่อ ค.ศ 1960 อุตสาหกรรมหลายอย่างได้สลายการรวมธุรกิจตามแนวดิ่ง ป้จจุบันเกือบสามในสี่ของชิ้นส่วนของรถยนต์อเมริกันจะจัดหาจากภายนอกอเมริกา ครั้งหนึ่งบริษัทคอมพิวเตอร์ จะผลิตชิปหน่วยความจำและซอฟท์แวร์แก่คอมพิวเตอร์ที่พวกเขาผลิตและขาย ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญของการผลิตชิปหน่วยความจำ การพัฒนาซอฟท์แวร์ และการประกอบฮารดแวร์ ได้กลายเป็นครอบงำอุตสาหกรรมไปแล้วตามแนวคิดของลูกโซ่คุณค่า ไมเคิล พอร์เตอร์ ไม่ได้มองที่แผนกหรือต้นทุนทุนทางบัญชี แต่ลูกโซ่คุณค่าจะมุ่งที่ระบบ ปัจจัยได้ถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นผลผลิตอย่างไร

 

ภายหลังจากปีแห่งการนัดหยุดงาน สหภาพได้ถูกก่อตั้งภายในอุตสาหกรรมเหล็ก สภาวะการทำงานได้เริ่มต้นปรับปรุงที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากจาก ค.ศ 1880 ถึงปลาย ค.ศ 1960 แม้ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางบวก บริษัทยังคงต่อสู้ที่จะได้ประสิทธิภาพมากที่สุดจากกำลังงานของพวกเขา โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาจะต้องแข่งขันกับผู้ผลิตเหล็กต้นทุนต่ำต่างประเทศ
เคนเนฑ ไอเวอร์สัน ซีอีโอตำนาน ณ นูคอร์ คอร์ปอเรชั่น สามารถทำให้คนงานของเขา ณ นูคอร์ กลายเป็นแนวร่วมกับบริษัทของพวกเขา และสร้างบริษัทที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดบริษัทหนึ่งภายในโลก โดยไม่มีการยุ่งเกี่ยวของสหภาพเลยได้อย่างไร นูคอร์ โรงงานที่มุ่งการผลิตเหล็กบริหารโดยเคน ไอเวอร์สัน จะแตกต่างจากบริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่สมัยก่อน “บิก สตีล” เช่น เบธลีแฮม สตีล ด้วยมินิ
มิลล์ ที่ค่อนข้างเล็ก และมุ่งผลิตภัณฑ์เหล็กเฉพาะ การบริหารบนพื้นฐานของความเสมอภาคและประสิทธิภาพการผลิต นูคอร์จะให้รายได้แก่คนงานที่ไม่เป็นสหภาพเหมือนกับเจ้าของด้วยสิ่งจูงใจบนพื้นฐานของประสิทธิภาพการ
ผลิต ตรงกันข้ามคนงานที่เป็นสหภาพของเบธลีเฮม สตีล จะได้ค่าจ้างโดยไม่มองถึงประสิทธิภาพการผลิตของพวกเขา จนกระทั่งเคน ไอเวอร์สัน ได้ถูกเรียกว่าเป็นแอนดรูว์ คาร์เนกี คนที่สองของอุตสากรรม
American Steel 1991 ของริชาร์ด เพรสตัน จะเป็นหนังสือเรื่องราวของนูคอร์ ค้นหาวิถีทางใหม่ที่จะผลิตเหล็กและการสร้างมินิ มิลล์ ภายในไร่ข้าวโพดภายนอกครอร์ฟอรดสวิลล์ อินเดียนา การสร้างโรงงานเหล็กที่สร้างสรรค์เพียงพอที่จะทำให้นูคอร์ คอรปอเรชั่น บริษัทที่ค่อนข้างเล็กแข่งขันกับทั้งบริษัทเหล็กอเมริกันที่ใหญ่กว่าและบริษัทเหล็กจากญี่ปุ่นได้
เรื่องราวของสิ่งที่บ้าที่สุดที่นูคอร์ ได้ทำ : การว่าจ้างคนงานเหล็กหนุ่่มไม่กี่คนและกลุ่มเกษตรกรที่จะสร้างโรงงานเหล็กภายในไร่ข้าวโพดอินเดียนา เคนเนธ ไอเวอร์สัน ได้ตัดสินใจที่จะสร้างสิ่งที่ริชาร์ด เพรสตันเรียกว่า “โรงงานเหล็กตั้งโต๊ะ” โรงงานภายในกล่อง โรงงานที่ได้กำจัดความต้องการคนงานหลายพันคนและเครื่องจักรหลายพันล้านเหรียญ เคน ไอเวอร์สันได้กำหนดทิศทางต่อบริษัทของเขาโดยการรักษาสำนักงานใหญ่ของบริษัทเยี่ยงชาวสปารต้า
ทำงานอย่างทรหด และเสี่ยงภัย การไม่ยอมรับความขยันกับกระดาษ เขา
จะเป็นบุคคลที่ทรยศทางการบริหาร บุคคลที่เกลียดชังความโอ้อวดของบริษัทอเมริกัน เขาจะนั่งเครื่องบินชั้นประหยัด รับโทรศัพท์ของเขาเอง ริชาร์ด
เพรสตันจะชื่นชมซีอีโอ ผู้บริหาร และคนงานของนูคอร์อย่างเปิดเผย คนงานจะไม่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน และสถิติความปลอดภัยจะถูกท้าทายอย่างต่อเนื่อง แต่กลุ่มคนงานดูเหมือนกับจะเจริญเติบโตด้วยความเครียด ความกดดัน และความรับผิดชอบโดยธรรมชาติภายในวิถีทางของนูคอร์ มันไม่น่าประหลาดใจที่บริษัทของเคน ไอเวอร์สันทำให้บริษัทเหล็กรายใหญ่ต้องกังวล
เคน ไอเวอรสันได้ยกย่องวัฒนธรรมของการให้อำนาจ การเป็นผู้ประกอบการ และความเสมอภาคต่อความสำเร็จของบริษัท เขาได้ต่อว่าความไม่เสมอภาคทางลำดับชั้น เมื่อผมคิดถึงเงินหลายล้านเหรียญทีใช้กับบุคคล ณ ระดับสูงของลำดับชั้นทางการบริหารบนความพยายามที่จะจูงใจบุคคลที่ทำให้รู้สึกต่ำต้อย
จากลำดับชั้น ผมจะสั่นหัวของผมด้วยความประหลาดใจ พวกเขาคิดได้อย่างไร เราสามารถกำจัดความไม่พอใจได้อย่างมากด้วยเพียงแต่ลดความแตกต่างระหว่างผู้บริหารและบุคคลอื่นใครก็ตามภายในบริษัทให้น้อยที่สุด
ผู้บริหารระดับสูงของเราจะมีการประกันภัยกลุ่มอย่างเดียวกัน วันหยุดอย่างเดียวกัน และวันพักผ่อนอย่างเดียวกัน หมือนกับบุคคลทุกคน พวกเขาจะทานอาหารเที่ยงภายในร้านอาหารเดียวกัน พวกเขาจะนั่งเครื่องบินชั้นประหยัดเป็นประจำ เราจะไม่มีห้องทำงานของผู้บริหาร และไม่มีรถยนต์ของผู้บริหาร ณ สำนักงานใหญ่ “ห้องอาหารบริษัท” ของเราคือ ร้านอาหารข้ามถนน
ภายในหนังสือลำดับเหตุการณประวัติของบริษัท The Legend of Nucor โดย เจฟฟรีย์ โรเดนเกน 1997 เขาได้กล่าวว่า สิ่งที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับความสำเร็จของนูคอร์คือ นูคอร์จะเรียบง่ายเหลือเกิน บุคคลจะมีส่วนได้เสียภายในการเจริญเติบโตของบริษัท การมุ่งดำเนินธุรกิจที่มีอยู่แล้ว การกำจัดความล่าช้าและระบบราชการ ในขณะที่บริษัทหลายบริษัทได้สูญเสียพลังกับการเมืองภายใน นูคอร์จะทำเงินอย่างต่อเนื่องโดยการผลิตเหล็กแและผลิตภัณฑ์เหล็ก
เคนเนธ ไอเวอรสันจะมีปรัชญาการบริหารโดยสนับสนุนการบริหารแบบลีน
อย่างเข้มแข็ง โครงสร้างการตัดสินใจที่กระจายอำนาจ และสภาพแวดล้อมการทำงานที่เสมอภาค ณ นูคอร์ เขาจะยอมให้มีจำนวนสี่ระดับการบริหารเท่านั้น – ภารโรงสามารถกลายเป็นซีอีโอของบริษัทด้วยการเลื่อนตำแหน่งสี่ครั้งเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นเขาได้มีทำเลที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ไกลไปจากโรงงานเหล็กทุกโรง และการยอมให้โรงงานเหล็กแต่ละโรง
มีอิสระภายในการตัดสินใจทางการตลาดและการผลิตเอง ภายใต้ความเป็นผู้นำของเขา นูคอร์ได้ยกเลิกสิทธิพิเศษของผู้บริหารทุกอย่าง เช่น พื้นที่จอดรถยนต์ที่สำรองไว้ และประโยชนทางสุขภาพที่พิเศษ และเคน ไอเวอร์สันจะรับโทรศัพท์ของเขาเองทุกครั่งเมื่อเขาอยู่ภายในสำนักงานบริษัท
สำนักงานใหญ่ของบริษัทภายในชาลอตต์เต้จะมีสายงานสนับสนุน 25 คนเพียงพอต่อการบริหารบริษัทหลายพ้นล้านเหรียญทั้งบริษัท
ภายในพื้นที้ 8,000 ตารางฟุต อยู่ภายในอาคารสำนักงานที่ไม่ชื่อ ตรงข้ามถนน
ห่างจากศูนย์การค้านอกเมืองชารลอตต์เต้ นอร์ธคาโลไรนา
เราจะมีความสงบเสงี่ยมและความเรียบง่าบเกี่ยวกับบริษัทนี้ที่สะท้อนซีอีโอของพวกเขา
นูคอร์จะกระตุ้นและยอมรับความเสี่ยงภัย พวกเขายอมรับว่าครึ่งหนึ่งของการลงทุนของพวกเขาภายในความคิดใหม่และเทคโนโลยีใหม่จะได้ผลลัพธ์ที่ใช้ประโยชนได้ แต่บริษัทจะอยู่ ณ แนวหน้าภายในการแนะนำเทคโนโลยีใหม่
นูคอร์จะกระตุ้นความผูกพันที่จะส่งเสริมความจงรักภักดีแบบสองทาง พวกเขาจะปลูกฝังความรู้สึกของความมุ่งหมายร่วมท่ามกลางผู้บริหารและคนงาน ไม่เพียงแต่บุคคล ณ ทุกระดับจะร่วมภายในความสำเร็จทางการเงินของกลุ่มงานหรือหน่วยธุรกิจของพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขาทุกคนจะร่ามความเจ็บปวดภายในช่วงเวลาที่ยากลำบากด้วย โดยการลดสัปดาห์การทำงานพวกเขาลง
นูคอร์ไม่เคยปลดบุคคลใดเลยออกจากงาน หรือปิดโรงงานเนื่องจากไม่มีงานทำ
เคนเนธ ไอเวอร์สัน ได้อ้างถึงการพูดที่ไม่จริงต่อแนวคิดว่าอุตสาหกรรมเหล็กอเมริกันได้ตายไปแลัว เนื่องจากบริษัทของเขาจะเจริญเติบโต ณ อัตราต่อปีสะสม 23% เมื่อสิบปีที่ผ่านมา การขายเพียงแต่เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กเท่านั้น
ความสำเร็จของพวกเขาส่วนใหญ่จะมาจากความผูกพันต่อการบริหารแบบสัมผัส การลงทุนภายในเทคโนโลยีิ และแผนค่าตอบแทนที่ผิดธรรมดา ด้วยประสิทธิภาพการผลิตที่สูง การเข้าออกจากงานต่ำ และผู้สมัครงานเข้าแถว
รอคอยจำนวนมาก
โดยข้อเท็จจริง เคน ไอเวอร์สัน ได้กล่าวว่าครั้งหนึ่งผู้จัดตั้งสหภาพคนหนึ่งภายในดาร์ลิ่งตัน เราต้องส่งผู้บริหารออกไปที่จะคุ้มครองเขาที่ได้ส่งสมุดเล่มเล็กของสหภาพแก่คนงาน บุคคลอยากจะทำงานที่นี่ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมาโรงงานเหล็กที่ดาร์ลิงตัน
ต้องการคนงานแปดคน และเราได้ลงโฆษณาภายในหนังสือพิมพ์ว่า นูคอร์ต้องการรับสมัครงานคนงานใหม่ตอนเช้าวันเสาร์ 8.30 น เมื่อเราได้ออกไปจากที่นี่เพื่อการสัมภาษณ์ บุคคล 1,200 คนได้เข้าแถวหน้าโรงงาน เราไม่สามารถเข้าไปแผนกบริหารบุคภายในโรงงานได้ ผู้สมัครงานหนึ่งพันสองร้อยคน ในที่สุดเราได้โทรศัพท์ไปที่สถานีตำรวจและบอกว่า คุณต้องทำบางสิ่งบางอย่าง เราจะมีการจราจรติดขัดมากที่นี่ แต่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้ตอบว่า
เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะว่าเราจะมีตำรวจสามคนออกไปสมัครงานที่โรงงานเหล็ก
เคนเนธ ไอเวอร์สัน ได้ใช้วิถึทางที่แตกต่างกัน เขาได้ตัดสินใจที่จะไม่ผลิตเหล็กจากแร่เหล็ก แต่จากเศษซากเหล็กภายในสิ่งที่เขาเรียกว่ามินิืื มิลล์ นี่จะเป็นสิ่งที่ชาวยุโรปสามารถผลิตเหล็กราคาไม่แพงได้อย่างไร เคน ไอเวอร์สัน
ได้ใช้ความคิดของพวกเขาและบุกเบิกภายในอเมริกา วิถีทางของเคน ไอเวอร์สัน จะใช้เทคโนโลยีค่อนข้างใหม่สองประเภท เตาหลอมไฟฟ้า – อีเอเอฟ และกระบวนการหล่อต่อเนื่อง
ในขณะที่เคน ไอเวอร์สัน กำลังศึกษาปริญญาโททางวิศวกรรมเครื่องกลอยู่ที่มหาวิทยาลัยเปอร์ดู เขาได้มองเห็นการผลิตเหล็กอย่างใกล้ชิดครั้งแรกระหว่างการออกภาคสนามไปยังโรงงานใหญ่ภายในแกรี่ อินเดียนา เมื่อ ค.ศ 1947 และเขาไม่ประทับใจกับสิ่งที่เขาได้มองเห็นเลย เขาได้กล่าวว่า มันจะเป็นตอนบ่าย เราได้เดินเข้าไปภายในโรงงาน และได้เดินข้ามคนงานที่กำลังนอนหลับอยู่ ผมได้ตัดสินใจทันทีตั้งแต่นั้นว่าผมไม่ต้องการจะทำงานกับบริษัทเหล็กรายใหญ่อีกแล้ว
ดังโชคชะตาได้เกิดขึ้น เคน ไอเวอร์สัน ได้เลิกล้มทำงานกับบริษัทเหล็กรายใหญ ที่จริงแล้วเขาได้สร้างมันขึ้นมา แต่เขาได้ทำตามวิถีทางของเขา – การปลูกฝังวัฒนธรรมที่คนงานตื่นตัวต่อประสิทธิภาพการผลิตที่ได้ถูกอิจฉาภายในอุตสาหกรรมเหล็ก เขาจะไม่ยอมรับสูตรของตำรา ต่อต้านวอลล์ สตรีท และปฏิเสธที่จะสร้างถ้อยแถลงภารกิจ

Cr : รศ สมยศ นาวีการ

Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *